วันอังคาร

๑.๑๐ กรรม

หลักธรรมส่วนย่อยของปฏิจจสมุปบาท ที่นิยมอธิบายกันมากที่สุด ได้แก่ หลักกรรม เนื่องจากการอธิบายเรื่องกรรม อาจทำได้หลายระดับ คือ จะอธิบายอย่างง่ายๆในระดับผิวเผิน พอให้เห็นเหตุเห็นผลในสายตาของชาวบ้านก็ได้ หรือจะอธิบายลึกลงไปถึงกระบวนธรรมภายในจิต จนต้องใช้หลักปฏิจจสมุปบาทเต็มรูปก็ได้

ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกรรม
กรรมในฐานะกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามพึงเข้าใจว่า แม้กระทั่งความเชื่อที่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมก็ถือว่าไม่ถูกต้องครบถ้วน เช่น เหงื่อออก อาจเป็นเพราะอากาศร้อนก็ได้ ความเครียดก็ได้ เป็นอาการของโรคบางอย่างก็ได้ เป็นต้น

ความหมายของกรรม
คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา หรือ การกระทำที่เป็นไปด้วยความจงใจ ถ้าเป็นการกระทำที่ไม่มีเจตนา ก็ไม่เรียกว่าเป็นกรรม

ประเภทของกรรม
ถ้ามี กุศลมูล เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตก็เป็น กุศลกรรม
ถ้ามี อกุศลมูล เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตก็เป็น อกุศลกรรม

กุศลมูล : อโลภะ อโทสะ อโมหะ
กุศลกรรม : กรรมดี กรรมอันเป็นกุศล ประกอบด้วยปัญญา เกิดจากกุศลมูล ตัดโรคหรือตัดสิ่งชั่วร้าย ไม่มีโทษ สะอาด ผ่องแผ้ว ฉลาด ทำให้มีความสุข มีสุขเป็นวิบาก ผ่อนคลาย บริสุทธิ์ผ่องใส ตั้งมั่น เป็นอิสระ เหมาะแก่การใช้งาน เป็นเครื่องชำระสันดาน ทำให้กุศลธรรมเจริญขึ้น อกุศลธรรมเสื่อมไป
อกุศลมูล : โลภะ โทสะ โมหะ
อกุศลกรรม : กรรมชั่ว เกิดจากอกุศลมูล

(โดยความหมายอย่างกว้าง บุญมีความหมายเท่ากับ กุศล, บาปก็มีความหมายเท่ากับอกุศล)

กรรม จะให้ผลสำเร็จตามต้องการต้องมากับความเพียร (วิริยะ) และ ปัญญา ซึ่งทำให้เห็นธรรม รู้เหตุปัจจัย แล้วก็ทำกรรมได้ตรงที่จะให้เกิดผลดีที่พึงต้องการ เมื่อพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ กรรมก็ประณีตขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งพ้นกรรมไปเลย นี่คือหลักการใหญ่ๆของพระพุทธศาสนา

การนับถือสิ่งที่เรียกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าตราบใดยังไม่เสียหลักกรรม ก็ยังไม่ตกจากพระพุทธศาสนา แต่ถ้าผิดหลักกรรมเมื่อไร ก็หลุดจากพระพุทธศาสนาทันที เพราะกรรมคือธรรมส่วนที่โยงมาหามนุษย์ ที่ว่าไม่เสียหลักกรรมอย่างไร คือ ถ้าเราไปเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว หวังผลจากการดลบันดาล อ้อนวอนนอนรอคอย ก็เป็นอันว่าพลาดหลักกรรมแล้ว ถ้าเชื่อถือแล้วทำให้มีความมั่นคงในการกระทำ ทำการเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพียรพยายามกระทำการตามเหตุปัจจัย ก็ยังไม่หลุดไปจากหลักกรรม ฉะนั้นชาวพุทธ ในขั้นเบื้องต้น แม้จะนับถือพระรัตนตรัยแบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็อนุโลมได้ (เฉพาะในขั้นต้น เพื่อนำไปสู่ปัญญา) ถ้ายังไม่หลุดจากหลักกรรม พระพุทธศาสนากล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐด้วยการฝึก อย่าไปหลงติดพูดด้วนๆขาดห้วนใจความไปแค่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ จุดสำคัญที่ประเสริฐของมนุษย์ก็คือ การฝึกตัวเองได้ และฝึกได้จนประเสริฐเลิศที่สุด

มีพุทธพจน์หลายบทที่ท่านทรงตรัสถึงการให้ความสำคัญกับการกระทำอันเป็นกุศล แทนการถือเรื่องฤกษ์ยาม ความฝัน ฯลฯ เช่น “ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาต ไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว” (มังคลชาดก)

“ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนเขลาผู้คอยนับฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นตัวฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวจักทำอะไรได้” (นักขัตตชาดก)

“ฤกษ์ดีสำเร็จทุกเมื่อแก่ผู้บริสุทธิ์” (วัตถูปมสูตร)

“บุคคลประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้นได้ชื่อว่า เป็นฤกษ์ดี” (สุปุพพัณหสูตร)

ผลกรรมตามนัยแห่งพระไตรปิฎก ที่บรรยายในลักษณะสืบเนื่องไปถึงภพภายภาคหน้า (จูฬกัมมวิภังคสูตร) ผู้มักทำปาณาติบาต เป็นคนเหี้ยมโหด, หากมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นคนมีอายุสั้น
ผู้มีนิสัยชอบเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น, หากมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นคนมีโรคมาก
ผู้เป็นคนมักโกรธ เคียดแค้นพยาบาท, หากมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นคนมีลักษณะทราม ไม่สวยไม่งาม
ผู้มีใจริษยา, หากมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นคนต่ำต้อยด้อยอำนาจ
ผู้ไม่บำเพ็ญทาน, หากมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นคนมีโภคะน้อย
ผู้เป็นคนแข็งกระด้าง ไม่กราบไหว้ ไม่เคารพนับถือแก่ผู้ที่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น, หากมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นคนมีตระกูลต่ำ
ผู้ไม่ศึกษาปฏิบัติ เพื่อพัฒนาปัญญา, หากมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นคนทรามปัญญา

ส่วนผู้ที่ปฏิบัติในทางกุศล ซึ่งตรงข้ามกับสาระในแต่ละหัวข้อนั้น ก็จะได้รับผลดีที่ตรงข้ามกันนั้น

จะเห็นว่าในสูตรนี้ แม้จะกล่าวถึงผลที่ประสบในชีวิตข้างหน้า แต่ก็เน้นที่การกระทำในปัจจุบัน ที่อาศัยกรรมคือคุณภาพจิตใจและคุณภาพแห่งความประพฤติ ที่ตนมีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง ที่เป็นปัจจัยโดยตรงแก่ผลจำเพาะแต่ละอย่าง ไม่ใช่เป็นอานิสงส์เฟ้อชนิดที่ว่าทำกรรมดีอะไรครั้งเดียว ก็มีผลมากมายไม่มีขอบเขต

ควรสังเกตว่า ท่านตรัสผลในภพภายภาคหน้า เช่น ผู้บำเพ็ญทาน เมื่อมาสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภายภาคหน้าจะเป็นผู้มีโภคะสมบัติมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นเหตุไกล-ผลไกล ส่วนถ้าหวังผลในปัจจุบัน ควรทำเหตุใกล้ ดังธรรมหมวดที่มีชื่อว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ บางแห่งนิยมเรียกว่า หัวใจเศรษฐี ๔ ประการ คือ ขยันหมั่นเพียร, รู้จักรักษาทรัพย์, คบคนดีไม่คบคนชั่ว, เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ

หลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา พูดอย่างกว้างๆท่านจัดว่าเป็นบุญที่มีผลมากกว่ากันตามลำดับ ซึ่งจะเห็นว่า ศีล และภาวนา นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองก็ทำได้

“บุคคลทำกรรมใด ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแหละ เป็นของๆเขา และเขาย่อมพาเอากรรมนั้นติดตามไป เหมือนเงาติดตามตน ฉะนั้น บุคคลควรทำกรรมดี สั่งสมไว้สำหรับภพหน้า บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า” (ทุติยาปุตตกสูตร)

“ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง กรรมใหม่ กรรมเก่า ความดับกรรม และข้อปฏิบัติที่ให้ถึงความดับกรรม, กรรมเก่าเป็นไฉน? ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า ซึ่งถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เกิดจากเจตจำนง เป็นที่เสวยเวทนา นี้เรียกว่า กรรมเก่า, กรรมใหม่เป็นไฉน? กรรมที่บุคคลกระทำด้วยกาย วาจา ใจ ในบัดนี้ เรียกว่า กรรมใหม่, ความดับกรรมเป็นไฉน? ภาวะที่สัมผัสวิมุตติ เพราะความดับไปแห่ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เรียกว่า ความดับกรรม, ข้อปฏิบัติที่ให้ถึงความดับกรรมเป็นไฉน? ได้แก่ มรรคามีองค์ ๘ประการอันประเสริฐนี้เอง เรียกว่า ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับกรรม” (กรรมสูตร)

“ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุให้เกิดกรรม ๓ ประการเหล่านี้ คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้นเหตุให้เกิดกรรม กรรมใดที่ทำเพราะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้นเหตุ กรรมนั้นเป็นอกุศล มีโทษ มีทุกข์เป็นวิบาก, กรรมนั้นย่อมให้ผลในที่ที่อัตภาพของเขาบังเกิด หรือในลำดับต่อๆไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรม ไม่เป็นไปเพื่อความดับแห่งกรรม

ภิกษุทั้งหลาย ต้นเหตุให้เกิดกรรม ๓ ประการเหล่านี้ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นต้นเหตุให้เกิดกรรม กรรมใดที่ทำเพราะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นต้นเหตุ กรรมนั้นเป็นกุศล ไม่มีโทษ มีสุขเป็นวิบาก, กรรมนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความดับกรรม ไม่เป็นไปเพื่อความเกิดกรรม” (นิทานสูตร)



วันศุกร์

อ. เสถียร โพธินันทะ #๒

๓๑. ไวยทิกวาทะ
๓๒. วิจัยเวสสันดรชาดก
๓๓. ปรปัจจัย
๓๔. ตอบปัญหาเรื่องพระเจ้า
๓๕. กำเนิดปรัชญามหายาน
๓๖. วิวัฒนาการปรัชญามหายาน
๓๗. หลักของสุญญาตา
๓๘. สุญญาตาในลัทธิมหายาน
๓๙. อภิธรรมฝ่ายมหายาน
๔๐. คัมภีร์มหายาน
๔๑. ปรัชญาชิน
๔๒. พระถังซำจั๋ง ๑
๔๓. พระถังซำจั๋ง ๒
๔๔. พุทธาคมกับไสยเวทย์
๔๕. พระอินทร์
๔๖. การเวียนว่ายตายเกิด
๔๗. อภินิหารธรรม
๔๘. โลกธุาต
๔๙. ตักกะวิทยา
๕๐. ปฐมเหตุของโลก
๕๑. วิจัยคัมภีร์กถาวัตถุ ๑
๕๒. วิจัยคัมภีร์กถาวัตถุ ๒
๕๓. วิจัยคัมภีร์กถาวัตถุ ๓
๕๔. สารพันปัญหา ๑
๕๕. สารพันปัญหา ๒
๕๖. สารพันปัญหา ๓
๕๗. สารพันปัญหา ๔
๕๘. สารพันปัญหา ๕
๕๙. สารพันปัญหา ๖
๖๐. สารพันปัญหา ๗
๖๑. สารพันปัญหา ๘
๖๒. สารพันปัญหา ๙
๖๓. สารพันปัญหา ๑๐
๖๔. สารพันปัญหา ๑๑


๑.๙ กิเลส

กิเลส แปลว่า สภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง, สิ่งเกาะติด สิ่งเปรอะเปื้อน สิ่งสกปรก

จุดมุ่งหมายของการศึกษาเรื่องกิเลส คือ เพื่อให้มีความเข้าใจ รู้เท่าทัน ถึงคุณ โทษ ของกิเลส เพื่อเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากกิเลสนั้น (ใช้กิเลสเป็นแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง อกุศล เปลี่ยนเป็น กุศล) หรือเลือกที่จะละกิเลสนั้นตามสมควร โดยไม่ถูกกิเลสทำให้จิตเศร้าหมอง เรียกว่า เป็นนายของกิเลส ซึ่งจะพัฒนาขึ้นตามระดับของปัญญา

อนึ่ง คำว่าละกิเลสนั้น ถ้าพูดในแง่ของผลสำเร็จเช่น พระอนาคามีละสังโยชน์ได้ ๕ ข้อ หมายถึงว่า เข้าถึงภาวะที่กิเลส ๕ ข้อนั้นไม่เกิดขึ้นอีก หรืออาจใช้คำว่า ปลอดกิเลส พระอรหันต์จึงได้ชื่อว่า ปลอดกิเลสโดยสมบูรณ์

กิเลสในชื่อต่างๆ
กิเลสทั้งหมดนั้นล้วนแต่รวมลงได้ใน ราคะ โทสะ โมหะ ทั้งสิ้น การที่แยกออกมาเป็นชื่อต่างๆ เพื่อจำแนกให้เห็นชัดในลักษณะอาการของกิเลสนั้นๆแต่ละแง่ด้าน เช่น อาสวะ อนุสัย ตัณหา อุปาทาน อวิชชา สังโยชน์ นิวรณ์ อุปกิเลส เป็นต้น

อาสวะ ๔  :สิ่งที่ไหลซ่านไปทั่ว, สิ่งที่หมักหมมหรือหมักดอง ไม่ว่าจะรับรู้อะไรทางอายตนะใด หรือจะคิดนึกสิ่งใด อาสวะเหล่านี้ก็เที่ยวกำซาบซ่านไปแสดงอิทธิพลอาบย้อมมอมมัวสิ่งที่รับรู้เข้ามาและความนึกคิดนั้นๆ ทำให้ไม่ได้ความรู้ความคิดที่บริสุทธิ์ และเป็นเหตุก่อทุกข์ก่อปัญหาเรื่อยไป อาสวะต่างๆเหล่านี้ จึงเป็นที่มาแห่งพฤติกรรมของมนุษย์ปุถุชนทุกคน
    กามาสวะ    : ความใฝ่ในการสนองความต้องการทางประสาททั้ง ๕
    ภวาสวะ    : ความใฝ่ในความมีอยู่คงอยู่ของตัว ตลอดจนการที่จะได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และดำรงอยู่ในภาวะที่อยากเป็นนั้นยั่งยืนตลอดไป
    ทิฏฐาสวะ    : ความเห็น ความเชื่อถือ แนวคิด ที่สั่งสมอบรมมา และยึดถือเชิดชูไว้ (หมายถึงมิจฉาทิฏฐิ)
    อวิชชาสวะ    : ความหลง ความไม่เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตามสภาวะโดยธรรมชาติของมันเอง, ไม่รู้เห็นตามที่มันเป็น แต่รู้เห็นตามที่คิดว่ามันเป็น

อนุสัย ๗ :กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน บางอาจารย์ท่านว่ามุ่งแสดงถึงกิเลสประณีตที่ตกตะกอนนอนก้นอยู่ในจิตใจ ถ้าไม่ถูกกระตุ้นก็จะเหมือนกับว่าจะไม่ปรากฏโทษภัย แต่แท้จริงกิเลสยังคงนอนก้นอยู่ เช่น เด็กทารกกิเลสบางอย่างก็ยังไม่ฟุ้งขึ้น แต่ก็มีอนุสัยอยู่เป็นปกติ เหมือนไฟสุมภายในขอนไม้ ที่ยังไม่ลุกโพลงขึ้นมา
    กามราคะ    : ความกำหนัดในกาม
    ปฏิฆะ    : ความขัดใจ หงุดหงิดขัดเคือง คือ โทสะ
    ทิฏฐิ     : ความเห็นผิด
    วิจิกิจฉา     : ความลังเล สงสัย
    มานะ     : ความถือตัว
    ภวราคะ     : ความกำหนัดในภพ ความอยากเป็น อยากยิ่งใหญ่ อยากยั่งยืน
    อวิชชา     : ความไม่รู้จริง คือ โมหะ

อนุสัย ๗ นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังโยชน์ ๗



ตัณหา ๓
นุษย์มีความอยากที่เป็นพื้นฐานสำคัญคือ ความอยากมีอยู่เป็นอยู่ หรืออยากมีชีวิตอยู่ ซึ่งหมายถึงความอยากให้ตัวตนในความรู้สึกนั้นคงอยู่ยั่งยืนต่อไป ความอยากเป็นอยู่นี้สัมพันธ์กับความอยากได้ คือ อยากอยู่เพื่อเสวยสิ่งที่จะให้สุขเวทนาสนองความต้องการของตนต่อไป จึงกล่าวได้ว่า ที่อยากเป็นอยู่ ก็เพราะอยากได้ เมื่ออยากได้ ความอยากเป็นอยู่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
    กามตัณหา     : อยากได้สิ่งสนองความต้องการทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕
    ภวตัณหา     : อยากเป็นอยู่
    วิภวตัณหา     : อยากให้ดับสูญ
(ความอยากไม่ใช่เป็นตัณหาไปเสียทั้งหมด ความอยากที่เป็นกุศลก็มี เรียกว่า ฉันทะ)

อุปาทาน ๔
ความยึดติดถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส
    กามุปาทาน     : ความยึดมั่นในกาม, จะต้องเอาต้องเสพต้องครอบครองสิ่งนั้นให้ได้
    ทิฏฐุปาทาน     : ความยึดมั่นในทิฏฐิต่างๆ, ต้องอย่างนี้ถึงจะดี ได้อย่างนี้ถึงจะเป็นสุข
    สีลัพพตุปาทาน     : ความยึดติดถือมั่นในศีลและพรตอย่างผิดๆ, ประพฤติปฏิบัติศีลพรตในแง่ที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้นั้น เช่น คุณวิเศษบางอย่าง โดยไม่เข้าใจความหมายและเหตุผลของศีลนั้น
    อัตตวาทุปาทาน     : ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา (เพราะอัตตาไม่มีจริง เมื่อพูดอย่างเคร่งครัดจึงต้องเติม วาทะ เข้าไป, ท่านจึงมักย้ำว่า การปฏิบัติเกี่ยวกับนิพพานก็ดี นิพพานก็ดี ไม่ใช่เรื่องของการดับอัตตา หรือทำลายอัตตา เพราะไม่มีอัตตาที่จะต้องไปดับหรือไปทำลาย สิ่งที่จะต้องดับหรือทำลาย คือความยึดมั่นในอัตตา วาทะว่ามีอัตตา ความเห็นว่ามีอัตตา หรือภาพอัตตาที่สร้างขึ้นมายึดถือไว้)

นิวรณ์ ๕
ธรรมที่ขวางกันการเจริญจิตเจริญปัญญา, สิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในกุศลธรรม
    กามฉันทะ     ความพอใจติดใคร่กาม / เปรียบเหมือนคนเป็นหนี้
    พยาบาท     ความผูกใจโกรธ หงุดหงิด ขัดใจ / เปรียบเหมือนคนไข้หนัก
    ถีนมิทธะ     ถีน : ความหดหู่ , มิทธะ : ความง่วงซึม / เปรียบเหมือนคนติดในเรือนจำ
    อุทธัจจะกุกกุจจะ     อุธัจจะ : ความฟุ้งซ่าน, กุกกุจจะ : กระวนกระวายใจ / เปรียบเหมือนคนเป็นทาส
    วิจิกิจฉา     ความลังเลสงสัย คลางแคลงใจในกุศลธรรมทั้งหลาย / เปรียบเหมือนคนเดินทางกันดารมีภัยน่าหวาดเสียว)



วันพฤหัสบดี

ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ (หน้า๗)

สฬายตนะของท่านก็ยังมีอยู่ ผัสสะของท่านก็ยังมีอยู่ จักขุสัมผัสสชาสุขเวทนา จักขุสัมผัสสชาทุกขเวทนามีอยู่เหมือนกับคนธรรมดาทุกอย่าง เหมือนกันหมดมา แตกต่างจากปุถุชนอยู่ตรงที่ว่าปัจจุบันเหตุท่านไม่มีแล้ว ไม่ต่ออีกแล้ว ตัณหาอุปาทานกรรมภวะท่านไม่มีแล้ว แตกต่างกันตรงนี้ ห่างไกลวิบากธรรมนอกนั้นเหมือนกันหมด เพราะพระอรหันต์ในชาตินี้ท่านก็มีอวิชชาสังขารอันเป็นอดีตเหตุมาทุกองค์นั่นแหละ ถ้าไม่มี ท่านก็ไม่มาเกิดเป็นคนในชาตินี้ ท่านก็มีอวิชาสังขารเป็น อดีตเหตุมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งส่งผลได้แก่วิบากในปัจจุบัน ได้แก่วิญญาณเอย นามรูปเอย สฬายตนะเอย ผัสสะเอย เวทนาเอย เหมือนกับปุถุชนทุกอย่างหมด แตกต่างกับปุถุชนตรงที่ว่า ท่านไม่ได้ก่อปัจจุบันเหตุเพื่อผลในอนาคต

ปัจจุบันเหตุที่ท่านไม่มีคืออะไร ? คือตัณหาอุปาทานกับกรรมภวะไม่มี ท่านไม่ได้ก่อขึ้น
ปัจจุบันเหตุ ๓ อันท่านไม่มี ส่วนปุถุชนมี ปุถุชนนั้นพอจักขุสัมผัสสชาสุขเวทนานั้น พอถึงแค่สุขเวทนา ไม่ถึงเพียงแค่นี้ แล่นปรี๊ดถึงตัณหาเลย พระอรหันต์พอกำหนดแค่เวทนาก็อยู่แค่เวทนาไม่ได้แล่นถึงตัณหา

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเสวยอารมณ์เหมือนกับปถุชนเสวยทุกอย่าง แต่ท่านมีชรังอุเบกขา ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ทั้งหลาย อุเบกขาที่เป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๖ เรียกว่าชรังอุเบกขา อาการที่รู้เท่าทันความเป็นจริงไม่ให้เกิดนันทิราคะ เพราะเหตุนั้นความเพลินเพราะเหตุที่เสวยอิฏฐารมณ์หรือเกิดความดิ้นรนอยากจะให้พ้นไปเพื่อจะแยกเอาอารมณ์ดีใน ขณะที่เสวยอนิฏฐารมณ์ หรือเกิดความเมามัวตามไปเพราะเหตุที่เสวยมัฏชัฎตารมณ์ คืออุเบกขาเวทนาที่ได้รับเสวยมัฎชัฏตารมณ์เข้ามาท่านไม่มีสิ่งเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นเวทนาที่เกิดกับพระอรหันต์เจ้าจึงไม่มีราคะเป็นอนุสัยตามนอนเนื่อง เมื่อไม่มีราคะเป็นอนุสัยตามนอนเนื่อง เวทนาอันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาก็มีไม่ได้ มันหมดเพียงแค่นั้น และไม่เกิดปฏิคะความนอนเนื่องในทุกขเวทนา เหตุนั้นตัณหาก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในการที่จะดิ้นรนเพื่อจะให้พ้นจากทุกขเวทนานั้น ไม่เกิดอวิชชาตามนอนเนื่องในขณะที่รับมัฏชัฎตารมณ์ เพราะเหตุนั้นตัณหาก็ไม่เกิดขึ้นในอารมณ์อันนั้น

เพราะเหตุที่พระอรหันต์ปัจจุบันเหตุ ๓ ไม่มี, ชาติ ชรา มรณะ โศกะ อันเป็นอนาคตผลของท่านจึงไม่เกิดกับท่าน ท่านจึงปฏิญาณตนได้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่จะพึงทำสิ้นแล้ว ไม่มีอีกแล้ว นี้เป็นที่สุด ชาติ อื่น ๆ จากชาตินี้ของเราไม่มี ปฏิญาณได้อย่างนี้

คราวนี้อีกมติหนึ่งคือท่านผดันตะปรมะทัตตะ ท่านผดันตะปรมะทัตตะกล่าวว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นไปได้ชั่วขณะ จิตดวงเดียวเป็นไปได้ทั้ง ๑๒ องค์ ชั่วขณะอารมณ์เดียว เป็นไปได้ครบทั้ง ๑๒ องค์ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ท่านให้ความอธิบายว่าเปรียบเหมือนเราเกิดโลภะในอารมณ์ โมหะมาคู่กับโลภะ โลภะนั้นมาเดี่ยวไม่ได้ ต้องมากับเพื่อนของเขาคือโมหะ เพราะฉะนั้นโมหะอันนั้นชื่อว่าอวิชาในขณะนั้น โลภะชื่อว่าตัณหาในขณะนั้น จิตในดวงที่เกิดโลภ โลภะมูลจิตดวงนั้นชื่อว่าวิญญาณ ขณะจิตดวงนั้นชื่อว่าวิญญาณ สังขาร ได้แก่เจตสิกที่สัมปยุตต์กับโลภะมูลจิตดวงนั้นชื่อว่าสังขาร ในขณะนั้น และนามรูป นามก็ได้แก่เวทนา สัญญาที่สัมปยุตค์กับโลภะมูลจิตดวงนั้นเองอีกนั่นแหละ

ชื่อว่านามรูปนั้นได้แก่วิญญัติรูปที่โลภะมูลจิตดวงนั้นเกิดขึ้น ชื่อว่ารูป สฬายตนะ ก็ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ในขณะที่โลภะมูลจิตเป็นไปในขณะนั้น นี่เป็นสฬายตนะ ผัสสะก็ได้แก่ผัสสะในขณะนั้นอีกเหมือนกัน เพราะว่าในขณะจิตทุกดวงมีผัสสะเวทนาอีกเหมือนกัน ได้แก่สุขเวทนา ความพอใจรู้สึกว่าสบาย สุขเวทนาในขณะนั้น และตัณหาก็คือตัวโลภะนั่นเอง ที่ได้กล่าวมาแล้ว อุปาทานคือความยึดถือในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความโลภในขณะนั้น ภวะก็ได้แก่การ ประกอบกรรมบ้าง วจีกรรมบ้าง เช่น อาการเข้าไปลักอย่างนี้เป็นภวะ เข้าไปลักเพราะอำนาจโลภ ยื่นมือไปลักอย่างนี้

ในขณะนั้นก็เหมือนกันชราคืออาการที่ดวงจิตขณะนั้นแปรไปชื่อว่าชรา มรณะคือขณะจิตดวงนั้นดับไปชื่อว่ามรณะ เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เป็นไปได้ในอารมณ์เดียว ขณะเดียวครบทั้ง ๑๒ องค์ นี้อธิบายตามนัยของท่านผดันตะว่าอย่างนี้

แต่ว่าอาจารย์แห่งนิกายเสาตันติกะค้านว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากว่าปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ดวงจะพึงเป็นไปในดวงจิตดวงเดียวแล้ว เหตุกับผลก็มาอยู่ด้วยกัน ต้องมีขณะหนึ่งเป็นเหตุ ขณะหนึ่งเป็นผล ถ้าอย่างนั้นเหตุกับผลก็อันเดียวกันนะ เราจะเอาอะไรไปแยกว่าอันนี้เป็นเหตุอันนี้ผล อันนี้เป็นปฏิจจสมุปปาณธรรม อันนี้เป็นปฏิจจสมุปบณธรรมเล่า ? ธรรมดาเราจะรู้ว่าเหตุผลอย่างน้อยต้องมี ๒ ขณะ ขณะหนึ่งที่เป็นเหตุ ขณะหนึ่งที่เป็นผล ก็เมื่อกล่าวว่า ๑๒ ดวงจับกลุ่มอยู่ในขณะเดียวแล้ว อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล แยกไม่ออก เพราะฉะนั้นการที่กล่าวว่าปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นไปได้ในอารมณ์เดียว

นิกายเสาตันติกะไม่เห็นด้วย จึงได้คัดค้านอย่างนี้ แต่โดยสรุปแล้วปฏิจจสมุปบาทท่านแสดงไว้ ดังมีพุทธภาษิตกล่าวว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดที่พวกเธอได้เห็นปฏิจจสมุปบาท
ด้วยปัญญาตามเป็นจริงชื่อว่าเห็นธรรม โย ธมมํ ปสฺสติ โส มํ ปสสติ"


คำว่า “ธมมํ” ในที่นี้ อีกนัยหนึ่งท่านหมายถึงอริยสัจจ์ อีกนัยหนึ่งท่านหมายถึงปฏิจจสมุปปาณธรรม เห็นปฏิจจสมุปบาทชื่อว่าเห็นธรรม เห็นธรรมก็ชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาทธรรม เห็นอันเดียวกันด้วยเป็นอย่างนั้น แล้วก็ตรัสไว้ว่า ปฏิจจสมุปบาทนี่แหละเป็นมัชฌิมาปฏิปทา

ที่กล่าวว่าปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาคือเป็นอย่างไร ?
คือว่าคำว่า "ปฏิจจะ" ห้ามเสียซึ่งสสตะทิฏฐิ
คำว่า "อุปาทะ" ห้ามเสียซึ่งอุจเฉททิฏฐิ
คำว่า "ปฏิจจสมุปบาท" แปลว่าความเกิดขึ้นพร้อมกัน

ความที่ธรรมอันมีปัจจัยประชุมกันชื่อว่าปฏิจจะจึงดับเสียได้ซึ่งสสตะทิฎฐิ เพราะสสตะทิฏฐินั้นคือสสตะทิฏฐิที่เห็นว่าเที่ยงได้ก็เพราะมองไม่เห็นปัจจัยที่มาปรุงแต่งในภาวะนั้น จึงหลงผิดเอาว่าภาวะนี้เที่ยง แต่เมื่อใดเราเห็นว่าภาวะนี้มันก็สำเร็จมาจากปัจจัย ความรู้สึกว่าเที่ยงในภาวะนั้นก็ไม่มี สิ่งใดเกิดจากปัจจัย สิ่งนั้นก็ไม่มีสาระในตัวมันเอง สิ่งใดไม่มีสาระในตัวมันเอง สิ่งนั้นก็แปรผันได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่าเพียงลำพังปฏิจจะอันเดียวดับได้ซึ่งสสตะทิฎฐิแล้ว

ส่วนอุปาทะดับซึ่งอุจเฉททิฏฐินั้นเพราะอุจเฉททิฏฐิมองแต่ข้างดับ ไม่เห็นข้างเกิด อุปาทะแปลว่าความเกิดขึ้น ความเกิดขึ้นชื่อว่าอุปาทะ การที่เกิดสสตะทิฎฐิเห็นแต่ข้างเกิด ไม่เห็นข้างดับ จึงเกิดสสตะทิฏฐิได้ เห็นแต่ข้างเกิดข้างเดียว ข้างดับมองไม่เห็นจึงเลยมองเห็นว่าเที่ยงแล้ว พรหมโลกนี้เที่ยง อาตมันเที่ยง ตัวตนเที่ยง เห็นแต่เกิดเรื่อยไปไม่เห็นดับ จึงได้เกิดสสตะทิฎฐิ

คนที่เกิดอุจเฉททิฏฐิก็เพราะเห็นแต่ตับ ไม่เห็นเกิด เห็นมันดับเรื่อยไป ๆ ก็หายไป ๆ ก็วูบไป ๆ ก็ว่างไป ๆ ก็หมด เกิดอุจเฉททิฎฐิขึ้นมา ขาดสูญอื่นทุกสิ่ง นี่เห็นแต่ข้างดับไม่เห็นข้างเกิด เพราะฉะนั้นอุปาทะจึงห้ามเสียซึ่งอุจเฉททิฏฐิ ปฏิจจสมุปปาณธรรมจึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทาตามนัยนี้ คือห้ามทั้งสสตะทิฏฐิกับอุจเฉททิฏฐิ แสดงธรรมเป็นท่ามกลางว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี อาการที่แสดงอย่างนี้แหละเป็นมัชฌิมาปฎิปทา

พระองค์ได้ตรัสในสังยุตตนิกายว่า
"ดูก่อนกัจจายนะ เมื่อใดแลมาพิจารณาเห็นโลกสมุทัย ความเกิดขึ้นของโลกย่อมมีปัจจัยอย่างนี้ ๆ เป็นลำดับไป เมื่อนั้นย่อมละได้ละเสียซึ่งอัตถิตาความมีอยู่ได้ คือสสตะทิฏฐิ เมื่อใดมามองเห็นว่าทุกสิ่งทั้งหลายย่อมดับไป เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นก็ย่อมดับเสียได้ซึ่งนัตถิตา ความเห็นว่าขาดสูญ จะช่วยความมีอยู่อีกเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ช่วยความไม่มีอยู่อีกเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยท่ามกลาง"

แสดงโดยท่ามกลางเป็นไฉน ?
กล่าวคืออวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารโดยลำดับ นี้เป็นสายสมุทัยวาร แล้วประการตรงกันข้าม อวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ นี้เป็นสายนิโรธวารเป็นลำดับ เมื่อเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ทิฎฐิอันเป็นส่วนสุดทั้งสองคืออัตถิตากับนัตถิตาของผู้นั้นย่อมไม่เกิด นี้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา

เพราะฉะนั้นมัชฌิมาปฏิปทามี ๒ นัย นัยหนึ่งหมายถึงมรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ หมายถึงภาเวตปะธรรม คือตัวที่จะต้องเข้าไปอบรมให้มีที่เดียว ส่วนมัชฌิมาปฏิปทาตามนัยปฏิจจสมุปบาทนั้นคล้ายกับว่าเป็นทางทฤษฎี 

มรรค ๘ ทางปฏิบัติกับทางทฤษฎีต่างกันอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทเป็นมัชฌิมาปฏิปทาในทางทฤษฎี ส่วนมรรคมีองค์ ๘ เป็นมัชฌิมาปฏิปทาในทางปฏิบัติ นี่ฉีกให้เห็นข้อแตกต่างกันอย่างนี้ แล้วเราก็จะเข้าใจความหมาย ผู้ที่เห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นชื่อว่าได้ธรรมฐิติญาณ ปุพเพ โช สุสิม ธมฺมฐิติญาน ภวา ปชฺชานิพพานาญาเนติ ตรัสว่า
"ดูก่อน สุสิมะ ธรรมฐีติญาณย่อมเกิด นิพพานญาณย่อมเกิดตามมาภายหลัง"
นี้ทรงแสดงไว้ในสังยุตตนิกาย ธรรมฐีติญาณ คือญาณความรู้ในปฏิจจสมุปบาทนี้แหละชื่อว่าธรรมฐีติญาณ เพราะถ้ารู้ปฏิจจสมุปบาทแล้ว ความรู้ในไตรลักษณ์ญาณก็ปรากฏ เมื่อเห็นทุกสิ่งว่าอวิชชาเป็นปัจจัยเป็นลำดับแล้ว เราก็เห็นว่า อ้อ ! นี่เป็น อนิจจัง นี่เป็นทุกขัง และเป็นอนัตตา ที่เป็นอนัตตาเพราะไม่มี หาสภาวะคงที่ไม่ได้ มองไปก็เป็นลูกโซ่ เพราะอันนี้มีอันนั้นจึงเกิด อันนี้ไม่มี อันนั้นก็ไม่มี อันนั้นดับเหตุ อันนี้จึงจะดับ เห็นเป็นอย่างนี้ไป เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้ไปแล้ว อัตตานุทิฏฐิจะเกิดได้อย่างไร ? เกิดไม่ได้ !

วิปลาสธรรมคือความเป็นสุขวิปลาส ความเห็นว่างาม หรือความนิจวิปลาส ความเห็นว่าเที่ยงแท้จะมีได้อย่างไร ? เพราะเห็นว่าอันนี้จึงมี เกี่ยวพันกันอย่างนี้ วิปลาสคืออัตตวิปลาส ๑ สุขวิปลาส ๑ นิจวิปลาส ๑ เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าอาการที่เราไม่เห็นสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนั้นก็ไม่มีตาม ให้เห็นอย่างเดียวว่าอันนี้เกิดเรื่อย ๆ ไป เราจึงถือว่ามีแก่นสารใช่ไหม ? ถ้าเมื่อใดเรามาพิจารณาตามนัยปฏิจจสมุปบาทดังได้รู้อยู่แล้ว ความเป็นแก่นสารในสิ่งทั้งปวงนั้นก็หายวูบไปจากใจเรา เมื่อหายวูบไปจากใจเราอะไรเกิดขึ้นเล่า ? ก็ไตรลักษณ์ญาณ วิปัสสนาญาณ ความเป็นจริงได้ปรากฏขึ้นแล้วว่านี้เป็นอนิจจังจริง ทุกขังจริง อนัตตาจริง ความยึดถือก็ปล่อยไป เพราะฉะนั้นญาณกำหนดรู้ปฏิจจสมุปบาทจึงชื่อว่าธรรมฐิติญาณ เมื่อกำหนดรู้ธรรมฐีติญาณเกิดแล้ว นิพพานญาณจึงเกิด ญาณกำหนดรู้ในนิพพานจึงเกิดตามมา จึงได้นิพพานเป็นอารมณ์ได้

พูดง่ายๆ ว่าธรรมฐีติญาณนั้นคือวิปัสสนาญาณนั้นเอง วิปัสสนาญานใดก็คือญาณที่กำหนดในปฏิจจสมุปบาทนั้นเอง เป็นไปในปฏิจจสมุปบาท เพราะว่าทำอะไรๆ ก็ตามจะหนีพ้นจากปฏิจจสมุปบาทไม่มี ขันธ์ ๕ ก็อยู่ในปฏิจจสมุปบาท เราบอกว่ากำหนดขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นั่นแหละกำหนดในปฏิจจสมุปบาทละ กำหนดขันธ์ ๕ กำหนดอารมณ์นั้นแหละ กำหนดปฏิจจสมุปบาทอีก อะไรบ้างที่จะไม่กระทบปฏิจจสมุปบาทในโลกนี้ไม่มีเลย โลกคือปฏิจจาสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทนั่นแหละคือโลก อันเดียวกันนั้นเอง

เรื่องปฏิจจสมุปบาทตามนัยนานาทัศนะก็จบลงโดยย่อเพียงเท่านี้

หน้า๑  หน้า๒  หน้า๓  หน้า๔  หน้า๕  หน้า๖  หน้า๗ 























วันพุธ

ปฎิจจสมุปบานานาทัศนะ(หน้า๖)

ตัณหาเป็นทุกข์เพราะต้องแสวงหาวิ่งพล่านเพื่อจะแสวงหาอารมณ์เหมือนกับโจรต้องการเที่ยวไขว่คว้าสมบัติจึงเรียกว่า มีอาการเที่ยวแสวงหาเป็นทุกข์เป็นมูล อุปาทานมีอาการเที่ยวตามอารักขาเป็นมูล ทุกข์เพราะอารักขาเป็นมูล เพราะว่าเมื่อไขว่คว้าได้สมบัติเช่นนั้นแล้วก็ยึดถือว่าสมบัติเช่นนั้นเป็นของข้า ใครอื่นจะมาแย่งชิงต่อไปไม่ได้ มีความหวงแหนปรากฏขึ้น

คำว่า "อุปะ" ในภาษาบาลีแปลว่า กระชั้นชิด หรือจวนแจ หรือแปลว่าใกล้ชิด หรือแปลว่ากระชับแน่น
คำว่า "อาทานะ" แปลว่าถือเอาไว้ เหนี่ยวเอาไว้ ยึดเอาไว้ สนธิเข้าไปเป็นอุปาทานะ คืออาการที่เข้าไปเหนี่ยวรั้งอย่างกระชั้นชิด เหนี่ยวรั้งอย่างแน่นแฟ้น ชื่อว่าอุปาทาน

ท่านจึงได้กล่าวว่าตัณหามีทุกข์เพราะแสวงหาเป็นมูล อุปาทานมีทุกข์เพราะตามอารักขาอารมณ์อันตัวได้มานั้นเป็นมูล ตัณหานั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อความมักน้อย อุปาทานนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อความสันโดษ เป็นปฏิปักขธรรมกัน ถ้าเราถามว่าอะไรเป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัณหา ? ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัณหาคือความมักน้อย ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออุปาทานนั้นคือความสันโดษ องคธรรมทั้งสอง ความจริงก็เป็นโลภะอันเดียว แต่ท่านแยกให้เห็นว่าอันไหนอ่อน อันไหนแรง ตัณหาอ่อนกว่าอุปาทาน อุปาทานถึงกับเหนียวรั้งหวงแหนตัณหาเพียงแต่แส่เพื่อจะแสวงหาเท่านั้นเอง


ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ
ภพในที่นี้มี ๒ นัย
กรรมภพ ๑ อุปติภพ ๑ ในที่นี้กรรมภพท่านแก้ว่า ได้แก่กุศลเจตนา กุศลธรรม อกุศลธรรม คล้ายกับสังขารนั่นแหล่ะ คือแก้เป็น ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารเหมือนกัน แต่ว่าเป็นการกระทำที่เจือไปด้วย คือไม่ใช่เพียงแต่ว่าเป็นมโนกรรมอย่างเดียว ยังเป็นทั้งวจีกรรม กายกรรมได้ด้วยประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งท่านให้นัยว่า อวิชชากับสังขารนั้นเป็นอดีตเหตุ ส่วนกรรมภวะในที่นี้ได้แก่ปัจจุบันเหตุที่จะส่งผลให้เกิดอนาคตผล นี่ท่านแก้โดยแบ่งออกเป็น ๓ ว่า อวิชชาสังขารนั้นเป็นอดีตเหตุ ปัจจุบันผลคือวิญญาณ นาม รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ทั้งหมด นี้เกิดมาจากอวิชชากับสังขาร ถึงเวทนา แล้วกรรมภวะในปัจจุบันจะเป็นเหตุ เป็นกรรมที่เราทำใหม่ เป็นสังขารอันใหม่ที่เราทำขึ้นในชาตินี้เพื่อจะให้ได้รับผล กล่าวคือชาติชราโศกะปริเทวะในอนาคต ผลในภายภาคหน้าอันหนึ่ง นี้อธิบายตามนัยนี้โดยกาล ๓ คือ อดีตกาล ปัจจุบันกาล อนาคตกาล คือนัยนี้แท้แล้ว กรรมภวะในที่นี้ ก็แก้อย่างเดียวกับสังขารนั้นเอง แต่ว่าเราทำความเข้าใจเสียว่าสังขารที่ว่ามานั้นเป็นอดีต ส่วนกรรมภวะนี้เป็นปัจจุบัน ทำความเข้าใจอย่างนี้ก็แล้วกันว่า กรรมภวะนั้นได้แก่ปัจจุบันที่จะเป็นเหตุ ให้ได้ผลในอนาคตต่อไป

ส่วนอุปติภพนั้นมีนัย ๒ อย่างที่เราอาจไม่เข้าใจว่าอุปติภพชาติที่แตกต่างกันอย่างไร อุปติภพไม่เป็นปัจจัยให้แก่ชาติ เพราะฉะนั้นคำว่าภวะปัจจยาชาตินั้นต้องทำความเข้าใจว่ากรรมภวะเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้เป็นชาติได้ แต่อุปติภวะไม่เป็นปัจจัยให้เกิดชาติได้เลย ต้องแยกกัน ถ้าเหมาว่าทำกรรมภวะและอุปติภวะเป็นปัจจยาชาติแล้วผิด กรรมภวะเท่านั้นที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดชาติได้ อุปติภพไม่เป็นปัจจัยให้เกิดชาติเลยเพราะว่า อุปติภพนั้นเป็นวิบาก ไม่ใช่เป็นกิเลส กรรมภวะเป็นกิเลสสวัฏฏ

อวิชชา ๑ ภวตัณหา ๑ และกรรมภวะนี้อีก ๑ สังขารอีก ๑ เป็นพวกกิเลสวัฏฏ
อุปติภวะไม่เป็นกิเลสวัฏฏ เพราะเป็นหลักธรรม

อุปติภวะได้แก่อะไร ? ได้แก่ภพ ๙ มีกามภวะ ๑ รูปาภวะ ๑ อรูปาภวะ ๑ สัญญาภวะ ๑ อสัญญาภวะ ๑ เนวสัญญานาสัญญาภวะ ๑ เอกะโวการภวะ ๑ จตุโวการภวะ ๑ ปัญจโวการะภวะ ๑
สิริรวมเป็น ๙ ด้วยกัน

ท่านมีปัญหาว่า อุปติภพกับชาติแตกต่างกันอย่างไร ? ถ้าแก้ว่าอุปติภาพแปลว่าที่เกิดแล้วละก็กับอุปติชาติ นี้จะแตกต่างกันอย่างไร ? แตกต่างกันสิ่ ! แต่ว่าคล้ายกันนิดเดียวเท่านั้นเอง
"อุปติ" แปลว่า ที่เกิด "ชาติ" แปลว่าความเกิด ต่างกันแค่นี้ ที่เกิด กับ ความเกิด มันต่างกัน อุปติภพนั้นเป็นที่เกิด ชาติคือความเกิดขึ้น อาการที่ขันธ์ปรากฏขึ้นชื่อว่าชาติ อาการที่อัตตภาพปรากฏขึ้นแล้วชื่อว่าชาติเป็นอุปติ นั่นเป็นที่เกิด ต่างกันอย่างนี้

ท่านผู้ฟังบางท่านอาจมีความเข้าใจว่าอุปติภพ คือที่เกิด ชาติ คือความเกิด แล้วก็เห็นข้อแตกต่างกันระหว่างคำ อุปติ กับ ชาติ นั้นแตกต่างกันอย่างไร ? เมื่อมีชาติแล้ว ต้องมี ชรา มรณะ ตามมา

ชราคืออะไร ? คือความแปรปรวนไปแห่งอัตตภาพอันเกิดแต่ชาติ ชื่อว่า ชรา โศกะปริเทวะทุกข์ก็ตามมา
โศกะนั้นคืออะไร ? ธรรมชาติของโศกะคือความตรมเตรียมใจ เป็นไปในทางนามธรรม ไม่เป็นไปในทางรูปธรรม โศกะคือความตรมเตรียมใจ อาการที่ตรมเตรียมใจเพราะเหตุที่เสื่อมญาติบ้าง เสื่อมทรัพย์บ้าง เสื่อมยศฐาบรรดาศักดิบ้าง อาการตรมเตรียมใจชื่อว่าโศกะ
ปริเทวะเหล่านี้คืออะไร ? เพราะว่าเรามักจะพูดกันเสมอว่า โสกะปริเทวะ ปริเทวะคืออาการบ่นเพ้อแสดงมาทางวาจา โศกเศร้ากระทั้งบนเพ้อมาทางวาจา และบ่นเพ้อคร่ำครวญที่เดียวว่า "โธ ! เป็นทุกข์จริง ช้ำอกช้ำใจต้องลำบากลำบนจริง" อาการปนเพ้ออย่างนี้คือปริเทวะ ถ้าลำพัง เพียงว่าตรมเตรียมใจทุกข์ทนหม่นหมองอยู่เฉย ๆ ไม่แสดงอาการทางวาจา ก็ยังไม่เป็นปริเทวะ ต่อเมื่อไรบ่นเพ้อออกมา ถอนใจฮืดฮาดรำพึงรำพันออกมาเป็นปริเทวะ
อุปายาสคืออะไร ? คือความคับแค้นอย่างเหลือทน หนักกว่าโศกะ หนักกว่าปริเทวะ คับแค้นอย่างเหลือกลั้นเหลือทนที่เดียว อาการคับแค้นอย่างหนัก คนที่ฆ่าตัวตายได้ก็เพราะอำนาจอุปายาส ถ้าลำพังเพียงโศกะ ลำพังเพียงปริเทวะไม่ถึงกับฆ่าตัวตาย แต่ถ้าทุกข์ถึงขั้นอุปายาสแล้วอาจฆ่าตัวตายได้ อาจฆ่าผู้อื่นได้ ทุกขอุปายาสคับแค้นใจอย่างเหลือทน คล้าย ๆ ว่าทุกข์กระทั่งใจมันจะฟังออกมาข้างนอกอยู่แล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเสียบ้างต้องอกแตกตายแน่ อาการอย่างนี้เป็นอุปายาส เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสตามมาเป็นพรวน ทุกขขันธสสะ ปรากฎออกมาที่เดียว อาการกองทุกข์กองเบ้อเร่อเต็มแปร้ออกมาที่เดียว เพราะเหตุที่ว่ามีอวิชชาเป็นปัจจัยตามลำดับ ดังที่แสดงมานี้ อาการอันนี้แปร้ออกมา นี่ว่ากันตามนัยแห่งพระบาลีทั้งอรรถกถาด้วย ที่ได้นำมาแสดงอย่างนี้

คราวนี้ในสมัยที่พระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว ความคิดความอ่านของบรรดาพระอาจารย์ทั้งหลายที่พยายามอรรถาธิบายพุทธมติให้แตกต่างกันออกไปตามนัยแห่งอาจารย์แต่ละสำนัก ๆ นั้น นัยของปฏิจจสมุปปาณธรรมก็มีผู้มีความหมายแตกต่างกัน ดังจะได้นำมาแสดงต่อไปนี้

ในนิกายสราวาสติวาท นิกายนี้เป็นนิกายสำคัญ เขามีอภิธรรม ๗ ปกรณ์เหมือนกัน แต่ว่าเรียกชื่อแตกต่างกับอภิธรรมฝ่ายบาลีและสารัตถะในอภิธรรมก็แตกต่างกันบ้าง คือมีอภิธรรมสารีปกตาธรรม ญาณะปรกะฐานะภิธรรมและปกรณะปกรณาภิธรรม ธรรมาสกันธาภิธรรม และสังมีติปรญายภิธรรม นิกายนี้ได้นิยามความหมายของปฏิจจสมุปปาณธรรมกับปฏิจจสมุปบัณ ธรรมคล้ายกันบ้าง ท่านผะดันตะสวาประเถระได้นิยามว่าอวิชชาเท่านั้นที่ควรจะเรียกว่าเป็นปฏิจจสมุปปาณธรรม ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส เรียกว่าปฏิจจสมุปบัณธรรม ส่วนอีก ๑๐ องค์ที่เหลือตั้งแต่วิญญาณ กระทั่งถึงชาติทั้งหมดเป็นทั้ง ปฏิจจสมุปปาณธรรมด้วย เป็นทั้งปฏิจจสมุปบัณธรรมด้วย นี้เป็น

มติที่ ๑ ของอาจารย์ผะดันตะสวาประเถระ
ท่านอาจารย์ผะดันตะสวาประเถระได้อรรถาธิบายตีความคำว่า ปฏิจจสมุปปาณธรรมกับปฏิจจสมุปบัณธรรมแตกต่างกันอย่างนี้ ปฏิจจสมุปปาณธรรมคืออวิชาอันเดียว ควรเรียกว่าปฏิจจสมุปปาณธรรม ส่วนชรามรณะโศกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสนั้นเป็นปฏิจจสมุปบัณธรรม เพราะว่าชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสนั้นเป็นวิบาก ตัววิบากจะเกณฑ์ให้เป็นปฏิจจสมุปบุณธรรมไม่ได้ ชราไม่ใช่เป็นเหตุให้เกิดอะไรขึ้นในอนาคตกาลข้างหน้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ โสกะไม่ใช่เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ทุกขโทมนัสอุปายาสไม่ได้เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ แต่มันเองเป็นเพียงแต่ผลที่มาจากเหตุ มันจะเป็นเหตุที่จะให้เกิดผลในอนาคตไม่ได้ เพราะฉะนั้นเหตุผลท่านก็น่าฟังที่กล่าวว่าเป็นปฏิจจสมุปบัณธรรมถ่ายเดียว ไม่เป็นปฏิจจสมุปบัณธรรม เป็นวิญญาณกระทั่งถึงชาติ, วิญญาณ นาม รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภวะ ชาติ ๑๐ อันนี้ เป็นทั้งปฏิจจสมุปปาณธรรม เป็นทั้งปฏิจจสมุปปาณธรรมด้วยเป็นอย่างนี้เพราะว่าวิญญาณเป็นทั้งปฏิจจสมุปปาณธรรม ในขณะเดียวกัน วิญญาณก็เป็นปฏิจจสมุปบัณธรรมของสังขาร แล้ววิญญาณก็เป็นปฏิจจสมุจจสมุปบัณธรรมของนามรูป ในขณะเดียวกันนามรูปก็เป็นปฏิจจสมุปบัณธรรมของวิญญาณ นามรูปเป็นปฏิจจสมุปบัณธรรมของสฬายตนะ ปฏิจจสมุปบัณธรรมของนามรูป สฬายตนะเป็น ปฏิจจสมุปบัณธรรมในขณะเดียวกัน ผัสสะก็เป็นปฏิจจสมุปบัณธรรมของสฬายตนะ

นี่แหละมันวนเวียนกันอย่างนี้ ตั้งแต่วิญญาณถึงชาติต่างเป็น ปฏิจจาสมุปปาณธรรมและปฏิจจสมุปบัณธรรมได้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงแสดงว่า องค์ ๑๐ ที่อยู่ท่ามกลางนี้เป็นทั้งปฏิจจสมุปาณธรรมด้วย เป็นทั้งปฏิจจสมุปบัณธรรมด้วย ส่วนชรา โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัสอุปายาสนั้น เป็นผลถ่ายเดียว ไม่เป็นเหตุได้ จึงเป็นปฏิจจาสมุปบัณธรรม นี้เป็นมติที่ ๑ ว่าอย่างนั้น

มติที่ ๒ เป็นของท่านผดันตะศรีโฆษะ
ท่านผู้นี้ได้ให้ความหมายว่า อวิชชากับสังขารเป็นปฏิจจสมุปปาณธรรม ส่วนชาติกับชรามรณะนั้นเป็นปฏิจจสมุปบัณธรรม องค์ธรรมที่เหลือก็เป็นทั้งปฏิจจสมุปปาณธรรมด้วย เป็นทั้งปฏิจจสมุปปบัณธรรมอีกด้วย นี้เป็นมติที่แตกต่างจากมติแรก

แต่ถ้าเราจับเหตุว่าอดีตเหตุ คืออวิชชากับสังขารเป็นอดีต ปัจจุบันผลคือวิญญาณ นาม รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เป็นปัจจุบันผล ปัจจุบันเหตุ ๓ คือ ตัณหา อุปาทานกับกรรมภวะ เป็นปัจจุบันเหตุ ๓ อันจะให้เกิดผล กล่าวคือ ชรา โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส เป็นอนาคต ผลอีกข้างหน้า ถ้าอย่างนี้แล้วก็เห็นได้ชัด เห็นได้ชัดอย่างไร ? เห็นได้ชัดในข้อที่ว่าวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ กับเวทนาเป็นปัจจุบันผล คือถ้าหากว่าไม่จัดเป็นปัจจุบันผลแล้ว พระอรหันต์ที่ท่านละอวิชชาได้ ท่านก็ยังมีวิญญาณปวัตติวิญญาณท่านยังเป็นไปอยู่ นามรูปท่านก็ยังมีอยู่ (อ่านหน้าต่อไป)

หน้า๑  หน้า๒  หน้า๓  หน้า๔  หน้า๕  หน้า๖  หน้า๗ 

วันอังคาร

ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ(หน้า๕)

ในปฏิจจสมุปปาณธรรมตามมติในนิกายเถรวาทเรานั้น มีภวะจักร อันเป็นตัวการอยู่ ๒ ตัวคือ อวิชชา ๑ ภวตัณหา ๑ ในภาเวตปธรรม ปหานตปธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในอังคุตตรนิกาย จตุกนิบาตแสดงไว้ว่า ธรรมที่ควรกำหนดรู้ได้แก่อะไร ?
ควรกำหนดรู้ได้แก่นาม ๑ รูป ๑ เข้าไปกำหนดรู้เท่าทัน
ธรรมที่ควรละคืออะไร ? ปหานตัปกิจปหานตัปกิจคืออะไร ?
นามรูปนี้เป็นปริญเญยกิจ ควรเข้าไปกำหนดให้รู้เท่า ปหานตัปกิจได้แก่ อวิชชา ๑ ภวตัณหา ๑ ควรแก่การเข้าไปละเข้าไปประหาร
ธรรมที่เป็นสัมชิกาตัปปกิจควรเข้าไปทำให้แจ้งคืออะไร ?
ได้แก่นิพพาน
ธรรมที่ควรเข้าไปเจริญเป็นภาเวตปกิจอบรมให้มีขึ้นคืออะไร ?
คือมัคมีองค์ ๘ 

เพราะฉะนั้นในที่นี้เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงแสดงปฏิจจสมุปปาณธรรม ฉะนั้น รวบรัดคือมุ่งเอาคำว่า อวิชชากับภวตัณหา อวิชชากับภวตัณหานี้ท่านว่าเป็นนปุพโกติ นปุพโกติแปลว่า เบื้องต้นไม่ปรากฏ เราจะสืบสาวราวเรื่องไปต้นตอว่า อวิชชากับภวตัณหา นั้นมีปฐมเหตุอะไร เบื้องต้นมาจากไหนไม่ปรากฏ ท่านใช้ศัพท์ว่านปุพโกติ

ทำไมถึงเอาอวิชชากับภวตัณหาเป็นในทางเช่นเดียวกัน ?
ความจริงก็เป็นอันเดียวกัน ภวตัณหาอันใดอวิชชาก็อันนั้น อวิชชาใด ภวตัณหาก็อันนั้น แต่ว่านี้แสดงถึง ๒ นัย คือว่าแสดงว่าสัตว์ที่จะพึงไปถือปฏิสนธิในทุกขคติภูมิ พระองค์ทรงแสดงโดยนัยแห่งอวิชชา
อำนาจแห่งอวิชชาพาสัตว์ไปปฏิสนธิในทุคติ ถ้าหากว่าสัตว์จะไปปฏิสนธิในคติภูมิ พระองค์ทรงแสดงโดยนัยแห่งภวตัณหา เพราะฉะนั้นอวิชชานำไปสู่ปฏิสนธิในภพน้อยภพใหญ่ "ภวาภวะ" ในภพน้อยภพใหญ่ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามาคู่กับภวตัณหาแล้วอวิชชาในที่นี้ ท่านหมายมุ่งเอาว่าไปปฏิสนธิเป็นตัวนำของสัตว์ที่จะพาไปสู่ปฏิสนธิในทุคติภูมิ ส่วนภวตัณหานั้นมีหน้าที่นำสัตว์ไปปฏิสนธิในสุคติภูมิ เพราะเหตุว่าสัตว์ใดถึงซึ่งสสตทิฏฐิย่อมเจริญ ฌาณบ้าง เจริญศีลบ้าง เพื่อหวังความที่ตนเทียงในภพหน้าก็ดี เพื่อหวังเห็นว่าสวรรค์เป็นของเทียงก็ดี เห็นพรหมโลกเที่ยงก็ดี สัตว์นั้นย่อมสหรจรน์ด้วยภวตัณหาเป็นปัจจัยเป็นแม่นแท้ เมื่อภวตัณหาเป็นรากเหง้า เพราะภวตัณหานั้นในนิเทศนั้นท่านแก้ว่าได้แก่ตัวสสตทิฏฐนั้นเอง แต่ว่าภวตัณหาย่อมพาสัตว์ไปท่องเที่ยวในภพใหญ่น้อยเป็นลำดับไป นี้อันหนึ่ง


แต่ว่า อีกอย่างหนึ่งทรงแสดงด้วยอำนาจของอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารโดยลำดับนั้น แสดงแก่สัตว์ผู้มีทิฏฐิจริต สัตว์ใดซึ่งหนักในทิฏฐิจริต ทรงแสดงอวิชชาเป็นลำดับตามนัยปฏิจจสมุปปาณธรรมเป็นลำดับให้ฟัง แต่สัตว์ใดที่มีเชื้อตัณหาจริตเป็นมูล ก็ทรงแสดงภวตัณหาเป็นเหตุต้นเป็นลำดับให้ฟัง นี้เป็นการยักย้ายแตกต่างกันระหว่างภวจักร ๒ กล่าวคือ อวิชากับภวตัณหา ถ้ามาคู่กันก็ต้องแยกแยะอย่างนี้ แต่โดยปกติทั่วๆไปแล้ว ก็ทรงแสดงอวิชชานี่แหล่ะเป็นรากเหง้าต้นตอของวัฎฎะทั่วๆไป แต่โดยนัยพิเศษในกรณีที่ว่าถ้าพบพระพุทธพจน์ที่มีคำว่า อวิชชากับภวตัณหามาคู่กันแล้ว ก็ให้ทำความเข้าใจอย่างนี้ว่ามีอรรถาธิบายแตกต่างกันอย่างนี้ว่า อวิชชาเป็นเบื้องต้นนั้น ทรงแสดงแก่สัตว์ผู้หนักในทิฏฐิจริต ถ้าหากว่า ทรงแสดงปฏิจจสมุปปาณธรรมโดยนัยมีภวตัณหาเป็นเบื้องต้นนั้น ทรงแสดงแก่สัตวผู้หนักในภวตัณหา เพราะฉะนั้นสัตว์ผู้จะถือปฏิสนธิในทุคติภูมิ ทรงแสดงโดยรากเหง้าคืออวิชชา สัตว์ที่จะถือปฏิสนธิในสุคติภูมิ ทรงแสดงโดยรากเหง้าคือภวตัณหา ให้ทำความเข้าใจ ในข้อแตกต่างระหว่างคำว่า อวิชชากับภวตัณ หาที่มาคู่กันในนัยอันนี้ด้วย แต่โดยทั่วๆ ไปแสดงอวิชชาเป็นต้นตอใหญ่ ทั้งอวิชชากับภวตัณหาท่านใช้คำว่านปุพโกติ มีเบื้องต้นไม่ปรากฏ เราจะสืบสาวราวเรื่องอะไรเป็นต้นตอว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไร สืบสาวไม่ได้ เบื้องต้นไม่ปรากฏจริง ๆ เพราะว่ามันเป็นวงจรหมุนกันอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ท่านจึงกล่าวว่าเป็นภวจักร จักรคือวงกลมที่หมุนไปนั่นเอง อวิชชาโดยปกตินั้นท่านก็แสดงว่าได้แก่ความไม่รู้ในสัจจะ ๔ ความไม่รู้ในนามรูปโดยเที่ยง ความเป็นจริง พูดง่ายๆ ว่าความไม่รู้ในลักษณะญาณ รู้ว่านี่เป็น นี่ไม่เที่ยง นี่เป็นทุกข์ นี่ไม่ใช่ตัวตน อาการที่ไม่รู้อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นอวิชชาเหมือนกัน

ส่วนคำว่า "สังขาร" ในคำว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ในที่นี้คำว่าสังขาร ยังมีบางคนเข้าใจผิด คือว่าในอภิธรรมปิฎกวิภังคปกรณ์แก้ว่า ปุญญาภิสังขารโร อปุญญาภิสังขาโร อเนญชาภิสังขาโร กายะสังขาโร วจีสังขาโร สัญญาสังขาโร มโนสังขาโร บางอันใช้ว่าจิตตสังขาโร อยํ มุจติ สังขารา นี้แหละเรียกว่าสังขาร เพราะฉะนั้นในที่นี้เราก็มีปัญหาว่า ปุญญาภิสังขารหมายเอาคือใน อปุญญาภิสังขาร หมายเอาแค่ไหน อเนญชาภิสังขาร ท่านที่เคยเป็นนักศึกษาอภิธรรมมาแล้วก็คงเข้าใจ พูดทีเดียวก็เข้าใจเลย ในอรรถากถาสัมโมหะวิโมทนีปกรณ์ท่านพูดย่อๆ กุศลเจตนาที่เป็นกามาพจร รูปาวจร ๑๓ ดวง กุศลเจตนาที่เป็นไปในจิต ๑๓ ดวงนี้ด้วยปุญญาภิสังขาร กุศลเจตนาที่เป็นไปในจิตที่เป็นไปในกามาพจรกุศล รูปาวจรกุศล รวมทั้งหมด ๑๓ ดวงนี้ชื่อว่าปุญญาภิสังขาร

อปุญญาภิสังขารได้แก่อะไร ? ท่านก็แก้ว่าได้แก่เจตนาที่เป็นไปในอกุศลจิต ๑๒ ดวงนั้นเอง ชื่อว่าอปุญญาภิสังขาร ส่วนอเนญชาภิสังขารนั้นได้แก่เจตนาที่เป็นไปในอรูปาวจรกุศลจิต ๔ ดวง อันนั้นชื่อว่าอเนญชาภิสังขาร นี้ไม่มีปัญหา คือในศัพท์คำว่ากายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร มีปัญหาขึ้นมา บางท่านแก้ว่า กายสังขารเป็นไฉน ? แก้บอกว่าได้แก่อัสสาสะปัสสาสะ วจีสังขารเป็นไฉน ? ได้แก่วิตกวิจาร จิตสังขารเป็นไฉน ? ได้แก่สัญญากับเวทนา ถ้าแก้อย่างนี้ผิด ไม่ใช่นัยในลังขารในปฏิจจสมุปปาณธรรม

คำว่ากายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารนั้นมี ๒ นัย นัยหนึ่งคือกายสังขาร ได้แก่วิตกวิจารที่ปรุงแต่งให้เกิดคำออกมา ให้เกิดวจีกรรม วจีเพศ ออกมา เพราะคนเราจะพูดต้องมีวิตกวิจารเสียก่อนต้องยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ที่ตัวจะพูดนั้นเสียก่อน และต้องไตร่ตรองในอารมณ์นั้นเสียก่อนจึงจะหลุดออกมาได้ เพราะฉะนั้นท่านกล่าวว่ากายสังขาร อัสสาสะปัสสาสะนั้นเป็นเครื่องที่ทำให้เรามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ วจีสังขาร คือวิตกวิจารที่ปรุงแต่งวาจาออกมา ส่วนจิตสังขารนั้นได้แก่สัญญากับเวทนาที่ปรุงแต่งจิต เป็นองค์ประกอบของจิต

กายสังขารคืออัสสาสะปัสสาสะ วจีสังขารคือวิตกวิจาร จิตสังขารนั้นคือสัญญากับเวทนา แต่ว่าสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั้นไม่ใช่สังขาร ๓ นัยนี้ แม้ชื่อจะเหมือนกันว่า กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารก็จริง แต่ไม่ใช่ตามนัย ๓ อันนี้ ถ้าเป็นนัย ๓ อันนี้จิตยังไม่มีเวทนา สัญญาจะมีได้อย่างไร ? มีไม่ได้ นามรูปยังไม่มี อัสสาสะปัสสาสะจะมีได้อย่างไร ? มีไม่ได้ นามรูปสฬายตนะยังไม่มีแล้ว วจีเพศจะมีได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้นจะไปแก้ว่ากายสังขารวจีสังขารจิตสังขารตามนัยว่ากายสังขารคืออัสสาสะปัสสาสะไม่ถูก วจีสังขารเกิดไม่ได้ วิตก วิจารไม่ถูก หรือว่าจิตสังขารคือสัญญาเวทนาไม่ถูก ไม่ใช่อย่างนั้นนัย ๓ อันนี้ ถ้ากล่าวไว้ในเกี่ยวกับการเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ว่าผู้ที่เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัตินั้นย่อมดับสังขาร ๓ สังขาร ๓ คือ อัสสาสะปัสสาสะ วิตกวิจาร สัญญาเวทนา แต่ในปฏิจจสมุปบาทไม่ได้พูดเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ถ้าอย่างนั้นได้แก่อะไร?

กายสัญเจตนา วจีสัญเจตนา กับมโนสัญเจตนา กายสังขารเป็นไฉน ?
กายสัญเจตนานั้นเองที่เป็นไปในรูปาวจรกุศลบ้าง กามาพจรกุศลบ้าง ๑๓ ควงนั้นแหละที่เป็นไปตามนั้น วจีสังขารเป็นไฉน ? ก็ได้แก่วจสัญเจตนา เช่นว่าเรากล่าววจีกรรมเป็นคำสดุดีพุทธคุณก็ดี หรือกล่าวผรุสวาจาออกมา เจตนาใดอันสหจรพร้อมกับอกุศลจิตตุปบาทที่เกิดขึ้นพร้อมกับผรุสวาจา วจีสัญเจตนา เจตนาใดซึ่งสหจรกับกุศลจิตตุปบาทพร้อมกับที่เราเปล่งคำสดุดีพุทธคุณ อันนั้นเป็นกุศลเจตนา นี้เป็นเจตนาอย่างนี้ ส่วนจิตสังขารนั้นคือมโนสัญเจตนา พูดง่าย ๆ ว่าเจตนาที่เป็นไปในส่วนมโนกรรมที่เป็นไปทั้งฝ่ายกามาพจร รูปาวจร อรูปาวจร ชื่อว่าจิตสังขารในที่นี้ เพราะฉะนั้นคำว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดอย่างนี้
สังขาร ๖ ดังที่อธิบายมานี้คือ
๑. ปัญญาภิสังขาร 
๒. อปุญญาภิสังขาร 
๓. อเนญชาภิสังขาร 
๔. กายสังขาร 
๕. วจีสังขาร 
๖. จิตสังขาร
เป็นอย่างนี้ที่ท่านแสดงโดยนัยนี้

สังขารเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ก็ได้แก่วิบากจิต ๑๙ ดวง ที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งปฏิสนธิกาล ๓๒ ดวง ด้วยอำนาจแห่งปวัตติกาล ชื่อว่า วิญญาณในที่นี้ พูดง่าย ๆ ว่าสังขารนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ๒ ชนิด วิญญาณหนึ่งเรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณหรือปฏิสนธิจิต อีก อย่างหนึ่งเรียกว่าปวัตติวิญญาณ ปวัตติวิญญาณนับเอาตั้งแต่ปฐมภวังค์หลังจากปฏิสนธิขณะดับไปแล้วเป็นต้นไป ที่สุดในชาติหนึ่งภพหนึ่ง เป็นชื่อว่าปวัตติวิญญาณทั้งหมด จิตที่เกิดมาตั้งแต่ปฏิสนธิแล้วชื่อว่าปวัตติวิญญาณทั้งหมด เพราะฉะนั้นเป็นไปให้เกิดวิญญาณอย่างนี้ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนาม นามในที่นี้ท่านแก้ว่าได้แก่ขันธ์ ๓ คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ สังขารขันธ์ก็หมายความว่าเจตสิกธรรมนั่นเองที่เกิดขึ้นมา เพราะเมื่อมีจิตแล้วก็ต้องมีเจตสิกเกิดเป็นลำดับต่อมา และรูปในที่นี้ได้แก่กัมมัชรูปที่สหจรกับปฏิสนธิวิญญาณ ตั้งแต่ปฐมปฏิสนธิขณะหมายถึงตัวกัมมัชรูปโดยตรงในที่นี้เป็นต้นต้อโดยตรง ส่วนสฬายตนะ ผัสสะ อันนี้เข้าใจง่าย ซึ่งก็ได้แก่อายตนะ ๖ ผัสสะคือความกระทบกันระหว่าง อายตนะภายใน ภายนอกแล้วก็วิญญาณที่เกิดพร้อมในอายตนะทั้ง ๖ นั้นชื่อว่าผัสสะ เวทนาก็เหมือนกันเข้าใจง่าย ตัณหากับอุปาทาน อันนี้แตกต่างกัน แต่ความจริงองค์ธรรมอันเดียวคือเป็นนิโรธะ เป็นองค์ธรรมที่แตกต่างกันอย่างนี้ตัณหานั้น คือ สภาพใดที่ปรากฏในอารมณ์ที่ยังมาไม่ถึงชื่อว่าตัณหา เปรียบเหมือนกับโจรยื่นมือไปด้วยเจตนาจะลักของเขา แต่ยังไม่ถูกของนั้น เพียงแต่อาการที่ยื่นมือไปเพื่อจะลัก อาการอย่างนี้เป็นอาการของตัณหา อุปาทานได้แก่อาการที่โจรลักของนั้นแล้วก็ถือเอาว่าเป็นของของตน นี่เป็นอาการของอุปาทาน นี่เราจะเห็น ความแตกต่างของตัณหากับอุปาทาน ตัณหานั้นมีความทุกข์เพราะแสวงหาเป็นมูล อุปาทานมีความทุกข์เพราะอารักขาเป็นมูล (อ่านหน้าต่อไป)


ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ (หน้า๔)

เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาปฏิจจสมุปบาทด้วยสายนิโรธวารแล้ว ก็ทำลายสัสสตทิฏฐิได้ อวิชชาดับ สังขารดับ, สังขารดับ วิญญาณดับ, เป็นลำดับ แล้วสัสสตทิฏฐิก็หายไป สัสสตทิฏฐิเกิดเพราะความหลงผิดว่าเกิดแล้วเป็นเที่ยง เกิดแล้วไม่มีดับอีก เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ อย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเราถือว่ามีเกิดขึ้น แต่ไม่ยอมให้ดับ เกิดแล้วเที่ยงไม่ได้ มันขัดกับหลักเหตุผล อันใดเกิด อันนั้นก็ต้องดับ เพราะฉะนั้นถ้าเราถือหลักปฏิจจสมุปบาทในสายนิโรธวารว่า อวิชชาดับ สังขารดับ เพราะฉะนั้นอันนี้มันก็ต้องดับ เมื่อรู้อย่างนี้ สัสสตทิฏฐิก็ดับ อุจเฉททิฏฐิหรือเรียกว่านัตถิกทิฏฐิ เพราะเห็นแต่ข้างดับ ไม่เห็นข้างเกิด สัสสตทิฏฐิเห็นแต่ข้างเกิด ไม่เห็นข้างดับ อุจเฉททิฏฐิเห็นแต่ข้างดับไม่เห็นข้างเกิด เห็นว่าดับหมด เอ ! ร่างกาย

ก็ไม่มี ตายแล้วก็ศูนย์ แล้วก็แล้วกันไป แยกย้ายกันไปหมด ไม่เห็นข้างเกิด เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดยสายสมุทัยวารเห็นว่าอวิชชาเกิด สังขารเกิดเป็นลำดับแล้ว ความหลงผิดที่นึกว่าตายแล้วแล้วกัน อันเป็นอุจเฉททิฏฐิกดับหายไป เพราะเหตุนั้นปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทาอีกนัยหนึ่ง

มัชฌิมาปฏิปทาโดยประการฉันใด ปฏิจจสมุปบาทโดยประการฉันนั้น ธรรมะในปฏิจจาสมุปบาทนั้น พิจารณาไปแล้วก็สำเร็จเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาคืออะไร ? ถ้ามาจับยกมรรคแปดออกเป็นมัชฌิมาปฏิปทาตัวมรรคแปดนั้นเป็นธรรมข้อปฏิบัติ ธรรมข้อปฏิบัติเพื่อถึงอะไร ? เพื่อถึงญาณทัสสนะที่แทงทะลุในปฏิจจสมุปบาททั้งสายเกิดสายดับ เมื่อแทงทะลุปฏิจจสมุปบาททั้งสายเกิดสายดับเช่นนี้ได้แล้ว นิพพานก็หนีไม่พ้น นิพพานเราก็ได้ทันที เพราะเหตุนั้นพระศาสดาจึงได้ตรัสกับท่านมหากัจจายนะว่า "ดูก่อนกัจจายนะ เพราะเหตุที่พิจารณาปฏิจจสมุปบาทว่า ธรรมทั้งปวงย่อมเกิดขึ้นเป็นลำดับ ความคิดในส่วนสุดอีกข้างหนึ่งของเราก็ไม่มี เพราะพิจารณาปฏิจจสมุปบาทว่าดับไปเป็นลำดับ ความคิดในส่วน
สุดอีกข้างหนึ่งของเราก็ไม่มี ดูก่อนกัจจายนะ ตถาคตย่อมสอนธรรมอันไม่ติดอยู่ในส่วนสุดสองข้าง กล่าวคืออัตถิตาความมีอยู่ ๑ นัตถิตา ความไม่มีอยู่ ๑"

อัตถิตาความมีอยู่คืออะไร ? คือสัสสตทิฏฐถือว่าทุกสิ่งมี ผิด! มีอันนั้นไม่ใช่ มีเที่ยง ขึ้นชื่อว่ามี มีอันนั้น มีอย่างปฏิจจสมุปบาท แต่มีอย่างสมบูรณภาพนียม ผิด!
ถือว่าทุกสิ่งเป็นนัตถิตา ไม่มีก็ผิด ตถาคตย่อมแสดงธรรมเป็นท่ามกลาง ไม่ติดตั้งอัตถตาความมีอยู่ ไม่ติดทั้งในนัตถตา ความไม่มีอยู่ คือได้แก่การพิจารณาปฏิจจสมุปบาทดังได้ว่ามานี่แหละ อันเข้าหลักอย่างพุทธพจน์ย่อที่ยกมาให้ฟังว่า อิมัสมิง สติ อิทังโหติ อิมัสสุปาทา อิทะมุปัชชติ อิมัสมิง อัสสติ อิทั้ง นโหติ อิมัชนิโรธา อิทั้งนิรุชชตีติ ดังได้ยกมา สิ่งอันนี้มี อันนั้นจึงมี อันนี้เกิดขึ้น อันนั้นจึงเกิด เพราะสิ่งอันนั้นไม่มี อันนี้ก็ไม่มี สิ่งอันนั้นดับ อันนี้จึงดับ และภาษิตพระอัสสชิเถรเจ้ายกขึ้นแสดงแก่พระสารีบุตรว่า เยธมฺมา เหตุปพฺพวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต คือแสดงปฏิจจสมุปบาทนี่เอง จึงได้กล่าวว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นหัวใจของพุทธศาสน์ ว่า “ธรรมทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าย่อมทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น และความดับสิ้นไปแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้นด้วย นี่พระมหาสมณะองค์นั้นมีปรกติวาทะอย่างนี้

ธรรมทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด คำว่าธรรมทั้งปวงในที่นี้ก็ได้แก่ปฏิจจสมุปปัณณธรรม มีเหตุเป็นแดนเกิด ส่วนปฏิจจสมุปปาณธรรมหมายถึงว่า ธรรมที่อาศัยกันเกิดพร้อมกัน คำว่า "ปฏิจจะ" มีอรรถว่าอาศัยหรือความประชุมพร้อมแห่งเหตุ อาศัยอะไร ? อาศัยความประชุมกันเกิดขึ้นพร้อมแห่งเหตุ อุปปาณะ คือความเกิดขึ้น เมื่อเข้าสนธิแล้วก็เป็น ปฏิจจะ+สัง+ปาณ เป็นปฏิจจสมุปปาณะ แปลว่าธรรมที่อาศัยการประชุมพร้อมกันเกิดขึ้น ปฏิจจสมุปปาณธรรม จึงแปลว่า ธรรมที่อาศัยการประชุมพร้อมกันเกิดขึ้น

อีกอันหนึ่งปฏิจจสมุปปัณณธรรม คือ ปฏิจจะ+อุปัณณะ แปลว่าธรรมซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมอันอาศัยปัจจัยประชุมพร้อมกันแล้ว เป็นปฏิจจสมุปปัณณธรรมนี้อันหนึ่ง เพราะฉะนั้นศัพท์ว่าปฏิจจสมุปปาณธรรม ๑ ศัพท์ว่าปฏิจจสมุปบัณณธรรมอีก ๑ แยกแยะให้เห็นข้อความแตกต่างในระหว่างธรรมทั้ง ๒ อันนี้ ในมติ
รุ่นอรรถกถาโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านพุทธโฆษะ ได้อรรถาธิบายนัยของปฏิจจสมุปปาณ ธรรมไว้เป็น ๔ นัยด้วยกัน เพราะอันที่จริงถ้าเราพิจารณาดูในอาคตะสถานในบาลีปกรณ์ขั้นพระสูตร เช่นมหานิทานสูตรก็ดี หรือสังยุตตนิกาย นิทานวรรคก็ดี เราจะเห็นว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงปฏิจจสมุปปาณธรรมนัยต่างๆ
กัน บางครั้งทรงแสดงโดยนัยครบ ๑๒ องค์ บางครั้งทรงแสดงโดยนัย ๘ องค์ บางครั้งทรงแสดงโดยนัย ๖ องค์ องค์ธรรมของปฏิจจสมุปบาทนี้ไม่ได้เหมือนกันทุกแห่งไป ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่าทรงยกย้ายไปตามอรรถาธิบายและภูมิธรรมของสัตว์ผู้ได้รับธรรมรสจากพระองค์ แต่โดยปรกติแล้ว เมื่อทรงแสดงปฏิจจสมุปปาณธรรมอย่างทั่วถึงคือแสดงอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ก็แสดงครบทั้ง ๑๒ องค์ ท่านพุทธโฆษะ จึงได้เฉลยแก้ข้อข้องใจในข้อที่พระผู้มีพระภาคแสดงปฏิจจสมุปปาถธรรมนี้ โดยนัยแตกต่างกันเพราะเหตุ
อะไร ? แสดงไว้ในอรรถกถาชื่อว่าสัมโมหะวิโมทนีปกรณ์ สัมโมหะวิโมทนีปกรณ์นั้นเป็นอรรถากถาอภิธรรมวิภังคปกรณ์ซึ่งเป็นเล่มสำคัญเล่มหนึ่งในอภิธรรมปิฎกที่เดียว ท่านให้ไว้ด้วยกัน ๔ นัย คือ
ประการที่ ๑ ทรงแสดงตั้งแต่เบื้องต้นถึงที่สุด นัยนี้เรียกว่าอนุโลมเทศนานัย คือจัดวางตั้งแต่อวิชชาปัจจยาสังขารา สังขาราปัจจยาวิญญาณนั่ง เรื่อยไปกระทั่งชาติปัจจยาชรามรณะ ปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะ พร้อมทั้งกองทุกข์ ประมวลมาแห่งกองทุกข์ยิ่งใหญ่ขึ้นทีเดยว แสดงโดยนัยนี้ครบทั้ง ๑๒ องค์ ตั้งแต่อวิชชากระทั่งถึงชาติเป็นที่สุด อันนี้เรียกว่าแสคงตามอนุโลมเทศนานัย นี้เป็นนัยประการหนึ่ง

ประการที่ ๒ พระองค์ทรงแสดงปฏิจจสมุปปาณธรรมตั้งแต่ท่ามกลางไปถึงที่สุด คำว่าท่ามกลางในที่นี้จับความตั้งแต่เวทนาเป็นต้น เวทนาปัจจยาตัณหา เป็นต้น ตัณหาปัจจยาอุปาทานัง อุปาทานังปัจจยา ว่าเรื่อยไปจนกระทั่งชรามรณะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาส เป็นที่ประมวลมาแห่งกองทุกข์กองมหึมาอันเป็นที่สรุปสุดท้ายนี้ จับความตั้งแต่เวทนา ทำไมพระผู้มีพระภาคจึงจับความตั้งแต่เวทนา ? เพราะว่าสัตว์นั้นเสวยเวทนาเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เป็นโสมนัสบ้าง เป็นโทมนัสบ้าง เมื่อเสวยเวทนาเป็นสุข เวทนาก็ย่อมเกิดตัณหา ความติดใจในเวทนานั้น ๆ เกิดนันทิราคะ ความเพลิดเพลินในอารมณ์อันเกิดแต่เวทนานั้น ๆ ประการหนึ่ง ถ้าหากว่าเกิดทุกขเวทนาก็ต้องการจะดิ้นรนให้พ้นไป เพื่อที่จะเปลี่ยนเอาอารมณ์ที่ตนพอใจเข้ามาแทนที่ เวทนาก็มาจากตัณหาอีกประการหนึ่ง หรือเมื่อเกิดจากการเสวยซึ่งอุเบกขาเวทนาก็ยังมีโมหะเป็นอนุสัย เพราะว่าเวทนานั้นสุขเวทนามีราคะเป็นอนุสัย ทุกขเวทนามีปฏิคะเป็นอนุสัย อุเบกขาเวทนานั้นมีอวิชาเป็นอนุสัย เวทนาทั้ง ๓ นั้นไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อุเบกขาเวทนาก็ดี
ก็ยังมีอนุสัยตามนอนเนื่อง เพราะเหตุที่สัตว์ทั้งหลายไม่กำหนดรู้ความเป็นจริงในเวทนาอันตนเสวย

เมื่อเกิดสุขเวทนากต้องการให้ได้สุขยิ่งขึ้น เกิดนันทิราคะ เกิดเป็นตัณหา เวทนาเป็นปัจจยาตัณหา
ถ้าหากว่าได้รับทุกขเวทนาก็อยากจะดิ้นรนให้พ้นไปเสีย อาการที่ดิ้นรนอยากจะให้พ้นไปเสีย พ้นไปเพื่ออะไร ? เพื่อไปรองรับอารมณ์ที่สบายที่ตัวสำคัญนึกหมายว่าเป็นสุขเข้ามาแทน เพราะฉะนั้นอาการที่ต้องการดินรนเพื่อพ้นไปจากทุกขเวทนา เพื่อแลกกับอารมณ์ที่ตนนึกว่าดีกว่ามาแทนที่ อาการอย่างนี้ก็ยังเป็นอาการที่เรียกว่าตัณหา เป็นอาการของนันทิราคะอีกรูปหนึ่ง อันนี้ต่างกว่าอาการนิพพิทา นิพพิทาคือความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายเพื่อต้องการความดับ ไม่ต้องการที่จะเอาอารมณ์ที่เป็นสุขเข้ามาเพิ่ม ส่วนทุกขเวทนาที่ต้องการพ้นไปในวิสัยที่สัตว์ยังมีนันทิราคะ ต้องการสลัดเอาอารมณ์ที่เป็นทุกข์นี้ออกไป เพื่อเอาอารมณ์ที่ชอบใจเข้ามาแทนที่ นี้ต่างกับอาการนิพพิทา เราอย่าไปสับสนกันกับอาการนิพพิทา 

การที่มีนิพพิทา เมื่อเกิดนิพพิทาก็ย่อมเบื่อหน่าย ครั้นเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด ครั้นคลายกำหนดก็ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพันแล้วก็ย่อมมีญาณรู้ว่าจิตเราหลุดพ้นแล้ว พรหมจรรย์ที่จะประกอบกิจต่อไปก็ไม่มีอีกแล้ว เป็นอันจบกันเพียงแค่นั้น นี้เป็นอาการของนิพพิทา ส่วนอาการที่เป็นตัณหาอันเกิดในทุกขสมุทัยเป็นมูลนั้นมันต่างกัน อยากจะพ้นจากทุกขเวทนาอันนี้เพื่อเอาสุขเวทนาอีกอันหนึ่งเข้ามาแลก เพราะฉะนั้นอาการอันนี้จึงยังเป็นอาการแส่ดิ้นรน ซึ่งท่านเรียกว่ายังเป็นวาชัพปาอันเป็นเครื่อง
หมายของกิเลสเครื่องกระซิบใจนี้ ต่างกัน เพราะฉะนั้นนัยที่ ๒ นี้ พระองค์ทรงแสดงตั้งแต่เวทนา ท่ามกลางเวทาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชรามรณะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส มาเป็นพรวนที่เดียว ที่เป็นนัยที่ ๒

ประการที่ ๓ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตั้งแต่ที่สุดถึงเบื้องต้น อันนี้เรียกว่าปฏิโลมเทศนานัย คือจับความตั้งแต่ว่าทุกขโทมนัสอุปายาสของเรานี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุ ? มีอะไรเป็นปัจจัย ? ครั้นใช้โยนิโสมนสิการใคร่ครวญพิจารณาดอย่างนี้แล้วประจักษ์ว่าเพราะชาตินี่แล้วเป็นเหตุ เราจึงมีชรามีทุกข์โสกะปริเทวะต่าง ๆ ครั้น พิจารณาไปอีกว่าชาตินี้ หนอมีอะไรเป็นเหตุ ? มีอะไรเป็นปัจจัย ? ด้วยโยนิโสมนสิการใคร่ครวญโดยดีแล้วที่ประจักษ์ว่า

เพราะภวะคือภพนี้เอง เป็นเหตุเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ใคร่ครวญปฏิโลมขึ้นไปอีก
คือย้อนขึ้นไปอีก ใคร่ครวญว่าภพมีอะไรเป็นปัจจัย ?
มีอุปาทานเป็นปัจจัย อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย ?
มีตัณหาเป็นปัจจัย ตัณหามีอะไรเป็นปัจจัย?
มีเวทนาเป็นปัจจัย เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย ?
มีสฬายตนะเป็นปัจจัย สฬายตนะมีอะไรเป็นปัจจัย ?
ว่ากันเรื่อย ๆ ที่เดียวตามลำดับขึ้นไป

ประการที่ ๔ การย้อนทวนขึ้นปฏิโลมทวนขึ้นไป นี้อันหนึ่ง คือตั้งแต่ว่า
ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย ๆ ก็ประจักษ์ว่าภพ
ภพมีอะไรเป็นปัจจัย? ก็เพราะมีอุปาทาน
อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะตัณหา ตัณหามี
อะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะเวทนา
เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะผัสสะ
ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะสฬายตนะ
สฬายตนะมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะนามรูป
นามรูป มีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะเป็นวิญญาณ
วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะสังขาร
สังขารมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะอวิชชา

มาสุดแค่อวิชชา อันนี้เป็นปฏิโลมเทศนานัยเป็น ๔ นัยด้วยกัน นี่เป็นมติของท่านพุทธโฆษะที่ท่านแสดงไว้อย่างพิศดารในสัมโมหะวิโมทนีปกรณ์ ในที่นี้เราก็อธิบายถึงลักษณะปฏิจจสมุปปาณธรรมตามมติใน นิกายเถรวาทก่อน (อ่านต่อหน้าต่อไป)

วันจันทร์

ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ(หน้า๓)

ถ้าจะเปรียบในหลักปฏิจจสมุปบาทก็คล้ายกับไม้สามขาหย่าง ๓ อันผูกเข้าด้วยกัน แยกอันใดอันหนึ่งออกกตั้งเป็นขาหย่างไม่ได้ ต้องล้ม เพราะฉะนั้นปัจจัยแต่ละอัน ๆ ที่มาผูกด้วยกันแต่ละปัจจัยก็ยังอาศัยปัจจัยเกิดอีกเป็นชั้น ๆ ต่อไป ไม่ใช่ว่าอย่างอวิชชาสังขารตัณหาอุปาทานผูก อวิชชาก็ไม่ต้องเกิดจากปัจจัยชี ! อวิชชาก็เกิดจากปัจจัยเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง แม้ธรรมที่ทำให้เกิดรูปก็ไม่เที่ยง" อย่านึกว่ารูปไม่เที่ยงแล้วธรรมที่จะทำให้เกิดรูปนั้นเที่ยงนะ ถ้าคิดอย่างนั้นเป็นสมบูรณภาพนิยม วิ่งเข้าหาลัทธิสมบูรณภาพนิยม ที่ถือว่าความไม่เที่ยงต้องมีรากฐานบนความเที่ยง ความไม่จริงต้องมีรากฐานบนความจริง ลัทธิคำสอนอย่างนี้เป็นสมบูรณภาพนิยม 

พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้ไม่เที่ยง แม้ธรรมที่ให้เกิดรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็ไม่เที่ยงไปด้วย" ไม่ใช่ว่ารูปเวทนาสัญญาสังขารไม่เที่ยงแล้วธรรมที่ทำให้เกิดรูปเวทนาสัญญาสังขารนั้นมันจะเป็นอันติมะ มันจะเที่ยงถ้าอย่างนั้นเป็นสมบูรณภาพนิยม เพราะลัทธิสมบูรณภาพนิยมนั้นจะต้องพยายามคิดความไม่เที่ยงจากความเที่ยงเสมอ คือคิดว่าที่ว่าไม่ดี ๆ จะต้องมีความดีอยู่เป็นแก่น ที่ว่าไม่เที่ยงเป็นของเก๊ เป็นมายา จะต้องมีรากฐานบนของจริง เป็นของไม่เก๊ เป็นของไม่มายา ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว วิ่งเข้าหาสมบูรณภาพนิยม 

ท่านที่ชอบเทวะ พวกบูชาเทวนิยมก็ไปติดแก่พระเจ้า ว่าพระเจ้าเบื้องต้นไม่ปรากฏ ท่ามกลางไม่ปรากฏ เบื้องปลายไม่ปรากฏ พวกที่ไปติดจิตก็ไปติดจิตสากล ว่าจิตสากลนี่ไม่เกิดไม่ดับ กลายเป็นลัทธิจิตอมตะไปก็มี และพวกที่ถือวัตถุก็ไปติดปรมาณูว่าปรมาณนี้ชั้นสุดท้ายแล้วแยกไปอีกไม่ได้แล้ว นี่พวกวัตถุ พวกนี้ทั้งหมดเป็นสมบูรณภาพ ดังนั้นพระพุทธศาสนาค้านพวกนี้จึงได้สอนปฏิจจสมุปบาทให้ฟังว่า ที่นึกว่าธรรมที่สุด มันยังไม่ที่สุด มันยังแยกธาตุต่อไปอีกได้ ที่นึกว่าแยกไม่ได้ เพราะว่าญาณทัสสนะตามไม่ถึง เหมือนอย่างนักวิทยาศาสตร์สมัยก่อน ความรู้ตามไม่ถึงเลยนึกว่าปรมาณูเป็นอันติมะ มีธาตุแท้อยู่ในโลก แต่พอไอสไตน์เกิดขึ้นคิดทฤษฎีสัมพันธภาพ รู้เข้าแล้วปรมาณูอิเล็กตรอนโปรตรอนสลายตัวหมดเป็นพลังงาน

แล้วพลังงานเวลานี้อาจจะคิดอันต่อไปอีกว่า แม้พลังงานก็ไม่เที่ยงไม่ใช่อันติมะ มันก็ดับสลายตัวไปอีก เพราะฉนั้นความเจริญของวิทยาศาสตร์ จึงกลับมาพิสูจน์หลักปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าว่าเป็นของจริง นี้อันนี้เราเห็นกันได้ชัดเจนที่เดียว คราวนี้เมื่อเป็นปฎิจจสมุปบาทแล้ว ปฎิจจสมุปบัณณะคืออะไร?

คำว่าปฎิจจสมุปบัณณธรรมนั้นแปลว่าธรรมอันเกิดแต่เหตุที่แอบอิงอาศัยเกิด เรียกว่าปฎิจจสมุปปัณณธรรม ธรรมอันใดเป็นปฎิจจสมุป
ปาณธรรม ธรรมอันนั้นก็ย่อมเป็นปฏิจจสมุปบัณธรรมด้วย ธรรมอันใดเป็นปฏิจจสมุปบัณธรรม ธรรมอันนั้นก็ย่อมจะเป็นปฏิจจสมุปปาณธรรมด้วยทุกอัน ยกตัวอย่าง

อวิชชาเป็นปฏิจจสมุปปาณธรรม ใน
ขณะเดียวกันอวิชชาก็เป็นปฏิจจสมุปบัณธรรม
คืออะไร ? คืออาสวะ 
อาสวานัง สมุปาทา อวิชายะ ปวะตะติ เพราะความเกิดขึ้นแห่งอาสวะ อวิชชาจึงได้หมุนไป จึงได้ทัศนาขึ้น ปวัตติ เรียกว่าทัศนา ถ้าสมัยนี้เรียกว่าพัฒนานั้นเอง เพราะความอุบัติเกิดขึ้นแห่งอาสวะ อวิชชาจึงได้พัฒนาการขึ้นมาได้ จึงได้พัฒนาจากอาสวะขึ้นมา ไม่ใช่ว่าอวิชชาสุดโต่งกันแค่นั้น ไม่ใช่นะ ! ถ้าอย่างนั้นอวิชชาก็เป็นปฐมเหตุนะซิ ผิดกฎปฏิจจสมุปบาท

กฎปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นเรื่องของ
วงล้อหาเบื้องต้นที่สุดมิได้ หมุนเวียนไปเรื่อย(วัฏฏจักร) ถ้าหากถือว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นเหตุอันติมะแล้ว ก็กลายวิ่งไปหาสมบูรณภาพนิยมอีก คือกลายเป็นว่าสิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งนั้นเป็นเหตุวันยังค่ำ เป็นผลไม่ได้ แต่ตามหลักพุทธมตินั้น สิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งนั้นต้องเป็นผลในตัวมันเอง สิ่งใดเป็นผล สิ่งนั้นก็ย่อมเป็นเหตุในตัวมันเอง สิ่งที่จะไม่เป็นเหตุไม่เป็นผลมีอันเดียวคือนิพพาน พันเหตุกับพันผล ถ้าตราบใดยังเป็นเหตุยังเป็นผลอยู่แล้ว ตราบนั้นในผลนั้นก็ต้องมีเหตุ ในเหตุก็เป็นผล อวิชชาเป็นเหตุของสังขาร แต่ในขณะเดียวกัน อวิชชาก็เป็นผลของอาสวะ อาสวะเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชาขึ้น และถ้าหากว่า ตั้งคำถามบอกว่าอาสวะล่ะมาจากอะไร ?
พระพุทธศาสนาไม่กล่าว
หาปฐมเหตุ แต่สอนเป็นวัฏฏจักร อาสวะก็มาจากอวิชชา หมุนเวียนกัน เพราะในอาสวะนั่นเองมีคำว่าอวิชชาสวะอยู่ด้วย มันเป็นวัฏฏจักร มนุษย์เราไม่อย่างนั้น ชอบค้นหาต้นเดิม ว่าต้นเดิมจริง ๆ ที่ไม่ต้องมาจากเหตุอะไรมีบ้างไหม ? ถ้าจะว่ามี ? โกหก ! เพราะว่ามันกลายเป็นว่าเหตุต้นเดิมที่เราว่าเป็นเหตุนั้นเกิดจากความไม่เข้าใจของเราเลยสำคัญว่าเหตุอันนั้นเป็นเหตุสุดท้าย ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นฝนที่ตกลงมา เราบอกว่าฝนนี้เกิดจากน้ำ คนโบราณมีความรู้เพียงแค่นี้ ว่าฝนเกิดจากน้ำ หาต้นเหตุไปไม่ได้ก็บัญญัติว่าน้ำนี้เป็นปฐมเหตุ ไม่มีอะไรเป็นเหตุของน้ำนี้อีกแล้ว ต่อมาเมื่อวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น ก็บอกว่าแม้แต่น้ำก็ไม่ใช่ตัวปฐมเหตุ เพราะน้ำเองก็เกิดจากไฮโดรเย่นกับออกซิเย่นประกอบกันเข้า และกว่าจะมาเป็นฝนนี้ต้องอาศัยแสงแดด อาศัยอากาศหลายอย่าง อาศัยความกดดันจึงได้เกิดเป็นเมล็ดฝนลงมาได้ เพราะฉะนั้นที่นึกว่าเป็นปฐมเหตุนั้นเป็นเพียงความโง่ช่วงหนึ่ง ที่ปัญญาญาณของเราตามไปไม่ถึง คือว่าเหตุผลเรานั้นไม่ได้มองตลอดไป ไปจับเอาช่วงใดช่วงหนึ่งแล้วไม่สามารถคิดทะลุต่อไป ก็เลยอับจนเพียงแค่นั้น



ปฐมเหตุ อย่างความเชื่อที่เรียกว่าพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกนี้ ความนึกอย่างนั้น เพราะว่าความคิดได้อับจน คือท่านผู้สร้าง นึกไม่ถึงว่าท่านผู้สร้างนี้มาจากใครอีกต่อหนึ่ง ไม่คิด นึกว่ามีเพียงแค่นี้แล้ว แต่ความจริงท่านผู้สร้างก็ต้องมีบิดามารดาให้กำเนิดมีกรรมเป็นสมุฏฐานมีอะไรเป็นสมุฏฐานมาก่อน คือถ้าเราถือว่าท่านผู้สร้างเป็นเทวดา กว่าจะเป็นเทวดาได้ก็ไม่ใช่เป็นลอย ๆ จะต้องอาศัยผลกรรมอะไรต่าง ๆ ปรุงแต่งให้มาเป็น และที่ว่าสร้างนั้นก็ไม่ใช่สร้างจริง เป็นเพียงแต่ความหลงผิด เพราะว่าในวรรณคดีบาลีเรามีแสดงไว้อยู่สูตรหนึ่งว่า

ท้าวมหาพรหมหลงผิดนึกว่าตัวเองเป็นคนสร้างสรรพสิ่ง 
หลงผิด ที่หลงผิดคืออย่างนี้ เพราะในสมัยหนึ่ง เมื่อเกิดไฟประลัยกัลปล้างโลกแล้ว แสนโกฏิจักรวาฬได้วินาศไป แล้วตั้งต้นจักรวาฬกันใหม่ ในขณะที่แสนโกฏิจักรวาพวินาศนั้น ฉกามาวจรสวรรค์ก็ถูกไหม้ไปด้วย โลกวินาศด้วยไฟไหม้ไปด้วย พรหมโลกยังไม่ไหม้ ท้าวมหาพรหมองค์สุดท้ายที่จะจากมา เห็นพรหมโลกองค์อื่นจุติเคลื่อนจากพรหมโลกลงมา อาจมาเกิดข้างล่างหมด มีองค์สุดท้ายอยองค์หนึ่งข้างบนนึกว่า เอ! เรานี่เป็นสิ่งเดียวอยู่ในนี้ พรหมมีอายุตั้งเป็นกัปป์ ๆ อยู่ๆ ไปก็ลืมหมด จับต้นชนปลายไม่ถูกว่า เอ! เรามาอยู่แต่เมื่อไรนี่ แต่เมื่อใช้ทิพยเนตรทิพยญาณสอดส่องดูแล้ว อ้าว ! เรานี่มีอายุเก่าแก่ก่อนพวกสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุนี้นี่นา

เอ! งั้นเราเป็นอภิธูแล้วสิ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้รังสฤษดิ์ เป็นผู้บรรดาล ท้าวมหาพรหมก็หลงผิดด้วยอำนาจโมหะจริตครอบงำนึกว่าตัวเองเป็นผู้สร้างโลกนี้ ในวรรณคดีบาลีได้แสดงปฐมเหตุว่าทำไมพระเจ้าที่จะสร้างโลกจึงนึกว่าตัวเป็นผู้สร้างโลกขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะเกิดจากอย่างนี้ในวรรณคดีบาลีมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ในพระสูตรสุตตันตปิฎกนี่แหละมี และในอัคคัญสูตร แสดงถึงความวิวัฒนาการของโลก บอกว่าพวกอาภัสสรพรหมเมื่อเกิดประลัยกัปป์ไหม้โลกแล้ว โลกปถพีก็ตั้งขึ้นใหม่ กลิ่นหอมของดินฟุ้งไปหลายแสนโกฏิ พวกอาภัสสรพรหมได้กลิ่นหอมของดินแล้วก็ลงมาจะกินง้วนดิน ทีนี้พวกอาภัสสรพรหมบางเหล่าเกิดความว้าเหว่ มีองค์หนึ่งเกิดความว้าเหว่ว่า

เอ! เราอยู่
คนเดียวเปลี่ยวกาย อยากจะหาเพื่อน พอคิดแค่นี้ พรหมจรรย์อื่นที่ชั้นสูงกว่าก็จุติลงมา ถือปฏิสนธิมาเกิดใหม่ ตัวก็นึกว่า เอ! เพียงลำพังความคิดของเรานี้ ชีวิตต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นเป็น ๒ เป็น ๓ เป็น ๔ เป็น ๕ เรานี้แล้วเป็นผู้สร้างของพวกนี้ขึ้นมา ถ้าเราไม่คิด ทำไมของพวกนี้จะมีได้เล่า

ความจริง
ตัวเองไม่มีญาณทัสสนะจะไปตามรู้ว่า พวกเหล่านี้เขามาจากชั้นสูงกว่าตัว ตัวไม่มีญาณทัสสนะจะไปพบสิ่งที่สูงยิ่งกว่าตัว ไม่รู้หรอก ! พวกนี้เขาอาจพ้นจากภพชั้นสูงแล้วลงมาอยู่ชั้นเดียวกับตัว แต่บังเอิญเวลานั้น แค่คิดขึ้นก่อนเท่านั้นเอง ตัวคิดอยากจะมีเพื่อนกินง้วนดิน กินคนเดียวมันเปล่าเปลี่ยว อยากจะหาคนคุยด้วย หาคนสนทนาด้วย เพียงคิดเท่านี้ก็ประสพเหมาะเข้ามาเกิดชั่วระยะความคิดตัวก็เลยหลงผิดว่าเราเป็นผู้สร้างเขากระมัง แล้วอำนาจจิตของเราเป็นผู้แต่งเขาขึ้นแล้ว เราเป็นผู้สร้างแล้ว เราเป็นผู้รังสฤษดิ์แล้ว เพราะฉะนั้น เราเป็นมหาบิดา คือเป็นพ่อใหญ่ของโลก นี่ตำนานในวรรณคดีบาลีเราได้แสดงไว้อย่างนี้ว่า พรหมพวกนี้เป็นสสตทิฏฐิทั้งนั้น เพราะสำคัญผิดนึกว่าตัวเที่ยง ตัวเป็นผู้รังสฤษดิ์ อันนี้เป็นต้นตอที่จะเปรียบเทียบให้เห็นว่า เพราะเหตุว่าไปจับช่วงระยะเหตุผลผิด คือว่าไปตันแค่เหตุแล้วไม่รู้ว่า เหตุอันนี้มาจากผลอีกอันหนึ่งไม่รู้หรอก ! คล้ายกับฝนมาจากน้ำแล้วไปต้นแค่นี้ว่าน้ำนี้เที่ยงแล้ว น้ำนี่แน่นอนแล้ว น้ำนี้นี่อันติมะแล้ว อื่นจากนี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นประธานแห่งสรรพสิ่งแล้ว ไปตันแค่นี้

แต่พระพุทธเจ้าของเรา
ไม่ยอมตันเพียงแค่นี้ สอบต่อไปอีกว่าน้ำนี้มาจากไหน ไฮโดรเย่นกับออกซิเย่นมาจากไหน ไล่สอบไปกันเรื่อย ในที่สุดก็สอนหลักปฏิจจสมุปบาท สิ่งอันนี้เกิด อันนั้นจึงเกิด, อันนั้นดับ อันนี้จึงดับ, หลักปฏิจจสมุปบาทจึงได้ทำลายสัสสตทิฏฐิ ทำลายอุจเฉททิฏฐิ 

ทำลายอย่างไร ? คือว่าสัสสตทิฏฐิเห็นเที่ยงใช่ไหม? บอกว่าร่างกาย
ชีวิตจิตใจอาตมันเที่ยง พรหมเที่ยง พระเจ้าเที่ยง ผู้สร้างเที่ยง เหตุเที่ยง ความที่เห็นเที่ยงอันนี้เพราะไม่รู้ว่าความดับของสิ่งนั้นก็มี ไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่จะอยู่ได้เสมอไป อย่างเช่นสังขารเป็นต้น สังขาร ไม่ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดไป มันก็ต้องดับเมื่อสิ้นปัจจัย (อ่านหน้าต่อไป)


หน้า๑  หน้า๒  หน้า๓  หน้า๔  หน้า๕  หน้า๖  หน้า๗