วันพฤหัสบดี

๑.๖ อนัตตา

เมื่อว่าโดยสรุป พระอรรถกถาจารย์ประมวลความหมายของอนัตตาแสดงไว้ ดังนี้

๑. ไม่เป็นไปในอำนาจ คือ โดยธรรมดาที่เป็นสภาวธรรมซึ่งมีสภาวะตามที่เป็นของมันอย่างนั้นๆ มันจึงไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่ขึ้นต่อผู้ใด ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีตัวตนที่ไหนจะมีอำนาจสั่งบังคับมันได้ ใครจะเรียกร้องหรือปรารถนาให้มันเป็นอย่างใดๆ ไม่ได้

ถ้าเป็นสังขตธรรม มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน จึงมีแต่ว่า ถ้าต้องการจะให้มันเป็นอย่างไร ก็ต้องทำการอันเป็นเหตุปัจจัยที่จะให้มันเป็นไปของมันที่จะเป็นอย่างนั้น
ถ้าเป็นอสังขตธรรม (นิพพาน) ก็มีอยู่เป็นอยู่ตามสภาวะที่ไม่ขึ้นต่อเหตุปัจจัยอยู่อย่างนั้น

๒. แย้งต่ออัตตาและเป็นสภาพว่าง (แต่ไม่ใช่ความขาดสูญ) คือ โดยสภาวะของมันเองก็ปฏิเสธอัตตาอยู่ในตัว หมายความว่า โดยธรรมดาที่เป็นสภาวะธรรมซึ่งมีภาวะตามที่เป็นของมันอย่างนั้นๆ ถ้ามีอัตตา ก็ย่อมขัดแย้งกัน ทำให้ภาวะของสภาวะธรรมไม่เป็นอยู่เป็นไปตามที่มันเป็นของมันอย่างนั้นๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอัตตา แต่มีลักษณะเป็นสภาพว่าง คือ ว่างจากความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาที่แท้จริง ไม่มีตัวผู้สิงสู่อยู่ครอง ไม่มีตัวผู้สร้างสรรค์บันดาล ไม่มีตัวผู้เสพเสวย นอกจากโดยการสมมติ พูดง่ายๆว่า ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จากความเป็นนั่นเป็นนี่ ที่ยึดถือกันไปหรือกำหนดหมายกันขึ้น

อนัตตา คือ ภาวะที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามสภาพของมันไม่ขึ้นต่อการสั่งบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาของใคร แต่ด้วยอิทธิพลของตัณหาทำให้เกิดการสร้างตัวตนขึ้นมายึดไว้ จึงกระทบกระทั่งเป็นทุกข์เมื่อไม่ได้สมดังปรารถนา ต่อเมื่อเห็นตามเป็นจริงว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามครรลองของมันเองแล้ว ตัวตนในความเป็นจริงย่อมเกิดไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่กระทบ ไม่มีที่ก่อตัว

คัมภีร์วิสุทธิมรรค แสดงอรรถของอนัตตาไว้ว่า “ชื่อว่าเป็นอนัตตา โดยความหมายว่า ไม่มีแก่นสาร ไม่มีแกน ไม่มีสิ่งซึ่งเป็นตัวแท้ที่ยืนยงคงตัวอยู่ตลอดไป เป็นผู้สิงสู่อยู่ครอง เป็นผู้สร้างหรือบันดาล เป็นผู้เสวย เป็นผู้มีอำนาจในตัว เพราะว่าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ (คงตัวอยู่ไม่ได้) มันไม่สามารถห้ามความไม่เที่ยงแม้ของตัวมันเองได้ แล้วความเป็นผู้สร้างผู้บันดาล เป็นต้นของมัน จะมีมาจากที่ไหน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้วไซร้ รูปนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ มีความบีบคั้นขัดแย้งข้องขัดต่างๆ ดังนี้เป็นอาทิ”

นอกจากนี้คัมภีร์วิสุทธิมรรคยังกล่าวไว้น่าฟังว่า “ผู้ทำกรรมไม่มี ผู้เสวยผลก็ไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆเป็นไป ผู้สร้างสังสารวัฏฏ์ หามีไม่ มีแต่ธรรมล้วนๆเป็นไป เพราะเหตุปัจจัยประกอบกันเข้า ความเห็นอย่างนี้จึงเป็นสัมมาทัศนะ” ความเห็นว่ามีอัตตานั้นเป็นเพียงมิจฉาทิฏฐิ เป็นความยึดถือไปตามความเห็นผิด การละอัตตา จึงไม่ได้หมายถึงการละตัวอัตตาจริงๆ (เพราะไม่มีมาตั้งแต่ต้น) แต่เป็นการละความยึดติดว่ามีอัตตา

หลักการของพระพุทธศาสนา บางครั้งก็สรุปด้วยคำว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่อาจเข้าไปยึดมั่นถือมั่นได้” เพราะอะไร? เพราะว่าสิ่งทั้งหลายนั้นไม่ได้เป็นไปตามความปรารถนา หรือตามความยึดมั่นของเรา แต่มันเป็นไปตามธรรมดาแห่งเหตุปัจจัยของมัน ถึงเราจะไปยึดมั่น ก็ไม่มีผลอะไรต่อตัวความจริง มีแต่จะกระทบกระเทือนต่อตัวเราเอง ทำให้เราแย่เอง คือ เดือดร้อนเป็นทุกข์

วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องคือ เราจะต้องรู้ความจริงของเหตุปัจจัยแล้วไปทำที่เหตุปัจจัย “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า ข้อที่ว่าเรายังยึดถืออยู่จะเป็นผู้ไม่มีโทษนั้น จะมีอยู่บ้างหรือไม่หนอในโลก อริยสาวกนั้นย่อมรู้อย่างนี้ว่า ข้อที่ว่าเรายังยึดถืออยู่จะเป็นผู้ไม่มีโทษนั้น ไม่มีเลยในโลก” (ปิณโฑลยสูตร)

ประเด็นนี้ควรทำความเข้าใจให้ชัด บางท่านเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว กลายเป็นว่า ไม่เอาเรื่องเอาราว ปล่อยปละละเลย ต้องการผลแต่ไม่ทำเหตุที่ควรทำ ซึ่งเป็นความประมาท ที่ท่านว่าไม่ยึดนั้นหมายถึง ไม่ยึดติดถือมั่นด้วยกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ในหัวข้อนี้



มีมิจฉาทิษฐิซึ่งเป็นการแล่นสุดโต่งแห่งความคิดเห็นด้านหนึ่งไปยังสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง ที่อาจพบได้
🔅
พวกหนึ่งเห็นว่าเที่ยง ชีวิตเมื่อตายลง ตัวอัตตานี้จะคงอยู่และไปเวียนว่ายตายเกิด คือเห็นว่า สัตว์บุคคลตัวตน เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไป (สัสสตทิฏฐิ)
🔅 พวกหนึ่งเห็นว่าขาดสูญ ชีวิตเมื่อตายลง ก็จบสิ้นไปคือ เห็นว่าสัตว์ บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ไม่เที่ยง ดำรงอยู่ชั่วคราวแล้วสูญสิ้นไป (อุจเฉททิฏฐิ)
🔅 พวกหนึ่งเห็นว่า ทำก็ไม่เป็นอันทำ หรือการกระทำไม่มีผล (อกิริยทิฏฐิ)
🔅 พวกหนึ่งเห็นว่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีสภาวะที่จะกำหนดเอาเป็นหลักเป็นสาระได้ (นัตถิกทิฏฐิ)

(อกิริยทิฏฐิ และนัตถิกทิฏฐิ สามารถรวมลงใน อุจเฉททิฏฐิได้ ถ้าจัดอย่างคร่าวๆ จึงเหลือแค่ สัสสตทิฏฐิ กับ อุจเฉททิฏฐิ)


แม้แต่ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าใจไม่ชัดเจนถ่องแท้ ก็อาจตกไปในมิจฉาทิฏฐิ อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาหลักกรรมในแง่สังสารวัฏ ถ้าเข้าใจพลาด ก็อาจกลายเป็นสัสสตทิฏฐิ, ผู้ที่ศึกษาหลักอนัตตา ถ้าเข้าใจพลาด ก็อาจกลายเป็นอุจเฉททิฏฐิ อกิริยทิฏฐิ หรือนัตถิกทิฏฐิ ผู้เห็นโลกอย่างเป็นกลางๆตามความเป็นจริง ชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐิ ดังพุทธพจน์ที่ท่านมักแสดงแก้ความเข้าใจผิดของผู้ถามในเรื่องนี้โดยมีความในตอนท้ายๆเหมือนกันว่า “ตถาคตไม่เข้าไปติดที่สุดทั้งสองข้างนั้น ย่อมแสดงธรรมเป็นกลางๆว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ”

วิสุทธิมรรค “ในกระบวนแห่งสังสาระนี้ ผู้สร้างสังสาระ หามีไม่ มีแต่ธรรมทั้งหลายล้วนๆ เป็นไป ด้วยอาศัยการประชุมพร้อมแห่งเหตุเป็นปัจจัย” และในเมื่อกระบวนธรรมในสังสารวัฏฏ์ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย การกระทำทุกอย่างจึงย่อมต้องมีผล ไม่มีทางสูญเปล่า และเป็นการมีผลโดยไม่ต้องมีผู้รับผล คือผลเกิดขึ้นในกระบวนธรรมเอง

อนึ่ง การพูดถึงเรื่อง อัตตามีหรือไม่มีนั้น ถ้าผู้ฟังไม่มีพื้นความรู้เพียงพอ จะทำให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน สร้างความคิดเหตุผลไปตามแนวตัณหาและทิฏฐิของตน และต้องแล่นไปตกในทิฏฐิที่ตรงข้ามกันสองอย่างเสมอไป คือถ้าไม่ลงสัสสตทิฏฐิ ก็ต้องลงอุจเฉททิฏฐิ แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ก็ตรัสเรื่องอัตตา-อนัตตา อย่างทรงระมัดระวัง ตามพื้นความรู้ของผู้ฟัง (คนเรามักมีความรู้สึกยึดถือในความเป็นตัวเป็นตนอยู่โดยสัญชาติญาณ เมื่อได้ศึกษาเรื่องอนัตตา อาจเกิดความสงสัยว่า ถ้าไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้คงที่อยู่แล้ว สิ่งใดเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด ควรพิจารณาว่ากระบวนธรรมนี่แหละที่เป็นไป ทำกรรมดีย่อมส่งผลให้วิบากอันเป็นสุขเกิดแก่กระบวนธรรมนี้ ทำกรรมชั่วย่อมส่งผลให้วิบากอันเป็นทุกข์เกิดแก่กระบวนธรรมนี้ สืบต่อเนื่องกันเรื่อยไปตามธรรมดา)

(เสถียร โพธินันทะ) “ผู้ที่มีสัสสตทิฏฐินั้นยังดีกว่าอุจเฉททิฏฐิ เพราะมักจะถือว่ากรรมมี เมื่อขวนขวายทำกรรมดีให้มากแล้ว จึงอาจไปสวรรค์หรือพรหมโลกได้ แต่อุจเฉททิฏฐิ (อย่างแรงชนิดที่ว่าไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม เห็นว่าทำดีทำชั่วล้วนไม่มีผล) ลงอบายอย่างเดียว”



ปล่อยว่าง (อัญญาณุเบกขา)

อัญญาณุเบกขา หมายถึง เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยไม่เอาเรื่อง เฉยไม่ได้เรื่อง
คนทั่วไปนึกไม่ออกว่า อุเบกขา ดีอย่างไร
ต้องมีปัญญาชั้นเลิศจึงจะรู้จักความประเสริฐของอุเบกขา
อุเบกขาที่เราเอามาใช้กันในหมู่คนไทยนั้นต้องระวัง ถ้าเฉยเรื่อยเปื่อยทางพระเรียกว่า “เฉยโง่” เป็นอกุศล



คำพระว่า “อัญญาณุเบกขา” หมายถึง เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยไม่เอาเรื่อง เฉยไม่ได้เรื่อง
แต่เฉยของธรรม คือ เฉยด้วยปัญญา เพราะรู้แล้ว ก็วางตัวพอดี โดยทั่วไป เมื่อมีสถานการณ์ตื่นเต้นเกิดขึ้น จะมีคน ๓ พวก คือ…
๑. คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จึงเฉย
๒. คนที่รู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง อาจจะตื่นเต้นโวยวาย ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น แต่แก้ไขปัญหาไม่ค่อยได้ บางทีตื่นเต้นโวยวายไปยิ่งทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต
๓. คนที่รู้เข้าใจหมด มองเห็นว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร เหตุปัจจัยเป็นอย่างไร มันจะเป็นไปอย่างไร จะแก้ไขที่จุดไหน ถึงจุดไหนจะต้องทำอะไร พวกนี้เฉยเหมือนกัน แต่เฉยพร้อมรอจังหวะ เมื่อถึงจุดนั้น ต้องทำอันนั้น ที่จุดนั้น ต้องทำอันนั้น เขาเฉย แต่พร้อมที่จะทำไปตามลำดับ ให้ถูกจุดถูกที่ พวกนี้แก้ปัญหาได้

ความนิ่งเฉยด้วย”รู้”นี่แหละ เรียกว่า “อุเบกขา”
อุเบกขานี้เป็นธรรมสูงสุดในทางจริยธรรม สภาพจิตปกติของพระอรหันต์ คือ อุเบกขา เพราะอยู่ด้วยจิตที่ลงตัวพอดี ด้วยปัญญา มีอุปมาอย่างหนึ่ง คือ เรื่องสารถีขับรถ

สมัยก่อนนี้ คนขับรถม้า เอาม้าผูกเข้ากับรถแล้ว ม้าก็พารถไป สารถีที่เชี่ยวชาญขับรถม้า ก่อนที่รถจะวิ่งเข้าที่ แกก็ต้องชักบังเหียนบ้าง ใช้แส้บ้าง เพื่อให้ม้าพารถเข้าสู่ทาง แล้วก็ปรับความเร็วให้พอดี พอม้าวิ่งเข้าทางดี และได้ความเร็วพอดีตามที่ต้องการแล้ว สารถีผู้เชี่ยวชาญนั้น จะอยู่พร้อมด้วยความตระหนักรู้ แกนั่งสบายเลย สงบนิ่ง แต่จิตนั้นอยู่ด้วยความรู้ ไวต่อการที่จะรับรู้ และความคิดที่จะแก้ไข ไม่ว่าจะมีอะไรผิดพลาด เมื่อทุกอย่างลงตัวเข้าที่พอดีแล้ว เขานั่งสงบ และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหา

ต่างจากคนที่ไม่ชำนาญ ซึ่งตื่นเต้น หวาด ไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไร จะทำอย่างไร จิตไม่สบาย ไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่ลงตัว มนุษย์ที่ยังไม่รู้เท่าทันจัดเจนโลก ไม่รู้ความจริงของชีวิต ก็เหมือนกับสารถีที่ยังไม่เจนจบส่วนพระอรหันต์นั้น เหมือนกับสารถีที่เจนจบ ท่านรู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง จนวางจิตพอดีลงตัวหมด

ต่างจากมนุษย์ปุถชน ที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร โลกนี้เป็นอย่างไร อยากนั่น ยึดนี่ กังวลโน่น อยู่ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นใจตื่นเต้นไป จิตลงตัวอุเบกขาไม่ได้ อุเบกขานั้น ไม่ต้องวางหรอก มันถึงเอง เพราะมันเป็นสภาพจิตอัตโนมัติที่เกิดจากปัญญา โดยปัญญามาปรับสภาพจิต ฉะนั้น ปัญญา กับ อุเบกขาจึงคู่กัน พอปัญญาถึงขั้นเป็นโพธิญาณ หยั่งรู้ความจริงของชีวิตและโลก เจนจบ รู้เท่าทันสังขาร จิตก็ลงตัว เรียกว่าวางพอดีกับชีวิตและโลก เป็นอุเบกขาด้วยปัญญานั้น นี่คือจิตพระอรหันต์ ฉะนั้น จึงเหมือนสารถีที่ว่าเจนจบ สภาพนี้ดีแค่ไหน ก็ลองคิดดู

คนทั่วไปนึกไม่ออกว่า อุเบกขาดีอย่างไร นึกว่าเฉยๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว อย่างนั้นเป็นเฉยโง่ (อัญญาณุเบกขา)”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมนิพนธ์ “จะอยู่อย่างเป็นเหยื่อ หรือขึ้นเหนือไปนำเขา”



วันอังคาร

๑.๕ ไตรลักษณ์

ธรรม(สิ่ง)ทั้งหลายทั้งปวงแยกได้เป็น ๒ อย่าง

สังขตธรรม (สังขาร) : ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง, สิ่งทั้งหลายในโลกทั้งรูปธรรมและนามธรรมซึ่งมีความเกิด ดับ ผันแปร (มีลักษณะทั้ง ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

อสังขตธรรม (วิสังขาร) : ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง, สภาวะพ้นโลก, ธรรมอันเป็นที่สิ้นเหตุปัจจัย พ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ พ้นจากความไม่เที่ยงและพ้นจากความเป็นทุกข์ แต่ก็เป็นอนัตตา ไร้ตัว มิใช่ตน หมายถึง นิพพาน (มีลักษณะ อนัตตา)

ไตรลักษณ์ แสดงลักษณะอาการสามด้านหรือสามอย่างของเรื่องเดียวกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ด้วยเหตุเพราะสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นธรรมชาติ  ซึ่งมีลักษณะความเป็นไป โดยทั่วไปเสมอเหมือนกันตามธรรมดาของมัน ในฐานะที่เป็นของปรุงแต่ง เกิดจากเหตุปัจจัย และขึ้นต่อเหตุปัจจัยทั้งหลายเช่นเดียวกัน กล่าวได้ว่าเป็นสามัญลักษณะของสังขตธรรมนั่นเอง



คำอธิบายไตรลักษณ์ตามหลักวิชา

สิ่งทั้งหลายทั่วไป มีอยู่เป็นไปในรูปของกระแส ที่ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ อันสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน เกิดดับสืบต่อกันไปอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย องค์ประกอบทุกอย่างไม่คงที่ จึงเป็นสภาวะที่ไม่เที่ยง (อนิจจัง)

เมื่อแต่ละสิ่งแต่ละส่วนที่สัมพันธ์กัน เกิดดับไม่คงที่และเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่อาศัย ก็ย่อมแสดงถึงความบกพร่องไม่สมบูรณ์อยู่ในตัว, เป็นของมีภัย, คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้, ถูกเบียดเบียนด้วยความเกิดและความดับ, เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ (ทุกขัง)

(อนึ่ง ศัพท์คำว่า ทุกข์ เป็นคำศัพท์สำคัญในพระพุทธศาสนา ใช้ในความหมายที่กว้างและลึกกว่าในภาษาไทยมาก โดยปกติในภาษาไทยเราใช้คำว่า ทุกข์ กับ ความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจ ความทรมาน หรือความทุกข์ระทมขมขื่น แต่ในภาษาบาลี ทุกข์ หมายถึง ความคงสภาพอยู่ไม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นของมีภัย ไม่อาจให้ความปลอดโปร่งใจได้ของสิ่งต่างๆในโลกดังกล่าว การทำความเข้าใจศัพท์คำว่า ทุกข์ ให้กระจ่าง จะช่วยให้ผู้ศึกษาไม่เกิดความรู้สึกว่าพระพุทธศาสนามองโลกในแง่ร้าย เมื่ออ่านเนื้อหาบางตอน เช่น “การเกิดเป็นทุกข์” “ทั้งในกาลก่อนและบัดนี้ เราสอนแต่ทุกข์ และนิโรธแห่งทุกข์” เป็นต้น ทั้งนี้เพราะท่านมุ่งชี้ไปที่ตัวสภาวะนั่นเอง)

และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง (ทั้งสังขตะและอสังขตะ) ก็มีภาวะที่เป็นอย่างนั้นๆ ตามธรรมดาของมันเอง จึงย่อมไม่มี อัตตาตัวตนตัวแกนถาวรอะไร ที่มาแฝงมาซ้อนมาคุมให้เป็นไปอย่างไรๆอีกชั้นหนึ่ง ไม่มีตัวตนของมันเองจริงแท้ที่จะมีอำนาจเป็นเจ้าของครอบครองสั่งบังคับให้เป็นไปอย่างไรๆได้ (อนัตตา)

อนัตตา ที่แปลว่า ไม่มีตัวตน ไม่เป็นตัวตนนั้น ไม่ได้หมายถึงไม่มีอะไรเลย คือมีอยู่จริง แต่หมายถึง มีอยู่เป็นอยู่เป็นไป ตามธรรมดาของสภาวะธรรม ไม่มีตัวตนที่จะครอบครองสั่งบังคับให้เป็นหรือไม่เป็นตามที่ปรารถนาโดยไม่ทำตามเหตุปัจจัย, มีอยู่อย่างไม่เป็นอัตตา

อนัตตา แปลว่า ไม่มีอัตตา แต่ไม่ได้แปลว่า ตรงข้ามกับอัตตา สิ่งที่ตรงข้ามกับอัตตาคือ นิรัตตา แปลว่า ความขาดสูญ ซึ่งถือเป็นความยึดถือชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับอัตตา (อัตตา/นิรัตตา เป็นมิจฉาทิฏฐิสุดโต่งไปคนละด้าน)

ในการแสดงไตรลักษณ์ ควรจะแสดงหมดทั้ง ๓ ลักษณะ ควบคู่กันไป เนื่องจากมีความสัมพันธ์กัน อนิจจัง ทุกขัง เป็นลักษณะที่ปรากฏแก่สายตา จึงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ อนัตตา เป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏจึงเข้าใจได้ยาก ต้องอาศัยความเชื่อมโยงของ อนิจจัง ทุกขัง มาเป็นส่วนช่วยในการทำความเข้าใจ (ดังที่พระบรมศาสดาตรัสใน 🔎อนัตตลักขณสูตรว่า “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา”

เป็นไตรลักษณ์หรือไม่ “สังขาร ทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขาร ทั้งปวง เป็นทุกข์ ธรรม ทั้งปวง เป็นอนัตตา”

พุทธพจน์ที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฏกนี้ แสดงให้เห็นความแตกต่างอยู่แล้วว่า ขอบเขตของอนัตตากว้างขวางกว่าอนิจจัง และทุกข์ กล่าวคือ ในสองอย่างแรก สังขารทั้งปวง (คือสังขตธรรม) ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แต่ในข้อสุดท้าย ธรรมทั้งปวง (คือสังขตธรรม+อสังขตธรรม) ซึ่งบอกชัดอยู่แล้วว่า ไม่เฉพาะสังขารคือสังขตธรรมเท่านั้น แต่ทั้งสังขารและธรรมอื่นนอกจากสังขาร คือ ทั้งสังขตธรรม และอสังขตธรรม เป็นอนัตตา

ความแตกต่างนี้จะเข้าใจได้ชัดเมื่อเข้าใจความหมายของ “สังขาร” และ “ธรรม”

ธรรม เป็นคำที่มีความหมายกว้างที่สุด กินความครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างบรรดามี ทั้งเรื่องทางวัตถุและทางจิตใจ รูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่ดีและชั่ว โลกียธรรมและโลกุตรธรรม สังขตธรรมและอสังขตธรรม รวมอยู่ในคำว่าธรรมทั้งสิ้น กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสภาวธรรม เป็นไปตามธรรมชาติ (ในหลายกรณี ศัพท์คำว่า “ธรรม” ก็สามารถใช้ในความหมายที่จำเพาะบางขอบเขตความหมายได้ เช่น เมื่อมาคู่กับ “อธรรม” “ธรรม” ก็จะหมายถึง คุณธรรมความดี, เมื่อใช้เกี่ยวกับการศึกษาธรรมะ “ธรรม” ก็จะหมายถึง พุทธพจน์ หรือคำสั่งสอน เป็นต้น)

สังขาร ในไตรลักษณ์ หมายถึง สภาวะที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง (สังขตธรรม) กินความหมายกว้างรองลงมา กล่าวโดยย่อคือหมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้น นิพพาน นั่นเอง (ทั้งนี้คำว่า “สังขาร” หลายกรณีก็ใช้ในความหมายอื่นที่แคบกว่านี้ เช่น สังขาร ในขันธ์ ๕ หมายถึง สภาพปรุงแต่งจิต คุณสมบัติต่างๆของจิต เนื่องจากโดยรูปศัพท์แล้ว “สังขาร” แปลว่า ปรุงแต่ง)



๑.๔ สัจจะ ๒ ระดับ

ผู้สดับคำสอนในพระพุทธศาสนาบางคน เกิดความสับสน เมื่อได้อ่านได้ฟังข้อความบางอย่าง เช่น บางแห่งว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ควรยินดีในของของตน แต่บางแห่งว่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา ดังนี้เป็นต้น แล้วมองไปว่าคำสอนขัดแย้งกันเอง หรือบางคนเข้าใจแต่ไม่ชัดเจนพอ ทำให้เกิดการปฏิบัติสับสน ในเวลาที่ควรพูดหรือควรปฏิบัติตามความรู้ในชีวิตประจำวัน กลับพูดหรือปฏิบัติด้วยความยึดถือในความรู้ตามสภาวะ

คัมภีร์ฝ่ายอภิธรรม หวังจะช่วยป้องกันความสับสนผิดพลาดเช่นนี้ จึงสอนให้รู้จักแยกสัจจะหรือความจริง เป็น ๒ ระดับ กล่าวคือ

สมมติสัจจะ (โวหารสัจจะ) : ความจริงโดยสมมติ ไม่ใช่จริงแท้ (สม+มติ) คือ จริงตามมติร่วมกัน โดยสำนวนพูด หมายรู้ร่วมกัน เป็นเครื่องมือสื่อสารพอให้สำเร็จประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น อัตตา คน สัตว์ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น

พุทธพจน์ที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน” นั้นเป็นการใช้ภาษาสมมติ ตามสภาวะ ตัวตนนั้นไม่มีจริง มีแต่สภาวะธรรมที่มีจริง (อาจารย์บางท่านกล่าวโดยสำนวนว่า “มีอยู่อย่างเป็นอนัตตา”)

ปรมัตถสัจจะ (สภาวะสัจจะ) : ความจริงตามความหมายสูงสุด ตามความหมายแท้ขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะและเท่าที่พอจะกล่าวถึงได้ เพื่อสำหรับให้เกิดความรู้ความเข้าใจเท่าทันความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือ การหยั่งรู้สัจธรรม เช่น รูปธรรม นามธรรม ขันธ์ ๕ นิพพาน ผัสสะ เจตนา ฯลฯ

ตัวอย่างที่พอเทียบให้เห็นเค้า เช่น คำว่า น้ำ ว่า เกลือ  ยังไม่ตรงสภาวะแท้ เมื่อพูดให้ถูก คือ H2O, NaCl (ข้อเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่ตรงกันแท้ แต่เทียบพอให้เห็นว่าในวิชาการอื่น ก็มีการมองเห็นความจริงด้านอื่นของสิ่งสามัญ)

“ภิกษุใดเป็นผู้ไกลจากกิเลส มีกิจทำเสร็จแล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในชาติสุดท้าย ภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า ‘เราพูด’ ดังนี้บ้าง กล่าวว่า ‘บุคคลทั้งหลายพูดกับเรา’ ดังนี้บ้าง ภิกษุนั้นเป็นผู้ฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึงกล่าวตามสมมติที่เขาพูดกัน” (อรหันตสูตรที่ ๕, ๑๕/๖๕)

“จิตตะ เหล่านี้แลเป็นโลกสมัญญา (ชื่อที่ชาวโลกใช้เรียก) เป็นโลกนิรุตติ (ภาษาของชาวโลก) เป็นโลกโวหาร (โวหารของชาวโลก) เป็นโลกบัญญัติ (บัญญัติของชาวโลก) ซึ่งตถาคตก็ใช้กล่าวอยู่ แต่มิได้ยึดถือ” (โปฏฐปาทสูตร, ๙/๓๑๒)

อ่านเพิ่มเติม 🔎ปรมัติและบัญญัต


พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับสัจจะทั้ง ๒ ระดับ สมมติไม่ใช่ของเหลวไหลไร้สาระ แต่มีขึ้นเพื่อที่จะให้มนุษย์เอาความจริงมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างได้ผล เช่น การสมมติบัญญัติภาษาพูด และการสมมติบัญญัติกฏหมายต่างๆขึ้นใช้ในสังคม, พระพุทธศาสนาในส่วนของวินัย ถือเป็นสมมติสัจจะทั้งหมด, พระปัจเจกพุทธเจ้า บรรลุปรมัตถสัจจะ แต่ไม่สามารถจัดตั้ง สมมติสัจจะขึ้นอย่างเป็นระบบเพื่อสั่งสอนมนุษย์ในวงกว้างได้ (ปัจจุบันในภาษาไทยใช้ความหมายของสมมติเพี้ยนไปจากความหมายเดิม คือ เป็นลักษณะการยกตัวอย่าง ไม่ใช่การมีมติร่วมกัน)

จุดสำคัญของการจัดวางสมมติ คือ ต้องจัดวางขึ้นบนพื้นฐานของความรู้จริงตามสภาวะนั้น จึงจะทำให้สมมตินั้นเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เช่น การสมมติบัญญัติกฏหมายต่างๆขึ้นใช้ในสังคม จะมีความยุติธรรมแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อสอดคล้องกับเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ จึงกล่าวได้ว่า สมมติเป็นแกนของสังคม


๑.๓ อายตนะ ๖

อายตนะ ๖ : ช่องทางเสพเสวยโลก

อายตนะภายใน ๖
(อินทรีย์) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอก ๖ (อารมณ์) คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ธรรมมารมณ์ (สิ่งที่ใจคิด)

การเสพเสวยโลกนั้น เราต้องรู้ตามความเป็นจริงคือ สิ่งทั้งหลายในโลกทั้งภายในและภายนอก เป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ การยึดติดทั้งทางชอบและชัง (ชอบใจ ติดใจ / เกลียดชัง หลีกหนี) เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงแล้วก็จะละความยึดติดในสิ่งทั้งปวงได้ เมื่อไม่ยึดติดถือมั่นแล้วก็จะเป็นอิสระ เข้าสู่ภาวะที่อยู่ดีมีสุขทางจิตใจได้โดยสมบูรณ์ นี่คือหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดบางประการ ในเบื้องต้นควรศึกษาหลักวิธีปฏิบัติต่อทุกข์-สุข ดังนี้

(ทำความเข้าใจ อายตนะ เพิ่มเติม ใน 🔎สัพพสังคหะ หมวดที่ ๓ อายตนะ ๑๒)


วิธีปฏิบัติต่อทุกข์-สุข ๔

หลักการเพียรพยายามให้ได้ผลในการละทุกข์ละสุข, การปฏิบัติที่ถูกต้องต่อความทุกข์และความสุข ซึ่งเป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนา ที่แสดงว่า ความเพียรพยายามที่ถูกต้อง จะมีผลจนสามารถเสวยสุขที่ไร้ทุกข์ได้
๑. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่มิได้ถูกทุกข์ท่วมทับ
๒. ไม่สละความสุขที่ชอบธรรม
๓. ไม่สยบหมกหมุ่น (แม้)ในสุขที่ชอบธรรมนั้น
๔. เพียรพยายามทำเหตุแห่งทุกข์ให้หมดสิ้นไป (อาจพูดอีกสำนวนหนึ่งว่า เพียรปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความสุขที่ประณีตสูงขึ้นไป)

ความสุขอย่างที่เข้าใจกันในโลก ก็เป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ จึงย่อมมีความไม่สมบูรณ์อยู่ในตัวในแง่ที่ว่า จะต้องแปรปรวนไป ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้ความพึงพอใจได้โดยสมบูรณ์ ผู้ที่ฝากความหวังในความสุขไว้กับสิ่งทั้งหลายอย่างขาดสติ ย่อมเท่ากับทำตัวให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความไม่สมบูรณ์ของสิ่งเหล่านั้น ผู้หาความสุขที่ฉลาด เมื่อยังยินดีที่จะหาความสุขจากสิ่งเหล่านี้อยู่ จึงต้องมีชีวิตอยู่อย่างรู้เท่าทันความจริง แสวงหาและเสวยความสุขอย่างมีสติปัญญา โดยให้ความแปรปรวนของมันก่อโทษน้อยที่สุด



วันจันทร์

๑.๒ ขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕ คือ ส่วนประกอบ ๕ อย่างของชีวิต แบ่งเป็นรูปธรรม ๑ นามธรรม ๔

รูป : ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด สสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ

เวทนา
: การเสวยอารมณ์, การเสพรสอารมณ์, ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ, ความรู้สึกต่อสิ่งที่ถูกรับรู้ ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการรับรู้, เวทนาเป็นกิจกรรมของจิตในขั้นรับ คือเกี่ยวข้องกับผลที่อารมณ์มีต่อจิตเท่านั้น ยังไม่ใช่ขั้นที่เป็นฝ่ายจำนงหรือกระทำต่ออารมณ์ ซึ่งเป็นกิจกรรมของสังขาร ดังนั้น คำว่า ชอบ ไม่ชอบ ตามปกติจะใช้แสดงกิจกรรมในหมวดสังขาร โดยเป็นอาการสืบเนื่องจากเวทนาอีกต่อหนึ่ง, เวทนา จัดอยู่ในพวกวิบาก ไม่ดีไม่ชั่ว โดยลำพังตัวของมัน 
(อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตยึดหน่วง, สิ่งที่ถูกรู้ ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์)

สัญญา
: ความกำหนดได้หมายรู้ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์นั้นๆได้

สังขาร : คุณสมบัติต่างๆของจิต หรือเครื่องปรุงแต่งของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ไม่ว่าเครื่องแต่งคุณภาพกี่อย่างจะเกิดขึ้นทำหน้าที่ในคราวหนึ่งคราวใด จะต้องมีเจตนาร่วมอยู่ด้วยเป็นแกนนำเสมอไปทุกคราว บางครั้งท่านถึงกับใช้คำว่า เจตนา คำเดียวเป็นคำแทน หมายถึงสังขารทั้งหมด และเจตนา ก็เป็นคำจำกัดความของคำว่ากรรมด้วย ดังนั้น คำว่า สังขาร เจตนา กรรม จึงมีความหมายอย่างคร่าวๆเท่ากัน, โลภะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ ศรัทธา ปัญญา ฯลฯ จัดอยู่ในหมวดสังขาร, นามขันธ์อื่นเป็นฝ่ายรับอารมณ์แต่สังขารเป็นฝ่ายกระทำต่ออารมณ์ (การที่สังขารมีเจตนาเป็นประธานมันจึงมีคุณสมบัติของการเป็นฝ่ายริเริ่ม กระทำต่ออารมณ์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ความเพียรจึงมีผล แต่ไม่ใช่ว่ามีอัตตาตัวตนอะไรอยู่ตรงที่นี้ การริเริ่มกระทำต่ออารมณ์เป็นหน้าที่หรือคุณสมบัติตามธรรมชาติของสังขาร เหมือนกับที่ เวทนา มีหน้าที่เสวยอารมณ์นั่นเอง)

วิญญาณ : ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ, กระแสความรู้ยืนพื้น ซึ่งเกิดดับต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาควบไปกับนามขันธ์อื่นๆ หรือกิจกรรมทุกอย่างในจิตใจ


ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้ เพราะสภาวธรรมที่ประกอบกันขึ้นเป็นมนุษย์นั้น ไม่มีส่วนอื่นใดเกินเลย นอกเหนือไปจากขันธ์ ๕ คือ รูปธรรม ๑ นามธรรม ๔ นี้ พระสารีบุตรท่านเปรียบเทียบความอิงอาศัยกันของรูปและนามเหมือนไม้สองท่อนที่ค้ำยันกัน

คำว่า “รูปธรรม” นั้นรวมไปถึงพลังงานฝ่ายวัตถุ เช่น พลังงานความร้อน คลื่นสัญญาณต่างๆ และคลื่นเสียง ที่ตามองไม่เห็นด้วย อ.เสถียร โพธินันทะอธิบายว่า “หลักในการวินิจฉัยแยกนามรูปอย่างง่ายๆคือ รูปกับรูปนั้นกระทบกันเองได้แต่รูปกระทบนามไม่ได้” คำว่ากระทบในที่นี้เข้าใจว่าหมายถึงเป็นลักษณะการกระทบทางฟิสิกส์เท่านั้น นอกจากนี้นามไม่ถูกจำกัดด้วยเทศะ คือ ไม่กินพื้นที่ เช่น ภวังคจิต สามารถเก็บความทรงจำต่างๆได้อย่างไม่สิ้นสุด

อธิบายศัพท์ “สังขาร” สังขาร แปลว่า ปรุงแต่ง ใช้ในความหมายหลักๆ ๔ อย่าง คือ

- สังขารในขันธ์ ๕ หมายถึง สภาวะที่ปรุงแต่งจิต, คุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ เป็นส่วนนามธรรมอย่างเดียว
- สังขารในปฏิจจสมุปบาท สังขารในขันธ์ ๕ มุ่งแสดงส่วนประกอบ ส่วนในปฏิจจสมุปบาทมุ่งแสดงกระบวนการปฏิบัติการ โดยจำแนกตามทวาร คือ เจตนาที่กระทำทางกาย วาจา ใจ หรือ จำแนกตามสภาพที่เป็นกุศลหรืออกุศล
- สังขารในไตรลักษณ์ หมายถึง สภาวะที่ถูกปรุงแต่ง (ความหมายกว้าง) คือ สภาวะที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม มีชีวิตหรือไร้ชีวิตก็ตาม เรียกอีกอย่างว่า สังขตธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง เว้นแต่ นิพพาน ซึ่งเป็น วิสังขาร หรือ อสังขตธรรม
- สังขาร บางครั้งก็ใช้ในความหมายเท่ากับ ขันธ์ ๕ ทั้งหมด (ในภาษาไทยใช้ในความหมายนี้เป็นส่วนใหญ่)


ส่วนแทรกเสริม : การจัดแบ่งแบบคัมภีร์อภิธรรม 
ตามแนวพระสูตรนิยมแบ่งเป็นขันธ์ ๕ ส่วนในพระอภิธรรมแบ่งเป็น ๓ คือ รูป (รูปขันธ์), จิต (วิญญาณขันธ์), เจตสิก (เวทนาขันธ์+สัญญาขันธ์+สังขารขันธ์) 

เจตสิก เจตสิก คือ ธรรมที่ประกอบกับจิต, มีอารมณ์และวัตถุที่อาศัยเดียวกับจิต, อาการหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มี ๕๒ อย่าง (เวทนา๑+สัญญา ๑+สังขาร ๕๐)

อัญญาสมานาเจตสิก : เจตสิกที่มีเสมอกันแก่จิตพวกอื่น คือ ประกอบเข้าได้กับจิตทุกฝ่ายทั้งกุศลและอกุศล มี ๑๓ อย่าง แบ่งเป็น
    ๑.๑) เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตทุกดวง (สาธารณะ) ได้แก่ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรมทั้งปวง) มนสิการ
    ๑.๒) เจตสิกที่ไม่เกิดขึ้นกับจิตแน่นอนเสมอไปทุกดวง (ปกิณณกะ) ได้แก่ วิตก วิจาร อธิโมกข์ วิริยะ ปีติ ฉันทะ

อกุศลเจตสิก : เจตสิกฝ่ายอกุศล มี ๑๔ อย่าง แบ่งเป็น
    ๒.๑) เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับอกุศลจิตทุกดวง ได้แก่ โมหะ อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่กลัวต่อบาป) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
    ๒.๒) เจตสิกที่ไม่เกิดขึ้นกับอกุศลจิตแน่นอนเสมอไปทุกดวง ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ (หมายเอาเฉพาะมิจฉาทิฏฐิ ส่วนสัมมาทิฏฐิจัดเข้าในปัญญา) มานะ โทสะ อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) กุกกุจจะ (ความเดือดร้อนใจ) ถีนะ (ความหดหู่) มิทธะ (ความง่วงเหงา) วิจิกิจฉา

โสภณเจตสิก : เจตสิกฝ่ายดีงาม (เกิดกับจิตที่เป็นกุศลและอัพยากฤต) มี ๒๕ อย่าง แบ่งเป็น
    ๓.๑) เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับกุศลเจตสิกทุกดวง ได้แก่ ศรัทธา สติ หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความกลัวต่อบาป) อโลภะ อโทสะ ตัตรมัชฌัตตตา (ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ, อุเบกขา) กายปัสสัทธิ (คำว่ากายในที่นี้หมายถึง เวทนา สัญญา สังขาร คือ ความสงบแห่งกองเจตสิก) จิตตปัสสัทธิ (คำว่าจิตในที่นี้หมายถึง วิญญาณ คือ ความสงบแห่งจิต) กายลหุตา (ความเบาแห่งกองเจตสิก) จิตตลหุตา (ความเบาแห่งจิต) กายมุทุตา (ความนุ่มนวลแห่งกองเจตสิก) จิตตมุทุตา (ความนุ่มนวลแห่งจิต) กายกัมมัญญตา (ความควรแก่งานแห่งกองเจตสิก) จิตตกัมมัญญตา (ความควรแก่งานแห่งจิต) กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก) จิตตปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งจิต) กายุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก) จิตตุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งจิต)
     ๓.๒) เจตสิกที่เป็นตัวความงดเว้น ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    ๓.๓) อัปปมัญญาเจตสิก ได้แก่ กรุณา มุทิตา (เมตตา = อโทสะ, อุเบกขา = ตัตรมัชฌัตตตา)
    ๓.๔) ปัญญินทรีย์เจตสิก ได้แก่ ปัญญินทรีย์ (หรือ อโมหะ)



วันเสาร์

๑.๑ มัชเฌนธรรมเทศนา

หลักความจริงที่เป็นกลางตามธรรมชาติ หรือ ธรรมที่เป็นกลาง

มัชเฌนธรรมเทศนา คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นกลางๆ ตามความจริงของธรรมชาติ คือตามสภาวะที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมันเอง ตามเหตุปัจจัย ไม่ติดข้องในทิฏฐิ คือทฤษฎีหรือแนวคิดเอียงสุดทั้งหลาย ที่มนุษย์วาดให้เข้ากับความหมายรู้ที่ผิดพลาด และความยึดความอยากของตน ที่จะให้โลกและชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปตามที่ตนปรุงแต่ง

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆได้ บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆที่มาประชุมกันเข้า ตัวตนแท้ๆของสิ่งทั้งหลายไม่มี (ปรมัตถสัจจะ) เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไปให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ (สมมติสัจจะ) ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆมาประชุมเข้าด้วยกัน นิยมเรียกว่า “สภาวธรรม” แปลว่า สิ่งที่มีภาวะของมันเอง


(ศัพท์คำว่า “ธรรม” มีหลายความหมาย อย่างเจาะจงหมายถึง พระธรรมคำสั่งสอน, หลักการ แบบแผน อย่างกว้างหมายถึง สภาพตามธรรมดาธรรมชาติ ซึ่งเป็นศัพท์ที่มีความหมายกว้างที่สุด ครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง)



พุทธธรรม

หลักธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะมีชื่อใดๆ ล้วนสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งสิ้น เพราะแสดงถึงหรือสืบเนื่องมาจากสัจธรรมเดียวกัน และเป็นไปเพื่อจุดหมายเดียวกัน แต่นำมาแสดงในชื่อต่างๆกัน โดยชี้ความจริงเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง คนละส่วนละตอนกันบ้าง แสดงคนละรูปละแนว เพื่อวัตถุประสงค์คนละอย่างบ้าง บางข้อเป็นส่วนย่อยของหลักใหญ่ บางข้อเป็นหลักใหญ่ด้วยกัน แต่มีแนวหรือรูปแบบการแสดงและความมุ่งหมายจำเพาะในการแสดงต่างกัน ลักษณะทั่วไปของพุทธธรรมนั้น สรุปได้ ๒ อย่าง คือ

๑. มัชเฌนธรรมเทศนา (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ)

หลักความจริงที่เป็นกลางตามธรรมชาติ หรือ ธรรมที่เป็นกลาง ว่าด้วยความจริงตามแนวของเหตุผลบริสุทธิ์ตามกระบวนการของธรรมชาติ นำมาแสดงเพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติในชีวิตจริงเท่านั้น ไม่ส่งเสริมการเข้าถึงสัจธรรมด้วยวิธีถกเถียงสร้างทฤษฎีต่างๆ และการเก็งความจริงทางปรัชญา

๒. มัชฌิมาปฏิปทา (มรรค)

ข้อปฏิบัติที่เป็นกลางตามธรรมชาติ หรือ ทางสายกลาง เป็นภาคปฏิบัติอันเป็นหลักการครองชีวิตของผู้ฝึกอบรมตน ผู้รู้เท่าทันชีวิต ไม่หลงงมงาย มุ่งผลสำเร็จคือ ความสุข สะอาด สว่าง สงบ เป็นอิสระ ที่สามารถมองเห็นได้ในชีวิตนี้

ทางสายกลางนั้น มิใช่หมายถึงอยู่กึ่งกลางระหว่าง ที่สุดทั้ง ๒ ทาง หรือกึ่งกลางของทางหลายๆทาง แต่หมายถึง ความมีเป้าหมายที่แน่ชัด แล้วกระทำตรงจุด พอเหมาะพอดีจะให้ผลสำเร็จตามเป้าหมายนั้น ไม่เขวออกไปเสีย ทางสายกลางนี้ถ้าไม่เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าไม่ดำเนินตามมัชฌิมาปฏิปทา ก็แก้ปัญหาดับทุกข์ไม่สำเร็จ


( พุทธธรรมอย่างย่อ)

๑ . มัชเฌนธรรมเทศนา (ภาคแสดงหลักการ)
๑.๑ มัชเฌนธรรมเทศนา
๑.๒ ขันธ์ ๕
๑.๓ อายตนะ ๖ และวิธีปฏิบัติต่อทุกข์-สุข ๔
๑.๔ สัจจะ ๒ ระดับ
๑.๕ ไตรลักษณ์
๑.๖ ประมวลความหมายของอนัตตา
๑.๗ ปฏิจจสมุปบาท
๑.๘ ธรรมนิยาม
๑.๙ กิเลส
๑.๑๐ กรรม
๑.๑๑ กรรม ๑๒
๑.๑๒ แก้กรรม ด้วยปฏิกรรม
๑.๑๓ นิพพาน : ประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้จากชีวิตนี้
๑.๑๔ ภาวะแห่งนิพพาน
๑.๑๕ ลักษณะของพระอรหันต์ผู้เข้าถึงนิพพาน (ภาวิต ๔)
๑.๑๖ ความพร้อมที่จะมีความสุข
๑.๑๗ วิมุตติ ๕
๑.๑๘ ความเข้าใจสับสนเกี่ยวกับนิพพาน
๑.๑๙ นิพพาน มีอัตตาไหม เป็นอัตตาไหม?
๑.๒๐ พระอริยบุคคล
๑.๒๑ สังโยชน์ ๑๐
๑.๒๒ พระอริยบุคคล ๗ (ทักขิไฌยบุคคล ๗)
๑.๒๓ โสดาปัตติยังคะ ๔
๑.๒๔ สำนวนแสดงความแตกต่างระหว่างพระอริยบุคคลแต่ละระดับ
๑.๒๕ หลักการบรรลุนิพพาน
๑.๒๖ ปริญญา
๑.๒๗ หลักวิปัสสนาบางส่วนจากพระไตรปิฎก
๑.๒๘ วิสุทธิ ๗
๑.๒๙ ความเข้าใจเรื่องจิตตามหลักพระพุทธศาสนา
๑.๓๐ ตัวอย่างกระบวนการของจิตแบบ “อติมหันตารมณ์”
๑.๓๑ ประเด็นเรื่องจิตเดิมแท้

๒. มัชฌิมาปฏิปทา (ภาคปฏิบัติ)
๒.๑ มัชฌิมาปฏิปทา (มรรค ๘)
๒.๒ บุพนิมิตแห่งมรรค
๒.๓ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ
๒.๔ การมองโลกตามความเป็นจริง
๒.๕ มรรค ๘ : ทางแห่งการเป็นอยู่ด้วยปัญญา
        ๒.๕.๑ หมวดปัญญา : สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ
        ๒.๕.๒ หมวดศีล : สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ
        ๒.๕.๓ หมวดสมาธิ : สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ
                ๒.๕.๓.๑ ระดับของสมาธิ
                ๒.๕.๓.๒ วิธีเจริญสมาธิโดยใช้กรรมฐาน : อานาปานสติ /โอทาตกสิณ / อัปปมัญญา ๔
                ๒.๕.๓.๓ ประโยชน์ของสมาธิ
                ๒.๕.๓.๔ สติปัฏฐาน ๔
๒.๖ ถ้าปฏิบัติธรรมถูกทาง ต้องได้ปราโมทย์
๒.๗ ความไม่ประมาท
๒.๘ อริยสัจ ๔ : ความจริงอันประเสริฐ, สัจจะอย่างอริยะ

๓. อารยธรรมวิถี
๓.๑ อารยธรรมวิถี (วิถีชีวิตของคนมีอารยธรรม)
๓.๒ ความสุข และปัญหาเกี่ยวกับแรงจูงใจ
๓.๓ ความหมายของ ศีล วินัย สิกขาบท พรต วัตร ตบะ
๓.๔ พุทธศาสนา คือ ระบบการพัฒนาความสุข
๓.๕ ระดับขั้นของความสุข
๓.๖ ข้อเสีย หรือจุดบกพร่องของกามสุข
๓.๗ ข้อบกพร่องของฌานสุข
๓.๘ นิพพานสุข และบทลงท้าย

วันจันทร์

มหาสติปัฏฐานสูตร (หน้า ๒)

 มหาสติปัฏฐานสูตร (หน้า ๑)


หมวดสัจจะ

ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจ ๔ อยู่ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจ ๔ อยู่ อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้

รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกข์’
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกขสมุทัย’
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกขนิโรธ’
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’


ทุกขสัจจนิทเทส

ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไร คือ 
ชาติ (ความเกิด) เป็นทุกข์
ชรา (ความแก่) เป็นทุกข์
มรณะ (ความตาย) เป็นทุกข์
โสกะ (ความโศก) เป็นทุกข์
ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ) เป็นทุกข์
ทุกข์ (ความทุกข์กาย) เป็นทุกข์
โทมนัส (ความทุกข์ใจ) เป็นทุกข์
อุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นทุกข์
การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์
การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์

โดยย่อ อุปาทานขันธ์๑- ๕ เป็นทุกข์

ชาติ เป็นอย่างไร คือ ความเกิด ความเกิดพร้อม ความหยั่งลง ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ชาติ

ชรา เป็นอย่างไร คือ ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยวย่น ความเสื่อมอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ชรา

มรณะ เป็นอย่างไร คือ ความจุติ ความเคลื่อนไป ความทำลายไป ความหายไป ความตาย กล่าวคือมฤตยู การทำกาละ ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งร่างกาย ความขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า มรณะ

โสกะ เป็นอย่างไร คือ ความเศร้าโศก กิริยาที่เศร้าโศก ภาวะที่เศร้าโศก ความแห้งผากภายใน ความแห้งกรอบภายใน ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ) ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า โสกะ

ปริเทวะ เป็นอย่างไร คือ ความร้องไห้ ความคร่ำครวญ กิริยาที่ร้องไห้ กิริยาที่คร่ำครวญ ภาวะที่ร้องไห้ ภาวะที่คร่ำครวญ ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ) ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ปริเทวะ

ทุกข์ เป็นอย่างไร คือ ความทุกข์ทางกาย ความไม่สำราญทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญ เป็นทุกข์ อันเกิดจากกายสัมผัส ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกข์

โทมนัส เป็นอย่างไร คือ ความทุกข์ทางใจ ความไม่สำราญทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สำราญเป็นทุกข์อันเกิดจากมโนสัมผัส ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า โทมนัส

อุปายาส เป็นอย่างไร คือ ความแค้น ความคับแค้น ภาวะที่แค้น ภาวะที่คับแค้น ของผู้ประกอบด้วยความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือ) ผู้ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า อุปายาส

การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นอย่างไร คือ การไปร่วม การมาร่วม การประชุมร่วม การอยู่ร่วมกับอารมณ์อันไม่เป็นที่ปรารถนา ไม่เป็นที่รักใคร่ ไม่เป็นที่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ หรือจากบุคคลผู้ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่ผาสุก ปรารถนาแต่สิ่งที่ไม่มีความเกษมจากโยคะของเขา ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์

การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นอย่างไร คือ การไม่ไปร่วม การไม่มาร่วม การไม่ประชุมร่วม การไม่อยู่ร่วมกับอารมณ์อันเป็นที่ปรารถนา เป็นที่รักใคร่ เป็นที่ชอบใจของเขาในโลกนี้ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ หรือกับบุคคลผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาความเกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนาความเกษมจากโยคะของเขา เช่น มารดาบิดา พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว มิตร อำมาตย์หรือญาติสาโลหิต ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า การพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์

การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ เป็นอย่างไร คือ เหล่าสัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ‘ไฉนหนอ ขอเราอย่าได้มีความเกิดเป็นธรรมดา หรือขอความเกิดอย่าได้มาถึงเราเลย’ ข้อนี้ไม่พึงสำเร็จได้ตามความปรารถนา ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ เหล่าสัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ฯลฯ เหล่าสัตว์ผู้มีความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจและความคับแค้นใจเป็นธรรมดา  ต่างก็เกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า ‘ไฉนหนอขอเราอย่าได้เป็นผู้มีความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจและความคับแค้นใจเป็นธรรมดาเลย และขอความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ อย่าได้มาถึงเราเลย’ ข้อนี้ไม่พึงสำเร็จได้ตามความปรารถนา ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า การไม่ได้สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์


โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นอย่างไร คือ
รูปูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือรูป)
เวทนูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือ เวทนา)
สัญญูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสัญญา)
สังขารูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสังขาร)
วิญญาณูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ)

ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ


สมุทยสัจจนิทเทส

ทุกขสมุทยอริยสัจ เป็นอย่างไร คือ
ตัณหานี้เป็นเหตุเกิดขึ้นในภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี เป็นเหตุ
เพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ก็ตัณหานี้แหละเมื่อเกิดขึ้น เกิดที่ไหน เมื่อตั้งอยู่ ตั้งอยู่ที่ไหน

คือ ปิยรูปสาตรูปใดมีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่ปิยรูปสาตรูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่ปิยรูปสาตรูปนี้ (ปิยรูปสาตรูป หมายถึงสภาวะที่น่ารักน่าชื่นใจ เป็นส่วนอิฏฐารมณ์ที่เป็นเหตุให้เกิดตัณหา)

อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก คือ
จักขุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุนี้ เมื่อตั้งอยู่ 
ก็ตั้งอยู่ที่จักขุนี้
โสตะเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ฆานะเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ
ชิวหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
กายเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
มโน
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปนี้
เสียงเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
กลิ่นเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รส
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพะเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธรรมารมณ์
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุวิญญาณนี้ เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่จักขุวิญญาณนี้
โสตวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ฆานวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ชิวหาวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ
กายวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
มโนวิญญาณเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่จักขุสัมผัสนี้เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่จักขุสัมผัสนี้
โสตสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ 
ฆาน
สัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ชิวหาสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
กายสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่เวทนาซึ่งเกิดจากจักขุสัมผัสนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่เวทนาซึ่งเกิดจากจักขุสัมผัสนี้
เวทนาที่เกิดจากโสตสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
เวทนาที่เกิดจากฆาน
สัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ
เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
เวทนาที่เกิด
จากมโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

รูปสัญญา (ความกำหนดหมายรู้รูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปสัญญานี้ เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญญานี้
สัททสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ
คันธสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมสัญญาเป็นปิยรูป
สาตรูปในโลก ฯลฯ

รูปสัญเจตนา (ความจำนงในรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปสัญเจตนานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปสัญเจตนานี้
สัททสัญเจตนาเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
คันธสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสสัญเจตนา
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

รูปตัณหา (ความอยากได้รูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิด ก็เกิดที่รูปตัณหานี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปตัณหานี้
สัททตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ
คันธตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ
โผฏฐัพพตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูป 
ฯลฯ

รูปวิตก (ความตรึกถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปวิตกนี้ เมื่อตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิตกนี้
สัททวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก  ฯลฯ
คันธวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

รูปวิจาร (ความตรองถึงรูป) เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อเกิดก็เกิดที่รูปวิจารนี้ เมื่อตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ที่รูปวิจารนี้
สัททวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก  ฯลฯ
คันธวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ


นิโรธสัจจนิทเทส

ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นอย่างไร คือ ความดับกิเลสไม่เหลือด้วยวิราคะ ความปล่อยวาง ความสละคืน ความพ้น ความไม่ติด ก็ตัณหานี้เมื่อละ ละที่ไหน เมื่อดับ ดับที่ไหน คือ

ปิยรูปสาตรูปใดมีอยู่ในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่ปิยรูปสาตรูปนี้ เมื่อดับ
ก็ดับที่ปิยรูปสาตรูปนี้ อะไรเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก คือ

จักขุเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุนี้ เมื่อดับก็ดับที่จักขุนี้
โสตะเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ฆานะเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ชิวหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
กายเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
มโนเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

รูปเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปนี้
เสียงเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
กลิ่นเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสเป็นปิยรูป
สาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพะเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธรรมารมณ์เป็นปิยรูป
สาตรูปในโลก ฯลฯ

จักขุวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุวิญญาณนี้เมื่อดับ ก็ดับที่จักขุวิญญาณนี้
โสตวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ฆาน
วิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ชิวหาวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ
กายวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
มโนวิญญาณเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ

จักขุสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่จักขุสัมผัสนี้ เมื่อดับก็ดับที่จักขุสัมผัสนี้
โสตสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ฆานสัมผัสเป็นปิยรูป
สาตรูปในโลก ฯลฯ
ชิวหาสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
กายสัมผัสเป็นปิยรูป
สาตรูปในโลก ฯลฯ
มโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

เวทนาที่เกิดจากจักขุสัมผัส เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่เวทนาอันเกิดจากจักขุสัมผัสนี้ เมื่อดับ ก็ดับที่เวทนาอันเกิดจากจักขุสัมผัสนี้
เวทนาที่เกิดจากโสตสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
เวทนาที่เกิดจากฆานสัมผัส
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
เวทนาที่เกิดจากชิวหาสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ
เวทนาที่เกิดจากกายสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
เวทนาที่
เกิดจากมโนสัมผัสเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

รูปสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญญานี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปสัญญานี้
สัททสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
คันธสัญญาเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพสัญญา
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมสัญญาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

รูปสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปสัญเจตนานี้ เมื่อดับ ก็ดับที่รูปสัญเจตนานี้
สัททสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
คันธสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ
โผฏฐัพพสัญเจตนาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมสัญเจตนาเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ

รูปตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปตัณหานี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปตัณหานี้
สัททตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
คันธตัณหาเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
รสตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพตัณหา
เป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมตัณหาเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

รูปวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิตกนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปวิตกนี้
สัททวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
คันธวิตกเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ
รสวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพวิตกเป็นปิยรูปสาตรูป
ในโลก ฯลฯ
ธัมมวิตกเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

รูปวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ตัณหานี้เมื่อละ ก็ละที่รูปวิจารนี้ เมื่อดับก็ดับที่รูปวิจารนี้
สัททวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
คันธวิจารเป็นปิยรูป
สาตรูปในโลก ฯลฯ
รสวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
โผฏฐัพพวิจารเป็น
ปิยรูปสาตรูปในโลก ฯลฯ
ธัมมวิจารเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก 
ฯลฯ

ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ


มัคคสัจจนิทเทส

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นอย่างไร คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นแล ได้แก่

๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)       
๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)     
๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)
๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)
๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)
๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ)         
๘. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)

สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไร คือ ความรู้ในทุกข์ (ความทุกข์) ความรู้ในทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์) ความรู้ในทุกขนิโรธ (ความดับแห่งทุกข์) ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์) ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

สัมมาสังกัปปะ เป็นอย่างไร คือ ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริในการไม่เบียดเบียน ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ

สัมมาวาจา เป็นอย่างไร คือ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเท็จ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดส่อเสียด เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดคำหยาบ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาวาจา

สัมมากัมมันตะ เป็นอย่างไร คือ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะ เป็นอย่างไร คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ละมิจฉาอาชีวะแล้ว สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ

สัมมาวายามะ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่น เพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
๒. สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่น เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
๓. สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่น เพื่อทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
๔. สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่น เพื่อความดำรงอยู่ ไม่เลือนหาย ภิญโญภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ

สัมมาสติ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ฯลฯ
๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ
๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ ฯลฯ
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาสติ

สัมมาสมาธิ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่
๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานที่มีความผ่องใสภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่
๓. เพราะปีติจางคลายไป มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่และเสวยสุขด้วยกาย (นามกาย) บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายกล่าวสรรเสริญว่า ‘ผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข’
๔. เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้วบรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่
ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ

ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ด้วยวิธีนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในธรรมทั้งหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในธรรมทั้งหลายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมเป็นเหตุดับในธรรมทั้งหลายอยู่หรือว่า ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า ‘ธรรมมีอยู่’ ก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญญาณ เจริญสติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตัณหาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆ ในโลก ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจ ๔ อยู่ อย่างนี้แล

หมวดสัจจะ จบ


อานิสงส์แห่งการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ประการ

ภิกษุทั้งหลาย
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ ปี พึงหวัง
ได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็จักเป็นอนาคามี  อย่าว่าแต่ ๗ ปีจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๖ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๖ ปีจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๕ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๕ ปีจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๔ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๔ ปีจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๓ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๓ ปีจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๒ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๒ ปีจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๑ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๑ ปีจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๗ เดือนจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๖ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๖ เดือนจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๕ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๔ เดือนจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๓ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๓ เดือนจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๒ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๒ เดือนจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๑ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี อย่าว่าแต่ ๑ เดือนจงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอดครึ่งเดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ภิกษุทั้งหลาย ครึ่งเดือน จงยกไว้
- บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๗ วัน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ก็จักเป็นอนาคามี

ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน ทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ เราอาศัยทางเดียวนี้แล้ว จึงกล่าวคำดังพรรณนามาฉะนี้”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล