วันเสาร์

๑.๑ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ กายอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ หมายความว่า กายทุกส่วนทุกเนื้อเยื่อ ตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้าเป็นที่ตั้งแห่งสติให้เกิดขึ้นได้ทั้งหมด กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นของหยาบ หากพิจารณาถึงข้อปฏิบัติอันเป็นที่สุดของการพิจารณาดูกายแล้ว ต้องพิจารณาเห็นกายทั้งหมดตามที่กล่าวไว้ถึง ๑๔ บรรพนั้นว่าเป็นของน่ารังเกียจ อุบายวิธีในการพิจารณาเพื่อจะให้เห็นกายชัดที่สุดนั้นเริ่มจากการพิจารณากายส่วนนอกสุดก่อน เช่น การหายใจออก-เข้า การยืน เดิน นั่ง นอน แล้วเอาสติเข้าไปกำหนดรู้กาย (การกำหนดรู้ลมหายใจ คือกำหนดรู้วาโยธาตุ เป็นต้น) แล้วต่อไปก็เป็นเหตุให้รู้กายในส่วนที่น่ารังเกียจนั้นว่าน่ารังเกียจจริงๆ แล้วมีปัญญากำหนดรู้มากขึ้นๆ จนรู้แจ้งว่ากายทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มี ๑๔ บรรพ (หัวข้อ) ได้แก่ อานาปานบรรพ อิริยาบถบรรพ สัมปชัญญบรรพ ปฏิกูลบรรพ ธาตุบรรพ นวสีวถิกาบรรพ ๙ (ป่าช้า ๙ ข้อ) รวมเป็น ๑๔ บรรพ ซึ่งจะแสดงต่อไป

๑.๑ อานาปานบรรพ
จากการศึกษาเรื่อง อนุสสติ ๑๐ ได้ศึกษาอานาปานสติในแง่ของการเจริญสมถกรรมฐาน แต่ในบทนี้จะศึกษาการพิจารณาลมหายใจเข้าออกมาเป็นอารมณ์ในการเจริญวิปัสสนา ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ถ้าศึกษาให้เข้าใจแล้วสามารถที่จะปฏิบัติเอื้อประโยชน์อิงอาศัยซึ่งกันและกันได้

เปรียบเทียบการเจริญลมหายใจ ตามนัยแห่งสมถะ และวิปัสสนาโดยสังเขป

การเจริญอานาปานสติ (สมถะ)
ต้องฝึกให้สติกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกโดยการนับลม , การติดตาม ,การกระทบ , การตั้งมั่น
การเจริญอานาปานบรรพ (วิปัสสนา)
ต้องมีสติระลึกรู้ลมหายใจ โดยในเบื้องต้นอาจจะอาศัยวิธีการกำหนดแบบสมถะคือการนับ การติดตาม การกระทบ การตั้งมั่น แต่สุดท้าย ในการปฏิบัติแบบวิปัสสนา คือ ต้องมีสติกำหนดรู้ในกองลมทั้งปวงนั้นว่าเป็นเพียงรูป จิตที่มีสติกำหนดรู้ นั้นเป็นเพียงนาม รูปนามเป็นเพียงขันธ์ ๕ เป็นเหตุแห่งกองทุกข์ทั้งปวง ตลอดจนรู้แจ้งรูปนามตามความเป็นจริงว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 


หลักการใช้สติพิจารณาลมหายใจ (อานาปานบรรพ)
ในเบื้องต้น ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จะต้องเข้าไปสู่ป่า โคนไม้ หรือ เรือนว่าง นั่งคู้บังลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจออก -เข้า ด้วยวิธีดังต่อไปนี้คือ

ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดสติหายใจออก กำหนดสติหายใจเข้า
๑. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว 
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
๒. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น
๓. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจเข้า
๔. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจเข้า
๕. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจเข้า
๖. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุข หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งสุข หายใจเข้า
๗. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจเข้า
๘. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขาร หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า
๙. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจเข้า
๑๐. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจเข้า
๑๑. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า
๑๒. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า
๑๓. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจเข้า
๑๔. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจเข้า
๑๕. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจเข้า
๑๖. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจเข้า

ภิกษุทั้งหลาย อุปมาเหมือนช่างกลึง หรือลูกมือช่างกลึงผู้มีความชำนาญนั้น ถ้าชักเชือกยาว ก็รู้ตัวว่า “ ตนเองชักเชือกยาว ” ถ้าชักเชือกสั้น ก็รู้ตัวว่า “ ตนเองชักเชือกสั้น” ฉันใด ภิกษุก็ควรปฏิบัติโดยทำนองเดียวกันกับช่างกลึง ฉันนั้น คือ เมื่อหายใจออกยาว ก็ให้กำหนดรู้ว่า หายใจออกยาว เป็นต้น

การกำหนดรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า โดยความเป็นรูปก็ต้องพิจารณาว่า ลมหายใจอาศัยอะไรเกิด ? ลมหายใจก็อาศัยอยู่กับวัตถุกรชกาย คำว่าวัตถุ ได้แก่ มหาภูตรูป และอุปาทายรูป นั่นเอง เมื่อกำหนดรู้รูปโดยความเป็นจริงอยู่เช่นนี้ ต่อไปก็รู้ถึงนามที่รู้รูป เหล่านั้นเพราะมีผัสสะ คือการกระทบความเป็นไปแห่งปฏิจจสมุปบาท มีอวิชชาเป็นต้นก็เป็นไป เมื่อ อวิชชาคือความไม่รู้เป็นไป ภพชาติย่อมเกิดขึ้นเป็นไปด้วย เมื่อเข้าใจความจริงได้อย่างนี้ ก็ข้ามพ้นความสงสัยได้ และเข้าใจได้ถูกต้องว่านี้เป็นเพียงปัจจัยและธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่ความเป็นจริงแห่งลมหายใจที่เป็นไปเท่านั้น จึงยกเอานามและรูปพร้อมทั้งปัจจัยขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนาบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ (นี้เป็นเพียงตัวอย่างการพิจารณาลมหายใจจนบรรลุธรรมได้)

ผู้ปฏิบัติควรนำวิธีการข้างต้นนี้มาพิจารณา โดยมีวิธีการปฏิบัติโดยสรุป ดังนี้
๑. นำวิธีข้างต้นมาพิจารณาว่า กายภายใน (คือลมหายใจของตนเอง) ให้เห็นเป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นลมหายใจ คำว่าพิจารณากาย ไม่ใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากมหาภูตรูปและอุปาทายรูป ต้องพิจารณาอยู่ในมหาภูตรูปและอุปาทายรูป (คือรูปที่อาศัยมหาภูตรูปนั้นเกิดขึ้น) เป็นผู้พิจารณาเห็นการชุมนุมกันแห่งมหาภูตรูปและอุปาทายรูปนั้น เหมือนคนลอกกาบกล้วยออกจากต้น ต้นกล้วยนั้นถ้าลอกกาบออกไปที่ละกาบๆ แล้ว ก็จะพบความจริงว่าไม่มีแก่นสารอะไรเลย ชื่อว่าต้นกล้วยไม่มีแล้ว มีแต่กาบแต่ละกาบเท่านั้นเอง เมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริงของกายโดยกำหนดรู้กายโดยรู้มหาภูตรูปและอุปาทายรูปแล้ว จึงเป็นเหตุให้สามารถแยกความเป็นกลุ่มเป็นกองได้ จึงไม่เห็นเป็นกาย เป็นหญิง เป็นชาย หรือเป็นธรรมอะไรอื่นนอกเหนือไปจากการชุมนุมแห่งธรรมตามที่กล่าวมาแล้ว แต่สัตว์ทั้งหลาย มีความเชื่อผิดๆ จึงยังหลงยึดติดอยู่ ซึ่งที่จริงเป็นเพียงสภาวะการชุมนุมกันของมหาภูตรูปและอุปาทายรูปและธรรมอื่นๆ เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นพระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวไว้ว่า :- สิ่งใดที่บุคคลเห็นอยู่สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นแล้ว สิ่งใดที่บุคคลเห็นแล้ว สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นอยู่ เมื่อไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงหลงติดอยู่ เมื่อหลงติดอยู่ ย่อมไม่หลุดพ้น

ผู้ที่พิจารณาเห็นกายได้จริงๆ เขาจะเห็นกายอย่างเดียวเท่านั้นไม่พิจารณาเห็นธรรมอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การมองเห็นพยับแดด บุคคลทั่วไปมองเห็นพยับแดดว่าเป็นน้ำ แต่ผู้ปฏิบัติไม่ใช่เห็นของปลอมเช่นนั้น แต่จะเห็นกายนี้ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่งาม ไม่ใช่ว่าไปเห็นว่ากายเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา และเป็นของงาม แต่จะพิจารณากายได้จริงๆว่า กายเป็นที่ประชุมของกายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา และเป็นของไม่งาม เท่านั้นเอง กายนี้ใด มีลมหายใจออก มีลมหายใจเข้าที่ในครั้งแรกตอนที่คลอดออกจากครรภ์มารดา ต่อไปก็จะมีกระดูกที่กลายเป็นผุยผงไปในที่สุด พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติพิจารณาเห็นกายคือดิน กายคือน้ำ กายคือไฟ กายคือลม กายคือผม กายคือขน เป็นต้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเบื่อหน่าย จะคลายความกำหนัดยินดี จะดับตัณหา จะสลัดออกไม่ยึดไว้ ละคลายได้

หมายเหตุ การพิจารณาในกายอย่างนี้ต้องพิจารณาให้ได้ในทุกๆ หมวดแห่งกายานุปัสสนาตั้งแต่อานาปานบรรพไปจนถึงการพิจารณาป่าช้า ๙ ข้อ ด้วย


๒. หรือพิจารณาเปรียบเทียบ กายภายในกับกายภายนอก โดยการเปรียบเทียบลมหายใจของตนเองกับลมหายใจของบุคคลอื่น ให้เห็นเป็นเพียงสักแต่ว่าลมหายใจทั้งของตนเองและของบุคคลอื่นก็เป็นแต่เพียงลมหายใจนั่นเอง

๓. หรือจะพิจารณารู้สลับกันไปมาระหว่างกายภายในกับกายภายนอก คือการกำหนดรู้ ลมหายใจของตนเองบ้าง และกำหนดรู้ลมหายใจของบุคคลอื่นบ้าง สลับกันไปมาก็ได้

๔. ควรใช้สติพิจารณาการเกิดขึ้นของลมหายใจและธรรมอันเป็นเหตุเกิดแห่งลมหายใจ หรือใช้สติพิจารณาการดับและธรรมเป็นเหตุดับแห่งลมหายใจ หรือใช้สติพิจารณาทั้งการเกิด-ดับ และธรรมเป็นเหตุเกิด-ดับของลมหายใจ สลับกันไปก็ได้ อธิบายเหตุเกิดของลมหายใจ เพราะมีโพรงจมูก ถ้าไม่มีโพรงจมูกลมหายใจก็เกิดไม่ได้และถ้าไม่มีจิตลมหายใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ (เช่นซากศพมีโพรงจมูกก็จริงแต่ไม่มีลมหายใจเพราะไม่มีจิต) อุปมาเหมือนช่างทองที่ใช้เท้าเหยียบสูบเพื่อเป่าลมให้ไฟพ่นออกมาเพื่อเชื่อมทองได้ ฉันใด ลมหายใจก็เป็นไปได้เพราะมีจิต ลมหายใจนั้นเป็นรูปคือเป็นวาโยธาตุ จิตและเจตสิกเป็นนาม (ฉะนั้นลมหายใจเกิดจากกุศลจิตก็มี เกิดจากอกุศลจิตก็มี ในขณะลมหายใจเกิดขึ้นก็มีจิตด้วย การพิจารณาเช่นนี้เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ปฏิบัติก็ต้องรู้ลักษณะของจิตด้วย) หรือพิจารณาเหตุเกิดของลมหายใจในปัจจุบัน คือเมื่อมีการกำหนดการกระทบของลมหายใจที่เข้า-ออกก็จะเห็นการเกิดของกองลมหายใจที่เข้า-ออกว่า ตลอดกองลมหายใจนั้นก็มีเริ่มต้นกระทบ (เกิด) และสุดท้ายแห่งการกระทบ (ดับ)

อดีตเหตุของลมหายใจเกิดจาก อวิชชา กรรม สังขาร ภวตัณหา จึงทำให้มีภพชาติส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต้องรับผลของกรรมอยู่ในขณะนี้นี่เอง

๕. ที่สำคัญที่สุดคือจะต้องมีสติอยู่เสมอว่า ลมหายใจที่ปรากฏอยู่นี้เป็นแต่เพียงรูป (ลมหายใจเป็นรูป คือ เป็นวาโยธาตุ สติที่ประกอบกับจิตเป็นนาม) ไม่ใช่บุคคลอัตตาตัวตนเราเขา และต้องตระหนักด้วยว่าการที่นำเอาลมหายใจมาพิจารณาโดยนัยต่างๆ ข้างต้นนั้น มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อต้องการให้ญาณปัญญาแก่กล้ายิ่งๆขึ้นและเพียงเพื่อความสมบูรณ์แห่งการเจริญให้มีสติระลึกรู้เท่านั้น จึงไม่ควรที่จะหลงผิดยึดติดอยู่ในสังขารใดๆ ที่กำลังเกิด-ดับอยู่ไม่ควรเข้าไปยึดว่ากายคือลมหายใจนี้เป็นเรา เป็นของของเราของสัตว์ บุคคล ผู้หญิง ผู้ชาย

๖. สติกำหนดลมหายใจโดยอริยสัจ ๔ ต่อไป คือ
    ๖.๑ สติที่กำหนดลมหายใจ เป็นอารมณ์ สติ จัดเป็นทุกขสัจ
    ๖.๒ ตัณหาคือความยินดีพอใจในอดีตภพ จึงทำให้มีการเกิดมาในภพนี้ เป็นเหตุปัจจัยให้มีสติที่ไปกำหนดรู้ลมหายใจ อยู่ในขณะนี้นี่เอง ตัณหาในอดีตภพ จัดเป็นสมุทัยสัจ
    ๖.๓ การหยุดทุกขสัจและตัณหา จัดเป็นนิโรธสัจ
    ๖.๔ อริยมรรคที่กำหนดรู้ทุกขสัจ และละสมุทัยสัจมีนิโรธสัจเป็นอารมณ์ จัดเป็นมรรคสัจ

ข้อเตือนใจ การปฏิบัติวิปัสสนาเป็นเรื่องที่ต้องทำลายอัตตาตัวตนให้ได้ ฉะนั้นสติต้องกำหนดระลึกรู้ในกาย คำว่ากายจะมีความหมายเปลี่ยนไปในแต่ละหมวดการปฏิบัติต่างกันไป เช่น ในอานาปานบรรพ คำว่า “ กาย ” หมายถึงลมหายใจ ในอิริยาบถบรรพ คำว่า “ กาย” หมายถึงอิริยาบถ ๔ ในสัมปชัญญบรรพ คำว่า “ กาย” หมายถึง อิริยาบถย่อยต่างๆ


๑.๒ หลักการใช้สติพิจารณาอิริยาบถบรรพ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรใช้สติพิจารณาอิริยาบถ ๔ ดังต่อไปนี้
๑. ขณะที่ภิกษุเดิน ก็ให้กำหนดรู้ว่า “ เดิน”
๒. ขณะที่ภิกษุยืน ก็ให้กำหนดรู้ว่า “ ยืน”
๓. ขณะที่ภิกษุนั่ง ก็ให้กำหนดรู้ว่า “ นั่ง”
๔. ขณะที่ภิกษุนอน ก็ให้กำหนดรู้ว่า “ นอน”

การกำหนดอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน ก็ให้รู้เหตุแห่งการเกิดอิริยาบถต่างๆ นั้น ไม่ได้มุ่งหมายให้รู้ว่าเดิน เป็นต้น แต่ให้รู้เหตุแห่งการเดิน ที่เรียกกันว่าเดินนั้นมีเหตุเกิด คือ เกิดจากการแผ่ไปของวาโย ธาตุที่เกิดจากจิต เมื่อจิตคิดว่าเราจะเดิน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุ วาโยธาตุก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว การนำกายให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความไหวตัวไปของวาโยธาตุนั้น ความเป็นไปเช่นนี้ มีสมมุติบัญญัตเรียกกันว่า “ เดิน ” ในอีก ๓ อิริยาบถที่เหลือก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน

ผู้ปฏิบัติควรนำวิธีการข้างต้นนี้มาพิจารณา โดยมีวิธีการปฏิบัติโดยสรุป ดังนี้

๑. พิจารณากายภายใน(คือวาโยธาตุ) ด้วยการกำหนดอิริยาบถ ๔ ของตนเอง เช่น เมื่อกำหนดรู้การเดินก็พิจารณาว่า อิริยาบถเดินเกิดขึ้นได้เพราะวาโยธาตุที่เกิดจากจิต จึงทำให้กายเคลื่อนไปข้างหน้าได้ หมายเหตุ อย่าลืมกำหนดกายเช่นเดียวกับในอานาปานสติที่อธิบายแล้วข้างต้น

๒. พิจารณากายภายนอก(คือวาโยธาตุ) ด้วยการกำหนดอิริยาบถ ๔ ของคนอื่น สัตว์อื่น กำหนดอิริยาบถของบุคคลอื่นโดยให้พิจารณารู้ว่าอิริยาบถนั้นๆ เป็นไปได้ก็เพราะวาโยธาตุที่เกิดจากจิต เป็นไปเหมือนกันกับอิริยาบถของเราเอง การที่เราเห็นคนเดินมาเราเห็นได้แต่เฉพาะรูปารมณ์ แต่ความไหวของการเดินก็สามารถรู้ได้ทางใจ เพราะบุคคลนั้นมีวิญญัติรูปที่มีความหมายที่ทำให้เรารู้ได้ ความหมายนี้เกิดจากวาโยธาตุ และวาโยธาตุนี้เกิดจากจิต

๓. การรู้วาโยธาตุก็ต้องรู้จักวาโยธาตุ ๔ ประการ คือ
   🔆 ๑. วาโยธาตุมีการพยุงไว้ เป็นลักษณะจึงทำให้คนนั้นๆ เดิน นั่ง ได้ไม่ล้มลงไป
   🔆 ๒. มีความเคลื่อนไหว เป็นกิจ
   🔆 . มีการแสดงท่าทางต่างๆ ได้ เป็นผล เมื่อจิตคิดจะเดิน วาโยธาตุก็ทำให้เกิดกิริยาอาการ ท่าทางต่างๆ กันไป นี้เป็นผลของวาโยธาตุนั้นเอง
    🔆 ๔. มีธาตุดิน น้ำ และไฟ เป็นเหตุใกล้ คือ มีธาตุ อีก ๓ นี้เกิดร่วมด้วยหรือจะพิจารณารู้สลับกันไปมาระหว่างกายภายในกับกายภายนอก คือ กำหนดวาโยธาตุ ทั้งของตนเองและของบุคคลอื่น
    🔆 ๕. พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด พึงกำหนดความเกิดและความเสื่อมแห่งรูปขันธ์ โดยพิจารณาว่า รูปเกิดเพราะอวิชชาเกิดเป็นต้น
    🔆 ๖. เมื่อกำหนดวาโยธาตุรู้ได้ชัดเจนดีแล้วตั้งแต่ข้อ ๑ - ๕ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะต้องกำหนดพิจารณาต่อไปคือ ต้องไม่หลงยินดีพอใจว่าเราปฏิบัติถูกแล้ว เข้าใจถูกแล้ว แต่เมื่อกำหนดรู้วาโยธาตุ ก็ให้เป็นไปเพื่อทำลายทิฏฐิความยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตัวตน เราเขา ให้ได้
    🔆 ๗. แม้สติที่เข้าไปกำหนดรู้วาโยธาตุนั้นก็หาใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ ที่แท้ก็เพียงเพื่อประโยชน์แก่ความรู้ คือญาณปัญญาที่ยิ่งๆ ขึ้นไป และเพื่อประโยชน์แห่งการเกิดขึ้นของสติสัมปชัญญะเท่านั้น และต้องกำหนดรู้ต่อไปว่า
    🔆 ๘. สติกำหนดอิริยาบถโดยอริยสัจ ๔ ต่อไป คือ
            ๘.๑ สติที่กำหนดอิริยาบถ ๔ เป็นอารมณ์ สติ จัดเป็นทุกขสัจ
            ๘.๒ ตัณหาคือความยินดีพอใจในอดีตภพ จึงทำให้มีการเกิดมาในภพนี้ เป็นเหตุปัจจัยให้มีสติที่ไปกำหนดอิริยาบถ ๔ อยู่ในขณะนี้นี่เอง ตัณหาในอตีตภพ จัดเป็นสมุทัยสัจ
            ๘.๓ การหยุดทุกขสัจและสมุทัยสัจทั้งสองนั้น จัดเป็นนิโรธสัจ
            ๘.๔ อริยมรรคที่กำหนดรู้ทุกขสัจและละสมุทัยสัจมีนิโรธสัจเป็นอารมณ์ จัดเป็น มรรคสัจ เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลได้ปฏิบัติเจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถ ๔ แล้ว ย่อมรู้และเข้าใจได้ถูกต้องว่า ไม่มีสัตว์ใดๆเดินหรือยืนเลย อิริยาบถเดิน ยืน นั่ง นอน ไม่ใช่รูปไม่ใช่นาม อิริยาบถนั้นเป็นเพียงสมมุติบัญญัติเรียกขานกันเท่านั้นเอง ความเป็นจริงที่ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้ก็คือ วาโยธาตุที่เกิดขึ้นเพราะมีจิตคิดที่จะเดิน ยืน นั่ง นอน นั่นเอง เมื่อกำหนดรู้รูปได้ถูกต้องแล้วก็ต้องศึกษาในวิสุทธิ ๗ และข้อปฏิบัติที่จะทำให้นามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้นได้อีก แล้วเพียรปฏิบัติเพียรเจริญให้มากกระทำให้มาก จนวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นแก่ท่านนั่นแหละจะเป็นเครื่องหมายให้รู้ได้ว่าท่านปฏิบัติมาถูกทางแล้วและเกือบจะสำเร็จแล้ว และต่อไปก็ต้องข้ามพ้นวิปัสสนูปกิเลสไปให้ได้ เมื่อนั้นท่านก็จัดได้ว่าเป็นผู้เริ่มต้นมีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว 

ข้อเตือนใจ รูปไม่ใช่อิริยาบถ อิริยาบถไม่ใช่รูป วิญญัติก็คือวิญญัติเป็นอสภาวรูป ขออธิบายศัพท์เพื่อความเข้าใจ ดังนี้ รูป หมายถึง ธรรมชาติใดย่อมแตกดับด้วยอำนาจความเย็น ความร้อน เป็นต้น ฉะนั้นธรรมชาตินั้นชื่อว่ารูปได้แก่ อวินิพโภครูป 8 (ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา) เป็นต้น นี้ชื่อว่ารูป เป็นปรมัตถธรรม คือ รูปปรมัตถ์

อิริยาบถ เป็นเพียงอาการของรูป อิริยาบถจึงไม่ใช่รูป ไม่ใช่ปรมัตถ์ธรรม แต่เป็นสมมุติบัญญัติ เช่น ขวดใบหนึ่ง ขวดก็มีรูปอยู่ ๘ รูปคือ อวินิพโภครูป ๘ ขวดใบนี้ถ้าอยู่ในอาการหนึ่งก็เรียกว่าตั้ง อยู่ในอาการหนึ่งก็เรียกว่านอน คนเราก็เหมือนกันมีอิริยาบถใหญ่ ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน เดินก็ดี นั่งก็ดี ก็คือ อวินิพโภครูป ๘ เป็นต้นนั่นแหละ เมื่ออยู่ในอาการหนี่งก็สมมุติเรียกกันว่าเดิน อยู่ในอาการหนึ่งก็สมมุติเรียกว่ายืน เป็นต้น

วิญญัติรูป เป็นอสภาวรูป มี ๒ รูป คือ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ความหมายของเสียงนั้นเองเรียกว่า วจีวิญญัติ การกวักมือ ก็มีความหมาย ความหมายที่อยู่ในอาการที่กวักมือนั้นเองเรียกว่า กายวิญญัติ

จบหลักการใช้สติพิจารณาอิริยาบถ ๔ ในอิริยาบถบรรพ (โดยสังเขป)


๑.๓ หลักการกำหนดอิริยาบถย่อยด้วยสติสัมปชัญญะ

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรใช้สติพิจารณาอิริยาบถย่อยด้วยสติสัมปชัญญะดังต่อไปนี้ 

ภิกษุควรก้าวไปข้างหน้าและถอยกลับ อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ภิกษุควรดูไปข้างหน้าและเหลียวดูรอบๆ อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ภิกษุควรทำการคู้เข้าและทำการเหยียดออก อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ภิกษุควรทำการครองสังฆาฏิ อุ้มบาตร และห่มจีวร อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ภิกษุควรทำการฉัน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ภิกษุควรทำการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ อย่างมีสติสัมปชัญญะ
ภิกษุควรทำการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การตื่น การพูด และ การนิ่ง อย่างมีสติสัมปชัญญะ

๑. การกำหนดอิริยาบถย่อยต่างๆ
ผู้ปฏิบัติต้องมีสัมปชัญญะกำกับ
ลงไปด้วย เป็นการไม่กระทำไปตามอำนาจความคิดที่เกิดขึ้นที่เดียว แต่เมื่อคิดจะก้าวไป ก็ต้องกำหนดผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นว่า การจะไปในที่นี้จะมีประโยชน์แก่เราหรือไม่มี เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ปราศจากโทษจึงก้าวไป อย่างนี้เรียกว่า สาตถกสัมปชัญญะ

๒. กำหนดความเป็นสัปปายะและอสัปปายะ
(สัปปายะคือความสบายที่
เป็นเหตุทำให้กุศลเกิด อสัปปายะ คือความไม่สบายที่เป็นเหตุทำให้กุศลไม่เจริญและอาจเป็นเหตุให้อกุศลเกิดขึ้นได้) การที่จะก้าวไป ถ้าไปในที่ใดก็ตามถึงแม้นจะเป็นประโยชน์แต่ในขณะนั้นไม่เป็นสัปปายะ ก็ให้มีสัมปชัญญะกำหนดรู้ว่าไม่ควรไป เช่น โดยปกติการได้เห็นพระเจดีย์เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์เพราะยังกุศลให้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าในเวลานั้นบริเวณโดยรอบพระเจดีย์มีงานรื่นเริงต่างๆ ก็ไม่ควรไป เพราะจะเป็นเหตุให้อกุศลเกิดขึ้นได้ อย่างนี้เรียกว่า สัปปายสัมปชัญญะ

๓. การกำหนดกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไว้ในใจตลอดเวลาที่
โคจรไปในที่ต่างๆ กำหนดโดยไม่หลงลืม กำหนดได้ดีไม่ละทิ้งกรรมฐานตลอดเวลาที่โคจรทั้งไปและกลับ อย่างนี้เรียกว่า โคจรสัมปชัญญะ

๔. การกำหนดโดยการไม่หลงลืม
ในการก้าวไปข้างหน้า เป็นต้น 
หมายความว่า ผู้ปฏิบัติต้องไม่หลงลืมในขณะก้าวไปข้างหน้า ไม่หลงลืมไปว่าเป็นอัตตาตัวตนของเราเป็นผู้ก้าวไปข้างหน้า แต่ต้อง มีสติกำหนดระลึกรู้ได้อย่างถูกต้องว่า เมื่อมีจิตคิดว่าเราจะไม่หลงลืมก้าวไปข้างหน้า วาโยธาตุที่มีจิตเป็นเหตุเกิดก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยังให้เกิดกายวิญญัติรูปเกิดขึ้นด้วย และก็เกิดขึ้นพร้อมกับจิตดวงนั้นนั่นเอง โครงกระดูกที่สมมุติว่ากายนี้จะก้าวไปข้างหน้าตามอำนาจของการแผ่ขยายไปแห่งวาโยธาตุที่เกิดจากจิตนั่นเอง ในการยกเท้าขึ้น ธาตุ ๒ ชนิด คือ ปฐวีธาตุและอาโปธาตุจะหย่อนจะอ่อนกำลังลง แต่เตโชธาตุและวาโยธาตุจะมีกำลังมากขึ้น ทำให้กายนี้เคลื่อนไปได้ ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในขณะก้าวก็ดับไปในขณะก้าวไม่เกิดสืบต่อไปถึงขณะคู้ ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในขณะคู้ก็ดับไปในขณะคู้นั่นเองไม่เกิดสืบต่อไปในขณะเหยียด เพราะวิญญัติรูปทั้งหลายนี้เกิดจากจิต จิตดวงอื่นดับไปพร้อมกับรูปที่ดับไปแล้ว ความเป็นไปของอิริยาบถในตอนนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะจิตคนละดวงกัน ไม่ใช่เกิดจากจิตดวงเดียวกัน เหมือนกระแสน้ำที่ไหลติดต่อไปเป็นระลอกฉะนั้น ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดโดยไม่หลงในการก้าวไป อย่างนี้เรียกว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ 

การกำหนดอิริยาบถย่อย ก็มีวิธีการปฏิบัติโดยสรุป เช่นเดียวกันกับอิริยาบถใหญ่ ๔ แต่ต้องละเอียดลึกซึ้งกว่ากันมาก เพราะต้องกำหนดรู้โดยสัมปชัญญะ ๔ อีกด้วย

จบหลักการใช้สติพิจารณาอิริยาบถย่อยด้วยสัมปชัญญะ (โดยสังเขป)




๑.๔ หลักการใช้สติพิจารณาอาการ ๓๒

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรพิจารณาร่างกายนี้ ซึ่งมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นปฏิกูลชนิดต่างๆ ตั้งแต่ปลายผมจรดฝ่าเท้า ดังนี้ว่า 👉"ในกายนี้ มีแต่สิ่งที่เป็นปฏิกูล เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ใหญ่ สำไส้เล็ก อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร"

ภิกษุทั้งหลาย อุปมาดุจถุงมีปาก ๒ ข้าง บรรจุธัญพืชชนิดต่างๆ คือข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เมล็ดงา ข้าวสาร ไว้เต็มถุง คนตาดีเปิดถุงนั้นออก พิจารณาแยกประเภทได้ว่า “ นี้เป็นข้าวสาลี นี้เป็นข้าวเปลือก นี้เป็นถั่วเขียว นี้เป็นถั่วเหลือง นี้เป็นเมล็ดงา นี้เป็นข้าวสาร” ฉันใด ภิกษุก็ควรพิจารณาร่างกายนี้ซึ่งมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นปฏิกูลชนิดต่างๆ ตั้งแต่ปลายผมจรดฝ่าเท้า ในกายนี้มีแต่สิ่งที่เป็นปฏิกูล เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ก็เป็นสิ่งปฏิกูล ที่เราหลงว่าสวยว่างามนั้นที่แท้จริงแล้วกายนี้เป็นของปฏิกูลทั้งนั้น ผม เป็นต้น ถ้าดูโดยลักษณะของเส้นผมอาจไม่เห็นถึงความน่ารังเกียจ แต่เมื่อเอาไปเผาไฟ กลิ่นของเส้นผมนั้นเป็นสิ่งน่าน่ารังเกียจยิ่ง ถ้าเปรียบเหมือนกับผักสำหรับแกงที่เกิดในน้ำคร่ำที่ไหลออกจากบ้านขังอยู่ในที่ไม่สะอาดย่อมเป็นสิ่งน่าเกลียดไม่น่าบริโภคฉันใด แม้เส้นผมทั้งหลายก็น่ารังเกียจฉันนั้น เพราะถูกหล่อเลี้ยงด้วยน้ำที่ซึมออกมาจากแต่ละส่วนต่างๆ มีน้ำเหลือง เลือด มูตร กรีส น้ำดี และเสมหะ เป็นต้น เพราะเกิดในที่ไม่สะอาดดุจผักเกิดที่กองคูถ อาการทั้ง ๓๒ นั้นล้วนเป็นสิ่งปฏิกูล น่ารังเกียจ แล้วที่เรามีชีวิตอย่างดิ้นรนเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อหล่อเลี้ยงร่างปฏิกูลนี้หรือ และที่เรายึดว่าบุคคลนี้เป็นของเรานั้น เรากำลังยึดสิ่งปฏิกูลมิใช่หรือ ถ้าผู้พิจารณาเห็นความจริงอย่างนี้ได้ก็จะไม่หลงยึดในอัตตาตัวตนว่าเป็นเรา เขา

ผู้ปฏิบัติควรนำวิธีการข้างต้นนี้มาพิจารณา มีวิธีการปฏิบัติโดยสรุปเหมือนกับอิริยาบถ แต่เปลี่ยนคำว่ากายให้เป็นไปตามอาการ ๓๒

จบหลักการใช้สติพิจารณาอาการ ๓๒ (โดยสังเขป)


๑.๕ หลักการใช้สติพิจารณากายเป็นธาตุ

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรใช้สติพิจารณากายนี้ไปตามส่วนต่างๆ ให้เห็นเป็นเพียงธาตุ (โดยปราศจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ) ว่า “ กายนี้มีสภาพเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม” ภิกษุทั้งหลาย อุปมาดุจคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้มีความชำนาญ ครั้นฆ่าโคแล้ว แบ่งเนื้อโคออกเป็นส่วนๆ นั่งเฝ้าดูอยู่ที่ทางใหญ่สี่แพร่ง ฉันใด ภิกษุก็ควรพิจารณากายนี้ไปตามส่วนต่างๆ ให้เห็นเป็นเพียงธาตุว่า “ กายนี้มีสภาพเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม”

อธิบาย การปฏิบัติในหมวดนี้ เป็นการปฏิบัติที่ต่อเนื่องมาจากหมวดการพิจารณาอาการ ๓๒ นั่นเอง การพิจารณาในอาการ ๓๒ เริ่มต้นที่การพิจารณาอาการ ๓๒ แต่ถ้าผลปรากฏว่าผู้พิจารณาได้สภาวะของความเป็นปฏิกูล การพิจารณานั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นการพิจารณาในหมวดปฏิกูล แต่ถ้าได้สภาวะของความเป็นธาตุ ๔ ปรากฏ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ได้ชื่อว่าเป็นการพิจารณาโดยความเป็นธาตุ ธาตุ มี ๔๒ คือ จาก ๓๒ ให้เพิ่มธาตุไฟ ๔ คือ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น, ไฟที่ยังกายให้ปุวยไข้, ไฟที่ยังกายให้แก่ ทำให้ทรุดโทรม , ไฟที่เผาหรือย่อยอาหาร ที่กิน ที่ดื่ม ธาตุลม ๖ คือ ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน, ลมที่พัดลงเบื้องล่าง, ลมในท้อง, ลมในไส้, ลมในอวัยวะน้อยใหญ่ , ลมหายใจออก-เข้า การศึกษาหัวข้อนี้ต้องศึกษาควบคู่ไปกับ เรื่องกายคตาสติ และ เรื่องจตุธาตุววัฏฐาน เพื่อให้รู้ว่าธาตุนั้นเป็นอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วนำมาปฏิบัติในสติปัฏฐานโดยพิจารณาว่ากายนี้ก็เป็นเพียงธาตุ

ผู้ปฏิบัติควรนำวิธีการข้างต้นนี้มาพิจารณา มีวิธีการปฏิบัติโดยสรุปเหมือนกับอิริยาบถ แต่เปลี่ยนคำว่ากายให้เป็นธาตุ

จบหลักการใช้สติพิจารณากายโดยความเป็นธาตุ(โดยสังเขป)

การเจริญวิปัสสนาในหมวดป่าช้า ๙ ข้อ 

การพิจารณาอสุภะกับการเจริญวิปัสสนาในหมวดป่าช้าต่างกัน ซึ่งควรจะศึกษาให้เห็นความต่างกันด้วยจะเป็นประโยชน์ในการน้อมนำไปปฏิบัติ ความต่างกันตัวอย่างเช่น การพิจารณาอสุภะก็เพียงหาซากศพอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๑๐ อย่าง แล้วปฏิบัติโดยการท่องบริกรรมว่า วินีลกอสุภะ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ จนสมาธิตั้งมั่นนิมิตก็จะเกิดขึ้นไปตามลำดับเมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วฌานจิตก็เกิดขึ้นได้ แต่การพิจารณาอสุภะโดยการเจริญวิปัสสนาไม่ต้องบริกรรมจนสมาธิจิตแนบแน่น แต่พิจารณาให้เห็นสภาพของความจริงว่า กายของเราหรือของบุคคลอื่นก็ตามย่อมมีสภาพเช่นเดียวกับศพ ไม่ล่วงพ้นไปจากสภาพเช่นนี้ได้

จุดประสงค์ก็เพื่อให้คลายจากความยึดมั่นในอัตตาตัวตน ทำให้ฆนบัญญัติว่าเป็น บุคคล ตัวตน เราเขา แตกลงได้ เมื่อก้าวพ้นความเป็นฆนะแล้วสภาพของปรมัตถ์แท้ๆ คือรูปนามจึงจะปรากฏได้ จุดประสงค์เดียวของการเจริญวิปัสสนาคือ ต้องทำลายอัตตาตัวตนให้ได้ก่อน แล้วรูปนามอันเป็นสภาวะปรมัตถ์แท้ๆ ก็จะปรากฏชัด

๑.๖ หลักการใช้สติพิจารณากายให้เห็นดุจอสุภะในป่าช้า

ข้อที่ ๑ 
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจศพซึ่งตายมาแล้ว ๑ วันบ้าง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง ซึ่งถูกนำมาทิ้งไว้ในป่าช้า จนขึ้นอืดเขียวคล้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้ม ดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพดุจศพ และมีลักษณะดุจศพ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๒ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจศพซึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าช้าปล่อยให้ กา เหยี่ยว จิกกินแร้งทึ้งกิน สุนัข บ้าน สุนัขจิ้งจอก หรือสัตว์เล็กๆ กัดกินดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพและมีลักษณะดุจศพ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๓ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจโครงกระดูกของศพซึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งยังมีเนื้อและเลือด มีเอ็นรึงรัดอยู่ ดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพและมีลักษณะดุจโครงกระดูกนี้ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๔ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจโครงกระดูกของศพซึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งปราศจากเนื้อหนังแต่ยังมีเลือดเปื้อนเปรอะ มีเอ็นรึงรัดอยู่ดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพ และมีลักษณะดุจโครงกระดูกนี้ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๕ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจโครงกระดูกของศพซึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งปราศจากเนื้อและเลือดแต่ยังมีเอ็นรึงรัดอยู่ ดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพ และมีลักษณะดุจโครงกระดูกนี้ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๖ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจโครงกระดูกของศพซึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งปราศจากเอ็นรึงรัด กระจุยกระจายไปตาม ทิศต่างๆ เช่นกระดูกมืออยู่ทางทิศหนึ่ง กระดูกเท้าอยู่ทางทิศหนึ่ง กระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกสะเอว กระดูกหลัง กระดูกซี่โครง กระดูกหน้าอก กระดูกแขน กระดูกไหล่ กระดูกคอ กระดูกคาง กระดูกฟัน กะโหลกศีรษะ อยู่ทิศหนึ่งๆ ดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพ และมีลักษณะดุจโครงกระดูกนี้ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๗ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจท่อนกระดูกของศพซึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งเป็นท่อนกระดูกสีขาวเหมือนสีสังข์ ดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพและมีลักษณะดุจท่อนกระดูกนี้ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๘ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจกองกระดูกของศพซึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งกองอยู่ด้วยกันเกินกว่า ๑ ปี ดังนี้ว่า “ กายนี้มีสภาพและมีลักษณะดุจกองกระดูกนี้ ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ข้อที่ ๙ ภิกษุควรพิจารณากายให้เห็นดุจผงกระดูกของศพที่ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดังนี้ว่า “ กายนี้ก็มีสภาพและมีลักษณะดุจผงกระดูกนี้แล ไม่ล่วงพ้นสภาพเช่นนี้ไปได้”

ผู้ปฏิบัติควรนำวิธีการข้างต้นนี้มาพิจารณา มีวิธีการปฏิบัติเหมือนกับอิริยาบถ แต่เปลี่ยนคำว่ากายเป็นอสุภะในแต่ละข้อ

จบ ป่าช้า ๙ ข้อ

จบ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน


วันจันทร์

๑. สติปัฏฐาน

สติปัฏฐาน หมายความว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งสติ เรียกว่าสติปัฏฐาน เช่น กายเป็นที่ตั้งของสติ และสตินั้นก็เป็นที่ตั้งได้ด้วยและเป็นตัวสติด้วย คำว่า สติ คือการระลึกได้ ฉะนั้น สติปัฏฐานจึงมุ่งหมายถึง สติที่มีการระลึกได้ใน กาย เวทนา จิต ธรรม

เหตุที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง ก็เพราะทรงเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์ที่มีจริตต่างกัน คือ

๑. ตัณหาจริตอย่างอ่อน มีกายานุปัสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ที่หยาบจะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และในการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในหมวดที่มีนิมิตเกิดขึ้นได้ไม่ยากนักก็เหมาะสมกับพวกสมถยานิกะประเภทยังอ่อน (พวกที่ปฏิบัติสมถะ)

๒. ตัณหาจริตอย่างกล้า มีเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ละเอียดจะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับพวกสมถยานิกะประเภทแก่กล้า

๓. ทิฏฐิจริตอย่างอ่อน มีจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ละเอียดแต่ก็แยกรายละเอียดออกไปไม่มากนัก จะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับผู้ที่เป็นวิปัสสนายานิกบุคคลประเภทยังอ่อน

๔. ทิฏฐิจริตแก่กล้า มีธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์อันละเอียดลึกซึ้งแยกประเภทออกไปมาก จะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับผู้ที่เป็นวิปัสสนายานิกบุคคลประเภทแก่กล้า

สติปัฏฐาน ๔ เป็นข้อปฏิบัติเพื่อละสุภวิปัลลาส สุขวิปัลลาส นิจจวิปัลลาส และอัตตวิปัลลาส เป็นทางสายเอกที่จะนำเหล่าเวไนยสัตว์ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ ข้ามพ้นโสกะปริเทวะ ดับทุกข์ โทมนัส บรรลุเญยยธรรม แจ่มแจ้งในพระนิพพาน


ข้อเปรียบเทียบพระนิพพานเหมือนพระนคร
โลกุตตรมรรคประ
กอบด้วยองค์ ๘ เหมือนประตูพระนคร
ผู้ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ต้อง
ปฏิบัติด้วยการระลึก เช่น การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยวิธี ๑๔อย่างแล้ว (มีอานาปานบรรพ อิริยาบถบรรพ เป็นต้น) ก็จะไปรวมลงสู่ที่เดียวกัน คือ พระนิพพานนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของกายานุปัสสนา เหมือนคนทั้งหลายเดินทางมาจากทิศตะวันออกถือเอาสิ่งของที่มีในทิศตะวันออก ก็เข้าพระนครได้ ฉะนั้น

สติปัฏฐาน มี ๔ คือ
๑. 🔎กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณากาย เป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะ  พิจารณากายเป็นอารมณ์กรรมฐานจึงจะสามารถกำจัดอภิชฌา (คือ โลภะ ความยินดีพอใจ) และโทมนัส (คือ โทสะ ความไม่ยินดีไม่พอใจ) ที่เกิดเพราะกายเป็นเหตุได้

๒. 🔎เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณาเวทนา เป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะ พิจารณาเวทนาเป็นอารมณ์กรรมฐาน จึงจะสามารถกำจัดอภิชฌาและโทมนัสที่เกิดเพราะเวทนาเป็นเหตุได้


๓. 
🔎จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณาจิต เป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะพิจารณาจิตเป็นอารมณ์กรรมฐาน จึงจะสามารถกำจัดอภิชฌาและโทมนัสที่เกิดเพราะจิตเป็นเหตุได้

๔. 🔎ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการใช้สติพิจารณาสภาวธรรมเป็นกรรมฐานที่ภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเป็นผู้มีความเพียร มีสติ สัมปชัญญะ พิจารณาสภาวธรรมเป็นอารมณ์กรรมฐาน จึงจะสามารถกำจัดอภิชฌาและโทมนัสที่เกิดเพราะสภาวธรรมเป็นเหตุได้





๑๐. อรูปกรรมฐาน ๔

อรูปกรรมฐาน หรือเรียกว่าอารุปปกัมมัฏฐาน ผลของการสำเร็จอรูปกรรมฐานทำให้ไปเกิดในพรหมโลก เป็นอรูปพรหมคือพรหมไม่มีรูปร่าง กรรมฐานชนิดนี้ต่างจากกรรมฐานอื่นๆ ทั้งหมดตรงที่ว่าต้องเจริญกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๙ อย่าง ยกเว้นอากาสกสิณ (กสิณที่ว่าง) จนเชี่ยวชาญช่ำชอง ได้ถึงรูปฌาน ๔ (โดยจตุกกนัย) หรือต้องถึงรูปฌานที่ ๕ (โดยปัญจกนัย) ถึงจะเจริญอรูปกรรมฐานได้

อรูปกรรมฐาน
จึงไม่ใช่กรรมฐานที่คนไม่มีพื้นฐาน ไม่ได้ฌานจะปฏิบัติได้ (การเจริญอรูปกรรมฐานได้แสดงไว้ในเรื่องอรูปฌานไว้แล้ว ฉะนั้นในบทนี้จะแสดงเพียงโดยย่อเท่านั้น)

อรูปกรรมฐาน ๔ ได้แก่
๑. อากาสานัญจายตนะ กำหนดช่องว่างหรืออากาศหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์
๒. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์
๓. อากิญจัญญายตนะ กำหนดภาวะไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

วิธีการเจริญอรูปกรรมฐาน

อรูปกรรมฐานที่ ๑ เมื่อผู้ปฏิบัติเจริญกสิณ ๙ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้สำเร็จรูปฌานแล้ว และมีความช่ำชองในการเจริญฌานของตน และให้เพิกกสิณนั้นเสีย การเพิกกสิณ คือ การไม่เอากสิณ นิมิตนั้นมาเป็นอารมณ์แต่หันไปตั้งจิตพิจารณาอากาศอันว่างเปล่า จากกสิณนิมิตเป็นอารมณ์ และบริกรรมว่า อนันโต อากาโสๆๆ (อากาศไม่มีที่สิ้นสุดๆๆ) เรื่อยไปจนจิตสงบตามลำดับขึ้นไปจนถึงอรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌาน

อรูปกรรมฐานที่ ๒ เจริญโดยละการพิจารณาอากาศที่กระทำในชั้นที่ ๑ จนได้อรูปฌาน ๑ นั้น แต่ไปกำหนดรู้จิตที่พิจารณาที่ว่างแทน คือวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์บริกรรมว่า อะนันตัง วิญญาณังๆๆ (วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดๆๆ) จนได้อรูปฌานที่ ๒ คือ วิญญาณัญจายตนฌาน

อรูปกรรมฐานที่ ๓ เจริญโดยเลิกกำหนดวิญญาณเป็นอารมณ์ หันมากำหนดภาวะไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์บริกรรมว่า นัตถิกิญจิๆๆ (ความเหลืออยู่ของอากาสานัญจายตนฌานไม่มีๆๆ) จนได้อรูปฌานที่ ๓ คือ อากิญจัญญายตนฌาน

อรูปกรรมฐานที่ ๔ เลิกกำหนดแม้แต่ภาวะที่ไม่มีอะไรเลย เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ บริกรรมว่า สันตะเมตัง ปณีตะเมตังๆๆ (อากิญจัญญายตนฌานนี้มีสมาธิสงบมาก ประณีตมากๆๆ) จนได้อรูปฌาน ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

จบอรูปกรรมฐาน ๔


๙. จตุธาตุววัฏฐาน ๑

จตุธาตุววัฏฐาน หรือเรียกว่าธาตุกรรมฐาน หมายความว่า การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ที่ปรากฏในร่างกายจนกระทั่งเห็นเป็นแต่เพียงกองแห่งธาตุ โดยปราศจากความจำว่าเป็นหญิง ชาย เรา เขา สัตว์ บุคคลใดๆ เสีย องค์ธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิกที่ในมหากุศลจิต มหากิริยาจิต

คำว่า ธาตุ หมายถึง การธำรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นมหาภูตรูป เพราะเป็นรูปใหญ่ เป็นประธาน เป็นที่รองรับรูปทั้งหมดที่เหลือ คือ

เพราะการรวมกันของธาตุดิน 
ความแข็งจึงเกิดได้
เพราะการรวมกันของธาตุน้ำ ความเอิบอาบจึงเกิดได้
เพราะการรวมกันของธาตุไฟ 
ความร้อนจึงเกิดได้
เพราะการรวมกันของธาตุลม ความเบาแห่งการเคลื่อนไหวจึงเกิดได้

การ กำหนดจตุธาตุววัฏฐานนี้ ผู้เจริญจะต้องพิจารณาธาตุ ๔ ที่มีอยู่ภายในตน ธาตุ ๔ ที่มีอยู่ ภายตนนี้ มี ๔๒ คือ


ธาตุดิน ๒๐
- ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
- เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต
- หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด
- ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า มันสมอ
ลักษณะของธาตุดิน คือ
มีความแข็ง ความแกร่ง ความหนา ความไม่เคลื่อนไหว ความมั่นคง ความรองรับ

ธาตุน้ำ ๑๒
- ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น
- น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร (ปัสสาวะ)
ลักษณะของธาตุน้ำ คือ
ความซึมซาบ ความชุ่มชื้น ความเหลว ความไหลริน ความแผ่ซ่านไป
ความประสาน ความเกาะกุม 

ธาตุไฟ ๔
- ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น
- ไฟที่ยังกายให้ป่วยไข้
- ไฟที่ยังกายให้แก่ ทำให้ทรุดโทรม
- ไฟที่เผาหรือย่อยอาหารที่กิน ที่ดื่ม
ลักษณะของธาตุไฟ คือ
ความเย็น ความร้อน ความอุ่น ความเป็นไอ การทำให้สุก การเผาไหม

ธาตุลม ๖ 
- ลมพัดขึ้นเบื้องบน
- ลมพัดลงเบื้องล่าง
- ลมในท้อง
- ลมในลำไส้
- ลมในอวัยวะน้อยใหญ่
- ลมหายใจเข้า-ออก
ลักษณะของธาตุลม คือ
การพยุงไว้ การไหว ความหย่อน ความตึง

วิธีการกำหนดโดยความเป็นธาตุ มีดังนี้

๑. การกำหนดธาตุโดยไม่แยกกัน
- พึงพิจารณาว่า ปฐวีธาตุเหล่านี้ ถูกเกาะกุมไว้ด้วยกันโดยอาโปธาตุ ถูกทำให้อุ่นโดยเตโชธาตุ ถูกค้ำจุนไว้โดยวาโยธาตุ ธาตุ ๓ (คือ อาโป เตโช วาโย) ถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างนี้
- อาโปธาตุอาศัยอยู่ในปฐวีธาตุ ถูกทำให้อุ่นโดยเตโชธาตุ ถูกค้ำจุนไว้โดยวาโยธาตุ ธาตุ ๓ (คือ ปฐวี เตโช วาโย) ถูกยึดไว้ด้วยกันรวมกันได้อย่างนี้ 
- เตโชธาตุอาศัยอยู่ในปฐวีธาตุ ถูกยึดไว้ด้วยกันโดยอาโปธาตุ ถูกค้ำจุนไว้โดยวาโยธาตุ ธาตุ ๓ (คือ ปฐวี อาโป วาโย) ถูกทำให้อุ่นอย่างนี้
- วาโยธาตุอาศัยอยู่ในปฐวีธาตุ ถูกยึดไว้ด้วยกันโดยอาโปธาตุ ถูกทำให้อุ่นโดยเตโชธาตุ ธาตุ ๓ (คือ ปฐวี อาโป เตโช) ถูกค้ำจุนไว้อย่างนี้

- ธาตุ ๓ (น้ำ ไฟ ลม) อาศัยปฐวีธาตุ ถูกยึดไว้ด้วยกันโดยอาโปธาตุ ธาตุ ๓ จึงไม่กระจัดกระจาย
- ธาตุ ๓ (ดิน น้ำ ลม) อุ่นโดยเตโชธาตุ จึงไม่มีกลิ่น
- ธาตุ ๓ (ดิน น้ำ ไฟ )ค้ำจุนไว้โดยวาโยธาตุ จึงดำเนินไปและอยู่รวมกันได้ ไม่แตก กระจัดกระจาย

สรุป ธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อิงอาศัยซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

๒. การกำหนดธาตุโดยเหตุและปัจจัย
- พึงพิจารณาโดยเหตุ ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร เป็นปัจจัยสร้างธาตุขึ้นมาเหตุ ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร
- ธาตุทั้ง ๔ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกรรม กรรมนี้แหละทำให้มีการเกิดด้วยอำนาจของชนกกรรม ทำให้กรรมและวิบากของกรรมเป็นไป และทำให้เกิดปัจจัยต่างๆที่เข้าไปอุดหนุนเกื้อหนุนให้ธาตุ ๔ เป็นไป
- ธาตุ ๔ นี้ เกิดมาจากจิต ทำให้ปัจจัยต่างๆ เป็นไป ปฏิสนธิจิตทำให้รูป คือ ธาตุทั้ง ๔ เกิดพร้อมกันกับจิต
- ธาตุ ๔ นี้ ตั้งอยู่ได้ไม่เน่าเสียไป ก็ด้วยการอุปการะของ อุตุ คือไออุ่นที่หล่อเลี้ยงธาตุทั้ง ๔
- ธาตุ ๔ นี้ มี อาหารเป็นผู้หล่อเลี้ยงให้ตั้งอยู่และเจริญได้

๓. การกำหนดธาตุโดยลักษณะ
- ลักษณะของปฐวีธาตุ คือ ความแข็ง ลักษณะของอาโปธาตุ คือ การซึมซาบ ลักษณะของเตโชธาตุ คือ ความเย็น ร้อน ลักษณะของวาโยธาตุ คือ ไหว เคลื่อนไปมา เมื่อสิ่งใดปรากฏชัดในการรับรู้ในขณะที่มีสติสัมปชัญญะก็ให้ระลึกรู้โดยความเป็นเพียงธาตุเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวิต เป็นเพียงแต่สภาวะของธรรมชาติ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม 

๔. การกำหนดธาตุโดยความเสมอกันและไม่เสมอกัน
- ปฐวีธาตุและอาโปธาตุ เสมอกันเพราะความมีน้ำหนัก ส่วน เตโชธาตุและวาโยธาตุ เสมอกันเพราะความเบา อาโปธาตุและเตโชธาตุ ไม่เสมอกัน อาโปธาตุสามารถกำจัดความแห้งของเตโชธาตุได้ ปฐวีธาตุและวาโยธาตุไม่เสมอกัน เพราะปฐวีธาตุขัดขวางการออกไปของวาโยธาตุวาโยธาตุก็สามารถทำลายปฐวีธาตุได้

๕. การกำหนดธาตุโดยความเป็นหุ่น
- เปรียบเหมือนการทำหุ่นจำลองเป็นมนุษย์สตรี บุรุษ แล้วมีเชือกสำหรับชักเพื่อให้หุ่นนั้น เดิน ยืน นั่ง นอน เต้นรำ หุ่นนี้คือร่างกาย ผู้ทำหุ่นคือกิเลสในอดีต ที่เป็นเหตุให้กายนี้ถูกสร้างขึ้นจนสมบูรณ์ เชือกคือเส้นเอ็น ดินเหนียวคือเนื้อ สีที่ทาคือผิวหนัง ช่องทั้งหลายคืออากาศ เพราะอาศัยอาภรณ์ เครื่องประดับต่างๆ จึงได้ชื่อว่าบุรุษหรือสตรี การเคลื่อนไหวไปได้ของหุ่นก็ด้วยวาโยธาตุที่เกิดจากจิตที่คิดจะเดิน ยืน คู้เข้า เหยียดออก สนทนาพูดจาได้ มนุษย์หุ่นเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับวิญญาณธาตุ ตกอยู่ในอำนาจความโกรธ ความโศกเศร้า ความทุกข์ เพราะอวิชชา พวกเขาหัวเราะสนุกสนานหรือเล่นด้วยกันได้ มีอาหารรักษาหุ่นเหล่านี้ไว้ และชีวิตินทรีย์รักษาไว้ ทำให้หุ่นเหล่านี้เดินไป ที่สุดแห่งชีวิตทำให้หุ่นแตกกระจัดกระจาย และเมื่อกรรมและกิเลสยังมีอยู่ หุ่นใหม่ก็จะเกิดขึ้นอีก การเกิดขึ้นครั้งแรกของหุ่นนั้นไม่สามารถรู้ได้ จุดสุดท้ายของหุ่นนั้นใครๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดกายนี้โดยเปรียบกับหุ่นว่าอาการเหล่านี้ กิจกรรมเหล่านี้ว่า “ไม่มีสัตว์ ไม่มีชีวะ เป็นเพียงแต่สภาวะ”

๖. พิจารณาธาตุโดยความเป็นอารมณ์
- เมื่อพิจารณาธาตุ ๔ โดยประการต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ผู้ปฏิบัติพึงพิจารณาโดยความเป็นนามและรูป คือ ธาตุทั้งหลายเป็นรูป จิตพร้อมเจตสิกต่างๆ ที่พิจารณารูปเหล่านั้นโดยความเป็นจริงเป็นนาม แล้วพิจารณาต่อไปอีกว่า นามรูปเป็นทุกข์ เป็นตัณหา เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ แล้วกำหนดรู้ว่า ความดับทุกข์ได้ต้องดับที่ตัณหา มรรคมีองค์ ๘ นั้นเป็นหนทางไปสู่ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

นิมิต ภาวนา และ มรรค ผล ที่ได้จากการเจริญจตุธาตุววัฏฐาน

การเจริญจตุธาตุววัฏฐานนี้ ไม่มีอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต คงมีแต่บริกรรมนิมิตอย่างเดียว คือธาตุทั้ง ๔ ที่มีอยู่ในร่างกายตนนั้นเอง ส่วนภาวนานั้นได้ ๒ อย่าง คือ บริกรรมภาวนาและอุปจารภาวนาสำหรับอัปปนาภาวนาอันเป็นตัวฌานนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะธาตุทั้ง ๔ นี้เป็นสภาวะล้วนๆ ผู้เจริญต้องใช้ปัญญาอย่างแรงกล้า จึงจะรู้เห็นในสภาวะเหล่านี้ได้ เหตุนี้สมาธิของผู้เจริญจึงไม่มีกำลังพอที่จะถึงฌาน ดังนั้น หากว่าการพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ที่มีอยู่ในกายตน โดยมีปัญญาเป็นประธานนี้ทำให้พิจารณาธาตุ ๔ โดยความเกิดดับ ก็จะทำให้ผู้ที่เจริญธาตุ ๔ นั้นสามารถสำเร็จมรรคผลได้ 

อานิสงส์ของจตุธาตุววัฏฐาน

๑. เห็นความไม่ใช่ตัวตน (อนัตตลักษณะ)
๒. ละความเห็นว่าเป็นสัตว์ บุคคล ชาย หญิงได้
๓. ไม่กลัวภัยต่างๆ
๔. สามารถตัด ระงับ ความพอใจและไม่พอใจได้ มีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา
๕. ทำ ให้เป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง
๖. เข้าถึงพระนิพพาน
๗. ถ้าไม่เข้าถึงพระนิพพานในภพนี้ ก็จะไปสู่สุคติ

จบจตุธาตุววัฏฐาน


๘. อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑

 อาหาเรปฏิกูลสัญญา

อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร โดยกำหนดหมายว่าอาหารที่บริโภคเป็นสิ่งปฏิกูล องค์ธรรมได้แก่ สัญญาเจตสิกที่ในมหากุศลจิต มหากิริยาจิต

อาหาร เป็นเหตุธรรมที่อุดหนุนให้ผลเกิดขึ้นและช่วยให้ธรรมอื่นเกิดขึ้น คำว่า อาหาร มีความหมายกว้างขวางออกไปหลายนัย ในพระบาลีให้ความหมายของคำว่า อาหาร ไว้ว่า “ธรรมใด นำมาซึ่งรูปอันเกิดจากโอชา นำมาซึ่งเวทนา นำมาซึ่งปฏิสนธิวิญญาณ และนำมาซึ่งเจตสิกกับกัมมชรูป ธรรมนั้นชื่อว่า อาหาร”


๑. กพฬีการาหาร (นำมาซึ่งรูปที่เกิดจากโอชา)
กพฬีการาหาร (อ่านว่า กะ-พะ-ลี-กา-รา-หาน ) ได้แก่ โอชา สารอาหารหรือวิตามิน ที่ได้จากข้าว น้้า พืชผักต่าง ๆ ตลอดจนทุกสิ่งที่เรากลืนกินเข้าไป สารอาหารนี้จะเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงอยู่ได้

องค์ธรรมได้แก่ โอชาที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ

๒. ผัสสาหาร (นำมาซึ่งเวทนา)
ผัสสาหาร นำมาซึ่งเวทนา คือการเสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง สุขบ้าง หรือไม่ทุกข์ ไม่สุขให้เกิดขึ้น เวทนาทั้งหลายนี้ ถ้าไม่มีผัสสะแล้วก็จะเกิดไม่ได้เลย เพราะผัสสะนี้เป็นเหตุให้เกิดเวทนา จึงชื่อว่าผัสสะเป็นอาหารของเวทนา (หรือผัสสะนำมาซึ่งการเกิดเวทนา)

องค์ธรรมได้แก่ ผัสสเจตสิก ที่ในจิตทั้งหมด

๓. มโนสัญเจตนาหาร (นำมาซึ่งวิบาก)
มโนสัญเจตนาหาร ก็คือเจตนาในการทำกุศล อกุศล เจตนานี้เป็นเหตุนำมาให้เกิดผล คือกุศลวิปากจิตและอกุศลวิปากจิต ทั้งในปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล ในปฏิสนธิกาลก็นำมาซึ่งปฏิสนธิวิญญาณ คือการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม หรืออบายสัตว์ ในปวัตติกาลก็นำมาซึ่งวิบากต่างๆ เช่น ทำให้เห็นรูปที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี เป็นต้น

องค์ธรรมได้แก่ เจตนาเจตสิก ที่ในจิตทั้งหมด

๔. วิญญาณาหาร (นำมาซึ่งเจตสิกและกัมมชรูป)
วิญญาณาหาร นำมาซึ่งเจตสิกและกัมมชรูป ในปฏิสนธิกาล ปฏิสนธิวิญญาณย่อมเป็นผู้นำให้เจตสิกและกัมมชรูปเกิดขึ้นได้ ในปวัตติกาล จิตย่อมนำให้เจตสิกเกิดขึ้นอย่างเดียว ไม่ได้นำให้กัมมชรูปเกิดขึ้นด้วย เพราะกัมมชรูปไม่ใช่รูปที่เกิดจากสมุฏฐานของจิต แต่เป็นรูปที่เกิดจากสมุฏฐานของกรรม แต่อย่างไรก็ตาม กัมมชรูปก็อาศัยเกิดมาจากอดีตกรรม ที่เรียกว่า กัมมวิญญาณ คืออกุศลจิตและโลกียกุศล จิตในภพก่อนๆ ซึ่งก็ชื่อว่าวิญญาณเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ จิตทั้งหมดจึงชื่อว่าวิญญาณาหาร

องค์ธรรม
ได้แก่ จิตทั้งหมด


การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร
ให้พิจารณาอาหารที่เรียกว่า กพฬีการาหาร หรืออาหารที่
เรารับประทานนั่นเอง การพิจารณาความเป็นปฏิกูลของอาหารโดยอาการ ๑๐ อย่าง คือ

๑. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยอาการไปสู่สถานที่ที่มีอาหาร ว่าลำบาก ตั้งแต่การต้องออกไปหาอาหาร ฆราวาสต้องประกอบการงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อจะได้เงินมาซื้ออาหารเลี้ยงชีวิต ถ้าเป็นภิกษุก็ต้องบิณฑบาตไปในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่เฉอะแฉะ สกปรก กรำแดดกรำฝน เพื่อให้ได้อาหารมาเลี้ยงอัตภาพ
๒. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยการแสวงหา ว่ามีเงินแล้วก็ต้องไปตลาดซื้ออาหาร เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เลือกหาอาหาร หอบหิ้วกลับมา
๓. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยการบริโภค ว่าเมื่อหยิบอาหารเข้าปากแล้วฟันก็ทำหนำที่บดเคี้ยวคลุกเคล้าด้วยน้ำลาย ก่อนจะเข้าปากอาหารนั้นปรุงอย่างดี แต่เมื่อเข้าปากเคี้ยวแล้ว หากลองคายออกมาแล้วให้กลืนกลับเข้าไปใหม่ ก็คงกลืนไม่ลงเพราะดูน่าเกลียดเหมือนรากสุนัข
๔. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยที่อยู่ ว่าอาหารที่บริโภคนี้ แปดเปื้อนคละเคล้ากับสิ่ง ๔ อย่าง คือ น้ำดี เสมหะ หนอง และเลือด เป็นสิ่งสกปรกโสโครก
๕. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยกระเพาะ ว่าเป็นที่หมักหมมรวมกันของอาหารว่า อาหารที่เรากินเข้าไป เปื้อนน้ำดี เสมหะ หนอง เลือด หมักหมมรวมกันอยู่ในกระเพาะที่สกปรกโสโครก ถ้วยชามภาชนะเราใช้แล้วยังขัดล้างทำความสะอาด แต่กระเพาะอาหารเป็นที่ใส่อาหารที่แปดเปื้อนไปด้วยน้ำดี เสมหะ หนอง เลือด ไม่เคยล้างตลอดเวลา ๒๐-๔๐ ปีแห่งอายุของเรา และทุกวันมีอาหารใหม่หมักหมมทับถมลงไปอีก
๖. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยยังไม่ย่อย ว่าอาหารที่บริโภคเข้าไป ตั้งแต่เมื่อวานก็ตาม วันนี้ก็ตาม หมักหมมรวมกันเกิดเป็นฟอง เพราะธาตุไฟที่มีอยู่ในกระเพาะอาหาร มีสภาพน่าสะอิดสะเอียนเหมือนซากศพหรือขยะที่บูดเป็นฟอง
๗. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยย่อยแล้ว ว่าอาหารที่ถูกย่อยแล้วกลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นสิ่งที่น่าเกลียด
๘. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยผลที่สำเร็จ ว่าอาหารที่ย่อยแล้วกลายเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เป็นอวัยวะต่างๆ แต่อาหารที่ไม่ย่อยกลับทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น โรคหิดเปื่อย หิดด้าน คุดทะราด โรคเรื้อน กลาก หืด ไอ เป็นต้น ล้วนแต่เป็นผลที่เกิดจากอาหารที่บริโภคเข้าไปนี้เอง เป็นสิ่งที่น่าเกลียดและน่ากลัว การบริโภคถ้าบริโภคมากไปก็เกิดโทษได้
๙. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยการหลั่งไหล ว่าอาหารที่บริโภคเข้าไปนั้น เมื่อไหลออก ก็ออกทางทวารทั้ง ๙ เช่น ไหลออกทางช่องตาก็เป็นขี้ตา ไหลออกทางช่องปากเป็นน้ำลาย เสมหะ ไหลออกจากทวารหนักเป็นอุจจาระ ไหลออกจากทวารเบาเป็นปัสสาวะ ไหลออกจากขุมขนเป็นเหงื่อ เป็นต้น ขณะที่บริโภคอาหารก็ล้อมวงกันรื่นเริง แต่เวลาถ่ายออก ก็แยกกันไปปิดบังกัน ซ่อนเร้นไม่ให้ใครเห็น
๑๐. พิจารณาความเป็นปฏิกูล โดยความแปดเปื้อน ว่าอาหารนี้เมื่อเวลาบริโภคอยู่ก็เปื้อนมือ ปาก ลิ้น เพดาน ย่อยแล้วก็เปื้อน ถ่ายออกก็เปรอะเปื้อนน่าเกลียด ต้องชำระล้างใส่เครื่องหอมกลบความโสโครกและกลิ่นเหม็น


การเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา เจริญได้แต่เฉพาะในมนุสสภูมิเท่านั้น เพราะมนุษย์มีการรับประทานอาหารชนิดที่เป็นปฏิกูล ส่วนในเทวภูมิและพรหมภูมิไม่มีอาหารชนิดปฏิกูลแล้ว

นิมิต ภาวนา ในการเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา

นิมิตได้เพียงบริกรรมนิมิต คือ ข้าว แกง ขนม น้ำ ฯลฯ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยสัญญาของตนที่มีการเห็นว่าเป็นปฏิกูลนี้เองเหล่านี้ใช้เป็นเครื่องอาศัยในการบริกรรม จัดเป็นบริกรรมนิมิต ภาวนาได้ ๒ คือ บริกรรมภาวนาและอุปจารภาวนา การที่ไม่เกิดอัปปนาภาวนา เพราะการเจริญกรรมฐานนี้มีสภาวะอาหาร คือ กพฬีการาหารเป็นอารมณ์เป็นหลักเกณฑ์ ตัวกพฬีการาหารเป็นเพียงสมมุติอาหารเท่านั้นไม่ใช่ตัวอาหารแท้ๆ ส่วนข้าว แกง ขนม น้ำ ฯลฯ ต่างๆ ที่เห็นอยู่นั้นเป็นเพียงเครื่องประกอบในการเจริญเท่านั้น ตามธรรมดาสภาวะของอาหาร มุ่งถึงโอชาหรือสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในอาหาร โอชานี้มีสภาพละเอียดสุขุมทั้งเป็นธรรมารมณ์ ด้วยเหตุนี้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ทั้งสองนี้จึงไม่ปรากฏ เมื่อปฏิภาคนิมิตไม่ปรากฏ อัปปนาภาวนาอันเป็นตัวฌานก็เกิดขึ้นไม่ได้

อานิสงส์ของอาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ

๑. ไม่ยินดีในรสอาหาร บริโภคเพียงเพื่อดำรงชีวิตอยู่ ดุจดังสามีภรรยาที่บริโภคเนื้อบุตรในทางกันดารที่แร้นแค้นด้วยอาหารโดยไม่มีความยินดี ประสงค์เพียงแต่จะข้ามทางกันดารให้ถึงที่หมายปลายทางฉันใด ผู้เจริญก็ย่อมบริโภคไปฉันนั้น อาศัยเหตุ คือ การบริโภคอาหารที่ปราศจากรสตัณหา ประสงค์เพียงแต่จะดำรงชีวิตร่างกายเอาไว้ เพื่อจะได้ทำการปฏิบัติให้พ้นออกไปจากวัฏฏทุกข์นี้ แม้ตัณหาราคะ ในกามคุณ ๕ ผู้เจริญก็ย่อมละลงได้
๒. เห็นความเกิดดับของรูปขันธ์ ความเกิดดับของรูปภายใน ตนที่เกิดจากอาหาร ความเกิดดับของจิต ขณะบริโภคและหลังบริโภค
๓. สามารถเจริญกายคตาสติไปในขณะนั้นด้วย คือพิจารณาความเป็นปฏิกูลโดย ดี เสลด หนองเลือด เป็นต้น
๔. อยู่เป็นสุข
๕. มีสุคติภูมิเป็นที่หวังได้


จบอาหาเรปฏิกูลสัญญา



วันพุธ

๗. อัปปมัญญา ๔ หน้า ๒

กลับไป อัปปมัญญา ๔ หน้าแรก (เมตตา)

๒. กรุณาภาวนา
การเจริญกรุณา คือ การแผ่ความกรุณาในสัตว์ที่กำลังได้รับความทุกข์อยู่ หรือกำลังจะได้รับ
ความทุกข์ในภายหน้า องค์ธรรมได้แก่ กรุณาเจตสิก ที่มีทุขิตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ การแผ่ความกรุณา คือ การแผ่ความกรุณาสงสารในสัตว์ที่กำลังได้รับความทุกข์อยู่ หรือกำลังจะได้รับความทุกข์ในภายหน้า เช่น เห็นบุคคลที่กำลังได้รับทุกข์ก็พิจารณาว่า บุคคลนี้กำลังเป็นทุกข์เขาจะหลีกพ้นทุกข์ได้อย่างไร หรือขอให้สัตว์ทั้งหลายจงพ้นทุกข์เถิด หรือเห็นว่าบุคคลนี้ทำกรรมชั่ว ก็คิดกรุณาสงสารว่าเขาจะต้องได้รับทุกข์ในภายภาคหน้า

การเจริญกรุณา ใช้คำภาวนาว่า “สัพเพ สัตตา ทุกขา ปมุจจันตุ....” มีความหมายว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กายทุกข์ใจเถิด การเจริญกรุณานั้นจิตจะต้องเป็นโสมนัส(เป็นสุขปลาบปลื้ม) ไม่ใช่เศร้าเสียใจ ถ้าเศร้าเสียใจนั่นเป็นอกุศล ไม่ใช่กรุณา เช่น เราไปงานศพเห็นว่าครอบครัวผู้ตายลำบาก เราสงสารเกิดเสียใจอย่างนี้จัดเป็นอกุศล เพราะจิตเป็นทุกข์ไม่ผ่องใส การแผ่กรุณา ก็เช่นเดียวกับเมตตา คือต้องเริ่มต้นที่การแผ่ให้กับตนเองก่อน จนในที่สุดแผ่ถึงศัตรู การเจริญกรุณาภาวนาสามารถทำให้เกิดอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ได้ถึงฌาน ๔ ตามลำดับ

กรุณาแผ่ยากกว่าเมตตา เพราะในบุคคลที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เช่น กำลังได้รับความทุกข์จากการสูญเสียญาติ ทรัพย์ ได้รับทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ อยู่นั้น เราก็ต้องแผ่ให้เป็นกรุณาให้ได้ ผู้ที่ปรารถนาที่จะเจริญกรุณาภาวนาจนได้ฌานก็ต้องพิจารณาในความทุกข์ ของบุคคลต่างๆ แล้วให้เป็นอารมณ์ของการเจริญกรุณาภาวนาให้ได้ สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เจริญกรุณาภาวนาอาจจะทนไม่ได้กับความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย

วิธีการแผ่กรุณาอัปปมัญญา
การแผ่กรุณาเพื่อยังฌานจิตให้สำเร็จ ต้องทำตามลำดับขั้นตอนดังนี้ คือ
๑. แผ่ให้กับตนเอง
ก่อน
๒. แผ่ให้กับมัชฌัตตบุคคล
๓. ปิยบุคคล
๔. เวรีบุคคล

แผ่ให้กับตนเองก่อนเพื่อผล ๒ ประการ คือ
๑. เพื่อให้ส้าเร็จฌาน ๒.ให้ตัวเองเป็นพยาน
แล้วจึง
แผ่ไปในมัชฌัตตบุคคลไปตามลำดับ การที่จะแผ่ให้กับปิยบุคคลหรือบุคคลอันเป็นที่รักก่อนนั้น กรุณาแท้ก็จะไม่เกิด เกิดแต่กรุณาเทียม หรือถ้าแผ่ไปในเวรีบุคคลก่อน กรุณาก็ไม่เกิด อาจเกิดแต่ความดีใจที่ศัตรูของตนได้รับความลำบากได้รับทุกข์ อันเป็นโลภะที่ยินดีพอใจในทุกข์ของศัตรู ฉะนั้น จึงต้องแผ่กรุณาไปตามลำดับขั้นจนถึงขั้นสามารถทำลายสีมสัมเภทได้ ซึ่งวิธีการก็เป็นเช่นเดียวกับวิธีแผ่เมตตา และการที่จะไม่ให้โลภะเกิดขึ้นในขณะที่แผ่กรุณาต่อปิยบุคคล หรือไม่ให้โทสะเกิดขึ้นในขณะแผ่กรุณากับเวรีบุคคล ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันกับที่กล่าวไว้ในเมตตา จะมีการพิจารณาต่างกันบ้างเพียงเล็กน้อย

คำที่ใช้แผ่กรุณาให้กับตนเองใช้คำว่า อหัง ทุกขา มุจจามิข้าพเจ้าจงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ คำแผ่ไปในบุคคลอื่นถ้าเป็นคนเดียวใช้คำว่า ทุกขา มุจจตุ ขอท่านจงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ถ้าบุคคลอื่น ๒ คนขึ้นไป ใช้คำว่า ทุกขา มุจจันตุ ขอท่านทั้งหลายจงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ คำบริกรรมท่องจำแผ่กรุณาทั่วไปอย่างสามัญนั้น ว่าโดย อาการแห่งกรุณา คือ ทุกขา มุจจันตุ ว่าโดย บุคคลที่ได้รับการแผ่กรุณา มี ๑๒ จำพวก คือ บุคคลไม่เจาะจง ๕ จำพวก บุคคลเจาะจง ๗จำพวก และแผ่ไปในทิศทั้ง ๑๐

แผ่กรุณาแบบไม่เจาะจง ๕ จำพวก
สัพเพ สัตตา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ ปาณา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ ภูตา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ที่ปรากฏชัดทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ ปุคคลาทุกขา มุจจันตุ ขอบุคคลทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ 
สัพเพ อัตตภาวปริยาปันนา ทุกขา มุจจันตุ ขอสัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กายทุกข์ใจ

แผ่กรุณาแบบเจาะจง ๗ จำพวก
สัพพา อิตถิโย ทุกขา มุจจันตุ ขอหญิงทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ ปุริสา ทุกขา มุจจันตุ ขอชายทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ อริยา ทุกขา มุจจันตุ ขอพระอริยบุคคลทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ อนริยา ทุกขา มุจจันตุ ขอปุถุชนทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ เทวา ทุกขา มุจจันตุ ขอเทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ มนุสสา ทุกขา มุจจันตุ ขอมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
สัพเพ วินิปาติกา ทุกขา มุจจันตุ ขอพวกวินิปาติกอสุราทั้งหลายทั้งปวง จงพ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ

และการแผ่ไปในทิศทั้ง ๑๐ วิธีการเช่นเดียวกับการเมตตานั่นเอง

สรุป
๑. การแผ่กรุณาแบบไม่เจาะจง ๕ แบบเจาะจง ๗ รวมเป็น ๑๒ ประการ
๒. การแผ่กรุณาไปในทิศทั้ง ๑๐ หนึ่งทิศได้กรุณา ๑๒ ถ้า ๑๐ทิศ รวมเป็น ๑๒๐ ประการ

รวมเป็น ๑๓๒ ประการ

นิมิต ๓ ภาวนา ๓ อานิสงส์ ๑๑ ก็เป็นไปเช่นเดียวกันกับเมตตา

ข้อควรรู้ในการเจริญกรุณาอัปปมัญญากรรมฐาน
๑. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา มีความเป็นไปแห่งกาย วาจา ใจ อันที่จะบำบัดทุกข์ของผู้อื่นให้หมดไป
๒. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ย่อมอดกลั้นทนนิ่งดูดายอยู่ไม่ได้ต่อทุกข์ของผู้อื่น และอยากช่วยเหลืออยู่เป็นนิจ
๓. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น
๔. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ย่อมพิจารณาเห็นบุคคลที่ตกอยู่ในความทุกข์ไร้ที่พึ่ง
๕. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าไม่สามารถแผ่กรุณาให้กับเวรีบุคคล ก็จะทำให้โทสะเกิดขึ้น จึงไม่สามารถเจริญกรุณาให้สำเร็จ
๖. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าไม่สามารถระงับความเศร้าโศกเมื่อทราบถึงความทุกข์ของผู้อื่นแล้ว จะทำให้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถเจริญกรุณาได้
๗. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าเป็นผู้ที่มักเสียใจอยู่เสมอต่อกามคุณอารมณ์ต่างๆ ก็ย่อมจะไม่สามารถแผ่กรุณาได้
๘. ผู้ปฏิบัติเจริญกรุณา ถ้าเป็นผู้ที่ชอบเบียดเบียนสัตว์ก็ไม่สามารถแผ่กรุณาได้

จบ กรุณา

๓. มุทิตาภาวนา
มุทิตาภาวนา หมายความว่า การพลอยยินดีชื่นชมเมื่อได้ยินได้เห็นผู้อื่นเป็นสุขสบาย ได้รับความเจริญ ได้ลาภยศ สมบัติต่างๆ องค์ธรรมได้แก่ มุทิตาเจตสิกที่มีสุขิตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ การแผ่มุทิตาภาวนา เช่น ขอให้ผู้นั้นจงยั่งยืนบริบูรณ์ในความสุข ในลาภ ยศ สมบัตินั้นๆ เถิด

การเจริญมุทิตาต้องเริ่มแผ่ตามลำดับบุคคล คือ
๑. แผ่ให้กับตนเองก่อน
๒. ตามด้วยบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง
๓. 
บุคคลอันเป็นที่รัก
๔. บุคคลกลางๆ (ไม่รักไม่ชัง)
๕. บุคคลที่เป็นศัตรู

การเจริญมุทิตาภาวนาสามารถสำเร็จอัปปนาสมาธิ และมีอานิสงส์อื่นๆ เช่นเดียวกับเมตตา มุทิตา เมื่อว่าโดยสามัญแล้วมี ๒ อย่าง คือ มุทิตาแท้และมุทิตาเทียม มุทิตาแท้ นั้นผู้ปฏิบัติจะมีความรื่นเริงบันเทิงใจต่อสัตว์ที่มีสุข หรือจะได้รับสุขต่อไปข้างหน้า จิตใจจะไม่มีการยึดถือหรืออยากโอ้อวดต่อผู้อื่นแต่อย่างใด มีแต่ความเบิกบานแจ่มใสซึ่งเป็นตัวมหากุศล มุทิตาเทียม นั้นถึงแม้จะมีความยินดีปรีดาก็จริง แต่ก็มีการยึดถืออยากได้ดีได้หน้า ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็เนื่องมาจากโลภนั่นเอง มุทิตาเทียมนี้ส่วนใหญ่มีอยู่ในบุคคลทั้งหลาย เช่นเมื่อได้ทราบว่า บิดา มารดา ญาติพี่น้อง บุตร ธิดา มิตรสหายของตนได้ลาภ ยศสรรเสริญ หรือได้เลื่อนยศตำแหน่งก็มีความยินดีด้วย โดยความยึดถือว่าผู้นั้นเป็นบิดา มารดา ญาติ ฯลฯ หรือยินดีกับเจ้านาย , เพื่อนร่วมงาน ที่ได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ยินดีด้วยเพราะต้องการประจบสอพอ หวังประโยชน์ หรือยินดีด้วยเพราะมีเหตุผลบางประการซ่อนเล้นอยู่ เป็นต้น

การเจริญมุทิตากรรมฐานนี้ ผู้เจริญต้องทำการแผ่มุทิตาแท้ไปในสัตว์ทั้งหลายที่เป็นสุขิตบุคคล มี๒ จำพวก คือ
๑. ผู้ที่กำลังมีความสุขสบายอยู่หรือจะได้รับความสุขสบายในวันข้างหน้า
๒. ผู้ที่เคยมีความสุขสบายมาแล้ว แต่เวลานี้กำลังได้รับความลำบาก

ผู้เจริญมุทิตาถึงแม้จะไม่ได้พบเห็นบุคคลที่มีความสุข ก็จงแผ่ไปในบุคคลจำพวกที่ ๒ โดยคำนึงว่า บุคคลนี้แม้ว่ากำลังได้รับความลำบากอยู่ก็ตาม แต่เมื่อก่อนนี้เคยเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ มีความสุขกายสบายใจด้วย ลาภ ยศ ทรัพย์สินเงินทองมาแล้ว

วิธีการแผ่มุทิตาภาวนา
มีวิธีการเป็นไปในทำนองเดียวกันกับการแผ่เมตตาภาวนาและกรุณาภาวนา คือต้องแผ่ไปตามลำดับเริ่มตั้งแต่ตนเองก่อน จนไปถึงเวรีบุคคล
๑. แผ่ให้กับตนเอง อหัง ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉามิ ขอข้าพเจ้าอย่าได้สูญสิ้นจากความสุข ความเจริญที่มีอยู่
๒. แผ่ให้ผู้อื่น ตวัง ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉาหิ ขอท่านอย่าได้สูญสิ้นจากความสุข ความเจริญที่มีอยู่ 
๓. แผ่ให้บุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ตุมเห ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉถะ ขอท่านทั้งหลายอย่าได้สูญสิ้นจากความสุข ความเจริญที่มีอยู่

แผ่ไม่เจาะจง ในบุคคล ๕ จำพวก
๑. สัพเพ สัตตา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๒. สัพเพ ปาณา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๓. สัพเพ ภูตา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ที่ปรากฏชัดทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๔. สัพเพ ปุคคลา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอบุคคลทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่
๕. สัพเพ อัตตภาวปริยาปันนา ยถาลัทธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ ขอสัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง อย่าได้สูญสิ้นจากความสุขความเจริญที่มีอยู่

แผ่มุทิตาเจาะจง ในบุคคล ๗ จำพวก และการไปในทิศทั้ง ๑๐ ก็มีวิธีการเป็นไปทำนองเดียวกันกับการ แผ่เมตตานั่นเอง

นิมิต ๓ ภาวนา ๓ อานิสงส์ ๑๑ ก็เป็นไปเช่นเดียวกันกับเมตตา

จบ มุทิตา

๔. อุเบกขาภาวนา
อุเบกขา หมายความว่า ความวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลาย โดยมีจิตใจที่ปราศจากอาการทั้ง ๓ โดยสิ้นเชิง คือ
๑. ไม่น้อมไปในความปรารถนาดี(เมตตา)
๒. ไม่น้อมไปในการที่จะบำบัดทุกข์(กรุณา)
๓. ไม่น้อมไปในการชื่นชมยินดีในความสุขของสัตว์ (มุทิตา)

จิตใจในขณะนั้นเป็นใจที่มีอุเบกขามีความเป็นกลาง เพราะมีสภาพธรรม หรือองค์ธรรม คือ ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิกที่มีมัชฌัตตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ (มีความเป็นกลางต่อสัตว์ทั้งหลายเป็นอารมณ์)

การวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลายมี ๒ อย่าง คือ
๑. อุเบกขาแท้ คือ อุเบกขาที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งตัตรมัชฌัตตตา(ความวางเฉย) ที่ไม่มีการเกี่ยวข้องกับเมตตา กรุณา มุทิตา ดังที่ได้กล่าวแล้วนั้นแต่อย่างใด
๒. อุเบกขาเทียม คือ การวางเฉยต่อสัตว์บุคคล ชนิดที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจของ โมหะ เช่น
🔎เมื่อพบวัตถุหรือบุคคลที่น่าเคารพเลื่อมใส ก็ไม่รู้จักทำความเคารพเลื่อมใส
🔎 เมื่อพบวัตถุหรือบุคคลที่น่ากลัวน่าเกลียด ก็ไม่รู้จักกลัวรู้จักเกลียด
🔎 เมื่อพบเห็นสิ่งที่ควรสนับสนุนส่งเสริม ก็ไม่รู้จักสนับสนุนส่งเสริม
🔎 เมื่อพบเห็นสิ่งที่ควรแก้ไขปรับปรุงให้ดีให้สมบูรณ์ในการงานทั้งปวง ก็นิ่งเฉยเสีย

ความวางเฉยดังตัวอย่างนี้ไม่ใช่อุเบกขา แต่เป็นสภาพของโมหะที่ครอบงำจิตใจ จัดเป็นอุเบกขาเทียม

บุคคล ๒ จำพวก
๑ . พวกธรรมดา ได้แก่ บุคคลที่ไม่รัก ไม่ชัง เฉยๆ บุคคลเช่นนี้เป็นอารมณ์ได้สำหรับจิตใจของบุคคลทั่วไป
๒. พวกที่เป็นไปด้วยอำนาจของภาวนาสมาธิ ได้แก่ ปิยบุคคล(บุคคลอันเป็นที่รัก) ในขณะที่เขามีความสุขอยู่หรือมีความทุกข์อยู่ก็ตาม และเวรีบุคคล(บุคคลที่เป็นเวรกัน) ในขณะที่มีความสุขอยู่หรือความทุกข์อยู่ก็ตาม ด้วยอำนาจของภาวนาสมาธิย่อมทำให้จิตใจของผู้เจริญสมาธิย่อมมีความเป็นกลางกับเขาเหล่านั้นได้

การเจริญอุเบกขาภาวนา
ผู้เจริญต้องทำการแผ่อุเบกขาไปในสัตว์บุคคลที่เป็นมัชฌัตตบุคคล 
(บุคคลกลางๆ) ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไปกับสุขหรือทุกข์ทั้งของตนเองและ ของผู้อื่น ทำใจน้อมนึกว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ย่อมเป็นไปตามกรรมนั้น” การเจริญอุเบกขาภาวนาจนถึงได้อัปปนาฌาน

การเจริญอัปปมัญญาภาวนา เฉพาะการเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา จนถึงได้อัปปนาฌานนั้น ไม่จำกัดบุคคลและอารมณ์กรรมฐาน แต่สำหรับการเจริญอุเบกขานั้นผู้เจริญจะต้องเป็นฌานลาภีบุคคล (บุคคลที่บรรลุฌานที่ ๔ แล้วตามนัยพระสูตร หรือบรรลุฌานที่ ๕ แล้วตามนัยพระอภิธรรม) และต้องสำเร็จฌานชนิดที่เจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อนแล้ว ไม่ใช่สำเร็จจากกรรมฐานอื่นๆ จึงจะสามารถเจริญอุเบกขาภาวนา จนสำเร็จอัปปนาฌานได้

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแสดงไว้ว่า ผู้ที่เจริญฌานโดยเจริญอัปปมัญญา คือ เมตตา กรุณา มุทิตา มาแล้ว และได้ฌานที่ ๔ (ตามนัยแห่งพระสูตร) หรือได้ฌานที่ ๕ (ตามนัยแห่งพระอภิธรรม) เมื่อออกจากฌานแล้วจึงทำจิตให้เป็นอุเบกขาไปยังบุคคลตามลำดับ คือ
๑. บุคคลที่เป็นกลางๆ(ไม่รักไม่ชัง)
๒. บุคคลอันเป็น
ที่รัก
๓.บุคคลที่เป็นศัตรู

เมื่อตั้งจิตไปในทั้ง ๓ บุคคลนี้แล้วจึง ตั้งจิตให้เป็นสีมสัมเภท คือ ทำลายขอบเขต
ของบุคคลไม่มีบุคคลใดๆ ที่เป็นกลาง ไม่มีบุคคลใดๆ ที่เป็นที่รัก ไม่มีบุคคลใดๆ ที่เป็นศัตรู บุคคลทั้งหลายเสมอกันหมด คือ ตั้งจิตในอุเบกขาต่อบุคคลต่างๆ นั้นเสมอกัน และแผ่ไปให้ทั่วทุกทิศ

กิจเบื้องต้นก่อนที่จะทำการเจริญอุเบกขา
ผู้ปฏิบัติก่อนที่จะทำการแผ่อุเบกขานั้น จะต้องชำนาญในจตุตถฌานอย่างดีเสียก่อน จากนั้นก็มีการพิจารณาโทษของฌานที่ได้มาจากการแผ่ เมตตา กรุณา มุทิตา และพิจารณาคุณของฌานที่เกิดจากการเจริญอุเบกขาต่อไป โดยพิจารณาดังนี้

เมตตา กรุณา มุทิตา ทั้ง ๓ นี้มีสภาพหยาบ เพราะองค์ฌานประกอบด้วยโสมนัสเวทนา และยังมีความยินดีรักใคร่ในสัตว์ ทั้งยังประพฤติเป็นไปใกล้ต่อความเกลียดและความรัก สำหรับอุเบกขานั้นมีสภาพสงบ สุขุม ประณีต ห่างไกลจากกิเลสด้วย มีผลไพบูลย์ดีงามมากด้วย

เมื่อได้พิจารณาโทษของเมตตา กรุณา มุทิตา และพิจารณาคุณของอุเบกขาดังนี้แล้ว จากนั้นก็มีการพิจารณาในความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามอำนาจแห่งการกระทำของตนๆ ดังต่อไปนี้

ผู้นี้ได้เกิดมาในภพนี้ ก็เพราะการกระทำของเขาเอง จักเกิดในภพหน้าต่อไปก็เพราะการกระทำของเขาเอง ตัวฉันเองที่เกิดมาในภพนี้และจักเกิดต่อไปในภพหน้า ก็เพราะการกระทำของฉันเอง ไม่ต่างอะไรกัน ฉะนั้น ฉันจะนำความสุข และทำลายความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้นี้ ด้วยความพยายามของฉันเองนั้นย่อมทำไม่ได้ เพราะธรรมดาชนทั้งหลายย่อมมีการกระทำของตนเองเป็นหลักที่ตั้ง ..

การแผ่อุเบกขาต้องแผ่ไปในบุคคลโดยลำดับ คือ
๑. เริ่มจากการแผ่ให้กับตนเองก่อน
๒. มัชฌัตต
บุคคล
๓. ปิยบุคคล
๔. อติปิยบุคคล
๕. เวรีบุคคล

คำบริกรรมที่ใช้แผ่ให้ตนเอง ใช้คำว่า
อหัง กัมมัสสโก 
เรามีกรรมเป็นของของเรา แผ่ให้คนอื่น ถ้าคนเดียวใช้คำว่า กัมมัสสโก = บุคคลนี้มีกรรมเป็นของของตน 
ถ้า ๒ คนขึ้นไปก็ใช้คำว่า กัมมัสสกา = สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน

แผ่อุเบกขาไม่เจาะจง (อโนทิสบุคคล) ๕
๑. สัพเพ สัตตา กัมมัสสกา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๒. สัพเพ ปาณา กัมมัสสกา สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๓. สัพเพ ภูตา กัมมัสสกา สัตว์ที่ปรากฏชัดทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๔. สัพเพ ปุคคลา กัมมัสสกา บุคคลทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน
๕. สัพเพ อัตตภาวปริยาปันนา กัมมัสสกา สัตว์ที่มีอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง มีกรรมเป็นของของตน

แผ่อุเบกขาเจาะจง (อโนทิสบุคคล) ในบุคคล ๗ จำพวก
การแผ่ในทิศทั้ง ๑๐ ก็มีวิธีการทำนองเดียว กันกับการแผ่เมตตานั่นเอง

นิมิต ๓ ภาวนา ๓ อานิสงส์ ๑๑ ก็เป็นเช่นเดียวกับเมตตาภาวนา

ความแตกต่างระหว่างอุเบกขาอัปปมัญญา กับ อุเบกขาบารมี
ทั้งสองอย่างนี้แม้ว่าจะมีการวางเฉยต่อสัตว์ด้วยกันก็จริง แต่อารมณ์ที่จะให้เกิดความวางเฉยนี้ต่างกัน คือ อุเบกขาอัปปมัญญา มีการวางเฉยต่อสัตว์ คือ ละความวุ่นวายที่เนื่องด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา มีสภาพเข้าถึงความเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย แต่ อุเบกขาบารมี นั้น เป็นการวางเฉยในบุคคลที่กระทำดีและไม่ดีต่อตน โดยไม่มีการยินดียินร้ายแต่ประการใด คือ ผู้ที่กระทำความดี มีความเคารพนับถือ บูชาสักการะ เกื้อกูล อนุเคราะห์ สงเคราะห์ เป็นประโยชน์แก่ตนสักเท่าใด ก็คงมีจิตวางเฉยได้ และไม่ว่าผู้ใดจะทำไม่ดี มีการประทุษร้ายต่อตนสักเพียงใดก็ตาม ก็คงวางเฉยอยู่ได้เช่นกัน ในการวางเฉยทั้ง ๒ อย่างนี้ ฝ่ายบารมีประเสริฐยิ่ง การบำเพ็ญก็สำเร็จได้ยาก

จบ อุเบกขาภาวนา




สรุป อัปปมัญญา ๔
การที่อัปปมัญญามีเพียง ๔ นั้น เพราะเหตุที่จะทำให้จิตใจบริสุทธิ์จากการ พยาบาท(คิดปองร้าย) วิหิงสา(การเบียดเบียน) อรติ(ความไม่ยินดี)  ราคะ(ความพอใจในกามคุณ ๕) ที่มีอยู่ในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย มีอยู่เพียง ๔ และการใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลายที่มีต่อกันก็เพียง ๔ เช่นกัน ฉะนั้น อัปปมัญญาจึงมี ๔ เหตุที่ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ๔ อย่างนั้น ก็ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี้เอง เพราะว่าธรรมดาจิตใจของสัตว์ทั้งหลายย่อมหมกมุ่นเกี่ยวพันอยู่ด้วยเรื่องพยาบาท วิหิงสา อรติ ราคะ อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ต่างกันก็เพียงแต่ว่ากาลใดมีสิ่งใดมาก กาลใดมีสิ่งใดน้อย ดังนั้นผู้ที่มีความปรารถนาปราบจิตใจให้อยู่ในครรลองของความดีก็พยายามใช้หลักอัปปมัญญามาช่วยดังนี้

ผู้ที่มีความพยาบาทมาก ต้องทำการปราบด้วย เมตตา
ผู้ที่มีวิหิงสามาก ต้องทำการปราบด้วย กรุณา
ผู้ที่มีอรติมาก ต้องทำการปราบด้วย มุทิตา
ผู้ที่มีราคะมาก ต้องทำการปราบด้วย อุเบกขา

 อนึ่ง การใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลายที่มีต่อกัน ๔ อย่าง คือ
🔘 นำประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวเมตตาอย่างหนึ่ง
🔘 บำบัดปัดป้องสิ่งที่ไร้ประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวกรุณาอย่างหนึ่ง
🔘 ยินดีในความสุข ทรัพย์สินเงินทอง ของสัตว์ทั้งหลายซึ่งเป็นตัวมุทิตาอย่างหนึ่ง
🔘 การวางเฉยในเรื่องจะนำประโยชน์ ในเรื่องบำบัดปัดป้องสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ในเรื่องยินดีในความสุขสบาย ทรัพย์สินเงินทอง ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวอุเบกขาอย่างหนึ่ง

เปรียบเหมือนมารดาที่มีบุตร ๔ คน คนหนึ่งยังเล็กอยู่ คนหนึ่งเจ็บไข้ไม่สบาย คนหนึ่งโตแล้ว คนหนึ่งประกอบการงานเลี้ยงตนเองได้แล้ว ใน ๔ คนนี้ มารดาย่อมมีจิตใจฝักใฝ่รักใคร่บำรุงเลี้ยงดูเพื่อการเจริญวัยในบุตรคนเล็ก อนึ่งมารดาย่อมฝักใฝ่ในการบำบัดความเจ็บไข้ให้แก่บุตรที่ไม่สบาย และย่อมมีความชื่นชมในความงามเป็นหนุ่มสาวของบุตรที่เจริญเติบโตแล้ว แต่มารดาย่อมไม่มีความกังวลห่วงใยคอยแนะนำพร่ำสอนแก่บุตรที่ประกอบการเลี้ยงชีพได้แล้ว

ข้อนี้ฉันใด การใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลาย ที่มีต่อกันนั้นก็ไม่พ้น
ออกไปจาก ๔ อย่างนี้ ฉะนั้น อัปปมัญญาจึงมี ๔ ในอัปปมัญญา ๔ อย่างนี้ การเจริญเมตตามีประโยชน์กว้างขวางอย่างมหาศาลทั้งเป็นกำลังช่วยอุดหนุนให้ กรุณา มุทิตา อุเบกขา เกิดขึ้นง่าย

แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญบารมี คือ
๑. พระโพธิสัตว์แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ตั้งปณิธานที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่สรรพสัตว์และให้ความไม่มีภัยแก่พวกเขา เป็นการบำเพ็ญทานบารมี อย่างนี้
๒. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ท่านเหล่านั้นทำให้เกิดความพ้นทุกข์ และไม่ละทิ้งสัจจอินทรีย์ เปรียบเหมือนความสัมพันธ์ของบิดาที่มีต่อบุตรทั้งหลาย พระโพธิสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี อย่างนี้
๓. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ท่านเหล่านั้นมีความไม่ละโมบ และเพื่อกำจัดสิ่งที่ไม่ใช่บุญของสัตว์ทั้งหลาย จึงเข้าฌานและออกบวช เป็นผู้ไม่มีเรือน พระโพธิสัตว์บำเพ็ญเนกขัมมบารมี อย่างนี้
๔. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ท่านเหล่านั้นจึงใส่ใจถึงบุญและบาป รู้ความเป็นจริง คิดหาอุบายที่สะอาด กำจัดความชั่วและทำความดี พระโพธิสัตว์บำเพ็ญปัญญาบารมี อย่างนี้
๕. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ไม่ละความเพียร พากเพียรตลอดเวลา พระโพธิสัตว์บำเพ็ญวิริยบารมี อย่างนี้
๖. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ มีความอดทน และไม่โกรธเมื่อบุคคลอื่นติเตียน หรือไม่ทำร้ายพวกเขา พระโพธิสัตว์บำเพ็ญขันติบารมีอย่างนี้
๗. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ พูดคำสัตย์ ดำรงอยู่ในความสัตย์ รักษาคำสัตย์ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญสัจจบารมี อย่างนี้
๘. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ไม่ละเมิดคำสัญญา แต่รักษาคำสัญญานั้นไว้จนตลอดชีวิต พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอธิษฐานบารมี อย่างนี้
๙. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ถือตัวเองเป็นอันเดียวกันกับสรรพสัตว์ และบำเพ็ญเมตตาบารมี อย่างนี้
๑๐. พระโพธิสัตว์ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ถือคนที่รักคนเป็นกลางและศัตรูเท่าเทียมกัน ไม่มีความโกรธและความยึดมั่น พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอุเบกขาบารมี อย่างนี้

พระโพธิสัตว์เมื่อได้แผ่เมตตาและบำเพ็ญบารมี ๑๐ แล้ว ก็บำเพ็ญอธิษฐาน ๔ คือ
สัจจาธิษฐาน 
จาคาธิษฐาน อุปสมาธิษฐาน และปัญญาธิษฐา
สัจจบารมี อธิษฐานบารมี และวิริยบารมี ทำให้ สัจจาธิษฐานสมบูรณ์
ทานบารมี สีลบารมี เนกขัมมบารมี ทำให้ จาคาธิษฐานสมบูรณ์
ขันติบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ทำให้ อุปสมาธิษฐานสมบูรณ์
ปัญญาบารมี ทำให้ ปัญญาธิษฐานสมบูรณ์

พระโพธิสัตว์เมื่อได้แผ่เมตตาและบำเพ็ญบารมี ๑๐ แล้ว ชื่อว่าบำเพ็ญอธิษฐาน ๔ และบรรลุธรรม๒ อย่าง คือ
สมถะและวิปัสสนา ในที่นี้ สัจจาธิษฐาน จาคาธิษฐาน และอุปสมาธิษฐานทำให้สมถะสมบูรณ์
ปัญญาธิษฐานทำให้วิปัสสนาสมบูรณ์ เพราะความสมบูรณ์แห่งสมถะ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจึงบรรลุฌานและยึดมั่นการหลีกออกจากกาม(เนกขัมมบารมี) และมีจิตตั้งมั่นทำให้เกิดสมาธิเพื่อการแสดงยมกปาฏิหาริย์ และมหากรุณาสมาบัติ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นบรรลุวิปัสสนา ประกอบด้วยอภิญญา ปฏิสัมภิทา พละ เวสารัชชะ หลังจากนั้นท่านเหล่านั้นก็ทำปกติญาณและสัพพัญญุตญาณให้เกิดขึ้น พระโพธิสัตว์แผ่เมตตาและบรรลุความเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตามลำดับอย่างนี้

จบ อัปปมัญญา ๔