วันพุธ

๗. อัปปมัญญา ๔ หน้า ๒

กลับไป อัปปมัญญา ๔ หน้าแรก (เมตตา)

๒. กรุณาภาวนา
การเจริญกรุณา คือ การแผ่ความกรุณาในสัตว์ที่กำลังได้รับความทุกข์อยู่ หรือกำลังจะได้รับ
ความทุกข์ในภายหน้า องค์ธรรมได้แก่ กรุณาเจตสิก ที่มีทุขิตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ การแผ่ความกรุณา คือ การแผ่ความกรุณาสงสารในสัตว์ที่กำลังได้รับความทุกข์อยู่ หรือกำลังจะได้รับความทุกข์ในภายหน้า เช่น เห็นบุคคลที่กำลังได้รับทุกข์ก็พิจารณาว่า บุคคลนี้กำลังเป็นทุกข์เขาจะหลีกพ้นทุกข์ได้อย่างไร หรือขอให้สัตว์ทั้งหลายจงพ้นทุกข์เถิด หรือเห็นว่าบุคคลนี้ทำกรรมชั่ว ก็คิดกรุณาสงสารว่าเขาจะต้องได้รับทุกข์ในภายภาคหน้า

การเจริญกรุณา ใช้คำภาวนาว่า “สัพเพ สัตตา ทุกขา ปมุจจันตุ....” มีความหมายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กายทุกข์ใจเถิด การเจริญกรุณานั้นจิตจะต้องเป็นโสมนัส(เป็นสุขปลาบปลื้ม) ไม่ใช่เศร้าเสียใจ ถ้าเศร้าเสียใจนั่นเป็นอกุศล ไม่ใช่กรุณา เช่น เราไปงานศพเห็นว่าครอบครัวผู้ตายลำบาก เราสงสารเกิดเสียใจอย่างนี้จัดเป็นอกุศล เพราะจิตเป็นทุกข์ไม่ผ่องใส การแผ่กรุณา ก็เช่นเดียวกับเมตตา คือต้องเริ่มต้นที่การแผ่ให้กับตนเองก่อน จนในที่สุดแผ่ถึงศัตรู การเจริญกรุณาภาวนาสามารถทำให้เกิดอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ได้ถึงฌาน ๔ ตามลำดับ

กรุณาแผ่ยากกว่าเมตตา เพราะในบุคคลที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เช่น กำลังได้รับความทุกข์จากการสูญเสียญาติ ทรัพย์ ได้รับทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ อยู่นั้น เราก็ต้องแผ่ให้เป็นกรุณาให้ได้ ผู้ที่ปรารถนาที่จะเจริญกรุณาภาวนาจนได้ฌานก็ต้องพิจารณาในความทุกข์ ของบุคคลต่างๆ แล้วให้เป็นอารมณ์ของการเจริญกรุณาภาวนาให้ได้ สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เจริญกรุณาภาวนาอาจจะทนไม่ได้กับความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย

วิธีการแผ่กรุณาอัปปมัญญา
การแผ่กรุณาเพื่อยังฌานจิตให้สำเร็จ ต้องทำตามลำดับขั้นตอนดังนี้ คือ
๑. แผ่ให้กับตนเอง
ก่อน
๒. แผ่ให้กับมัชฌัตตบุคคล
๓. ปิยบุคคล
๔. เวรีบุคคล

แผ่ให้กับตนเองก่อนเพื่อผล ๒ ประการ คือ
๑. เพื่อให้ส้าเร็จฌาน ๒.ให้ตัวเองเป็นพยาน
แล้วจึง
แผ่ไปในมัชฌัตตบุคคลไปตามลำดับ การที่จะแผ่ให้กับปิยบุคคลหรือบุคคลอันเป็นที่รักก่อนนั้น กรุณาแท้ก็จะไม่เกิด เกิดแต่กรุณาเทียม หรือถ้าแผ่ไปในเวรีบุคคลก่อน กรุณาก็ไม่เกิด อาจเกิดแต่ความดีใจที่ศัตรูของตนได้รับความลำบากได้รับทุกข์ อันเป็นโลภะที่ยินดีพอใจในทุกข์ของศัตรู ฉะนั้น จึงต้องแผ่กรุณาไปตามลำดับขั้นจนถึงขั้นสามารถทำลายสีมสัมเภทได้ ซึ่งวิธีการก็เป็นเช่นเดียวกับวิธีแผ่เมตตา และการที่จะไม่ให้โลภะเกิดขึ้นในขณะที่แผ่กรุณาต่อปิยบุคคล หรือไม่ให้โทสะเกิดขึ้นในขณะแผ่กรุณากับเวรีบุคคล ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกับที่กล่าวไว้ในเมตตา จะมีการพิจารณาต่างกันบ้างเพียงเล็กน้อย

คำที่ใช้แผ่กรุณาให้กับตนเองใช้คำว่า อหัง ทุกขา มุจจามิข้าพเจ้าจงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ คำแผ่ไปในบุคคลอื่นถ้าเป็นคนเดียวใช้คำว่า ทุกขา มุจจตุ ขอท่านจงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ถ้าบุคคลอื่น ๒ คนขึ้นไป ใช้คำว่า ทุกขา มุจจันตุ ขอท่านทั้งหลายจงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ คำบริกรรมท่องจำแผ่กรุณาทั่วไปอย่างสามัญนั้น ว่าโดย อาการแห่งกรุณา คือ ทุกขา มุจจันตุ ว่าโดย บุคคลที่ได้รับการแผ่กรุณา มี ๑๒ จำพวก คือ บุคคลไม่เจาะจง ๕ จำพวก บุคคลเจาะจง ๗จำพวก และแผ่ไปในทิศทั้ง ๑๐

แผ่กรุณาแบบไม่เจาะจง ๕ จำพวก
สัพเพ สัตตา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ ปาณา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ ภูตา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ที่ปรากฏชัดทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ ปุคคลาทุกขา มุจจันตุ ขอบุคคลทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ อัตตภาวปริยาปันนา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กายทุกข์ใจ

แผ่กรุณาแบบเจาะจง ๗ จำพวก
สัพพา อิตถิโย ทุกขา มุจจันตุ ขอหญิงทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ ปุริสา ทุกขา มุจจันตุ ขอชายทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ อริยา ทุกขา มุจจันตุ ขอพระอริยบุคคลทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ อนริยา ทุกขา มุจจันตุ ขอปุถุชนทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ เทวา ทุกขา มุจจันตุ ขอเทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ มนุสสา ทุกขา มุจจันตุ ขอมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ วินิปาติกา ทุกขา มุจจันตุ ขอพวกวินิปาติกอสุราทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ

และการแผ่ไปในทิศทั้ง ๑๐ วิธีการเช่นเดียวกับการเมตตานั่นเอง

สรุป
๑. การแผ่กรุณาแบบไม่เจาะจง ๕ แบบเจาะจง ๗ รวมเป็น ๑๒ ประการ
๒. การแผ่กรุณาไปในทิศทั้ง ๑๐ หนึ่งทิศได้กรุณา ๑๒ ถ้า ๑๐ทิศ รวมเป็น ๑๒๐ ประการ

รวมเป็น ๑๓๒ ประการ

นิมิต ๓ ภาวนา ๓ อานิสงส์ ๑๑ ก็เป็นไปเช่นเดียวกันกับเมตตา

ข้อควรรู้ในการเจริญกรุณาอัปปมัญญากรรมฐาน
๑. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา มีความเป็นไปแห่งกาย วาจา ใจ อันที่จะบำบัดทุกข์ของผู้อื่นให้หมดไป
๒. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ย่อมอดกลั้นทนนิ่งดูดายอยู่ไม่ได้ต่อทุกข์ของผู้อื่น และอยากช่วยเหลืออยู่เป็นนิจ
๓. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น
๔. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ย่อมพิจารณาเห็นบุคคลที่ตกอยู่ในความทุกข์ไร้ที่พึ่ง
๕. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าไม่สามารถแผ่กรุณาให้กับเวรีบุคคล ก็จะทำให้โทสะเกิดขึ้น จึงไม่สามารถเจริญกรุณาให้สำเร็จ
๖. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าไม่สามารถระงับความเศร้าโศกเมื่อทราบถึงความทุกข์ของผู้อื่นแล้ว จะทำให้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถเจริญกรุณาได้
๗. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าเป็นผู้ที่มักเสียใจอยู่เสมอต่อกามคุณอารมณ์ต่างๆ ก็ย่อมจะไม่สามารถแผ่กรุณาได้
๘. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าเป็นผู้ที่ชอบเบียดเบียนสัตว์ก็ไม่สามารถแผ่กรุณาได้

จบ กรุณา

๓. มุทิตาภาวนา
มุทิตาภาวนา หมายความว่า การพลอยยินดีชื่นชมเมื่อได้ยินได้เห็นผู้อื่นเป็นสุขสบาย ได้รับความเจริญ ได้ลาภยศ สมบัติต่างๆ องค์ธรรมได้แก่ มุทิตาเจตสิกที่มีสุขิตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ การแผ่มุทิตาภาวนา เช่น ขอให้ผู้นั้นจงยั่งยืนบริบูรณ์ในความสุข ในลาภ ยศ สมบัตินั้นๆ เถิด

การเจริญมุทิตาต้องเริ่มแผ่ตามลำดับบุคคล คือ
๑. แผ่ให้กับตนเองก่อน
๒. ตามด้วยบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง
๓. 
บุคคลอันเป็นที่รัก
๔. บุคคลกลางๆ (ไม่รักไม่ชัง)
๕. บุคคลที่เป็นศัตรู

การเจริญมุทิตาภาวนาสามารถสำเร็จอัปปนาสมาธิ และมีอานิสงส์อื่นๆ เช่นเดียวกับเมตตา มุทิตา เมื่อว่าโดยสามัญแล้วมี ๒ อย่าง คือ มุทิตาแท้และมุทิตาเทียม มุทิตาแท้ นั้นผู้ปฏิบัติจะมีความรื่นเริงบันเทิงใจต่อสัตว์ที่มีสุข หรือจะได้รับสุขต่อไปข้างหน้า จิตใจจะไม่มีการยึดถือหรืออยากโอ้อวดต่อผู้อื่นแต่อย่างใด มีแต่ความเบิกบานแจ่มใสซึ่งเป็นตัวมหากุศล มุทิตาเทียม นั้นถึงแม้จะมีความยินดีปรีดาก็จริง แต่ก็มีการยึดถืออยากได้ดีได้หน้า ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็เนื่องมาจากโลภนั่นเอง มุทิตาเทียมนี้ส่วนใหญ่มีอยู่ในบุคคลทั้งหลาย เช่นเมื่อได้ทราบว่า บิดา มารดา ญาติพี่น้อง บุตร ธิดา มิตรสหายของตนได้ลาภ ยศสรรเสริญ หรือได้เลื่อนยศตำแหน่งก็มีความยินดีด้วย โดยความยึดถือว่าผู้นั้นเป็นบิดา มารดา ญาติ ฯลฯ หรือยินดีกับเจ้านาย , เพื่อนร่วมงาน ที่ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ยินดีด้วยเพราะต้องการประจบสอพอ หวังประโยชน์ หรือยินดีด้วยเพราะมีเหตุผลบางประการซ่อนเล้นอยู่ เป็นต้น

การเจริญมุทิตากรรมฐานนี้ ผู้เจริญต้องทำการแผ่มุทิตาแท้ไปในสัตว์ทั้งหลายที่เป็นสุขิตบุคคล มี๒ จำพวก คือ
๑. ผู้ที่กำลังมีความสุขสบายอยู่หรือจะได้รับความสุขสบายในวันข้างหน้า
๒. ผู้ที่เคยมีความสุขสบายมาแล้ว แต่เวลานี้กำลังได้รับความลำบาก

ผู้เจริญมุทิตาถึงแม้จะไม่ได้พบเห็นบุคคลที่มีความสุข ก็จงแผ่ไปในบุคคลจำพวกที่ ๒ โดยคำนึงว่า บุคคลนี้แม้ว่ากำลังได้รับความลำบากอยู่ก็ตาม แต่เมื่อก่อนนี้เคยเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ มีความสุขกายสบายใจด้วย ลาภ ยศ ทรัพย์สินเงินทองมาแล้ว

วิธีการแผ่มุทิตาภาวนา
มีวิธีการเป็นไปในทำนองเดียวกันกับการแผ่เมตตาภาวนาและกรุณาภาวนา คือต้องแผ่ไปตามลำดับเริ่มตั้งแต่ตนเองก่อน จนไปถึงเวรีบุคคล
๑. แผ่ให้กับตนเอง อหัง ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉามิ ขอข้าพเจ้าอย่าได้สูญสิ้นจากความสุข ความเจริญที่มีอยู่
๒. แผ่ให้ผู้อื่น ตวัง ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉาหิ ขอท่านอย่าได้สูญสิ้นจากความสุข ความเจริญที่มีอยู่ 
๓. แผ่ให้บุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ตุมเห ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉถะ ขอท่านทั้งหลายอย่าได้สูญสิ้นจากความสุข ความเจริญที่มีอยู่

แผ่ไม่เจาะจง ในบุคคล ๕ จำพวก
๑. สัพเพ สัตตา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๒. สัพเพ ปาณา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๓. สัพเพ ภูตา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ที่ปรากฏชัดทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๔. สัพเพ ปุคคลา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอบุคคลทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๕. สัพเพ อัตตภาวปริยาปันนา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่

แผ่มุทิตาเจาะจง ในบุคคล ๗ จำพวก และการไปในทิศทั้ง ๑๐ ก็มีวิธีการเป็นไปทำนองเดียวกันกับการ แผ่เมตตานั่นเอง

นิมิต ๓ ภาวนา ๓ อานิสงส์ ๑๑ ก็เป็นไปเช่นเดียวกันกับเมตตา

จบ มุทิตา

๔. อุเบกขาภาวนา
อุเบกขา หมายความว่า ความวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลาย โดยมีจิตใจที่ปราศจากอาการทั้ง ๓ โดยสิ้นเชิง คือ
๑. ไม่น้อมไปในความปรารถนาดี(เมตตา)
๒. ไม่น้อมไปในการที่จะบำบัดทุกข์(กรุณา)
๓. ไม่น้อมไปในการชื่นชมยินดีในความสุขของสัตว์ (มุทิตา)

จิตใจในขณะนั้นเป็นใจที่มีอุเบกขามีความเป็นกลาง เพราะมีสภาพธรรม หรือองค์ธรรม คือ ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิกที่มีมัชฌัตตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ (มีความเป็นกลางต่อสัตว์ทั้งหลายเป็นอารมณ์)

การวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลายมี ๒ อย่าง คือ
๑. อุเบกขาแท้ คือ อุเบกขาที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งตัตรมัชฌัตตตา(ความวางเฉย) ที่ไม่มีการเกี่ยวข้องกับเมตตา กรุณา มุทิตา ดังที่ได้กล่าวแล้วนั้นแต่อย่างใด
๒. อุเบกขาเทียม คือ การวางเฉยต่อสัตว์บุคคล ชนิดที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจของ โมหะ เช่น
🔎เมื่อพบวัตถุหรือบุคคลที่น่าเคารพเลื่อมใส ก็ไม่รู้จักทำความเคารพเลื่อมใส
🔎 เมื่อพบวัตถุหรือบุคคลที่น่ากลัวน่าเกลียด ก็ไม่รู้จักกลัวรู้จักเกลียด
🔎 เมื่อพบเห็นสิ่งที่ควรสนับสนุนส่งเสริม ก็ไม่รู้จักสนับสนุนส่งเสริม
🔎 เมื่อพบเห็นสิ่งที่ควรแก้ไขปรับปรุงให้ดีให้สมบูรณ์ในการงานทั้งปวง ก็นิ่งเฉยเสีย

ความวางเฉยดังตัวอย่างนี้ไม่ใช่อุเบกขา แต่เป็นสภาพของโมหะที่ครอบงำจิตใจ จัดเป็นอุเบกขาเทียม

บุคคล ๒ จำพวก
๑ . พวกธรรมดา ได้แก่ บุคคลที่ไม่รัก ไม่ชัง เฉยๆ บุคคลเช่นนี้เป็นอารมณ์ได้สำหรับจิตใจของบุคคลทั่วไป
๒. พวกที่เป็นไปด้วยอำนาจของภาวนาสมาธิ ได้แก่ ปิยบุคคล(บุคคลอันเป็นที่รัก) ในขณะที่เขามีความสุขอยู่หรือมีความทุกข์อยู่ก็ตาม และเวรีบุคคล(บุคคลที่เป็นเวรกัน) ในขณะที่มีความสุขอยู่หรือความทุกข์อยู่ก็ตาม ด้วยอำนาจของภาวนาสมาธิย่อมทำให้จิตใจของผู้เจริญสมาธิย่อมมีความเป็นกลางกับเขาเหล่านั้นได้

การเจริญอุเบกขาภาวนา
ผู้เจริญต้องทำการแผ่อุเบกขาไปในสัตว์บุคคลที่เป็นมัชฌัตตบุคคล 
(บุคคลกลางๆ) ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไปกับสุขหรือทุกข์ทั้งของตนเองและ ของผู้อื่น ทำใจน้อมนึกว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ย่อมเป็นไปตามกรรมนั้น” การเจริญอุเบกขาภาวนาจนถึงได้อัปปนาฌาน

การเจริญอัปปมัญญาภาวนา เฉพาะการเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา จนถึงได้อัปปนาฌานนั้น ไม่จำกัดบุคคลและอารมณ์กรรมฐาน แต่สำหรับการเจริญอุเบกขานั้นผู้เจริญจะต้องเป็นฌานลาภีบุคคล (บุคคลที่บรรลุฌานที่ ๔ แล้วตามนัยพระสูตร หรือบรรลุฌานที่ ๕ แล้วตามนัยพระอภิธรรม) และต้องสำเร็จฌานชนิดที่เจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อนแล้ว ไม่ใช่สำเร็จจากกรรมฐานอื่นๆ จึงจะสามารถเจริญอุเบกขาภาวนา จนสำเร็จอัปปนาฌานได้

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแสดงไว้ว่า ผู้ที่เจริญฌานโดยเจริญอัปปมัญญา คือ เมตตา กรุณา มุทิตา มาแล้ว และได้ฌานที่ ๔ (ตามนัยแห่งพระสูตร) หรือได้ฌานที่ ๕ (ตามนัยแห่งพระอภิธรรม) เมื่อออกจากฌานแล้วจึงทำจิตให้เป็นอุเบกขาไปยังบุคคลตามลำดับ คือ
๑. บุคคลที่เป็นกลางๆ(ไม่รักไม่ชัง)
๒. บุคคลอันเป็น
ที่รัก
๓.บุคคลที่เป็นศัตรู

เมื่อตั้งจิตไปในทั้ง ๓ บุคคลนี้แล้วจึง ตั้งจิตให้เป็นสีมสัมเภท คือ ทำลายขอบเขต
ของบุคคลไม่มีบุคคลใดๆ ที่เป็นกลาง ไม่มีบุคคลใดๆ ที่เป็นที่รัก ไม่มีบุคคลใดๆ ที่เป็นศัตรู บุคคลทั้งหลายเสมอกันหมด คือ ตั้งจิตในอุเบกขาต่อบุคคลต่างๆ นั้นเสมอกัน และแผ่ไปให้ทั่วทุกทิศ

กิจเบื้องต้นก่อนที่จะทำการเจริญอุเบกขา
ผู้ปฏิบัติก่อนที่จะทำการแผ่อุเบกขานั้น จะต้องชำนาญในจตุตถฌานอย่างดีเสียก่อน จากนั้นก็มีการพิจารณาโทษของฌานที่ได้มาจากการแผ่ เมตตา กรุณา มุทิตา และพิจารณาคุณของฌานที่เกิดจากการเจริญอุเบกขาต่อไป โดยพิจารณาดังนี้

เมตตา กรุณา มุทิตา ทั้ง ๓ นี้มีสภาพหยาบ เพราะองค์ฌานประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และยังมีความยินดีรักใคร่ในสัตว์ ทั้งยังประพฤติเป็นไปใกล้ต่อความเกลียดและความรัก สำหรับอุเบกขานั้นมีสภาพสงบ สุขุม ประณีต ห่างไกลจากกิเลสด้วย มีผลไพบูลย์ดีงามมากด้วย

เมื่อได้พิจารณาโทษของเมตตา กรุณา มุทิตา และพิจารณาคุณของอุเบกขาดังนี้แล้ว จากนั้นก็มีการพิจารณาในความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามอำนาจแห่งการกระทำของตนๆ ดังต่อไปนี้

ผู้นี้ได้เกิดมาในภพนี้ ก็เพราะการกระทำของเขาเอง จักเกิดในภพหน้าต่อไปก็เพราะการกระทำของเขาเอง ตัวฉันเองที่เกิดมาในภพนี้และจักเกิดต่อไปในภพหน้า ก็เพราะการกระทำของฉันเอง ไม่ต่างอะไรกัน ฉะนั้น ฉันจะนำความสุข และทำลายความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้นี้ ด้วยความพยายามของฉันเองนั้นย่อมทำไม่ได้ เพราะธรรมดาชนทั้งหลายย่อมมีการกระทำของตนเองเป็นหลักที่ตั้ง ..

การแผ่อุเบกขาต้องแผ่ไปในบุคคลโดยลำดับ คือ
๑. เริ่มจากการแผ่ให้กับตนเองก่อน
๒. มัชฌัตต
บุคคล
๓. ปิยบุคคล
๔. อติปิยบุคคล
๕. เวรีบุคคล

คำบริกรรมที่ใช้แผ่ให้ตนเอง ใช้คำว่า
อหัง กัมมัสสโก 
เรามีกรรมเป็นของของเรา แผ่ให้คนอื่น ถ้าคนเดียวใช้คำว่า กัมมัสสโก = บุคคลนี้มีกรรมเป็นของของตน 
ถ้า ๒ คนขึ้นไปก็ใช้คำว่า กัมมัสสกา = สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน

แผ่อุเบกขาไม่เจาะจง (อโนทิสบุคคล) ๕
๑. สัพเพ สัตตา กัมมัสสกา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๒. สัพเพ ปาณา กัมมัสสกา สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๓. สัพเพ ภูตา กัมมัสสกา สัตว์ที่ปรากฏชัดทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๔. สัพเพ ปุคคลา กัมมัสสกา บุคคลทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๕. สัพเพ อัตตภาวปริยาปันนา กัมมัสสกา สัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน

แผ่อุเบกขาเจาะจง (อโนทิสบุคคล) ในบุคคล ๗ จำพวก
การแผ่ในทิศทั้ง ๑๐ ก็มีวิธีการทำนองเดียว กันกับการแผ่เมตตานั่นเอง

นิมิต ๓ ภาวนา ๓ อานิสงส์ ๑๑ ก็เป็นเช่นเดียวกับเมตตาภาวนา

ความแตกต่างระหว่างอุเบกขาอัปปมัญญา กับ อุเบกขาบารมี
ทั้งสองอย่างนี้แม้ว่าจะมีการวางเฉยต่อสัตว์ด้วยกันก็จริง แต่อารมณ์ที่จะให้เกิดความวางเฉยนี้ต่างกัน คือ อุเบกขาอัปปมัญญา มีการวางเฉยต่อสัตว์ คือ ละความวุ่นวายที่เนื่องด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา มีสภาพเข้าถึงความเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย แต่ อุเบกขาบารมี นั้น เป็นการวางเฉยในบุคคลที่กระทำดีและไม่ดีต่อตน โดยไม่มีการยินดียินร้ายแต่ประการใด คือ ผู้ที่กระทำความดี มีความเคารพนับถือ บูชาสักการะ เกื้อกูล อนุเคราะห์ สงเคราะห์ เป็นประโยชน์แก่ตนสักเท่าใด ก็คงมีจิตวางเฉยได้ และไม่ว่าผู้ใดจะทำไม่ดี มีการประทุษร้ายต่อตนสักเพียงใดก็ตาม ก็คงวางเฉยอยู่ได้เช่นกัน ในการวางเฉยทั้ง ๒ อย่างนี้ ฝ่ายบารมีประเสริฐยิ่ง การบำเพ็ญก็สำเร็จได้ยาก

จบ อุเบกขาภาวนา




สรุป อัปปมัญญา ๔
การที่อัปปมัญญามีเพียง ๔ นั้น เพราะเหตุที่จะทำให้จิตใจบริสุทธิ์จากการ พยาบาท(คิดปองร้าย) วิหิงสา(การเบียดเบียน) อรติ(ความไม่ยินดี)  ราคะ(ความพอใจในกามคุณ ๕) ที่มีอยู่ในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย มีอยู่เพียง ๔ และการใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลายที่มีต่อกันก็เพียง ๔ เช่นกัน ฉะนั้น อัปปมัญญาจึงมี ๔ เหตุที่ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ๔ อย่างนั้น ก็ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี้เอง เพราะว่าธรรมดาจิตใจของสัตว์ทั้งหลายย่อมหมกมุ่นเกี่ยวพันอยู่ด้วยเรื่องพยาบาท วิหิงสา อรติ ราคะ อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ต่างกันก็เพียงแต่ว่ากาลใดมีสิ่งใดมาก กาลใดมีสิ่งใดน้อย ดังนั้นผู้ที่มีความปรารถนาปราบจิตใจให้อยู่ในครรลองของความดีก็พยายามใช้หลักอัปปมัญญามาช่วยดังนี้

ผู้ที่มีความพยาบาทมาก ต้องทำการปราบด้วย เมตตา
ผู้ที่มีวิหิงสามาก ต้องทำการปราบด้วย กรุณา
ผู้ที่มีอรติมาก ต้องทำการปราบด้วย มุทิตา
ผู้ที่มีราคะมาก ต้องทำการปราบด้วย อุเบกขา

 อนึ่ง การใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลายที่มีต่อกัน ๔ อย่าง คือ
🔘 นำประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวเมตตาอย่างหนึ่ง
🔘 บำบัดปัดป้องสิ่งที่ไร้ประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวกรุณาอย่างหนึ่ง
🔘 ยินดีในความสุข ทรัพย์สินเงินทอง ของสัตว์ทั้งหลายซึ่งเป็นตัวมุทิตาอย่างหนึ่ง
🔘 การวางเฉยในเรื่องจะนำประโยชน์ ในเรื่องบำบัดปัดป้องสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ในเรื่องยินดีในความสุขสบาย ทรัพย์สินเงินทอง ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวอุเบกขาอย่างหนึ่ง

เปรียบเหมือนมารดาที่มีบุตร ๔ คน คนหนึ่งยังเล็กอยู่ คนหนึ่งเจ็บไข้ไม่สบาย คนหนึ่งโตแล้ว คนหนึ่งประกอบการงานเลี้ยงตนเองได้แล้ว ใน ๔ คนนี้ มารดาย่อมมีจิตใจฝักใฝ่รักใคร่บำรุงเลี้ยงดูเพื่อการเจริญวัยในบุตรคนเล็ก อนึ่งมารดาย่อมฝักใฝ่ในการบำบัดความเจ็บไข้ให้แก่บุตรที่ไม่สบาย และย่อมมีความชื่นชมในความงามเป็นหนุ่มสาวของบุตรที่เจริญเติบโตแล้ว แต่มารดาย่อมไม่มีความกังวลห่วงใยคอยแนะนำพร่ำสอนแก่บุตรที่ประกอบการเลี้ยงชีพได้แล้ว

ข้อนี้ฉันใด การใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลาย ที่มีต่อกันนั้นก็ไม่พ้น
ออกไปจาก ๔ อย่างนี้ ฉะนั้น อัปปมัญญาจึงมี ๔ ในอัปปมัญญา ๔ อย่างนี้ การเจริญเมตตามีประโยชน์กว้างขวางอย่างมหาศาลทั้งเป็นกำลังช่วยอุดหนุนให้ กรุณา มุทิตา อุเบกขา เกิดขึ้นง่าย

แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญบารมี คือ
๑. พระโพธิสัตว์แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ตั้งปณิธานที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่สรรพสัตว์และให้ความไม่มีภัยแก่พวกเขา เป็นการบำเพ็ญทานบารมี อย่างนี้
๒. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ท่านเหล่านั้นทำให้เกิดความพ้นทุกข์ และไม่ละทิ้งสัจจอินทรีย์ เปรียบเหมือนความสัมพันธ์ของบิดาที่มีต่อบุตรทั้งหลาย พระโพธิสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี อย่างนี้
๓. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ท่านเหล่านั้นมีความไม่ละโมบ และเพื่อกำจัดสิ่งที่ไม่ใช่บุญของสัตว์ทั้งหลาย จึงเข้าฌานและออกบวช เป็นผู้ไม่มีเรือน พระโพธิสัตว์บำเพ็ญเนกขัมมบารมี อย่างนี้
๔. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ท่านเหล่านั้นจึงใส่ใจถึงบุญและบาป รู้ความเป็นจริง คิดหาอุบายที่สะอาด กำจัดความชั่วและทำความดี พระโพธิสัตว์บำเพ็ญปัญญาบารมี อย่างนี้
๕. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ไม่ละความเพียร พากเพียรตลอดเวลา พระโพธิสัตว์บำเพ็ญวิริยบารมี อย่างนี้
๖. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ มีความอดทน และไม่โกรธเมื่อบุคคลอื่นติเตียน หรือไม่ทำร้ายพวกเขา พระโพธิสัตว์บำเพ็ญขันติบารมีอย่างนี้
๗. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ พูดคำสัตย์ ดำรงอยู่ในความสัตย์ รักษาคำสัตย์ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญสัจจบารมี อย่างนี้
๘. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ไม่ละเมิดคำสัญญา แต่รักษาคำสัญญานั้นไว้จนตลอดชีวิต พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอธิษฐานบารมี อย่างนี้
๙. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ถือตัวเองเป็นอันเดียวกันกับสรรพสัตว์ และบำเพ็ญเมตตาบารมี อย่างนี้
๑๐. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ถือคนที่รักคนเป็นกลางและศัตรูเท่าเทียมกัน ไม่มีความโกรธและความยึดมั่น พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอุเบกขาบารมี อย่างนี้

พระโพธิสัตว์เมื่อได้แผ่เมตตาและบำเพ็ญบารมี ๑๐ แล้ว ก็บำเพ็ญอธิษฐาน ๔ คือ
สัจจาธิษฐาน 
จาคาธิษฐาน อุปสมาธิษฐาน และปัญญาธิษฐา
สัจจบารมี อธิษฐานบารมี และวิริยบารมี ทำให้ สัจจาธิษฐานสมบูรณ์
ทานบารมี สีลบารมี เนกขัมมบารมี ทำให้ จาคาธิษฐานสมบูรณ์
ขันติบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ทำให้ อุปสมาธิษฐานสมบูรณ์
ปัญญาบารมี ทำให้ ปัญญาธิษฐานสมบูรณ์

พระโพธิสัตว์เมื่อได้แผ่เมตตาและบำเพ็ญบารมี ๑๐ แล้ว ชื่อว่าบำเพ็ญอธิษฐาน ๔ และบรรลุธรรม๒ อย่าง คือ
สมถะและวิปัสสนา ในที่นี้ สัจจาธิษฐาน จาคาธิษฐาน และอุปสมาธิษฐานทำให้สมถะสมบูรณ์
ปัญญาธิษฐานทำให้วิปัสสนาสมบูรณ์ เพราะความสมบูรณ์แห่งสมถะ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจึงบรรลุฌานและยึดมั่นการหลีกออกจากกาม(เนกขัมมบารมี) และมีจิตตั้งมั่นทำให้เกิดสมาธิเพื่อการแสดงยมกปาฏิหาริย์ และมหากรุณาสมาบัติ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นบรรลุวิปัสสนา ประกอบด้วยอภิญญา ปฏิสัมภิทา พละ เวสารัชชะ หลังจากนั้นท่านเหล่านั้นก็ทำปกติญาณและสัพพัญญุตญาณให้เกิดขึ้น พระโพธิสัตว์แผ่เมตตาและบรรลุความเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตามลำดับอย่างนี้

จบ อัปปมัญญา ๔


วันศุกร์

๗. อัปปมัญญา ๔

 อัปปมัญญา ๔

🔔ประกอบด้วย ๑. เมตตา,  ๒. กรุณา,  ๓. มุทิตา,  ๔. อุเบกขา

อัปปมัญญา หมายความว่า ธรรมชาติที่เป็นไปในสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ไม่จำกัด ผู้ที่
เจริญอัปปมัญญา ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นั้น จะต้องมีการแผ่ตลอดทั่วไปในสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีจำกัดจึงจะเรียกว่า เป็นการแผ่เมตตาอัปปมัญญา กรุณาอัปปมัญญา มุทิตาอัปปมัญญา อุเบกขาอัปปมัญญา สำหรับการแผ่โดยเฉพาะเจาะจง ไม่จัดว่าเป็นการเจริญอัปปมัญญากรรมฐาน ฉะนั้นเมื่อจะเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ชนิดที่เป็นอัปปมัญญาได้นั้น ต้องเป็นชนิดทำลายขอบเขตไม่ให้มีจำกัดอยู่เฉพาะแต่ในบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่ง

อัปปมัญญา ก็ได้ชื่อว่าพรหมวิหารด้วย เพราะว่าผู้ที่ปฏิบัติในอัปปมัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง บุคคลนั้นย่อมมีจิตเสมือนพรหม คือมีความดีในเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ได้อย่างไม่มีประมาณ



๑. เมตตาภาวนา 
เมตตา หมายความว่า การปรารถนาดีรักใคร่ต่อสัตว์ทั้งหลาย องค์ธรรมได้แก่ อโทสเจตสิก ที่มี
ปิยมนาปสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ หมายถึงมีสัตว์บุคคลอันเป็นที่รักเป็นอารมณ์ สัตว์บุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจ มี ๒ พวก คือ
    ๑. พวกธรรมดา เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง เป็นต้น
    ๒. พวกที่เป็นไปด้วยอำนาจภาวนาสมาธิ

การเจริญเมตตาในระยะต้นๆ จะมีเฉพาะในพวกธรรมดาเป็นอารมณ์ของเมตตาภาวนาก็จริง ครั้นการเจริญนั้นได้เข้าถึงขั้นอุปจารภาวนาแล้ว จิตใจในขณะนั้นก็จะแผ่ทั่วไปแก่สัตว์ทั้งหลายได้หมด แม้แต่ผู้ที่เป็นศัตรูก็สามารถแผ่จนกลายเป็นบุคคลที่เรารักได้ จิตใจในขณะนั้นปราศจากอโทสะโดยสิ้นเชิง ไม่ได้แกล้งหรือฝืนใจคิดที่จะรักใคร่ปรารถนาดีต่อศัตรู แต่อโทสเจตสิกที่เกิดขึ้นในขณะสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น ไม่ได้มีอารมณ์เป็นปิยมนาปสัตวบัญญัติ ดังนั้น อโทสเจตสิกขณะนั้นจึงไม่เรียกว่า เมตตา

การนึกถึงหรือมองดูคนอื่นด้วยโทสะ ความโกรธ ความขัดเคือง ความอิจฉา ริษยา ในขณะนั้นย่อมมีแต่ความเกลียดชัง จิตใจไม่ชื่นบาน ส่วนการนึกถึงหรือมองดูบุคคลอื่นด้วยเมตตานั้น จิตใจก็จะมีแต่ความรักใคร่เบิกบาน ความรักใคร่มี ๒ ประการ คือ
    ๑. เมตตาอโทสะ
    ๒. ตัณหาเปมะ

เมตตาอโทสะ เป็นความรักใคร่ชื่นชมปรารถนาดีชนิดไม่มีการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สามี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง แต่อย่างใด ถึงบุคคลเหล่านี้จะจากไปก็ไม่เดือดร้อน ไม่เสียใจ

ตัณหาเปมะ เป็นความรักใคร่ชื่นชมด้วยการยึดถือว่าเป็น บิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สามี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และแยกจากกันไม่ได้ ถ้าบุคคลเหล่านั้นจากไปก็หวงแหน อยากจะครอบครองรักษาไว้ไม่ให้จากไป ดังนั้นความรักใคร่ชื่นชมชนิดที่เป็นตัณหาเปมะนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นเมตตาเทียม องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก อย่างไรก็ตามตัณหาเปมะอันเป็นเมตตาเทียมนี้ ก็ยังเป็นความดีในการที่เป็นเหตุปัจจัยให้เมตตาอโทสะเกิดขึ้นได้ง่าย และดำรงมั่นไม่เสื่อมคลาย

วิธีการปฏิบัติเมตตาอัปปมัญญา ในเบื้องต้นต้องตัดปลิโพธ คือ เครื่องกังวล ๑๐ ประการ เลือกสิ่งสัปปายะ หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอสัปปายะ แล้วเริ่มต้นโดยการพิจารณาโทษของความโกรธและอานิสงส์ของความอดกลั้นต่อความโกรธก่อนเป็นลำดับแรก

. พิจารณาโทษของความโกรธ และอานิสงส์ของความอดกลั้นต่อความโกรธ
    ๑.๑ เหตุใดจึงต้องพิจารณาโทษของความโกรธเพราะการเจริญเมตตาอัปปมัญญานี้ มีความประสงค์เพื่อจะสลัดทิ้งความโกรธและให้บรรลุถึงขันติคุณ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ ถ้าผู้ตั้งใจปฏิบัติเจริญเมตตาแล้วยังมีความโกรธความขัดเคืองใจ เมตตาจิตก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
    ๑.๒ แล้วจะพิจารณาโทษของความโกรธได้อย่างไร ? ข้ออุปมาโทษของความโกรธ มีดังนี้
        ๑.๒.๑ เมื่อเราโกรธ ริษยา อาฆาต พยาบาท ตระหนี่ หวงแหน และขัดเคืองใจ เราก็เปรียบเสมือนบุคคลผู้ต้องการอาบน้ำและไปเอาน้ำโสโครกมาชำระกาย ยังแต่จะนำความสกปรกมาสู่ตน
        ๑.๒.๒ เมื่อเราเป็นผู้รักษาศีลแล้วยังแสดงความโกรธให้ประจักษ์แก่สายตาบุคคลอื่น เราก็อาจถูกตำหนิติเตียน อาจไม่ได้รับความเคารพจากบุคคลที่เคยเคารพ เพราะการแสดงออกซึ่งความโกรธนั้น
    ๑.๓ แล้วจะพิจารณาอานิสงส์ของความอดกลั้นต่อความโกรธอย่างไร ? มีข้ออุปมาดังนี้
        ๑.๓.๑ ความอดทนคือพลัง ความอดทนเป็นดุจเกราะ ย่อมคุ้มครองร่างกายได้ดี การกำจัดความโกรธความขัดเคืองจึงได้ชื่อว่าเป็นเกราะเป็นธรรมที่วิญญูชนสรรเสริญ
        ๑.๓.๒ ขันตินี้เป็นธรรมที่พระอรหันต์ทั้งหลายปฏิบัติ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ยอมให้ความโกรธเหลืออยู่ในจิตของเรา เราได้ชื่อว่าเป็นสาวก เราจะให้บุคคลอื่นเรียกว่าสาวกตามความเป็นจริง เรามีศรัทธา ขันตินี้เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาในตัวเรา เรามีความรู้ ขันตินี้เป็นพรมแดนแห่งความรู้ในตัวเรา ถ้ามียาพิษ คือ ความโกรธและขัดเคืองใจอยู่ในตัวเรา ขันตินี้ก็เป็นยาแก้พิษที่จะต่อต้านยาพิษในตัวเรา

ความโกรธของแต่ละบุคคลมีมากน้อยต่างกัน บุคคลผู้ผูกโกรธจะเก็บความโกรธไว้นานมากน้อยต่างกัน อุปมา เช่น

ความโกรธของบางบุคคลเหมือนรอยขีดในน้้า คือ โกรธง่ายหายเร็
ความโกรธบางบุคคลเหมือนรอยขีดบนดิน เมื่อลมพัดก็ลบรอยขีดหายไป
ความโกรธบางบุคคลเหมือนรอยขีดบนหินก็ยังคงอยู่ไม่ลบเลือน 

อุบายวิธี ๑๒ อย่างสำหรับกำจัดความโกรธ
๑. แบ่งปันให้ประโยชน์ ให้ทานแก่คนที่ตนโกรธ เกลียด
๒. คิดถึงความดีของเขา
๓. มีความปรารถนาดีต่อเขา
๔. พิจารณาว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน
๕. พิจารณาว่าเป็นการใช้หนี้กรรม
๖. พิจารณาโดยความเป็นญาติ
๗. พิจารณาตนเอง
๘. พิจารณาว่าความโกรธเป็นกิเลส
๙. พิจารณาโดยความเป็นธรรมชาติ
๑๐. พิจารณาโดยความดับไปเพียงชั่วขณะของสภาพทั้งหลาย
๑๑. พิจารณาโดยความเป็นขันธ์
๑๒. พิจารณาโดยความเป็นสุญญตา

๑. แบ่งปันให้ประโยชน์ ให้ทานแก่คนที่ตนโกรธ เกลียด แม้จะเกลียดจะโกรธ หากอีกฝ่ายหนึ่งขอก็ควรให้ หรือหากเขาให้เราก็ควรรับไมตรีของเขา ในการพูดก็ควรใช้คำพูดที่ดี เช่นเดียวกับที่พูดกับคนที่ไม่ได้โกรธกัน อย่างนี้ย่อมช่วยดับความโกรธได้
๒. คิดถึงความดีของเขา บุคคลควรมองเห็นความดีของผู้อื่น ทุกบุคคลย่อมมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย ขอให้คิดถึงส่วนดีของเขา จิตใจเราก็จะไม่เศร้าหมองและสามารถแผ่เมตตาให้กับเขาได้
๓. มีความปรารถนาดีต่อเขา ควรเปลี่ยนความโกรธให้กลับเป็นความปรารถนาดีต่อกัน
๔. พิจารณาว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ถ้าเราโกรธเขาเท่ากับเราทำกรรมชั่ว กรรมชั่วนั้นเราเองจะต้องได้รับผล เช่น ตกนรก หรือชาติหน้าเกิดมาจะมีผิวพรรณทราม เป็นต้น
๕. พิจารณาว่าเป็นการใช้หนี้กรรม ที่เขาโกรธหรือทำไม่ดีต่อเราให้ถือว่าเราเคยทำไม่ดีกับเขามาในอดีต มาถึงเวลานี้ก็ควรชดใช้ให้เขาเสีย
๖. พิจารณาโดยความเป็นญาติสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นญาติกันทั้งสิ้น เพราะสังสารวัฏนี้ยาวนานไม่มีใครไม่เคยเกิดเป็น บิดา มารดา พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือเครือญาติกัน การที่เราโกรธผู้อื่นก็เท่ากับเราโกรธญาติของเราเอง
๗. พิจารณาตนเอง หาความผิดของตนเอง ว่าที่เขาโกรธนั้น อาจเป็นความผิดของเราเอง เป็นการพิจารณาหาเหตุก่อน แทนที่จะไปโกรธหรือเพ่งโทษเขา
๘. พิจารณาว่าความโกรธเป็นกิเลส หากเราโกรธเท่ากับปล่อยให้กิเลสครอบงำ
๙. พิจารณาโดยความเป็นธรรมชาติ การประสบสิ่งที่ชอบใจหรือสิ่งที่ไม่ชอบใจ เป็นโลกธรรมเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราโกรธเท่ากับเราขาดสติ
๑๐. พิจารณาโดยความดับไปเพียงชั่วขณะของสภาพทั้งหลาย จิตของเขาก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราโกรธเขา เราโกรธจิตดวงใดของเขา เพราะจิตของเขาที่เราโกรธก็ดับไปแล้ว และเกิดจิตดวงใหม่และดับไปนับไม่ถ้วน เช่นนี้แล้วเราจะโกรธอะไร
๑๑. พิจารณาโดยความเป็นขันธ์ ร่างกายขันธ์ ๕ เป็นที่ตั้งของความทุกข์เราโกรธขันธ์ ๕ ทำไมโกรธส่วนใดของขันธ์ ๕
๑๒. พิจารณาโดยความเป็นสุญญตา เราไม่อาจกล่าวว่าเราโกรธเขา เพราะที่จริงแล้วไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ให้โกรธเลย ไม่มีนาย ก. นาย ข. ทั้งสิ้น

สำหรับบุคคลที่มุ่งให้สำเร็จฌาน จะต้องปฏิบัติไปตามลำดับขั้นตอนจึงจะสามารถสำเร็จได้ แต่ถ้าจะแผ่เมตตาโดยที่ไม่ได้มุ่งหวังสำเร็จฌานใดๆ เป็นการแผ่เมตตาเพื่อฝึกฝนจิตขจัดโทสะที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ลดน้อยลง ก็ปฏิบัติแบบไม่ตามขั้นตอนได้ เช่น ไม่ต้องแผ่เมตตาให้ตนเองก่อน แต่ไปแผ่ให้กับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าก่อน อย่างนี้ถ้าทำได้ก็จะเป็นการลดทอนความโกรธ ลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ข้อห้ามปฏิบัติในการเจริญเมตตาภาวนา สำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติเพื่อให้ได้ฌาน
๑. ห้ามเจริญเมตตาต่อบุคคล ๔ จำพวก เป็นลำดับแรก คือ
    ๑.๑ คนที่เกลียดชัง เพราะการที่จะเอาคนที่เกลียดชังมาตั้งไว้ในฐานะเป็นคนที่รักนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ลำบากใจมาก
    ๑.๒ คนที่รักมาก เพราะจะมาตั้งไว้ในฐานะเป็นคนกลางๆ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะแม้เพียงแต่เขาได้ประสบทุกข์นิดหน่อยก็จะเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติเสียใจได้
    ๑.๓ คนที่เป็นกลางๆ การที่จะนำบุคคลกลางๆ มาตั้งไว้ในฐานะว่าเป็นบุคคลที่รักก็เป็นการทำได้ยาก
    ๑.๔ คนที่เป็นคู่เวร ย่อมมีความโกรธแค้นเกิดขึ้นมา เมตตาก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

๒. ห้ามเจริญเมตตาเจาะจงในคนต่างเพศ เพราะจะทำให้ราคะคือความกำหนัดยินดีในเพศเกิดขึ้นมาแทนเมตตาภาวนาได้
๓. ห้ามเจริญเมตตาในคนตาย เพราะเมื่อเจริญเมตตาในบุคคลที่ตายไปแล้วย่อมไม่สามารถที่จะบรรลุถึงอุปจารสมาธิได้เลย

วิธีการเจริญเมตตาเพื่อมุ่งให้สำเร็จฌาน ต้องทำตามขั้นตอนดังนี้

๑. แผ่เมตตาภาวนาให้กับตนเองก่อน
การเจริญเมตตา หรือแผ่เมตตานี้ ต้องเริ่มแผ่ให้ตนเองก่อน เพราะทุกคนรักตนเอง ไม่ต้องการให้ตนเองเป็นทุกข์ ผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน ย่อมรักตนเอง รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน การที่ต้องแผ่เมตตาให้กับตนเองก่อนก็เพื่อให้ตนเองเป็นพยานก่อนว่าเราก็รักตนเอง เกลียดความทุกข์ บุคคลอื่นๆ ก็รักสุขเกลียดทุกข์เช่นเดียวกันกับตนเอง

พิจารณาเป็นภาษาไทยว่า :- บุคคลผู้เจริญเมตตาเมื่อเอาจิตใจค้นคว้าพิจารณาไปทั่วทิศ ย่อมไม่เห็นใครเป็นที่รักยิ่งกว่าตน ในที่ใดๆ ก็ตาม ตนนั้นแหละเป็นที่รักอย่างมาก คนอื่นก็เช่นกัน ฉะนั้น ผู้ที่รักตนไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น (แม้กระทั่งมดปลวก) นอกจากนี้การแผ่เมตตาให้ตนเองเสมอๆ จะนึกเปรียบเทียบความรู้สึก รักสุขเกลียดทุกข์ของตนเอง กับความรู้สึกของผู้อื่นว่าไม่แตกต่างกัน ทำให้เมตตาจิตเกิดขึ้นได้ง่าย และตั้งอยู่มั่นคง

คำบริกรรมในการแผ่เมตตาภานาให้แก่ตนเอง
อหัง อเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีศัตรูภายในและภายนอกเถิ
อหัง อัพพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีความวิตกกังวล เศร้าโศก พยาบาทเถิด
อหัง อนีโฆ โหมิ ข อให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีความลำบากกายลำบากใจ พ้นจากอุปัทวภัยเถิด
อหัง สุขี อัตตานัง ปริหรามิ ข อให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

เมื่อแผ่เมตตาให้แก่ตนเองแล้ว ก็แผ่ให้บุคคลอื่น คือผู้ที่เป็นที่รัก เช่น บิดา มารดา เป็นต้น ต่อไป

๒. แผ่เมตตาภาวนาให้กับบุคคลอื่น
    ๒.๑ แผ่เมตตาภาวนาให้กับบุคคลอื่น โดยเจาะจงเพียงคนเดียว
อเวโร โหตุ ขอให้บิดา (หรือมารดาฯลฯคนใดคนหนึ่ง) จงเป็นผู้ไม่มีศัตรูภายในและภายนอกเถิด
อัพพยาปัชโฌ โหตุ ขอให้บิดา (หรือมารดาฯลฯคนใดคนหนึ่ง) จงเป็นผู้ไม่มีความวิตกกังวล เศร้าโศก พยาบาทเถิด
อนีโฆ โหตุ ขอให้บิดา (หรือมารดาฯลฯคนใดคนหนึ่ง) จงเป็นผู้ไม่มีความลำบากกาย ลำบากใจ พ้นจากอุปัทวภัยเถิด
สุขี อัตตานัง ปริหรตุ ขอให้บิดา (หรือมารดาฯลฯคนใดคนหนึ่ง) จงนำอัตภาพที่เป็นอยู่ด้วยความสุขกาย สุขใจ ตลอดกาลนานเถิด
    ๒.๒ แผ่เมตตาภาวนาให้กับบุคคลอื่น โดยไม่เจาะจงตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป
อเวรา โหนตุ ขอให้ท่านจงเป็นผู้ไม่มีศัตรูภายในและภายนอกเถิด
อัพพยาปัชฌา โหนตุ ขอให้ท่านจงเป็นผู้ไม่มีความวิตกกังวล เศร้าโศก พยาบาทเถิด
อนีฆา โหนตุ ขอให้ท่านจงเป็นผู้ไม่มีความลำบากกาย ลำบากใจ พ้นจากอุปัทวภัยเถิด
สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ ขอให้ท่านจงนำอัตภาพที่เป็นอยู่ด้วยความสุขกาย สุขใจ ตลอดกาลนานทั่วกัน

๓. แผ่เมตตาภาวนาไปในบุคคลอื่นตามลำดับ
หลังจากแผ่เมตตาภาวนาให้กับตนเองแล้ว จึงแผ่เมตตาภาวนาไปในบุคคลอื่นๆไปตามล้าดับ คือ ผู้ที่กำลังรู้จักกัน กำลังชอบพอกัน กำลังทำงานร่วมกัน กำลังอยู่ด้วยกัน จากนั้นก็แผ่ไปในบุคคลที่เคยรู้จักกัน เคยชอบพอกัน เคยทำงานร่วมกัน เคยอยู่ด้วยกัน เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อเดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ตลอดจนถึง ๑๐ ปี ๑๕ ปี ตามแต่จะนึกได้ จนกระทั่งสัตว์ดิรัจฉานก็ไม่เว้น ถ้าแผ่ไปในคนหนึ่งๆ ก็ใช้คำที่เป็นเอกพจน์ มี อเวโร โหตุ เป็นต้น ถ้าตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไปก็ใช้คำที่เป็นพหูพจน์ มี อเวรา โหนตุ เป็นต้น

จากนั้นก็แผ่กลับมาหาคนที่กำลังรู้จักกัน กำลังชอบพอกัน ฯลฯ เสร็จแล้วก็แผ่ไปในบุคคลที่เคยรู้จักกันเป็นต้นอีก กลับไปกลับมาเรื่อยๆ ไป คล้ายกับการพิจารณา ๓๒ โกฏฐาส
    ๓.๑ การแผ่เมตตาไปในบุคคลอื่นที่ตนรู้จัก ชอบพอ ร่วมงานกัน อยู่ด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๔ จำพวก คือ
        ๓.๑.๑ ปิยบุคคล คือ บุคคลอันเป็นที่รัก
        ๓.๑.๒ อติปิยบุคคล คือ บุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง
        ๓.๑.๓ มัชฌัตตบุคคล คือ บุคคลกลางๆ
        ๓.๑.๔ เวรีบุคคล คือ บุคคลที่เป็นศัตรู

บุคคลอื่นทั้ง ๔ จ้าพวกนี้ ต้องแผ่ไปตามลำดับ คือแผ่แก่ปิยบุคคลก่อน ถัดไปก็เป็นอติปิยบุคคล มัชฌัตตบุคคล ส่วนเวรีบุคคลต้องแผ่เป็นลำดับสุดท้าย เพราะขณะที่ทำการแผ่ไปในเวรีบุคคลอยู่นั้นโทสะมักจะเกิดง่าย แต่เมตตาเกิดยาก ฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องหาทางทำการอบรมจิตใจให้ดี โดยคำนึงถึงว่าการที่จะไปสู่อบายภูมินั้น หาใช่ไปด้วยอำนาจของเวรีบุคคลไม่ หากแต่ไปด้วยอำนาจโทสะของตน ฉะนั้น เมื่อจะค้นหาศัตรูที่แท้จริงแล้ว ก็ได้แก่โทสะของตนเองที่เป็นศัตรูตัวจริง ส่วนเวรีบุคคลกลับไม่ใช่ศัตรูตัวจริง แล้วพยายามอบรมจิตใจตนตาม อุบายวิธี ๑๒ อย่าง สำหรับกำจัดความโกรธที่ได้แสดงไว้แล้ว

เมื่อผู้เจริญเมตตาภาวนาได้พยายามพิจารณาตามวิธีต่างๆ ที่จะให้เมตตาเกิดต่อเวรีบุคคล แต่เมตตาก็ไม่เกิด มีแต่โทสะเกิดขึ้นอันเป็นศัตรูของการที่จะได้ฌาน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จงหยุดแผ่ไปในเวรีบุคคลนี้เสีย แล้วให้วางใจเป็นอุเบกขาต่อเวรีบุคคล โดยคิดเสียว่าบุคคลนี้ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ แล้วพร้อมกับปลีกตัวไป อย่าให้ได้พบเห็น ทำการแผ่ต่อไปแต่ในปิยบุคคลและมัชฌัตตบุคคลทั่วไป จนกระทั่งเมตตาเกิดต่อบุคคล ๒ จำพวกนี้ทั่วไปเสมอเท่ากันกับตน สำหรับอติปิยบุคคลก็สงเคราะห์เข้าในปิยบุคคลนั่นเอง

การที่ต้องพยายามแผ่เมตตาไปในเวรีบุคคลโดยวิธีพิจารณาต่างๆ นั้น ก็เพื่อประสงค์จะให้เมตตาของตนเข้าถึงขั้น สีมสัมเภท (สี-มะ-สัม-เภท) หมายความว่า ทำลายขอบเขตของเมตตา ให้มีการเสมอกันไปในบุคคลทุกจำพวก ทำให้เป็นผู้มีเมตตาจิตชนิดที่มีอย่างสม่ำเสมอทั่วไป ไม่มีอุปสรรคใดๆมาขัดขวาง จึงทำให้ได้ฌานเร็วและตั้งมั่นไม่เสื่อมคลาย

ลักษณะสีมสัมเภท
สมมุติว่าผู้ปฏิบัติทำการเจริญเมตตากำลังนั่งอยู่พร้อมกัน คือ
๑.ปิยบุคคล .
๒. มัชฌัตตบุคคล
๓.
เวรีบุคคล
๔. ตนเอง
ถ้ามีโจรมาบังคับว่า เราต้องการคนๆ หนึ่งในจำนวน ๔ คนนี้ เพื่อจะนำไปฆ่า ท่านจะ
ให้เราจับคนไหน เมื่อผู้ปฏิบัติได้ประสบเหตุที่คับขันเช่นนี้ ถ้ามีจิตคิดเอนเอียงให้โจรจับคนที่เป็นศัตรู หรือคนที่ไม่รัก ไม่ชัง หรือ คนที่รัก ไปคนใดคนหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็จัดว่า ยังไม่สำเร็จสีมสัมเภท หรือ ยังไม่มีเมตตาชนิดที่ไม่มีเขตแดนใดๆ ถึงแม้ว่าจะคิดว่าให้ ๓ บุคคลนั้นพ้นอันตราย ส่วนตนเองนี้ยอมรับเคราะห์แทนก็ตาม ก็ยังไม่นับว่าสำเร็จในสีมสัมเภทอยู่นั่นเอง เพราะเป็นเมตตายังมีขอบเขต แต่เมื่อผู้ปฏิบัติมีจิตเสมอภาคทั่วไปในระหว่างคนทั้ง ๓ และในตนเองได้ คือชี้ลงไปไม่ได้ว่าจะให้โจรจับใครไปฆ่า อย่างนี้ก็จัดว่าสำเร็จในสีมสัมเภทแล้ว

การแผ่เมตตาโดยนัยที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นไปในบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับจิตใจของตนโดยตรง ทำให้เมตตาเกิดขึ้นได้ง่าย แต่เป็นการยากลำบากสำหรับผู้ทำการแผ่ เพราะวิธีแผ่แบบนี้มิใช่แบบบริกรรมท่องจำ แต่จะต้องระลึกถึงให้เห็นด้วยใจของตนแล้วจึงจะแผ่ไป ดังนั้นจิตใจผู้แผ่จะต้องประกอบด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา อย่างมั่นคง จึงจะทำการแผ่ตามหลักนี้ได้ อย่างไรก็ตามผู้เจริญเมตตาจะต้องทำการแผ่ตามหลักนี้ก่อน จนกว่าจะได้สำเร็จเป็นสีมสัมเภท จากนั้นจึงจะใช้วิธีแผ่ตามแบบบริกรรมท่องจำ แผ่ไปโดยส่วนรวม

ขั้นตอนการปฏิบัติเมตตาอัปปมัญญา หลังจากสำเร็จสีมสัมเภทแล้ว
๑. แผ่ไปตามอาการแห่งเมตตา มี ๔ อย่าง คือ
อเวรา โหนตุ ขอให้ท่านจงเป็นผู้ไม่มีศัตรูภายในและภายนอกเถิด
อัพพยาปัชฌา โหนตุ ขอให้ท่านจงเป็นผู้ไม่มีความวิตกกังวล เศร้าโศก พยาบาทเถิด
อนีฆา โหนตุ ขอให้ท่านจงเป็นผู้ไม่มีความลำบากกาย ลำบากใจ พ้นจากอุปัทวภัยเถิด
สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ ขอให้ท่านจงนำอัตภาพที่เป็นอยู่ด้วยความสุขกาย สุขใจ ตลอดกาลนานทั่วกัน
๒. แผ่ไปในบุคคลมี ๑๒ จำพวก คือ
ก. แผ่ไปในบุคคลทั่วไปแบบไม่เจาะจง (อโนทิสบุคคล) มี ๕ จำพวก คือ
๑. สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
๒. สัพเพ ปาณา สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง
๓. สัพเพ ภูตา สัตว์ที่ปรากฏชัดทั้งหลายทั้งปวง
๔. สัพเพ ปุคคลา บุคคลทั้งหลายทั้งปวง
๕. สัพเพ อัตตภาวปริยาปันนา สัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง

ข. แผ่แบบเจาะจงบุคคล (โอทิสบุคคล) มี ๗ จำพวก คือ
๑. สัพพา อิตถิโย หญิงทั้งหลายทั้งปวง
๒. สัพเพ ปุริสา ชายทั้งหลายทั้งปวง
๓. สัพเพ อริยา พระอริยบุคคลทั้งหลายทั้งปวง
๔. สัพเพ อนริยา ปุถุชนทั้งหลายทั้งปวง
๕. สัพเพ เทวา เทวดาทั้งหลายทั้งปวง
๖. สัพเพ มนุสสา มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง
๗. สัพเพ วินิปาติกา พวกวินิปาติกอสุราทั้งหลายทั้งปวง

๓. แผ่ไปในทิศทั้ง ๑๐ ทิศ คือ
๑. ทิศตะวันออก ๖. ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
๒. ทิศตะวันตก ๗. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
๓. ทิศเหนือ
๔. ทิศใต้
๕. ทิศตะวันออกเฉียงใต้
๖. ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
๗. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

๘. ทิศตะวันตกเฉียงใต้
๙. ทิศเบื้องล่าง
๑๐. ทิศเบื้องบน


วันอังคาร

อนุสติ ๑๐ หน้า ๒

กลับไป อนุสติ ๑๐ หน้าแรก

๕. จาคานุสสติ 
จาคานุสสติ หมายความว่า การระลึกถึงการบริจาคทานของตน ที่เป็นไปโดยบริสุทธิ์ไม่โอ้อวด ไม่ตระหนี่ ไม่เอาหน้าหรือหวังชื่อเสียง เล็งเห็นคุณของการบริจาค องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีเจตนาในการบริจาคเป็นอารมณ์

การเจริญจาคานุสติ ผู้บริจาคทานต้องถึงพร้อมด้วยคุณความดี ๓ ประการ คือ
    ๑. วัตถุที่บริจาคทานเป็นสิ่งที่ได้มาโดยชอบ
    ๒. มีจิตที่ตั้งไว้ดี เป็นกุศลตั้งแต่ก่อนบริจาค ขณะบริจาค และเมื่อบริจาคแล้ว
    ๓. เป็นการบริจาคให้พ้นจากความตระหนี่ และตัณหา มานะ ทิฐิ

เมื่อบริจาคแล้วต้องสละให้ได้ บางคนบริจาคทานไปแล้วไม่พอใจที่ผู้รับไม่ใช้ของที่ตนบริจาคหรือไม่พอใจที่ผู้รับนำของนั้นไปให้ผู้อื่นต่อ เรียกว่าสละแล้วไม่พ้น สละไม่หลุด หรือบางคนบริจาคทานแล้วไม่พอใจเพราะมีคนบริจาคมากกว่าตน หรือบริจาคทานที่ประณีตกว่าตน บริจาคโดยหวังผลตอบแทน เช่น หวังโภคสมบัติ หวังสวรรค์สมบัติ ไม่จัดเป็นจาคานุสสติ เพราะเมื่อระลึกขึ้นมาไม่เป็น

การชำระจิต
การบริจาคทาน ที่เป็นทานบารมี เป็นปัจจัยอุปการะ แก่บารมีอื่น เช่น ศีลบารมี เป็นต้น ทานบารมีเป็นการชำระจิตในเบื้องต้น การสละมีตั้งแต่ สละวัตถุสิ่งของ อวัยวะ เลือดเนื้อ ชีวิต ดังพระเวสสันดรเป็นแบบอย่าง ผู้ปฏิบัติเมื่อระลึกอยู่เนืองๆ ถึงการบริจาคของตน ด้วยอำนาจแห่งคุณ มีความเป็นผู้มีใจปราศจากมลทินและความตระหนี่ เป็นต้น จะทำให้จิตไม่ถูกราคะ โทสะ โมหะ รบกวน การคำนึงนึกถึงอย่างนี้แหละ ได้ชื่อว่าจาคานุสสติ ต่อไปก็เริ่มต้นภาวนา ระลึกเป็นภาษาบาลี ดังนี้:-มนุสสัตตัง สุลัทธัง เม ยวาหัง จาเค สทา รโต มัจเฉรปริยุฏฐาย ปชาย วิคโต ตโต ฯ

ระลึกเป็นภาษาไทยดังนี้ :- ในบรรดาคนทั้งหลาย ที่มีมัจฉริยะก่อกวนกำเริบด้วยการหวงแหนอยู่นั้น แต่เรานั้นมีความยินดีปลื้มใจอยู่แต่ในการบริจาคทาน โดยปราศจากมัจฉิรยะลงได้ การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ดีจริงหนอ .

การระลึกถึงคุณแห่งการบริจาค จิตจะระลึกน้อมไปถึงคุณแห่งการบริจาคมากประการ ฌานจึงไม่ขึ้นถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น

อานิสงส์ของจาคานุสสติ คือ
๑. ย่อมน้อมไปในการสละที่ยิ่ง ๆ ขึ้น
๒. มีอัธยาศัยไม่โลภ
๓. อยู่อย่างไม่มีทุกข์
๔. เป็นที่รักของผู้อื่น
๕. ไม่สะทกสะท้านในกลุ่มคน
๖. มากไปด้วยปีติและปราโมช
๗. เข้าถึงเทวโลก

จบ จาคานุสสติ

๖. เทวตานุสสติ 
เทวตานุสสติ หมายถึง การระลึกถึงกุศลกรรมของตน มี ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ที่ตนมีแล้วเปรียบเทียบกับเทวดาว่าเทวดาที่ได้เกิดในเทวโลกมีความบริบูรณ์ในสุขในสมบัติต่างๆ เพราะเมื่ออดีตชาติเทวดาก็ประกอบด้วย ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา แม้ตัวของเราเองก็มีคุณธรรมเหล่านั้นเช่นเดียวกัน องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิก ที่ในมหากุศลจิต ที่มีศรัทธาเป็นต้น เป็นอารมณ์

วิธีเจริญเทวตานุสสติ จะต้องอยู่ในสถานที่เงียบเหมาะกับการปฏิบัติ และระลึกถึงความเป็นไปของเทวดาและพรหมทั้งหลายว่า ขณะที่ท่านเหล่านั้นยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น ท่านเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยธรรมอันดีงาม มีสัปปุริสรัตนะ ๗ อย่าง คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา หิริ โอตตัปปะและมี สัปปุริสธรรม ๗ คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ ปัญญา ด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อตายลงก็ได้ไปบังเกิดในเทวภูมิ พรหมภูมิ ธรรมที่มีสภาพอันดีงามเหล่านี้ตนก็มีอยู่เหมือนกัน เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบดูอยู่อย่างนี้เนืองๆ แล้วก็บังเกิดความโสมนัสใจ การเจริญเทวตานุสสติมีหลายสิ่งให้ระลึกถึง ฌานจึงไม่ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น

อานิสงส์ของเทวตานุสติ คือ
๑. เพิ่มพูนคุณธรรม ๕ ประการ คือ
    - ศรัทธา มีความเชื่อในการกระทำความดี
    - ศีล มีความประพฤติดีทางกายวาจา
    - สุตะ ได้ยินได้ฟังได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
    - จาคะ มีการบริจาค เสียสละ ให้ทาน
    - ปัญญา มีการเพิ่มพูนความรู้ด้วยการคิด ฟัง ภาวนา
๒. ได้รับสิ่งที่เทวดาในสวรรค์ปรารถนา
๓. เป็นสุขในการรอเสวยผลของบุญ
๔. เคารพตัวเอง
๕. เทวดาในสวรรค์นับถือ
๖. สามารถปฏิบัติสีลานุสสติ และจาคานุสสติได้ด้วย
๗. อยู่เป็นสุข
๘. ตายไปย่อมเข้าถึงเทวโลก

จบ เทวตานุสสติ

๗. อุปสมานุสสติ 
อุปสมานุสสติ หมายความว่า การระลึกถึงคุณของพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยระลึกถึงคุณต่างๆ ของพระนิพพาน เช่น นิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ดับกิเลส ดับราคะ โทสะ โมหะ ดับกองทุกข์ คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความโศกเศร้าต่างๆ นิพพานทำลายวัฏฏสงสาร ถอนความอาลัยรักใคร่ พอใจในเบญจกามคุณ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิตที่มีคุณของพระนิพพานเป็นอารมณ์

วิธีเจริญอุปสมานุสสติ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณศัพท์ที่พรรณนาถึงคุณของพระนิพพานมี ๒๙ ประการให้ดีเสียก่อน จึงจะทำการเจริญอุปสมานุสสตินี้ได้

คุณของพระนิพพานมี ๒๙ ประการ คือ
๑. มทนิมมทโน พระนิพพาน เป็นธรรมที่ย่ำยีความมัวเมาต่างๆ คือ ความมัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ และบัญญัติต่างๆ
๒. ปิปาสวินโย พระนิพพาน เป็นธรรมที่บรรเทาเสียซึ่งความกระหายในกามคุณอารมณ์
๓. อาลยสมุคฆาโต พระนิพพาน เป็นธรรมที่ถอนเสียซึ่งความอาลัยในกามคุณอารมณ์
๔. วัฏฏูปัจเฉโท พระนิพพาน เป็นธรรมตัดเสียซึ่งการเวียนไปในวัฏฏะทั้ง ๓ ให้ขาด
๕. ตัณหักขโย พระนิพพาน เป็นธรรมที่สิ้นตัณหา
๖. วิราโค พระนิพพาน เป็นธรรมที่ปราศจากราคะ
๗. นิโรโธ พระนิพพาน เป็นธรรมที่ดับตัณหา
๘. ธุวัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ตั้งมั่นอยู่เสมอ
๙. อชรัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่มีความแก่
๑๐. นิปปปัญจัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ปราศจากปปัญจธรรม คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ที่ทำให้วัฏฏสงสารกว้างขวาง
๑๑. สัจจัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่มีความจริงแน่นอน
๑๒. ปารัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ข้ามพ้นฝั่งวัฏฏทุกข์
๑๓. สุทุททสัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ผู้มีปัญญาน้อยย่อมเห็นได้ยาก
๑๔. สิวัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่สบาย ปราศจากกิเลส
๑๕. อมตัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่มีความตาย
๑๖. เขมัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ปราศจากภัย
๑๗. อัพภุตัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
๑๘. อณีติกัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่มีภัยอย่างร้ายแรง ที่นำความเสียหายมาสู่
๑๙. ตาณัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ช่วยรักษาสัตว์ ไม่ให้ตกอยู่ในวัฏฏสงสาร
๒๐. เลณัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่หลบภัยต่างๆ
๒๑. ทีปัง พระนิพพาน เป็นเกาะที่พ้นจากการท่วมทับของโอฆะทั้ง ๔
๒๒. วิสุทธัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่บริสุทธิ์จากกิเลส
๒๓. วรัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่สัปปุรุษทั้งหลายพึงปรารถนา
๒๔. นิปุณัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่สุขุมละเอียด
๒๕. อสังขตัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔
๒๖. โมกโข พระนิพพาน เป็นธรรมที่พ้นจากกิเลส
๒๗. เสฏโฐ พระนิพพาน เป็นธรรมที่ควรสรรเสริญโดยพิเศษ
๒๘. อนุตตโร พระนิพพาน เป็นธรรมที่ประเสริฐยิ่งหาที่เปรียบมิได้
๒๙. โลกัสสันโต พระนิพพาน เป็นธรรมที่สุดสิ้นแห่งโลกทั้ง ๓

เมื่อรู้ถึงคุณของพระนิพพานด้วยใจจริงแล้ว ต่อไปก็เริ่มต้นภาวนา ระลึกเป็นภาษาบาลี ดังนี้:-ยาวตา ภิกขเว ธัมมา สังขตา วา อสังขตา วา วิราโค เตสัง ธัมมานัง อัคคมักขายติ, ยทิทัง มทนิมมทโน , ปิปาสวินโย, อาลยสมุคฆาโต , วัฏฏูปจฺเฉโท , ตัณหักขโย , วิราโค, นิโรโธ , นิพพานัง ฯ 
ระลึกเป็นภาษาไทยดังนี้ :- ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดที่ถูกปรุงแต่งและไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ ที่ชื่อว่าสังขตะและอสังขตะ มีอยู่ ธรรมใดเป็นสภาพที่ย่ำยีความมัวเมาต่างๆ บรรเทาเสียซึ่งความกระหายในกามคุณ อารมณ์ ถอนเสียซึ่งความอาลัยในกามคุณอารมณ์ ตัดเสียซึ่งการเวียนไปในวัฏฏะทั้ง ๓ ให้ขาด ที่สิ้นไปแห่งตัณหา ปราศจากราคะ ที่ดับแห่งตัณหา และพ้นจากตัณหาอันเป็นเครื่องร้อยรัดนี้ ตถาคตพึงกล่าวว่าเป็นธรรมอันประเสริฐอย่างยอดยิ่ง ให้พิจารณาอย่างนี้อยู่เนืองๆ

การปฏิบัติจะ ระลึกเป็นภาษาบาลี หรือ ภาษาไทยตามที่ได้แปลไว้นั้นก็ได้ หรือจะระลึกในคุณพระนิพพาน ๒๙ ประการ มี มทนิมมทโน เป็นต้น ก็ได้ ความสำคัญอยู่ที่ผู้ระลึกจะต้องรู้ถึงความหมายของศัพท์นั้นๆ ไปด้วย การเจริญอุปสมานุสสติ มีคุณพระนิพพานเป็นอารมณ์นั้น พระนิพพานเป็นปรมัตถธรรมโดยเฉพาะที่นอกจาก จิต เจตสิก รูป ฉะนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับสังขตธรรมทั้งปวงที่เป็นรูปและนาม เมื่อว่าโดยธรรมที่เป็นภายในและภายนอกแล้ว พระนิพพานเป็นธรรมภายนอกอย่างเดียว ฉะนั้น พระนิพพานนี้จึงมิใช่เป็นธรรมที่ตั้งอยู่ภายในร่างกายของสัตว์โดยความเป็นแก่นสาร

ผู้ที่จะเจริญอนุสสติ มีพุทธานุสสติ เป็นต้น จนถึงอุปสมานุสสติ ให้สมบูรณ์อย่างถี่ถ้วนได้นั้นคงทำได้แต่พระอริยบุคคล สำหรับปุถุชนนั้นจะเจริญให้ได้ดีอย่างสมบูรณ์นั้นยังทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม

ถ้าเป็นผู้ที่มีสุตมยปัญญาอันสำเร็จมาจากการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างดีแล้ว ก็สามารถระลึกไปในพระคุณนั้นๆ ได้ด้วยดี จิตใจก็จะบังเกิดความเลื่อมใสในอารมณ์กรรมฐานนี้ได้เช่นกัน

อานิสงส์ของอุปสมานุสสติ
๑. หลับเป็นสุข
๒. ตื่นเป็นสุข
๓. มีความสงบ
๔. มีหิริโอตตัปปะ
๕. มีความเลื่อมใส
๖. เป็นที่นับถือของคนทั่วไป
๗. อยู่เป็นสุข
๘. มีกิริยาอ่อนน้อม
๙. จิตหยั่งในพระนิพพานเป็นคุณ
๑๐. สามารถทำความปรารถนาให้สำเร็จ หากไม่ได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ก็จะไปสู่สุคติ

จบ อุปสมานุสสติ


๘. มรณานุสสติ 
มรณานุสสติ คือ การระลึกถึงความตาย เป็นอารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีการระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตาย หรือมรณะ มี ๔ ชนิด คือ
๑. สมุทเฉทมรณะ คือ การปรินิพพานของพระอรหันต์ทั้งหลาย ตายครั้งเดียวเป็นการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
๒. ขณิกมรณะ คือ การดับของสังขาร รูปนามทุกขณะ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป (อุปาทขณะ ฐีติขณะ และภังคขณะ) เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ยังเกิดดับสืบต่อไป
๓. สมมุติมรณะ คือ ความตายที่ชาวโลกสมมติกัน เช่น นาฬิกาตาย รถตาย ต้นไม้ตาย เป็นต้น
๔. ชีวิตินทริยุปัจเฉทมรณะ ความตายในชาติหนึ่ง เมื่อชีวิต รูปนาม ดับสิ้นลงไป

แบ่งความตายโดยกาลเวลาเป็นเกณฑ์ มี ๒ อย่าง คือ
๑. อกาลมรณะ ตายก่อนเวลา คือ ตายในเวลาที่ไม่ควรจะตาย เป็นการตัดช่วงเจริญวัยของชีวิต เพราะมีกรรมมาตัดรอนให้ตายแต่เยาว์วัยหรือ ตายเมื่อ ยังหนุ่มสาว เช่น เจ็บป่วยตาย ถูกฆ่าตาย เป็นต้น
๒. กาลมรณะ ตายไปตามกาลเวลา คือตายเพราะสิ้นอายุ ตายเพราะ สิ้นกรรม ทั้งกาลมรณะและอกาลมรณะ ย่อมนำมาซึ่งการนึกถึงการตายได้ ดังนี้

  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยทุกข์กังวล เช่น คิดถึงการจะสูญเสียบุตรอันเป็นที่รัก
  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยความกลัว เช่น ระลึกถึงความตายอย่างกะทันหันของบุตร
  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยอุเบกขา เช่น สัปเหร่อที่เคยชินกับความตายจนวางเฉยไม่รู้สึกสลดหรือสังเวชใจ
  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยปัญญา เช่น เมื่อระลึกถึงความตายแล้วเห็นว่าเป็นธรรมชาติของชีวิต ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด
วิธีการเจริญมรณานุสสติ ในการระลึกถึงความตาย ๔ ประการ ความตายที่ใช้ การเจริญมรณานุสสติ มีเฉพาะชีวิตินทริยุปัจเฉทมรณะ เท่านั้น ส่วนสมุทเฉทมรณะ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น เราจึงไม่สามารถเห็นได้ทั่วไป ขณิกมรณะ มีการเกิดดับเป็นไปทุกขณะ เรา ยังไม่สามารถเห็นความจริงของการเกิดดับนั้น สมมุติมรณะ ก็ไม่ทำให้เราเกิดความสังเวชใจ และการระลึกถึงความตายต้องระลึกถึงความตายที่เกี่ยวเนื่องด้วยปัญญาเท่านั้น เพราะถ้าระลึกถึงความตายด้วย ความทุกข์กังวล ความกลัว หรือเห็นความตายแล้ววางเฉย ไม่ปลงธรรมสังเวช อย่างนี้ไม่สามารถกำจัดทุกข์ได้

การเจริญมรณานุสสติ ไม่ใช่พร่ำบริกรรมท่องบ่นว่า “ตายๆๆๆ” โดยไม่ได้กำหนดพิจารณา แต่ต้องพิจารณาว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องประสบอย่างแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ตัวเราก็จะต้องตาย พระมหาจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยวิชชาและ จรณะ พระโมคคัลลาน์เถระผู้ทรงฤทธิ์ เป็นต้น ก็ยังไม่มีใครรอดพ้นความตายไปได้ ชีวิตนั้นไม่มีนิมิตหมายว่าจะตายเมื่อไร เป็นโรคอะไรตาย ตายเวลาใด สถานที่ใด ไม่มีใครรู้ได้คนที่จะอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีมีน้อยนัก จึงไม่ควรประมาทมัวเมาในชีวิต ควรขวนขวายหาทางดับทุกข์ให้สำเร็จพระนิพพาน เหมือนคนที่ไฟไหม้ศีรษะต้องหาทางดับไฟให้ได้โดยเร็ว

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่
เจริญมรณานุสสติ ทุกลมหายใจว่าเป็นผู้ไม่ประมาทจะเป็นผู้สิ้นกิเลสอาสวะได้เร็ว การเจริญมรณานุสสติไม่สามารถให้ได้ฌาน ได้แต่เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น มรณานุสสติช่วยเตือนสติไม่ให้ประมาทในชีวิต ให้เร่งสร้างความดี เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลอื่นๆ ต่อไป แต่มรณานุสสติก็เป็นสิ่งทวนกระแสความรู้สึกของคนทั่วไป เพราะคนกลัวความตาย ไม่ชอบการพลัดพราก แม้เพียงเอ่ยถึงความตาย ก็รู้สึกพรั่นพรึง เห็นเป็นลางร้าย จึงเป็นกรรมฐานที่เจริญได้ยาก

อานิสงส์ของผู้ที่เจริญมรณานุสสติ คือ
๑. เป็นผู้ขวนขวายในกุศลธรรม สนใจ ใฝ่ใจในธรรมชั้นสูง
๒. เป็นผู้ไม่ชอบความชั่ว หลีกเลี่ยงความชั่ว
๓. ไม่สะสมสิ่งของที่เกินความจำเป็น
๔. คลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
๕. ละความไยดีในชีวิตเสียได้
๖. อยู่เป็นสุข
๗. ไม่กลัวตาย
๘. ไม่หลงสติในเวลาตาย
๙. หากยังไม่สำเร็จพระนิพพานก็จะไปสู่สุคติ

จบ มรณานุสสติ

๙. กายคตาสติ 

กายคตาสติ หมายความว่า การระลึกถึงลักษณะอาการของกายส่วนต่างๆ ๓๒ ประการ หรือเรียกว่าโกฏฐาส ๓๒ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีโกฏฐาส เป็นอารมณ์ คำว่า กาย แปลว่า กอง หมายถึงกองของสิ่งประกอบ ๓๒ อย่าง มีดังนี้
๑. ผม (เกสา)            ๒. ขน (โลมา)
๓. เล็บ (นขา)            ๔. ฟัน (ทันตา)     
๕. หนัง (ตโจ)            ๖. เนื้อ (มังสัง)
๗. เอ็น (นหารู)            ๘. กระดูก (อัฐิ)
๙. เยื่อในกระดูก (อัฐิมิญชัง)            ๑๐. ไต (วักกัง)
๑๑. หัวใจ (หทยัง)            ๑๒. ตับ (ยกนัง)
๑๓. พังผืด (กิโลมกัง)            ๑๔. ม้าม (ปิหกัง)
๑๕. ปอด (ปัปผาสัง)            ๑๖. ไส้ใหญ่ (อันตัง)
๑๗. ไส้น้อย (อันตคุณัง)            ๑๘. อาหารใหม่ (อุทริยัง)
๑๙. อาหารเก่า (กรีสัง)            ๒๐. สมอง (มัตถเก มัตถลุงคัง)
๒๑. น้ำดี (ปิตตัง)            ๒๒ . น้ำเสลด (เสมหัง)
๒๓. น้ำหนอง (ปุพโพ)            ๒๔. น้ำเลือด (โลหิตัง)
๒๕. น้ำเหงื่อ (เสโท)            ๒๖. น้ำมันข้น (เมโท)
๒๗. น้ำตา (อัสสุ)            ๒๘. น้ำมันเหลว (วสา)
๒๙. น้ำลาย (เขโฬ)            ๓๐. น้ำมูก (สิงฆานิกา)
๓๑. น้ำไขข้อ (ลสิกา)            ๓๒. น้ำมูตร (มุตตัง)

หมายเหตุ ข้อ ๒๐ มัตถลุงคัง(สมอง) นี้เดิมทีนั้นในพุทธภาษิตไม่มี เพราะพระพุทธองค์ทรงรวบรวมบท (มัตถลุงคัง)สมอง ไว้ในบท อัฏฐิมิญชัง(เยื่อในกระดูก) แล้ว ต่อมาปฐมสังคีติการกาจารย์ทั้งหลายได้ แยกบทมัตถลุงคัง จากบท อัฏฐิมิญชัง มาโดยเฉพาะ โดยนำมาต่อจากบท กรีสัง(อาหารเก่า) เพื่อจะได้ครบจำนวนปถวีฐาตุ ๒๐

การพิจารณาอาการ ๓๒ ประการนี้ ส่งผลสำเร็จได้ ๓ ทาง คือ
๑. บางบุคคลเจริญกายคตาสติแล้ว พิจารณาสังขารร่างกายโดยความเป็นปฎิกูล ปฏิภาคนิมิตที่เกิดขึ้นโดยเป็นปฏิกูลนี้ สามารถบรรลุได้ถึงปฐมฌานเท่านั้น อย่างนี้จัดเป็น สมถกรรมฐาน
๒. บางบุคคลเจริญกายคตาสติแล้ว ปฏิภาคนิมิตที่เกิดขึ้น เป็นปฏิภาคนิมิตชนิดวัณณกสิณเมื่อเจริญแล้วสามารถบรรลุไปถึงปัญจมฌานได้ อย่างนี้จัดเป็น สมถกรรมฐาน
๓. บางบุคคลเจริญกายคตาสติแล้ว ให้เห็นความเป็นธาตุ สมาธิก็ได้เพียงอุปจารสมาธิ หรืออุปจารภาวนาเท่านั้น

ถ้าท่านผู้เจริญกายคตาสติหาเหตุปัจจัยของความเป็นธาตุนั้น ก็จะสามารถ
บรรลุวิปัสสนาได้ เช่น พิจารณาธาตุใดที่แข็ง เหล่านั้นเป็นธาตุดิน สิ่งที่ไหลเอิบอาบเกาะกุม เหล่านั้นเป็นธาตุน้้า สิ่งใดคือความเย็นความร้อน เหล่านั้นเป็นธาตุไฟ สิ่งใดมีการพัดไหวไปมา เคลื่อนไปได้ เช่นลมหายใจเข้าออก เหล่านั้นเป็นธาตุลม อย่างนี้จัดเป็น วิปัสสนากรรมฐาน

วิธีการเจริญกายคตาสติ
๑. การเจริญกายคตาสติ สำหรับบุคคลที่มีปัญญาระดับกลาง ต้องใช้เวลาในการเจริญ ๕ เดือนกับอีก ๑๕ วัน บุคคลมี ๓ จำพวก คือ
    (๑) ติกขบุคคล ใช้เวลาน้อยกว่าที่กำหนด
    (๒) มัชฌิมบุคคล ใช้
เวลา ๕ เดือน ๑๕ วัน
    (๓) มันทบุคคล ใช้เวลามากกว่านั้น
๒. ผู้ที่จะเจริญกายคตาสติ ก่อนลงมือปฏิบัติต้องรู้กิจเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติให้ดีเสียก่อน กิจเบื้องต้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ
    ๒.๑ อุคคหโกสัลละ ความฉลาดในการศึกษา ๗ อย่าง คือ
        ๒.๑.๑ การพิจารณาโดยการท่องด้วยวาจา
        ๒.๑.๒ การพิจารณาทางใจ
        ๒.๑.๓ การพิจารณาโดยความเป็นวรรณะ คือ สีดำ ขาว หรือแดง
        ๒.๑.๔ การพิจารณาโดยความเป็นรูปร่างสัณฐาน
        ๒.๑.๕ การพิจารณาโดยความเป็นที่เกิด (คือ เกิดอยู่ส่วนบนหรือส่วนล่างของร่างกาย)
        ๒.๑.๖ การพิจารณาโดยที่ตั้ง ( คือ ตั้งอยู่ในร่างกายส่วนใด)
        ๒.๑.๗ การพิจารณาโดยกำหนดขอบเขต (เช่น เส้นผม กำหนดเขตโดยผมนั้นหยั่งลงในศีรษะประมาณปลายเม็ดข้าวเปลือก และในรูที่เส้นผมหยั่งลงนั้น ไม่มีผม ๒ เส้นอยู่ด้วยกัน กำหนดเขตปลายผมนั้น สุดความยาวของเส้นผม
    ๒.๒ มนสิการโกสัลละ ความฉลาดในการพิจารณา ๑๐ อย่าง คือ
        ๒.๒.๑ การพิจารณาไปตามลำดับ (ไม่กระโดดข้ามหมวด)
        ๒.๒.๒ การพิจารณาโดยไม่รีบร้อนนัก
        ๒.๒.๓ การพิจารณาโดยไม่เฉื่อยช้านัก
        ๒.๒.๔ การพิจารณาโดยบังคับจิตไม่ให้ไปที่อื่น
        ๒.๒.๕ การพิจารณาโดยก้าวล่วงบัญญัติ
        ๒.๒.๖ การพิจารณาโดยทิ้งอาการ ๓๒ ที่ไม่ปรากฏโดยสี สัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง ขอบเขตตามลำดับ
        ๒.๒.๗ การพิจารณาในอาการ ๓๒ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เข้าถึงอัปปนา
        ๒.๒.๘ การพิจารณาโดย อธิจิตตสูตร
        ๒.๒.๙ การพิจารณาโดย สีติภาวสูตร
        ๒.๒.๑๐ การพิจารณาโดย โพชฌังคโกสัลลสูตร

อธิบายขั้นตอนการปฏิบัติในอุคคหโกสัลละ ๗
๒.๑ อุคคหโกสัลละ ความฉลาดในการศึกษา ๗ อย่าง คือ
    ๒.๑.๑ การท่องด้วยวาจา
    ๒.๑.๒ การพิจารณาทางใจ

ผู้ปฏิบัติต้องเริ่มต้นด้วยการท่องด้วยวาจาทุกคนไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป หรือบุคคลที่ทรงพระไตรปิฎกก็ตาม เพราะว่าการท่องด้วยวาจานั้นเป็นเหตุสำคัญที่จะให้ได้รับความสะดวกสบายในการพิจารณาด้วยใจ

การเจริญกายคตาสตินี้ ผู้เจริญจะต้องบริกรรมด้วยการท่องในหมวดหนึ่งๆ โดยความเป็นอนุโลม ๕ วัน ปฏิโลม ๕ วัน และอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน การเจริญด้วยการท่องด้วยวาจาโดยใช้คำบริกรรมเป็นภาษาบาลี หรือภาษาไทยก็ได้ ท่องไปจนครบถ้วนถูกต้องตามหลัก(ทั้ง ๑๑ ลำดับ)แล้ว ไม่หมวดใดก็หมวดหนึ่งจะต้องปรากฏชัดเจนมากทางใจเมื่อหมวดใดหมวดหนึ่งปรากฏในเวลานั้น สัญญาความจำไว้ว่าเป็นสัตว์ เป็นชีวิต เป็นบุคคล ก็จะไม่เกิดขึ้น (แต่ถ้าไม่ปรากฏ สัญญาความจำว่าเป็นสัตว์ เป็นชีวิต เป็นบุคคลก็ยังมีอยู่)

๒.๑.๑ การท่องด้วยวาจา
ลำดับที่ ๑ หมวดที่ ๑
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๑ ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๑ ว่า
หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๑ ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง , หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๑ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๒ 
หมวดที่ ๒
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๒ ว่า

เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๒ ว่า
ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๒ ว่า
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต , ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อรวมเวลาการท่องหมวดที่ ๒ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๓ คือหมวดรวมกันเป็น ๑๐ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต, ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๔หมวดที่ ๓
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๓ ว่า
หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๓ ว่า
ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๓ ว่า
หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๓ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๖ หมวดที่ ๔
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๔ ว่า
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๔ ว่า
สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๔ ว่า
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๔ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๕ คือหมวดรวมกันเป็น ๑๕ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๗ หมวดรวมกันเป็น ๒๐ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๘ หมวดที่ ๕
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๕ ว่า น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๕ ว่า
น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๕ ว่า
น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๕ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๙ หมวดรวมกันเป็น ๒๖ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้ำมันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ นำดี มันสมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวม = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๑๐ หมวดที่ ๖
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๖ ว่า
น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๖ ว่า
น้้ามูตร น้้าไขข้อ น้้ามูก น้้าลาย น้้ามันเหลว น้้าตา
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๖ ว่า
น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร , น้้ามูตร น้้าไขข้อ น้้ามูก น้้าลาย น้้ามันเหลว น้้าตา
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๖ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๑๑ หมวดรวมกันเป็น ๓๒ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง , เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต , หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ไส้ใหญ่ ใส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
น้้ามูตร น้้าไขข้อ น้้ามูก น้้าลาย น้้ามันเหลว น้้าตา , น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี , สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ , ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ , ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ , หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม 
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง , เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต , หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร, น้ำมูตร น้ำไขข้อ น้ำมูก น้ำลาย น้ำมันเหลว น้ำตา, น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ฉะนั นต้องท่องด้วยวาจารวม ๑๑ ลำดับ = ๑๖๕ วัน หรือรวมเป็น ๕ เดือน ๑๕ วัน

๒.๑.๒ การพิจารณาทางใจ
ตอนท่องด้วยวาจา เช่น การท่องในหมวดแรกว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง การเจริญท่องบ่นครั้งแรกในหมวดหนึ่งๆนั้น ผู้เจริญจะต้องท่องอย่างเดียวว่า “ผม ขน เล็บ ฟัน หนังๆๆ ” ไม่ต้องพิจารณาโดยความเป็นสี เป็นปฏิกูล เป็นธาตุ แต่อย่างใดทั้งสิ น ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น หมายความว่า ถ้าผู้ปฏิบัติท่องบ่นและพร้อมกับพิจารณาโดยความเป็นสีแล้ว ขณะที่ทำการท่องบ่นพิจารณาอยู่นั้นหากวัณณนิมิต คือ สีปรากฏขึ้น ผู้เจริญก็อาจจะเข้าใจเพราะนิมิตที่เกิดขึ้นตรงกับการพิจารณา แต่ถ้านิมิตที่เกิด ขึ้นกลับเป็นปฏิกูลนิมิต คือ ความเป็นปฏิกูล หรือธาตุนิมิต คือ ความเป็นธาตุ(ปถวี อาโป เตโช) เช่นนี้ ผู้เจริญก็จะเข้าใจผิดไปว่า การเจริญนี้ผิดไปเสียแล้ว เพราะนิมิตที่ปรากฏนั้นไม่ตรงกับการพิจารณา ถ้าผู้ปฏิบัติท่องบ่นด้วยวาจาอย่างเดียว แล้วนิมิตที่เกิดจะเป็นวัณณนิมิตก็ดี ปฏิกูลนิมิตก็ดี ธาตุนิมิตก็ดี ผู้เจริญก็จะไม่เข้าใจผิด

ท่องด้วยวาจาแล้ววัณณนิมิตปรากฏ หรือ ปฏิกูลนิมิตปรากฏ หรือ ธาตุนิมิตปรากฏ ถ้าวัณณนิมิตปรากฏ ก็ให้เข้าใจว่า เพราะผู้ปฏิบัติมีบุญบารมีที่เกี่ยวกับการเคยเจริญวัณณกสิณมาแต่ภพก่อนๆ วัณณนิมิตจึงปรากฏ ก็ให้รู้ไว้ว่าวัณณกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่เหมาะสมสำหรับผู้นั้น ดังนั้นควรท่องบ่นพิจารณาโดยความเป็นสีต่อไป หรือปฏิกูลนิมิตปรากฏ ธาตุนิมิตปรากฏ ก็เป็นเพราะผู้ปฏิบัติมีบุญบารมีที่เกี่ยวกับการเคยเจริญปฏิกูล หรือ ธาตุมาแต่ภพก่อนๆ ก็ให้รู้ว่าปฏิกูลกรรมฐาน
หรือ ธาตุกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่เหมาะสมสำหรับผู้นั้น ดังนั้น ควรท่องบ่นพิจารณาต่อไป

การที่วัณณนิมิตปรากฏ ก็เพราะโกฏฐาสทั้งหมดมีสีอยู่ ขณะที่กำลังท่องบ่นว่า เกสาๆ หรือ ผมๆ อยู่นั้น สีดำ สีขาว สีแดง อันเป็นวัณณนิมิตก็จะปรากฏได้ (ช่วงตอนนี้ต้องพิจารณาโดยความเป็นสีในทางใจด้วย)เพราะผมมีหลายสี ส่วน ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นนั้น วัณณนิมิตก็ปรากฏได้เช่นเดียวกัน ผลจากการเพ่งวัณณนิมิต คือให้ได้รูปฌาน ๕ เมื่อได้รูปฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดารูปฌาน ๕ นั้นแล้ว ก็อาศัยรูปฌานนั้นๆ เป็นบาทในการเจริญวิปัสสนาต่อไปจนสำเร็จอรหัตตมรรค อรหัตตผล ได้

การที่ปฏิกูลนิมิตปรากฏ ก็เพราะโกฏฐาสทั้งหมดเป็นปฏิกูลอยู่แล้ว(ช่วงตอนนี้ต้องพิจารณาโดยความเป็นปฏิกูลทางใจด้วย) ผลที่ได้รับจากการท่องบ่นพิจารณาโดยความเป็นปฏิกูล คือให้ได้ถึง รูปปฐมฌาน จากนั้นก็อาศัยปฐมฌานสมาธิเป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อไปจนกระทั่งสำเร็จอรหัตตมรรค อรหัตตผล ได้

การที่ธาตุนิมิตปรากฏก็เพราะโกฏฐาส ๒๐ มี ผม เป็นต้น จนถึง สมอง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปถวีธาตุ โกฏฐาสที่เหลือ ๑๒ มี น้ำดี เป็นต้น จนถึง น้ำมูตร จัดเป็นอาโปธาตุ (ช่วงตอนนี้ต้องพิจารณาโดยความเป็นธาตุ ในทางใจด้วย) ผลที่ได้รับจากการท่องบ่นพิจารณาโดยความเป็นธาตุต่อไปนั้นได้เพียงอุปจารสมาธิไม่ถึงรูปฌาน จากนั้นก็อาศัยอุปจารสมาธินี้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อไป จนสำเร็จอรหัตตมรรค อรหัตตผล ได้

๒.๑.๓ – ๒.๑.๗ การพิจารณาโดยความเป็นสี รูปร่างสัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง และกำหนดขอบเขต
การพิจารณาโดยความเป็นสี รูปร่างสัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง และขอบเขต สามารถพิจารณาในอาการหนึ่งไปพร้อมกัน ดังนี้
๑. ผม นั้นมีสีดำ แดง ขาว มีสัณฐานยาวกลม เกิดขึ้นอยู่เบื้องบนของร่างกาย ตั้งอยู่ในหนังอ่อนซึ่งหุ้มกะโหลกศีรษะ สองข้างจดหมวกหู ข้างหน้าจดหน้าผาก ข้างหลังจดหลุมคอ ขอบเขตของผมเบื้องต่ำเส้นหนึ่งๆ หยั่งลงในหนังหุ้มศีรษะเข้าไปประมาณเท่ากับปลายข้าวเปลือก เบื้องบนมีขอบเขตแค่อากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกัน ขึ้นติดกัน ๒ เส้นไม่มี ผมก็เป็นผม ไม่ใช่ขน ไม่ใช่เล็บ มิใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๒. ขน สีดำบ้าง เหลืองบ้าง มีสัณฐานดังรากตาล ปลายน้อมลง เกิดอยู่ทั่วร่างกาย ขึ้นอยู่ในหนังทั่วตัว เว้นที่หนังศีรษะ และฝ่ามือ ฝ่าเท้า ขอบเขตเบื้องต่ำกำหนดด้วยรากของตนที่แยงเข้าในหนังหุ้มร่างกายประมาณเท่าไข่เหา เบื้องบนกำหนดด้วยอากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกัน ขึ้นอยู่เส้นเดียว ไม่มีติดกัน ๒ เส้น มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย ขนก็เป็นขนไม่ใช่ ผม เล็บ ฟัน ไม่ใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๓. เล็บ มีสีขาว มีสัณฐานเหมือนเกล็ดปลา เกิดอยู่ทั้ง ๒ ส่วน คือ เล็บมือเกิดอยู่ส่วนบน เล็บเท้าเกิดอยู่ส่วนล่าง ตั้งอยู่ที่หลังปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ขอบเขตกำหนดด้วยเนื้อปลายนิ้วทั้ง ๓ ด้าน ภายในกำหนดด้วยเนื้อหลังนิ้ว ภายนอกและปลายกำหนดด้วยอากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกันเล็บ ๒ อันติดกันไม่มี มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย เล็บก็คือเล็บ เล็บไม่ใช่ผม ขน ฟัน ไม่ใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๔. ฟัน ได้แก่ฟัน ๓๒ ซี่ ของผู้มีฟันเต็ม ฟันมีสีขาว มีสัณฐานต่างๆ คือ ฟันสี่ซี่ตรงกลางอยู่ด้านหน้า ข้างล่างเหมือนเม็ดน้ำเต้าที่เสียบติดไว้เป็นลำดับบนก้อนดินเหนียว ฟันสี่ซี่นี้มีรากเดียว มีสัณฐานเหมือนดอกมะลิตูม ถัดจากฟันหน้าเข้าไปข้างละซี่มี ๒ ราก ๒ ง่าม มีสัณฐานเหมือนไม้ค้ำยันถัดไปฟันข้างละ ๒ ซี่ มี ๓ ราก ปลาย ๓ แง่ ถัดไปฟันข้างละ ๓ ซี่ มี ๔ ราก ปลาย ๔ แง่ นี้คือฟันแถวล่าง ส่วนฟันแถวบนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ฟันเกิดอยู่ส่วนบนของร่างกาย ตั้งอยู่ที่กระดูกคางทั้ง ๒ ขอบเขต เบื้องต่ำกำหนดด้วยอากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกัน ฟัน ๒ ซี่ติดกันไม่มี มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย ฟันก็คือฟัน ไม่ใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๕. หนัง ที่หุ้มร่างกาย ถ้าเป็นส่วนผิวหนัง มีสีดำบ้าง เหลืองบ้าง ขาวบ้าง ส่วนหนังหนานั้นมีแต่สีขาวอย่างเดียว มีสัณฐานเท่ากับร่างกาย เกิดอยู่ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ตั้งอยู่โดยรึงรัดทั่วไปทั้งตัวขอบเขตเบื้องต่ำกำหนดด้วยพื้นที่ตั้งอยู่ เบื้องบนกำหนดด้วยอากาศ มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย มิใช่โกฏฐาสอื่น ๆ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหล่านี้ เมื่อว่าโดยสี สัณฐาน กลิ่น ที่อาศัยเกิด ที่ตั้ง ล้วนแต่เป็นของน่าเกลียดทั้งสิ้น บุคคลใดได้เห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ดี หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่คล้ายกันก็ดี ตกอยู่ในจานอาหารก็รังเกียจ หรือหากไม่ได้สระผมหลายวันก็จะมีกลิ่นที่น่ารังเกียจ เส้นผมเกิดบนศีรษะที่ชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำเหลือง เป็นปฏิกูลน่าขยะแขยง 

นี้เป็นตัวอย่างของการพิจารณา ซึ่งผู้ปฏิบัติที่สนใจปฏิบัติจริง ๆ ต้องศึกษาต่อเพิ่มเติมจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค

ประโยชน์ของการพิจารณาโกฏฐาสโดยความเป็น สี สัณฐาน เป็นต้น
ปกติแล้วคนทั้งหลายเมื่อเห็นกันและกันแล้ว ก็จะสำคัญผิดถือว่าเป็นคนนั้นเป็นชาย คนนี้เป็น หญิง สวย ไม่สวย เป็นอยู่อย่างนี้เสมอไป จิตใจก็เศร้าหมองไปด้วยกิเลสมี ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิเป็นต้น อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อได้พิจารณาผม ขน เล็บ เป็นต้น โดยความเป็นสี สัณฐาน ได้แล้ว ก็ทำให้ความเห็นผิดว่าเป็นหญิง ชาย สวย ไม่สวย ก็จะไม่เกิดขึ้น มีแต่สี หรือปฏิกูลนิมิต หรือ ธาตุนิมิต อย่างใดอย่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น จิตใจก็จะผ่องใสปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งก็เป็นสาเหตุสำคัญที่จะให้ได้บรรลุอรหัตตมรรค อรหัตตผล

การพิจารณาอาการ ๓๒ โดยพิจารณาสี สัณฐาน เป็นการพิจารณาให้เห็น
ส่วนต่างๆ ของอาการ ๓๒ ยิ่งคิดยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นความแยกส่วน ตลอดจนเห็นความจริง นอกจากจะพิจารณาในอุคคหโกสัลละ ๗ แล้วยังมีขั้นตอนการพิจารณาอีก ๑๐ ข้อ

๒.๒ การพิจารณาโดยมนสิการโกสัลละ ๑๐ ขั้นตอน
๒.๒.๑ การพิจารณาไปตามลำดับ ภายหลังจากการศึกษาและปฏิบัติในอุคคหโกสัลละ ๗ ประการแล้ว เมื่อผู้ปฏิบัติไม่ต้องทำการท่องบ่นด้วยวาจา แต่ต้องทำการพิจารณาโกฏฐาส ๓๒ เหล่านั้นด้วยใจ โดยสี สัณฐาน ที่ตั้ง ที่เกิด ขอบเขต ให้ถูกตรงตามหลักแห่งข้อนี้ คือต้องพิจารณาไปตามลำดับ ไม่ลักลั่น ไม่กระโดดข้ามหมวด
๒.๒.๒ การพิจารณาโดยไม่รีบร้อนนัก ขณะกำลังพิจารณาไปโดยลำดับอยู่นั้น อย่าพิจารณาให้เร็วนัก เพราะจะทำให้ สี สัณฐาน เป็นต้น ของโกฏฐาสนั้นจะปรากฏไม่ชัด
๒.๒.๓ การพิจารณาโดยไม่เฉื่อยช้านัก ขณะกำลังพิจารณาไปโดยลำดับอยู่นั้น อย่าพิจารณาให้ช้านัก เพราะจะทำให้ สี สัณฐาน เป็นต้น ของโกฏฐาสนั้น จะปรากฏโดยความเป็นของสวยงาม ทำให้กรรมฐานไม่ถึงที่สุด คือไม่ให้ได้ฌาน มรรค ผล นั่นเอง
๒.๒.๔ การพิจารณาโดยบังคับจิตไม่ให้ไปที่อื่น การปฏิบัติกรรมฐานนั้น เปรียบเหมือนกับคนที่เดินไปใกล้เหวซึ่งมีช่องทางชั่วรอบเท้าเดียว จะต้องระวังอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้พลาดตกลงไป ฉันใด ผู้ปฏิบัติต้องพยายามป้องกันความฟุ้งซ่านของจิตใจ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์กรรมฐานเช่นเดียวกัน
๒.๒.๕ การพิจารณาโดยการก้าวล่วงบัญญัติ ในขณะที่พิจารณาไปตามลำดับอยู่นั้น ได้ มีการพิจารณานามบัญญัติและสัณฐานบัญญัติอยู่ด้วย เพื่อจะให้ปฏิกูลนิมิตปรากฏ เมื่อปฏิกูลนิมิตปรากฏแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงนามบัญญัติคือ ผม ขน เป็นต้น และสัณฐานบัญญัติ คือ รูปร่างสัณฐูาน แต่อย่างใดอีก เปรียบเหมือนคนเห็นบ่อน้ำในป่าเวลาหาน้ำยาก จึงได้ทำเครื่องหมายเพื่อจำไว้จะได้สะดวกแก่การที่จะมาหาน้ำดื่มและอาบในครั้งต่อๆ ไป ครั้นมาบ่อยๆ เข้าก็ชำนาญในทางนั้นดีไม่จำเป็นที่จะต้องจำเครื่องหมายนั้นอีก เช่นเดียวกัน เมื่อปฏิกูลนิมิตปรากฏแล้ว ผู้เจริญก็พึงก้าวล่วงบัญญัติ
๒.๒.๖ การพิจารณาโดยทิ้งโกฏฐาสที่ไม่ปรากฏโดย สีสัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง ขอบเขต ไปตามลำดับ ในขณะที่พิจารณาไปตามลำดับ โดยอนุโลมตั้งแต่ ผม จนถึง สมอง พิจารณาตามลำดับโดยปฏิโลมตั้งแต่ สมอง จนถึง ผม ผู้ปฏิบัติต้องสังเกตว่า โกฏฐาสอันใด หรือ หมวดใดปรากฏไม่ชัด ก็ให้ละการพิจารณาโกฏฐาสอันนั้น หรือ หมวดนั้นไป แล้วพิจารณาโกฏฐาสอันอื่น หรือหมวดอื่นที่เหลือ ซึ่งมีการปรากฏชัดมากต่อไป และในระหว่างนั้นก็พึงสังเกตดูอีกว่าโกฏฐาสอันใด หรือ หมวดใดปรากฏชัดกว่าก็ให้พิจารณาแต่โกฏฐาสนั้น หรือหมวดนั้น แล้วละทิ้งที่ไม่ค่อยชัดไป ให้คัดเลือกอย่างนี้เรื่อยไปจนเหลือโกฏฐาส ๒ และต่อจากนั้นก็สังเกตดูอีกว่าใน ๒ อย่างนั้น อันไหนปรากฏชัดมากกว่า ก็ให้พิจารณาอันนั้นละอันที่ปรากฏชัดน้อยไป การพิจารณาโกฏฐาสนี้ เมื่อถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ต้องถือเอาเพียงอันเดียว ไม่ได้ถือเอาทั้งหมด
๒.๒.๗ การพิจารณาโกฏฐาสอย่างใดอย่างหนึ่งให้เข้าถึงอัปปนา เมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณาโดยการละทิ้งโกฏฐาสที่ไม่ชัดไปตามลำดับจนกระทั่งเหลืออันเดียว จากนั้นก็พิจารณาในโกฏฐาสอันนั้นจนถึงได้ฌาน ไม่ต้องพิจารณาโกฏฐาสที่ละทิ้งไปแล้วๆ นั้นอีก อันที่จริงแล้วการพิจารณาโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ประการก็ยังผลให้ได้เข้าถึงอัปปนาเหมือนกัน ฉะนั้นการที่ต้องเจริญโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ในระยะแรกนั้น ก็เพื่อจะได้รับประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ ประการ คือ
            ๑. ในขณะที่กำลังพิจารณาโกฏฐาสโดยความเป็นอนุโลม ปฏิโลม ในหมวดทั้ง ๖ ตามลำดับปฐมฌานอาจเกิดขึ้นก็ได้
            ๒. ถ้าหากว่าฌานไม่เกิด ก็จะได้พิจารณาคัดเลือกโกฏฐาสอื่นต่อไปว่า โกฏฐาสใดจะเหมาะ สมกับอัธยาสัยของตนที่สุด ตามหลักข้อที่ ๖
๒.๒.๘ พิจารณาจิต (อธิจิตตสูตร) (ตั้งแต่ข้อ ๒.๒.๘–๒.๒.๑๐ เป็นการพิจารณาตามในพระสูตร) ผู้ปฏิบ้ติต้องพิจารณาในนิมิตทั้ง ๓ คือ สมาธินิมิต จิตใจที่สงบ ปัคคหนิมิต ความพยายาม อุเบกขานิมิต ความวางเฉย พิจารณาดูว่าอย่างใดมากเกินไปหรือน้อยเกินไป แล้วแก้ไขเพิ่มเติมนิมิตนั้นๆ ให้เสมอกัน จนกระทั่งสมาธิของตนขึ้นสู่อธิจิต คือ สมาธิที่มีกำลังยิ่งสามารถทำจิตให้นิ่งอยู่ในอารมณ์กรรมฐานได้ ทั้งนี้เพราะว่าถ้าสมาธินิมิตมาก ความเกียจคร้านย่อมเกิดขึ้น ถ้าปัคคหนิมิตมาก ความฟุ้งซ่านย่อมเกิดขึ้น ถ้าอุเบกขานิมิตมาก ก็จะไม่ถึงฌาน มรรค ผล ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงไม่ควรใฝ่ใจในนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งให้มากเกินไป แต่ควรใฝ่ใจนิมิตทั้ง ๓ ให้เสมอกัน
๒.๒.๙ พิจารณาธรรมที่ปรากฏ (สีติภาวสูตร) พึงพิจารณาตามข้อธรรม ๖ ประการ คือ
            ๑. ย่อมข่มจิตใจในคราวที่ควรข่ม คือ จิตมีความเพียรมากไป
            ๒. ย่อมประคองจิตในคราวที่ควรประคอง คือ จิตมีการง่วงเหงา ท้อถอย หดหู่
            ๓. ย่อมปลอบจิตในคราวที่ควรปลอบ คือ จิตไม่ยินดีในการงาน
            ๔. ย่อมพักผ่อนจิตในคราวที่ควรพักผ่อน คือ จิตดำเนินอยู่ด้วยดีในอารมณ์กรรมฐาน ไม่มีการฟุ้งซ่าน ง่วงเหงา ท้อถอย
            ๕. มีจิตใจน้อมไปในมรรค ผล
            ๖. มีความยินดีในพระนิพพาน

เมื่อพิจารณาตามข้อธรรม ๖ ประการแล้ว ถ้าข้อใดปรากฏแก่เรา ก็ให้แก้ไขโดยปฏิบัติตามหลักโพชฌงค์ ในข้อ ๒.๒.๑๐ ต่อไป
๒.๒.๑๐ ปฏิบัติโดยหลักโพชฌงค์(โพชฌังคโกสัลลสูตร) การปฏิบัติ คือ คราวใดจิตใจมีการง่วง เหงา ท้อถอย ไม่มีความเพียร ในคราวนั้นต้องอบรมธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ทั้ง ๓ นี้ให้แก่กล้ายิ่งขึ้น และคราวใดจิตใจมีความเพียรมากจนฟุ้งซ่านในคราวนั้นต้องอบรมปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทั้ง ๓ นี้ให้แก่กล้ายิ่งขึ้น (ทบทวนโพชฌงค์)


ความลำบากในการเจริญกายคตาสติกรรมฐาน
ในบรรดากรรมฐาน ๔๐ นั้น อนุสสติ ๑๐ และ พรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานที่ปฏิบัติได้ยากกว่ากรรมฐานอื่นๆ เพราะเหตุว่าผู้ปฏิบัติจะต้องทำการศึกษาให้เข้าใจเป็นอย่างดีเสียก่อนจึงจะลงมือปฏิบัติได้ มิฉะนั้นจะปฏิบัติไม่ถูก แต่การเจริญ กายคตาสตินี้ยิ่งลำบากมาก เพราะว่าผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษาวิธีเจริญกายคตาสติกรรมฐาน ตามนัยอุคคหโกสัลละ ๗ ประการ เมื่อศึกษาและปฏิบัติตามแล้วก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่นิมิตทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นก็ได้ฌาน มรรค ผล ต่อไป

สำหรับบุคคลที่ปฏิบัติตามนัยอุคคหโกสัลละ ๗ แล้วนิมิตไม่ปรากฏ ก็ต้องศึกษาและปฏิบัติตามนัยมนสิการโกสัลละ ๑๐ ประการต่อไป แล้วจึงจะได้นิมิตทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง และได้ฌาน มรรค ผล ตามความปรารถนา ถึงแม้ว่าการปฏิบัติจะลำบากสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าได้นึกถึงอานิสงส์และคำยกย่องชมเชย ของท่านอรรถกถาจารย์ที่แสดงไว้ในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาแล้ว ชาวพุทธก็ควรยินดีพอใจในการปฏิบัตินี้โดยไม่ย่อท้อ อานิสงส์และคำยกย่องชมเชยนั้นมีดังนี้

อานิสงส์ของการเจริญกายคตาสติ คือ
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ โดยอาศัยการเจริญกายคตาสติกรรมฐานนี้มีมากมาย นับจำนวนมิได้
๒. บุคคลใดทำการปฏิบัติกายคตาสติกรรมฐาน บุคคลนั้นได้ชื่อว่าเป็นภิกษุ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มนุษย์ ก็นับสงเคราะห์ว่าเป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น
๓. ตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคอรรถกถาได้แสดงว่า การเจริญกายคตาสตินี้ จะมีได้เฉพาะในสมัยพุทธกาลเท่านั้น(หมายถึงในเวลาที่พุทธศาสนายังตั้งอยู่) ถ้าสิ้นพุทธศาสนาแล้วจะมีไม่ได้เลย แม้ว่าพวกเดียรถีย์ที่ตั้งตัวเป็นศาสดาทำการปฏิบัติเผยแผ่ลัทธิแก่ชนทั่วไปในสมัยใดๆก็ตาม ก็มิอาจรู้ถึงวิธีเจริญกายคตาสติกรรมฐานนี้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะมิใช่เป็นวิสัยของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น หากแต่เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และพระพุทธองค์ได้ทรงสรรเสริญกายคตาสติกรรมฐานนี้ว่า 

🔅ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งเมื่อภิกษุได้เจริญแล้ว และเจริญติดต่อกันให้เพิ่มพูนทวีมากยิ่งขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไปแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสังเวชสลดใจอย่างใหญ่หลวงในกาย ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ในปัจจุบันภพนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความโปร่งใจอย่างใหญ่หลวงจากโยคะ ย่อมเป็นไปเพื่อมีสติสัมปชัญญะอย่างแรงกล้า ย่อมเป็นไปเพื่อความเห็นในกายเป็น อนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขในภพนี้ทันตาเห็น ย่อมเป็นไปเพื่อท้าให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ พระนิพพาน และผลสมาบัติธรรมอย่างหนึ่ง คืออะไร ?
คือ กายคตาสตินี้เอง

🔅 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดประพฤติปฏิบัติกายคตาสติ บุคคลเหล่านั้นย่อมได้เสวยอมตรส คือ พระนิพพาน บุคคลเหล่าใดมิได้ประพฤติปฏิบัติกายคตาสติ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวยอมตรส คือพระนิพพาน

🔅 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดพยายามปฏิบัติกายคตาสติจนสำเร็จ บุคคลเหล่านั้นย่อมได้เสวยอมตรส คือ พระนิพพาน ไม่เสื่อมจากพระนิพพาน ไม่ผิดทางพระนิพพาน บุคคลเหล่าใดไม่พยายามปฏิบัติกายคตาสติให้สำเร็จ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวยอมตรส คือ พระนิพพาน เสื่อมจากพระนิพพาน ผิดทางพระนิพพาน 


🙏หมายเหตุ กายคตาสติที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องชมเชย และท่านอรรถกถาจารย์ก็ยกย่องไว้ 
มิได้มุ่งหมายเฉพาะแต่ ๓๒ โกฏฐาสอย่างเดียว แม้อสุภะ ๑๐ อานาปานสติ การกำหนดอิริยาบถใหญ่น้อย การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ เหล่านี้ล้วนแต่จัดเข้าเป็นกายคตาสติด้วยกันทั้งสิ้น ดังที่แจ้งไว้ในกายานุปัสสนาแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร สำหรับกายคตาสติในอนุสสติ ๑๐ นี้ มุ่งหมายเอาเฉพาะแต่ ๓๒ โกฏฐาสเท่านั้น

จบ กายคตาสติ


๑๐. อานาปานสติ 
อานาปานสติ หมายความว่า สติที่เกิดขึ้นโดยมีการระลึกอยู่ในลมหายใจเข้าออก อานะ คือลมหายใจเข้า อปานะ คือลมหายใจออก สติคือความระลึก ดังนั้น อานาปานสติหรืออานาปานัสสติ คือ การมีสติระลึกอยู่ในลมหายใจเข้าออก องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์

อานาปานสติ เป็นกรรมฐานหนึ่งในอนุสสติ ๑๐ และเป็นสติปัฏฐานด้วย การเจริญอานาปานสติจึงเป็นไปได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า :- 🔅ถ้าบุคคลปฏิบัติอานาปานสติ เธอชื่อว่าทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ ถ้าบุคคลปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เธอชื่อว่าทำโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ ถ้าบุคคลปฏิบัติโพชฌงค์ ๗ เธอชื่อว่าทำวิมุตติและวิชชาให้บริบูรณ์”

“ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธินี้แล อันพระโยคีเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นสภาพสงบ ประณีต สดชื่น เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมชั่วร้ายที่เกิดขึ้นแล้วๆ ให้อันตรธานสงบไปโดยพลัน เปรียบเสมือนฝนใหญ่ที่ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาล ยังฝุ่นละอองที่ฟุ้งขึ้นในเดือนท้ายฤดูร้อนให้อันตรธานไปสงบโดยพลัน ฉะนั้น

นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังทรงสรรเสริญอานาปานสติว่าเป็นอริยวิหาร (ธรรมเครื่องอยู่ของพระอริยะ) พรหมวิหาร (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม) และตถาคตวิหาร (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระพุทธเจ้า) นับว่าอานาปานสติเป็นกรรมฐานที่สำคัญยิ่ง พระพุทธองค์ทรงสนับสนุนให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติการเจริญอานาปานสติหากจะให้จิตสงบถึงระดับฌานต้องหาสถานที่ที่สงบสงัด เช่น เรือนว่าง ในถ้ำ โคนต้นไม้หรือในป่าที่ไม่มีผู้ใดหรือเสียงรบกวน เพราะเสียงเป็นปฏิปักษ์กับฌาน เมื่อเลือกสถานที่ได้แล้วให้นั่งคู้บัลลังก์หรือนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรงอย่าค้อมมาข้างหน้าหรือแอ่นไปข้างหลัง เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วหัวแม่มือจรดกัน การนั่งในท่านี้มีผลดีคือทำให้ตัวตรง เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลมหายใจเดินสะดวก นั่งได้นาน สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ทำให้ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้จะนั่งห้อยเท้า นั่งบนเก้าอี้ก็ได้ ให้เลือกเอาอิริยาบถที่นั่งได้สบายพอดี ผ่อนคลาย ไม่ฝืนเกินไป และเป็นท่านั่งที่ทำให้นั่งได้นาน เมื่อนั่งไปเรียบร้อยแล้วให้หลับตาลงเบาๆ อย่าเกร็ง ในการเริ่มแรกให้หายใจยาวๆ ลึกๆ ช้าๆ ที่เรียกว่าหายใจเข้าให้เต็มปอด ให้จิตใจโปร่งสบาย ต่อไปก็ให้หายใจตามปกติธรรมดา คอยกำหนดลมหายใจเข้าออกให้รู้ชัด รู้สึกตัวตลอดไม่หลงลืมหรือเผลอสติ เมื่อหายใจออกก็ให้รู้ชัดว่าหายใจออก หายใจเข้าก็ให้รู้ชัดว่าหายใจเข้า หายใจออกยาวก็ให้รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หายใจเข้ายาวก็ให้รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว หายใจออกสั้นก็ให้รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น หายใจเข้าสั้นก็ให้รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น การกำหนดลมหายใจเข้าออกนี้ให้นับไปด้วย จะได้ไม่เผลอสติหรือลืมกำหนด

วิธีเจริญอานาปานสติ
ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดสติหายใจออก กำหนดสติหายใจเข้า
๑. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
๒. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น
๓. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า
๔. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้า
๕. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
๖. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า
๗. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจเข้า
๘. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจเข้า
๙. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า
๑๐. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า
๑๑. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า
๑๒. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า
๑๓. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า
๑๔. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า
๑๕. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจเข้า
๑๖. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืนหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืนหายใจเข้า

ในที่นี้ คำว่า สำเหนียก หมายความว่า มีสติกำหนดที่จุดลมหายใจกระทบ สำหรับคนจมูกยาวลมจะกระทบที่กระพุ้งจมูก สำหรับคนจมูกสั้นลมจะกระทบที่เหนือริมฝีปากบน เพราะส่วนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับลมหายใจเข้าออก ถ้ารู้การกระทบก็แสดงว่ามีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ไม่ต้องพิจารณาลมที่เข้าไปแล้วหรือลมที่ออกไปแล้ว มีสติกำหนดรู้อยู่ ณ บริเวณจุดที่ลมกระทบเท่านั้น เพราะการที่พิจารณาตามลมที่เข้ามาหรือออกไปนั้นจะเป็นเหตุทำให้จิตฟุ้งซ่าน กายและจิตก็จะกระสับกระส่าย ภาวะอย่างนี้เป็นโทษ การหายใจก็ไม่ควรหายใจแบบตั้งใจทำ เช่น หายใจยาวเกินไป หรือสั้นเกินไป เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน กายและจิตจะกระสับกระส่าย สิ่งเหล่านี้เป็นโทษไม่ควรปฏิบัติ

ควรปฏิบัติไปตามสมควร คือ ไม่พากเพียรหนักหรือหย่อนเกินไป ถ้าหย่อนเกินไป ความหดหู่และเซื่องซึม(ถีนมิทธะ) ก็จะครอบงำ ถ้าพากเพียรมากเกินไปก็จะฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)

การเตรียมตัวขั้นพื้นฐานก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการปฏิบัติ
ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติควรศึกษาข้อปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ๔ ประการ ดังนี้
๑ . การนับลม การนับลมแบ่งออกเป็น ๒ ตอน คือ
        ๑.๑ การนับลมหายใจเข้าออกด้วยวิธีนับช้าๆ ดุจคนตวงข้าวเปลือก การนับช้าๆ นั้นหมายความว่า ต้องนับแต่ลมหายใจเข้าหรือหายใจออกที่รู้สึกชัดเจนทางใจเท่านั้น ส่วนลมหายใจที่ไม่รู้สึกชัดเจนทางใจให้ทิ้งเสีย ไม่ต้องนับ สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็ควรกำหนดการหายใจเข้าออกอย่างช้าพอประมาณเพื่อจะได้กำหนดรู้ทันและนับถูก

ลมออกนับ ๑ ลมเข้านับ ๑
ลมออกนับ ๒ ลมเข้านับ ๒
ลมออกนับ ๓ ลมเข้านับ ๓

ให้นับเช่นนี้ จนถึง ๕,๕ แล้วเริ่มใหม่นับ ๑,๑ จนถึง ๖,๖ แล้วเริ่มใหม่นับ ๑,๑ ถึง ๗,๗ ..... เริ่มใหม่นับ ๑,๑ ถึง ๑๐, ๑๐ เมื่อถึง ๑๐ ,๑๐ แล้วย้อนกลับมานับที่ ๑,๑ ถึง ๕,๕ ใหม่ ดังนี้

๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘ ๙,๙
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘ ๙,๙ ๑๐,๑๐

๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕

        ๑. ๒ นับลมเข้าออกด้วยวิธีนับเร็ว ไม่ต้องเอาสติตามลมเข้าลมออก ให้เอาสติกำหนดการกระทบของลมที่กระพุ้งจมูก หรือที่เหนือริมฝีปากบน แล้วแต่ว่าจะรู้สึกชัดเจนที่ไหน การนับไม่ต้องนับเป็นคู่ ให้นับ ๑ ถึง ๕ แล้วเพิ่ม ๑ ถึง ๖ จนกระทั่งนับ ๑ ถึง ๑๐ และย้อนกลับมานับ ๑ ถึง ๕ ใหม่ จนสติแน่วแน่

๑, ๒, ๓, ๔, ๕,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐,

๑, ๒, ๓, ๔, ๕,

๒. การติดตาม เมื่อนับลมแล้ว ผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างต่อเนื่อง อย่างนี้เรียกว่าการติดตาม (หมายถึงการมีสติติดตามรู้การกระทบของลมอยู่อย่างต่อเนื่อง เรียกว่าการติดตาม มิได้หมายถึงตามลมที่หายใจเข้าไปในท้องแล้ว หรือ ลมหายใจออก)

๓. การกระทบ เมื่อรู้แล้วว่าลมหายใจของเรานั้นกระทบ ณ จุดใด ก็ให้ทำสัญญาจำไว้ว่าลมหายใจของเราจะกระทบ ณ จุดนี้ อย่างนี้เรียกว่า รู้การกระทบ การปฏิบัติในอานาปานสติจะทิ้งการรู้การกระทบไม่ได้เลย เพราะว่าเมื่อนับลมหายใจตามวิธีการในข้อที่ ๑ แล้ว จนชำนาญก็ให้ทิ้งการนับลมหายใจได้ แต่ก็ต้องกำหนดรู้ลมหายใจโดยการกระทบอยู่ตลอด
๔. การตั้งมั่น เมื่อมีความชำนาญในการกระทบแล้ว ผู้ปฏิบัติก็ทำให้มากให้มั่นคง และควรทำให้ปีติ สุข และธรรมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในที่นี้ตั้งมั่นด้วย เช่น เมื่อกำหนดลมหายใจแล้วจิตใจมีความเบิกบาน ก็พยายามทำความเบิกบานให้เกิดขึ้นบ่อยๆในขณะปฏิบัติ

ประโยชน์ในการปฏิบัติตามเป็นขั้นตอน
👉 การนับลมทำให้ระงับวิจิกิจฉา
👉 การติดตามทำให้ระงับวิตกที่หยาบ และทำให้อานาปานสติเกิดขึ้นไม่ขาดตอน
👉 การกระทบทำให้กำจัดความฟุ้งซ่าน และทำให้สัญญามั่นคง
👉 การตั้งมั่น ทำให้ปีติและสุขเกิดขึ้น

อานาปานสติ เป็นกรรมฐานที่ต่างจากกรรมฐานอื่นๆ คือ กรรมฐานอื่นๆ ยิ่งปฏิบัติอารมณ์ยิ่งปรากฏชัด แต่อานาปานสติเมื่อเจริญไปแล้ว ลมหายใจยิ่งละเอียดจนเหมือนกับว่าไม่มีลมหายใจ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติต้องมีความรู้ในการปฏิบัติว่า บุคคลทั้งหลายที่ยังไม่ตายก็ต้องมีลมหายใจ แล้วใส่ใจในการกระทบของลมให้มากขึ้นลมหายใจก็จะกลับคืนมา

วิธีฝึกอานาปานสติ ๑๖ ประการ
ประการที่ ๑ และประการที่ ๒ เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น การมีสติระลึกรู้ในลมหายใจที่เข้าออกว่ายาว ว่าสั้นนั้น ก็รู้ได้ตอนที่มีสติรู้ว่าลมหายใจกระทบนานหรือไม่ ถ้าลมหายใจกระทบนานก็แสดงว่าลมหายใจยาว ถ้ากระทบไม่นานก็แสดงว่าลมหายใจสั้น การกำหนดรู้อย่างนี้จะทำให้ไม่หลงลืมสติ ไม่หลงลืมการกำหนดลม

ประการที่ ๓ เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจออก เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจเข้า รู้กายทั้งปวงมีวิธีการ ๒ อย่าง คือ โดยความไม่หลง และโดยอารมณ์
    ๓.๑ ผู้ปฏิบัติอานาปานสติ และเจริญสมาธิโดยการกำหนดรู้การกระทบของลมหายใจพร้อมด้วยปีติและสุขอย่างนี้ จะมีผลทำให้ไม่หลงลืมการกำหนดลมหายใจ
    ๓.๒ ลมหายใจเข้าและออกนี้ เมื่อกำหนดโดยเป็นอารมณ์แล้ว ก็ต้องให้รู้ว่าลมหายใจนี้เป็นรูป ส่วนจิตและสติที่กำหนดรู้การกระทบนี้เป็นนาม การกำหนดอย่างนี้เป็นวิปัสสนา คือรู้ทั้งสิ่งที่ถูกรู้ (ลมหายใจที่กระทบ) และรู้สิ่งที่รู้การกระทบ (จิตและเจตสิกนั่นเอง)

ประการที่ ๔ เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจออก เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้า ถ้าถามว่า อะไรคือกายสังขาร ? ตอบว่า ลมหายใจนั่นเอง คือ เป็นกายสังขาร ลมหายใจแรก ๆ เป็นลมหายใจหยาบระคนด้วยความเร้าร้อนเพราะจิตเร้าร้อน แต่ถ้ากำหนดรู้ลมหายใจที่หยาบนั้นได้เท่าทัน ต่อไปลมหายใจก็ละเอียด ลมหายใจละเอียดนั้นจัดว่าเป็นกายสังขารที่สงบระงับ ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติต่อไปจนปฐมฌานเกิดขึ้นได้ โดยอาศัยกายสังขารที่สงบระงับ

ประการที่ ๕ เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจออก เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าออกทำปีติให้เกิดขึ้นในฌาน ๒ ปีตินี้สามารถรู้ได้โดยวิธีการ ๒ อย่าง คือ
    (๑) โดยความไม่
หลง
    (๒) โดยอารมณ์ ในที่นี้ ผู้ปฏิบัติเข้าฌานและรู้ปีติโดยไม่หลง โดยการตรวจสอบ โดยการครอบงำ
และโดยอารมณ์
- รู้โดยอารมณ์ คือ เมื่อผู้ปฏิบัติอานาปานสติจนได้ฌานที่ ๒ เข้าฌาน ๒ ที่มีปีติ สุข เอกัคคตา ปีติย่อมเป็นธรรมชาติที่ผู้ปฏิบัตินั้นรู้แจ้งใน อารมณ์นั้น เมื่อออกจากฌานแล้วก็พิจารณาปีติที่เคยได้แล้ว 
- รู้โดยไม่หลงลืม ? คือ ครั้นเข้าฌาน ๒ ที่มีปีติ ออกจากฌาน ๒ แล้ว ผู้ปฏิบัติพิจารณาปีติที่ประกอบในฌานที่ ๒ นั้นโดยความสิ้นไปเสื่อมไป ปีติก็เป็นอันได้ชื่อว่ารู้แจ้งแล้วโดยไม่หลงลืม การรู้ลักษณะของปีติโดยความสิ้นไปเสื่อมไปนี้ เป็นการรู้ด้วยวิปัสสนาปัญญา

ประการที่ ๖ เราจักรู้แจ้งสุข หายใจเข้าออก เราจักรู้แจ้งสุข หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าออก ทำสุขให้เกิดขึ้น ในฌาน ๓ สุขนี้สามารถรู้ได้โดยวิธีการ ๒ อย่าง เหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๗ เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจออก เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจเข้า “จิตตสังขาร” หมายถึง “สัญญาและเวทนา ” ผู้ปฏิบัติทำจิตตสังขารเหล่านี้เกิดขึ้นในฌาน ๔ รู้โดยวิธีการ ๒ อย่าง เหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๘ เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขาร หายใจออก เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจเข้า จิตตสังขารนี้ คือ “สัญญาและเวทนา ” ผู้ปฏิบัติระงับจิตตสังขาร โดยวิธีการ ๒ อย่างเหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๙ เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจออก เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจในลมหายเข้าออก จิตรู้การเข้ามาและออกไปของอารมณ์ โดยวิธีการ ๒ อย่าง เหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๑๐ เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจออก เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจเข้า “ปีติ” หมายถึงความรื่นเริง บันเทิง ปลื้ม เบิกบาน ในฌาน ๒ ผู้ปฏิบัติทำจิตให้บันเทิง

ประการที่ ๑๑ เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก เราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจในลมหายใจเข้าออก ตั้งจิตอยู่กับอารมณ์ด้วยสติ และด้วยฌาน เมื่อทำให้จิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมทำให้อานาปานสติสำเร็จ

ประการที่ ๑๒ เราจักเปลื้องจิต หายใจออก เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจในลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตเฉื่อยชา หดหู่ จงทำจิตให้หลุดพ้นจากความหดหู่ ถ้าจิตมีความขวนขวายมากเกินไป จงทำจิตให้พ้นจากความฟุ้งซ่าน ถ้าจิตฟูขึ้น จงทำจิตให้พ้นจากราคะ ถ้าจิตคับแค้น จงทำจิตให้พ้นจากโทสะ ถ้าจิตเศร้าหมอง จงทำจิตให้พ้นจากอุปกิเลส ถ้าจิตไม่มุ่งหน้าต่ออารมณ์ และไม่พอใจอยู่กับอารมณ์นั้น จงทำจิตของตนให้มุ่งหน้าต่ออารมณ์นั้น เปลื้องจิตจากนิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนา เปลื้องจิตจากสุข -สัญญาด้วยทุกขานุปัสสนา เปลื้องจิตจากอัตตสัญญาด้วยอนัตตานุปัสสนา จงพยายามฝึกตนอย่างนี้

ประการที่ ๑๓ เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าและออก พิจารณาเห็นโดยความไม่เที่ยง คือ ขณะหายใจเข้าออกพิจารณาตามเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้

ประการที่ ๑๔ เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าและลมหายใจออก คิดอย่างนี้ว่า “นี้คือความไม่เที่ยง นี้คือความไม่กำหนัด นี้คือความดับ นี้เป็นนิพพาน” จงพยายามฝึกตนอย่างนี้

ประการที่ ๑๕ เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติเมื่อรู้ชัดนิวรณ์ทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้วพิจารณาว่า นิวรณ์เหล่านี้ไม่เที่ยง ความดับของนิวรณ์เหล่านี้คือนิพพาน จงมีทัศนะที่สงบ และจงพยายามฝึกตนอย่างนี้

ประการที่ ๑๖ เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึ่งรู้ชัดทุกข์โทษตามความเป็นจริง พิจารณาสิ่งเหล่านี้ โดยความไม่เที่ยง เธอทำให้ตัวเองพ้นจากทุกข์โทษ อยู่ในความดับ คือนิพพาน จงศึกษาและพยายามฝึกตน บัณฑิตพึงเข้าใจดังนี้

สังขารทุกอย่างถูกนำไปสู่ความระงับ กิเลสทุกอย่างถูกละทิ้งไป ตัณหาถูกทำลาย ราคะสิ้นไป เป็นความสงบที่เกิดจากนิพพาน

หมายเหตุ วิธีฝึกอานาปานสติ ๑๖ ประการนี้ ๑๒ ประการแรกทำให้ได้ทั งสมถะและวิปัสสนา ส่วน ๔ สุดท้าย ทำให้ได้วิปัสสนาอย่างเดียว

นิมิตของอานาปานสติ
ผู้เจริญอานาปานสติจนนิมิตเกิดขึ้น นิมิตจะมีหลายลักษณะ บางท่านนิมิตปรากฏเหมือนกับปุยนุ่น เหมือนกับปุยฝ้าย เหมือนกับสายลม บางท่านปรากฏเหมือนดวงดาว เหมือนเม็ดมณี เหมือนเม็ดไข่มุกดา บางท่านนิมิตปรากฏเป็นสิ่งมีสัมผัสหยาบเหมือนเม็ดฝ้าย และเหมือนเสี้ยนไม้แก่น บางท่านเหมือนสายสังวาลยาวเหมือนพวงดอกไม้ เป็นต้น

การปฏิบัติอานาปานสติจะบรรลุธรรมในสติปัฏฐาน ๔ ได้หรือไม่ ?
สติปัฏฐานที่เริ่มกำหนดลมหายใจออกยาวและเข้ายาว คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานที่เริ่มจากรู้ปีติ คือ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานที่เริ่มจากการรู้จิต คือ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

สติปัฏฐานที่เริ่มจากการเห็นความไม่เที่ยง คือ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ปฏิบัติพึงบำเพ็ญอานาปานสติอย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นผู้ทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์

สิ่งที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติของบุคคล ที่เรียกว่าสัปปายะหรือ อสัปปายะ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ คือ
สัปปายะ คือ สิ่งที่สบายมี ๗ ประการ
๑. อาวาส ที่อยู่เป็นที่สบาย
๒. โคจร ที่บิณฑบาต หรือแหล่งอาหารไม่อดอยาก
๓. ภัสสะ พูดคุยแต่เรื่องที่เสริมการปฏิบัติ
๔. บุคคล ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยทำให้จิตใจผ่องใส มั่นคง
๕. โภชนะ อาหารให้พอเหมาะ และถูกกับธาตุ
๖. อุตุ สภาพแวดล้อมและอุณหภูมิเหมาะกับร่างกาย
๗. อิริยาบถ อิริยาบถเป็นที่สบาย

อสัปปายะ คือ สิ่งที่ไม่สบายมี ๗ ประการ
ตรงข้ามกับสัปปายะ เช่น อาวาส หรือที่พักที่อยู่ไม่สบาย หรืออุตุ ไม่สัปปายะ คืออากาศไม่สบายแก่ผู้ปฏิบัติเช่น ร้อนเกินไป หรือหนาวเกินไป เป็นต้น และควรจะปฏิบัติในอัปปนาโกศล ๑๐

อัปปนาโกศล ๑๐ ได้แก่
๑. ทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้สอย ที่อยู่ และชำระกายให้สะอาด
๒. ต้องเข้าใจในการกำหนดลมหายใจ
๓. ต้องข่มจิตในคราวที่จิตมีความพยายามมาก
๔. ต้องยกจิตในคราวที่จิตง่วงเหงา หรือเกียจคร้านในการเจริญภาวนา
๕. ทำจิตที่เหี่ยวแห้งให้เบิกบานปีติโสมนัส
๖. วางเฉยต่อจิตที่กำลังดำเนินงานสม่ำเสมออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
๗. เว้นการคลุกคลีกับคนที่ไม่มีสมาธิ
๘. คบหากับบุคคลที่มีสมาธิ
๙. อบรมอินทรีย์ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ให้มีกำลังเสมอกัน)
๑๐. มีจิตน้อมที่จะได้อัปปนาฌาน

หากปฏิบัติดังนี้ปฏิภาคนิมิตก็จะไม่เสื่อมหายไปและ ได้รูปฌานตามลำดับ ถึงขั้นสูงสุด คือปัญจมฌานได้ หรือถึงแม้ว่าผู้เจริญอานาปานสติเพียรปฏิบัติแล้วนิมิตไม่เกิดก็อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ เพราะถึงแม้นิมิตไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีสติกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอนั้น เป็นการปฏิบัติที่ทำให้จิตกุศล ทำให้กุศลเจริญขึ้นอยู่เนื่อง ๆ เช่นนี้เป็นการเจริญกุศลขั้นสูง ก็ขอให้เพียรสั่งสมกุศลนี้ให้ต่อเนื่องไป

อานิสงส์ของอานาปานสติ คือ
๑. ทำให้ได้ถึงรูปปัญจมฌาน
๒. เป็นบาทของมรรค ผล
๓. ป้องกันไม่ให้เกิดความฟุ้งซ่าน
๔. ผู้ที่สำเร็จอรหัตตผลโดยใช้อานาปานสติเป็นบาทฐาน ย่อมสามารถกำหนดรู้อายุสังขารของตนว่าจะอยู่ได้เท่าใด

อานาปานสติเป็นกรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญและทรงปฏิบัติอยู่เสมอ เป็นบาทฐานไปสู่
วิปัสสนา เป็นกรรมฐานที่ไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์มาปฏิบัติ ต่างจากกรรมฐานอื่นๆ เช่น กสิณ อสุภะ ที่ต้องหาอุปกรณ์ ต้องจัดเตรียมการ แต่อานาปานสติใช้เพียงลมหายใจที่มีอยู่แล้วกับตัวเรา และเป็นกรรมฐานที่ปฏิบัติแล้วเบาสบายปลอดโปร่ง

ในอนุสสติ ๑๐ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ อุปสมานุสสติ มรณานุสสติ ๘ ประการแรกนี้ เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถยังสมาธิเพียงขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น เพราะการเจริญในอารมณ์กรรมฐานแต่ละอย่างนั้นมีความหลากหลาย เช่น พุทธานุสสติ ต้องพิจารณาคุณของพระพุทธเจ้าถึง ๙ ประการ ทำให้จิตไม่สามารถตั้งมั่นได้ ฉะนั้นจึงมีผลสำเร็จเพียงขั้นอุปจารสมาธิ

ส่วนอนุสสติที่เหลืออีก ๒ คือ กายคตาสติ และ อานาปานสติ เมื่อเจริญแล้วยังสมาธิได้ขั้นสูงถึงอัปปนาสมาธิ ผู้เจริญกายคตาสติจนบรรลุถึงอัปปนาสมาธิแล้วย่อมยังผลให้สำเร็จฌานในขั้นปฐมฌานเท่านั้น แต่อานาปานสติยังผลให้ได้ถึงขั้นรูปปัญจมาฌาน

จบ อานาปานสติ