วันศุกร์

อัตตา กับ มานะ

อัตตา กับ มานะ

ปัจจุบันนี้ ได้มีความสับสนเกิดขึ้นบ้างในการใช้คำศัพท์ที่มีความหมายเกี่ยวกับเรื่องตัวตน และการยึดถือตัวตน ซึ่งเห็นว่าควรจะนำมาชี้แจงเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดแทรกไว้ ณ ที่นี้ด้วย คำที่เป็นปัญหาในกรณีนี้ คือ “อัตตา" เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น “อาตมัน” แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น หรือตั้งขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ อัตตานี้จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่ารู้ไม่เท่าทันความเป็นจริง หรือหลงสมมติ

ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีอัตตาที่ใครจะละได้ อัตตามีอยู่แต่เพียงในความยึดถือ สิ่งที่จะต้องทำก็มีเพียงการรู้เท่าทันตามเป็นจริงว่า ไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้นเรื่องอัตตาและการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

อย่างไรก็ดี ในสุตตนิบาตที่ได้ยกมาอ้างในข้อก่อน ท่านใช้คำว่า อัตตา คู่กับ นิรัตตา (หรือ อัตตังคู่กับ นิรัตตัง) และได้ขยายความหมายของ “อัตตา" ในกรณีนี้ออกไปว่า หมายถึงการยึดถือในอัตตา หรือการยึดถือว่ามีอัตตา และอีกนัยหนึ่งว่า สิ่งที่ยึดถือไว้ คู่กับ “นิรัตตา” ซึ่งหมายถึงการยึดถือว่าไม่มีอัตตา หรือการถือว่าอัตตาขาดสูญไป และอีกนัยหนึ่งว่า สิ่งที่จะต้องปล่อยละ ความหมายของอัตตาในกรณีนี้ เป็นความหมายแบบขยายตัวเป็นศัพท์ คือ มุ่งเน้นที่ ทิฏฐิ อันได้แก่ความเชื่อถือหรือความยึดถือในอัตตา ที่เรียกว่า อัตตทิฏฐิ หรือ อัตตานุทิฏฐิ ซึ่งก็คือความเชื่อว่ามีตัวตนที่เป็นแก่นเป็นแกนถาวร ที่เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ ดังนั้น ในคัมภีร์มหานิทเทสและจูฬนิทเทส ที่อธิบายสุตตนิบาตตอนที่อ้างนั้น จึงไขความคำ “อัตตา” หรือ “อัตดัง” ว่าได้แก่ อัตตทิฏฐิ หรือ สัสสตทิฏฐิ ในเมื่ออัตตาในกรณีนี้หมายถึงตัวทิฏฐิ ซึ่งเป็นกิเลส (คือ ทิฏฐิต่ออัตตา หรือทิฏฐิว่ามีอัตตา) จึงเป็นสิ่งที่ต้องละ ฉะนั้น ในสุตตนิบาตนั้น จึงมีข้อความบาลีกล่าวถึงการละอัตตาว่า “ผู้ละอัตตา (อตฺตญชโห) บ้าง “ละอัตตา (คืออัตตทิฏฐีหรือสัสสตทิฏฐิ) ได้แล้ว (อตตํ ปหาย) บ้าง 

ยังมีการถือเกี่ยวกับตัวตนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการถืออย่างทิฏฐิ กล่าวคือ ทิฏฐินั้นเป็นการถือว่ามีตัวตนหรือเป็นตัวตน เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวตน เห็นว่าตัวตนเป็นของถาวร เป็นต้น ส่วนการถือเกี่ยวกับตัวตนอีกอย่างหนึ่งนั้น เป็นการถือสำคัญ หมายความว่า ถือเทียบเคียงระหว่างตัวเองกับตัวอื่น ถือเอาไว้วัดไว้แข่งกัน ถือสูงต่ำ ถือตัวตนในลักษณะที่จะเอาตัวตนนั้นไปเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นว่า ฉันเป็นนี่ ฉันแค่นี้ ฉันสูงกว่า ฉันต่ำกว่า เราต้อยกว่า เราเท่ากับเขา เป็นต้น การถืออย่างนี้มีชื่อเฉพาะเรียกว่า มานะ แปลว่า ความถือตัว ความทะนงตน ความสำคัญตนว่าสูง ต่ำ เด่น ต้อย เท่าเทียม เทียบเขาเทียบเรา ตลอดจนความรู้สึกภูมิๆ พองๆ ถือตัวอยู่ภายใน มานะนี้เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับทิฏฐิ จึงเป็นสิ่งที่ต้องละหรือต้องกำจัดเสีย

ในปัจจุบัน ได้เริ่มมีความนิยมขึ้นบ้างในบางท่านหรือบางหมู่ที่จะใช้ “อัตตา” ในความหมายของมานะ อย่างนี้ เช่นว่า คนนั้นมีอัตตามาก อัตตาเขาใหญ่ อย่าเอาอัตตามาว่ากัน อย่าให้อัตตาแรงนัก ดังนี้เป็นต้นพึงตระหนักว่า การใช้ "อัตตา” ในความหมายอย่างนี้ เป็นเพียงความนิยมเท่านั้น แต่ไม่ถูก คำที่ถูกต้องสำหรับกรณีนี้คือ “มานะ” ซึ่งเป็นกิเลสตัวการที่ทำให้ไม่ฟังกัน ไม่ลงกัน ไม่ยอมกัน ทำให้แข่งให้อวด ตลอดจนกดข่มกัน อนึ่ง พึงสังเกตด้วยว่า แม้แต่การถือตัวว่าเท่ากับเขา ก็เป็นมานะ เป็นกิเลส เช่นเดียวกับการถือว่าสูงกว่าเหนือกว่าเขา หรือต่ำกว่า ด้อยกว่าเขา เพราะตราบใดที่ยังเป็นการถือ ตราบนั้นก็ยังเป็นการเทียบตัว และการกดบีบหรือเบ่งพองของจิต ซึ่งอาจไม่ตรงเท่ากับความเป็นจริง หรือเอาความจริงมาเป็นฐานก่อความกำเริบกดบีบเบ่งพองจิตจึงยังเป็นภาวะไม่อิสระ ไม่ปลอดโปร่งผ่องใส การที่จะไม่ให้เป็นมานะ ไม่ให้เป็นกิเลส ก็คือการรู้ตามที่เป็นจริง ไม่ว่าจะรู้ว่าสูง ต่ำ หรือเท่ากันก็ตาม ถ้าเป็นการเข้าถึงความรู้และเป็นเพียงแค่รู้ ก็ไม่เป็นมานะ ไม่เป็นกิเลส

ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า “อัตตา” และ “มานะ” เป็นคำศัพท์เกี่ยวกับตัวตน และการยึดถือตัวตน ๒ คำ ที่เข้ามาในภาษาไทยแล้ว มีความหมายเพี้ยนไป และสับสนกัน สันนิษฐานได้ว่า ตอนแรก มานะถูกใช้เพี้ยนไปก่อน คือ มานะ แทนที่จะหมายถึงการถือตัวถือตน คนไทยใช้กันไปมา กลายเป็นหมายถึงความพากเพียร เมื่อมานะมีความหมายเพี้ยนเป็นความเพียรไปเสียแล้ว ต่อมา คนไทยจะพูดถึงความยึดถือตัวตน หรือความถือตัวถือตนนั้นก็ต้องหาคำอื่นมาใช้ เห็นคำว่า “อัตตา” มีความหมายใกล้กัน ก็เลยเอาคำว่าอัตตามาใช้ในความหมายของมานะ ทำให้ทั้งมานะและอัตตามีความหมายคลาดเคลื่อนไปทั้งสองคำ และแถมยังทำให้สับสนกันเสียอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องของภาษานี้ เมื่อคนหมู่ใหญ่นิยมใช้กันไปกว้างขวางยาวนานแล้ว ก็แก้ไขได้ยาก มักจะต้องปล่อยไป ยอมให้เป็นความหมายที่งอกไปอีกแง่หนึ่ง แต่สำหรับผู้ศึกษา เป็นเรื่องที่จะต้องรู้เท่าทันและใช้ด้วยความระมัดระวังโดยไม่ประมาท เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมาศึกษาธรรม จะให้เข้าใจถึงสภาวะ ก็ต้องรู้ให้ถึงความหมายแท้ที่ถูกต้องชัดเจน

ใจความของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า อัตตา เป็นปัญหาของปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ ว่าจริงหรือเท็จ มีจริงหรือไม่ เป็นเรื่องของสภาวะหรือสภาพความเป็นจริงที่จะต้องรู้เข้าใจด้วยปัญญา ถ้ารู้ไม่ถึงสภาวะที่แท้ ก็เกิดความเข้าใจผิด เห็นผิดว่ามีตัวมีตน มีอัตตาจริงๆ ก็เป็นทิฏฐิขึ้นมา จึงว่าเป็นปัญหาของปัญญา คือจะต้องแก้ด้วยปัญญา หน้าที่ของเราก็เพียงแค่รู้เข้าใจ หรือรู้ความจริง พอเกิดปัญญารู้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า อัตตาไม่มีจริง มีแค่สมมติกัน สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่มีไม่เป็นอัตตา เท่านั้นเรื่องก็จบ

ส่วน มานะ เป็นปัญหาของจิตใจ เป็นเรื่องของความรู้สึก แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ดี (เรียกว่ากิเลส) เป็นอาการของจิตที่มุ่งจะถือให้ตัวสำคัญ จะยกตัวขึ้น จะกดเขาลง มัวหมอง กดดัน หนัก เครียด ขัดแย้ง แบ่งแยก เบียดเบ่ง ให้ตัวป่อง ให้ตัวพองโต ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่เบาสบาย เป็นอาการของจิตที่จะต้องแก้ไขไถ่ถอน หน้าที่ของเราคือฝึกจิตพัฒนาใจ พยายามเลิกละ กำจัดมันเสีย และหัดเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน อ่อนน้อม ถ่อมตน รู้จักให้เกียรติ ให้โอกาส ให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น เป็นต้น

พูดให้ง่ายว่า มานะเป็นปัญหาด้านจริยธรรม เพื่อไม่ให้ปล่อยใจไปตามกิเลส ก็สอนว่า ไม่ควรถือตัวถือตนส่วนอัตตาเป็นปัญหาด้านสัจธรรม ที่แก้ไขด้วยการที่ปัญญารู้ความจริงว่า ไม่มีตัวตนที่จะถือแล้วในขั้นสุดท้าย ทั้งสองอย่างนี้ก็มาบรรจบกัน คือ การรู้เข้าใจอนัตตา ทำให้ละมานะไปเอง เมื่อรู้เข้าใจว่าไม่มีอัตตา ไม่ยึดเอาอะไรเป็นอัตตาแล้ว ความยึดถืออัตตาหายไป มานะก็หมดไป เมื่อเกิดปัญญารู้เข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายไม่เป็นตัวตน มองเห็นความไม่เป็นตัวตน (เห็นอนัตตา) แล้ว ปัญญาก็ปลดปล่อยจิตใจให้หมดความถือตัวถือตน ไม่ทะนงตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ลำพองตน เลิกสำคัญตนว่าสูงต่ำ ยิ่งใหญ่เป็นต้น (หมดมานะ)ดังพุทธพจน์ว่า

"ผู้หมายรู้ในสิ่งทั้งหลายว่าเป็นอนัตตา จะลุถึงภาวะที่ถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะ
(ความถือพองว่าเป็นตัวกู) เป็นนิพพานในปัจจุบันที่เดียว"

🔅 บทที่ ๓ ไตรลักษณ์
คำอธิบายไตรลักษณ์ตามหลักวิชาในคัมภีร์
๑. ความเข้าใจเกี่ยวกับศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
วิเคราะห์ความหมายของไตรลักษณ์
                พิเศษ: ทุกข์ในอริยสัจ แยกให้ชัด จากทุกข์ในไตรลักษณ์
                    (ก) หมวดใหญ่ของทุกข์ 
                ชุดที่ ๑ ทุกข์ ๑๒
                ชุดที่ ๒ ทุกข์ ๒
                ชุดที่ ๓ ทุกข์ ๒
                ก) ขอบเขตความหมาย
                ข) ความหมายพื้นฐาน
                ค) ความหมายที่ไม่ต้องอธิบาย
                ง) ความหมายที่อธิบายทั่วไป
                อัตตา กับ มานะ
        คุณค่าทางจริยธรรม
            จ. คุณค่าทางจริยธรรมของไตรลักษณ์ตามลำดับข้อ
                ๑. อนิจจตา
                ๒. ทุกขตา
                ๓. อนัตตตา





วันพฤหัสบดี

สวรรค์อยู่ที่ไหน

ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ออกจะเป็นปัญหาที่คนทั่วไป ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้ในอนาคตพากันสนใจ เพราะว่ามนุษย์เรามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ถ้าหากว่าขาดความหวังเสียอย่างเดียวแล้ว รสชาติของความเป็นมนุษย์ก็หมดไปด้วย แต่ทว่า มนุษย์เราก็มีอายุขัยจำกัด เพราะฉะนั้นความสุขความทุกข์ที่ได้รับอยู่ในชีวิตชั่วอายุขัยหนึ่งนั้น จึงไม่เพียงพอกับความหวังของมนุษย์เรา เรื่องปรโลก จึงเป็นปัญหาสำคัญที่มนุษย์ถูกใจ เพราะเท่ากับเป็นการต่ออายุความหวังของมนุษย์เราให้ไพบูลย์ยิ่งขึ้น ถ้าสมมติว่า ในชาตินี้เราหวังสิ่งใดไม่สมปรารถนา เรายังหวังไว้ว่าในชาติหน้า เราจะได้สิ่งนั้นดังนึก เรื่องของปรโลกซึ่งเกี่ยวโยงมาถึงเรื่องนรกสวรรค์ก็กลายเป็นปัญหาที่ทุกผู้นามสนใจ ศาสนาและลัทธิปรัชญาต่าง ๆ เกิดขึ้นก็เพื่อที่จะแก้ข้อข้องใจของมนุษย์ในปัญหาเหล่านี้ด้วย ประการหนึ่ง แต่ว่าเฉพาะในทรรศนะพระพุทธศาสนาเรา สวรรค์นรกคืออะไรอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ ได้ตรัสแสดงนัยไว้อย่างไร ข้อนี้เราน่าจะพิจารณากันดู

ในสมัยพุทธกาลได้มีลัทธิปรัชญาบางสำนัก ซึ่งเรียกกันว่าเป็นลัทธิ “โลกายตะ” แปลว่าลัทธิที่ดำเนินไปตามโลก ลัทธิหนึ่ง กับลัทธิ “อุจเฉทวาทะ” คือลัทธิที่ว่าด้วยการขาดสูญอีกลัทธิหนึ่ง สองลัทธินี้ไม่ยอมรับเรื่องปรโลกว่าเป็นของมีอยู่จริง

ลัทธิโลกายตะ รับรองว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เนื้อหนังมังสัง การที่เราตามใจกิเลสได้เป็นดีที่สุด หาทางป้อนกิเลสมากเท่าไรเป็นสบายมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น ลัทธินี้จึงมีชื่อว่า “โลกายตะ” แปลว่าดำเนินไปตามโลก ลัทธินี้ไม่คำนึงถึงเรื่องปรโลกว่าสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าปัจจุบันทำอย่างไร เราถึงจะได้หาเนื้อหนังมังสังของเราให้สมบูรณ์
ลัทธิอุจเฉทวาท ลัทธินี้ก็ไม่คำนึงถึงปรโลกอีกเหมือนกัน เพราะไม่ยอมรับรองคุณค่าของศีลธรรมจริยธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นสองลัทธินี้ พระพุทธองค์จึงทรงประฌานไว้แล้วว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ใดที่เกิดมีทรรศนะพ้องกับสองลัทธินี้ ผู้นั้นห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานหมด แต่ว่าอีกลัทธิหนึ่งชื่อว่า

ลัทธิสัสสตทิฏฐิ ลัทธินี้ถือว่าวิญญาณเที่ยง ถ้าเกิดเป็นคนต้องเกิดเป็นคนกันตะพึด ไม่ว่ากี่หมื่นกี่โกฏิชาติ เกิดเป็นสัตว์ก็ต้องเป็นสัตว์กันตะพึด ไม่ว่ากี่หมื่นกี่โกฏิชาติ หรือถือว่าอัตตาเที่ยง แม้จะเปลี่ยนแปลงทางรูปกายเป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นอินทร์บ้าง เป็นพรหมบ้าง แต่ว่าคน ๆ นั้นแหละ อัตตาตัวนั้นแหละเป็นผู้ไปเกิดเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ลัทธิอย่างนี้เรียกว่า “สัสสตทิฏฐิ”

ลัทธินี้พระพุทธองค์เพียงตรัสว่า ห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามนิพพาน ไม่ห้ามสวรรค์ เพราะว่าอย่างน้อย เมื่อเราถือว่ามีอัตตา มีตัวตน เราก็รักนวลสงวนตัว อยากจะให้ตัวเองมีความสุข ไม่กล้าไปประกอบกรรมทำชั่ว มีความหวังว่าชาติหน้า จะได้รับผล ความสุขในการทำความดีของตนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป พวกนี้ยังมีความหวงแหนตัว ยังเห็นคุณค่าของจริยธรรม มีความรักตัวสงวนตัว เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงเพียงแต่ว่าห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามนิพพาน แต่ไม่ห้ามสวรรค์ ยังไปสวรรค์ได้

เฉพาะพวก “โลกกายตะ” กับพวก “อุจเฉททิฏฐิ” แล้วเป็นอันห้ามทั้งสวรรค์ มรรค ผล นิพพานไปหมดเลย มีทางเดียวที่จะบ่ายหน้าไปก็คือ โลกันตนรก ไปสู่อบายทางเดียว เมื่อแสดงมติเช่นนี้ ก็เป็นอันแสดงได้แล้วว่า พระพุทธศาสนาเราถือว่านรกสวรรค์มีจริง

ถ้านรกสวรรค์มีจริงจะพิสูจน์ให้คนปัจจุบันเรารู้เห็นเชื่อได้อย่างไรว่ามีจริง ?  
ข้อนี้แหละเป็นข้อสำคัญอย่างยิ่ง การพิสูจน์ว่านรกสวรรค์ในปัจจุบันนี้มีจริงนั้น ภาษาธรรมะจึงบัญญัติว่าตาเราเห็นได้คือสี ถ้าไม่มีสีเสียอย่างเดียว ตาเราเห็นไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่วัตถุสิ่งนั้นวางอยู่ต่อหน้า เราก็มองไม่เห็น ทีนี้สีอันนั้นภาษาธรรมะ เรียกว่าเป็นวรรณรูป-รูปายตนะอันเป็นวิสัยแห่งจักษุที่จะเข้าไปรับรู้นี้เป็นวรรณรูป แล้วธรรมดาสีนี้ทางวิทยาศาสตร์เขาว่าอย่างไง วิทยาศาสตร์บอกว่าสีที่แท้จริงไม่มีในโลกหรอก ที่เราเห็นว่ากุหลาบสีแดง มะลิสีขาว ที่เราเห็นสีต่าง ๆ แม้กระทั่งถึงสีสันต่าง ๆ ของเสื้อผ้า สีต่าง ๆ ในโลก ถ้าว่าโดยตามสัจจ์ตามจริงสีไม่มี มันมีแต่คลื่น วิทยาศาสตร์ว่าเป็นคลื่นแสงแล่นมากระทบแล้วแต่ช่วงของมัน คลื่นบางอย่างช่วงระยะยาวทำให้เป็นสีแดง คลื่นบางอย่างกระทบช่วงระยะสั้น เห็นเป็นสีเหลือง คลื่นบางอย่างมาในระยะเท่านั้นเท่านี้เห็นเป็นสีน้ำเงิน สีเขียว สีแสด

เพราะฉะนั้นคลื่นนี้แหละมากระทบแล้ว ที่พุทธศาสนาเราเรียกว่ารูป คำว่ารูปนี้ รูปธาตุในพระพุทธศาสนาไม่ใช่หมายความเป็นเพียงแต่วัตถุธรรมอย่างเดียว แม้พลังงาน แม้คลื่นแสง ก็เป็นรูป รูปธาตุหรือรูปายตนะด้วย อันนี้เราจะเห็นว่าความก้าวหน้าของธรรมะในพุทธศาสนาเราล้ำยุคกว่าวิทยาศาสตร์ เพราะว่าเป็นผลงานของสัพพัญญุตญาณ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ค้นคว้ามาก่อนหน้าวิทยาศาสตร์จะรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถึง ๒๔๐๐ กว่าปี อันเป็นพุทธคุณที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ก็เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่จะมากระทบเราทางตานั้นมันมาในรูปของคลื่นสั้นบ้าง คลื่นยาวบ้าง คลื่นช้าบ้าง คลื่นเร็วบ้าง อย่างนี้แล้ว คลื่นบางชนิดที่มันมีอยู่รอบตัวเรากระทบตาเราวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง แต่เราไม่เห็นก็มี คลื่นชนิดนั้นเรียกว่าอะไร คืออุลตราไวโอเลต แสงอุลตราไวโอเลต ภาษาวิทยาศาสตร์ว่ามีอยู่ในโลก เวลานี้ก็มีคลื่นชนิดนี้ สีชนิดนี้ แต่ตาเรามองไม่เห็นทั้ง ๆ ที่ตาเราไม่บอด มองจ้องมันก็ไม่เจอ แล้วเราจะปฏิเสธว่า คลื่นอุลตราไวโอเลตไม่มีได้ไหม ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อเรามองไม่เห็นแล้วปฏิเสธสิ่งนั้นว่าไม่มี ถ้าหากว่าเราอยากจะเห็นคลื่นอุลตราไวโอเลต เราก็ต้องมีเครื่องอุปกรณ์ช่วยทางจักษุสัมผัสของเราให้มีประสิทธิภาพสูง เราจึงสามารถจับแสงของคลื่นอุลตราไวโอเลตได้ฉันใด เราจะเห็นนรกสวรรค์ภูตผีปีศาจเทวดาได้ ก็ต้องสร้างประสาทพิเศษ สร้างอุปกรณ์พิเศษที่จะเป็นสื่อนำจักษุสัมผัสของเราไปประจวบกับรูปายตนะของเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์เหล่านี้ได้ฉันนั้นเหมือนกัน



เพราะฉะนั้นในประเด็นนี้เราก็หักได้ข้อหนึ่งว่า ข้อสมมติฐานของพวกที่ไม่เชื่อนรกสวรรค์ บอกว่านรกสวรรค์ถ้ามีฉันต้องเห็น เทวดาผีสางมีทำไมฉันมองไม่เห็นล่ะ ข้อนี้ก็เป็นอันพับผ่านไปได้แล้ว เถียงไม่ขึ้น เพราะว่าสิ่งที่ไม่เห็นน่ะเยอะแยะทั้งที่ตาเราไม่บอดแต่เราก็มองไม่เห็น นักวิทยาศาสตร์ที่เขามีความรู้ดี เขาจึงไม่กล้าค้านว่าสรรค์ไม่มี นรกไม่มี เขาไม่กล้าค้านหรอก อย่างมากเขาก็เพียงบอกว่า สวรรค์กับนรกน่ะ เป็นสิ่งซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ค้นคว้าไปไม่ถึง ตอบอย่างนี้เป็นการตอบอย่างไม่เสียภูมินักปราชญ์ พวกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ปลอมหรือวิทยาศาสตร์เทียม พวกนี้ต่างหากล่ะที่รีบตอบว่าไม่มี เพราะฉันไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นประเด็นแรก

ประเด็นที่สอง และถ้าอย่างนั้น ถ้าหากว่ายอมรับว่านรกสวรรค์มีล่ะ มันตั้งอยู่ที่ไหน ?
นรกสวรรค์มีมันจะไปตั้งอยู่ที่ไหน ความจริงภูมิของนรกสวรรค์นี้ ทางพุทธศาสนาเราแยกเป็น ๓ ประเด็นด้วยกันนะครับ ข้อต้นเมื่อมีคนมาถามพระพุทธองค์ว่า นรกสวรรค์มีไหม พระพุทธเจ้าจะพิจารณาว่า คนตั้งปัญหานี้ เขาถามด้วยความสงสัยอยากรู้จริง ๆ หรือถามเพื่อที่จะชวนวิวาท

ถ้าหากเป็นคำถามที่ตั้งขึ้นจะชวนวิวาทอย่างนี้แล้ว พระศาสดาไม่ทรงตอบ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสแล้วว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ที่เราประพฤตินี้ ไม่ใช่ประพฤติเพื่อจะหลอกลวง ไม่ใช่เพื่อจะตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิสำหรับแก้วาทะอย่างโน้น แก้วาทะอย่างนี้ โต้แย้งกัน เราประพฤติพรหมจรรย์อันนี้มิใช่เพื่อลาภสักการะ ชื่อเสียง ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่ที่แท้พรหมจรรย์นี้ตถาคตบัญญัติ และสั่งสอนพวกเธอก็ด้วยมีวิราคะเป็นแก่นสาร มีวิมุตติเป็นแก่นสาร มีนิโรธะ มีนิพพานเป็นแก่นสาร พระพุทธเจ้าพระองค์ประกาศเจตจำนงของศาสนาออกมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ถ้าหากว่าตั้งปัญหาประเด็น แบบชวนวิวาทแล้ว เป็นอันยกเลิกไม่ตอบหมดเลย

แต่ถ้าปัญหาประเด็นที่เรียกว่าอยากรู้จริงด้วยความสงสัยจริง ๆ อย่างนี้แล้วจะทรงตอบ แล้วก็ตอบออกเป็น ๓ นัย วิธีการตอบปัญหาแบ่งเป็น ๓ นัยนี่แหละ พระองค์ได้ตรัสบอกว่าภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นวิกขวาที หาใช่เอกังสวาทีไม่ ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นกรรมวาที เป็นวิรยวาที คือว่าเป็นผู้ที่กล่าวว่ามีกรรมมีความพากเพียรเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ แล้วก็เป็นผู้กล่าวจำแนกตามเหตุการณ์ อย่างประเด็นที่ถามว่านรกสวรรค์มีไหมอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงใช้วิภขพยากรณ์ คือว่า
        ๑ ต้องแบ่งว่านรกสวรรค์น่ะมี ทั้งที่เป็นปัจจุบันและที่เป็นสัมปรายภพ เฉพาะประเภทที่เป็นปัจจุบันน่ะยังแบ่งอีกเป็น ๒ คือ
                ประการที่ ๑. ได้แก่สวรรค์ในอกนรกในใจ ประเภทนี้พระองค์ทรงชี้นรกสวรรค์อยู่ที่อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไปเสพอารมณ์ชนิดใด อันเป็นที่ตั้งแห่งความสุขความโสมนัสปรีดา นั้นแหละเป็นสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าอารมณ์ที่มาให้เราเสพเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนาหรือโทมนัสเวทนาแล้ว อันนั้นเป็นนรก เพราะสวรรค์ก็ตาม นรกก็ตาม คุณสมบัติอยู่ที่ว่าความเพลิดเพลิน หรือความทุกข์เข็ญของอารมณ์ทางทวาร ๖ ใช่หรือไม่ เราตัดสินความสุขกับความทุกข์น่ะ ไม่ใช่ตัดสินที่วัตถุว่า ต้องตึกหลังใหญ่ ๆ ถึงจะเป็นความสุข มหาเศรษฐีที่อยู่ตึกหลังใหญ่ ๆ นอนก่ายหน้าผากลืมตาโพลงมีเยอะแยะไป เพราะฉะนั้นตึกใหญ่ ๆ นี่ก็ไม่ใช่ความสุขจริง ๆ มันเป็นอุปกรณ์ของความสุข แต่ก็ไม่ใช่ตัวความสุข เรากล่าวบอกว่าคุกตะรางเป็นความทุกข์มหันต์ แต่นักโทษที่เห็นคุกเป็นวิมานก็มี ถึงกำหนดปล่อยออกมาวันนี้แล้ว อ้อนวอนบอกว่าออกไปทำมาหากินลำบาก เดี๋ยวจะต้องไปแก่งแย่งเขากิน สมัครงานก็ยาก ยิ่งเขารู้ว่าเป็นคนขี้คุกขี้ตะรางอย่างนี้แล้ว ใครเขาอยากจะรับกัน ไม่อยากรับ ลูกเต้าก็ไม่มีแล้ว เมียก็ไปมีผัวใหม่แล้ว พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าเลยจะขอสมัครอยู่ในคุกกินข้าวหลวงฟรีเถอะ อยู่บ้านฟรี กินข้าวหลวงฟรี ใช้น้ำประปา ไฟฟ้าฟรี เสื้อผ้าก็หลวงก็แจกฟรี ขออยู่ที่นี่ต่อไปดีกว่า หลวงก็ไม่ยอม บอกไม่ได้ แกพ้นโทษแล้ว แทงบัญชีขาดแล้วออกไป อ้ายหมอนั่นพอออกจากคุก ก็รีบหาไม้ไปตีกบาลหัวคนเข้า เพื่อที่จะหาเหตุให้ตำรวจจับมาเข้าคุกใหม่ ตำรวจบอกว่า ทำไมเจ้าเพิ่งปล่อยเมื่อเช้านี้ บ่ายนี้เห็นหน้าบนโรงพักอีกแล้ว มันเรื่องอะไร นักโทษก็บอกว่า เรื่องมันมีอย่างนี้แหละหมู่ เพราะหตุที่ว่าการครองชีพก็ลำบาก เมียก็ไปมีครอบครัวใหม่แล้ว ไม่มีญาติโกญาติเกที่ไหนแล้ว เพราะฉะนั้นขอกลับคืนมาที่นี่ เมื่อไม่ให้อยู่กันดี ๆ ก็ต้องหาเหตุเป็นอาชญากรรมมาอยู่คุกต่อไปน่ะซี เพราะฉะนั้นความสุขความทุกข์ จึงไม่ใช่อยู่ที่อุปกรณ์แวดล้อม แต่หากว่าอยู่ที่อารมณ์ของจิตใช่หรือไม่ การตัดสินสวรรค์นรกก็เหมือนกัน อยู่ที่อารมณ์ ถ้าอารมณ์นั้นเป็นที่ตั้งแห่งความโสมนัส เราตัดสินได้ว่าผู้นั้นเสวยสวรรค์ ถ้าอารมณ์นั้นเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส เราตัดสินได้ว่าผู้นั้นตกนรก แม้จะอยู่ในเวียงวังปราสาทราชฐาน แต่ถ้ามีจิตรุ่นร้อนเหมือนอยู่ในไฟแล้วคนนั้นก็ตกนรกเหมือนกัน นี่เป็นประเภที่ ๑ ที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่า ได้แก่สวรรค์ในอกนรกในใจ คือบัญญัติ นรกสวรรค์ที่อายตนะ ๖ รับอารมณ์ ๖ อันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัสบ้าง โทมนัสบ้าง เป็นสวรรค์

             ประการที่ ๒ นรกสวรรค์ที่เป็นทิฏฐธรรมเวทนียะ อีกอย่างหนึ่ง ก็ทรงชี้ไปที่ชีวิตความเป็นอยู่ภายนอกของบุคคลต่าง ๆ ในสังคม เช่นว่าพระมหากษัตริย์ เราก็เรียกว่าเป็นเทวดา เป็นสมมติเทพ พระมหากษัตริย์ เจ้านายในราชวงศ์ เราก็ถือว่าเป็นสมมติเทพ เพราะมีความสุข ความเป็นอยู่ อุปกรณ์ภายนอกประณีตกว่าชาวบ้านธรรมดาสามัญชนคนที่เป็นทุกขตะเข็ญใจ เป็นง่อยเปลี้ยเสียขาพิกลพิการวิปริตต่าง ๆ ลำบากลำบนทรมานอยู่ เราก็เรียกกันว่าเป็นนรก เป็นสัตว์นรก เสวยทุกข์ในนรก อย่างนี้เป็นการชี้สวรรค์นรกในทางวัตถุธรรมภายข้างนอก

ชีวิตในสังคมที่เราประสบกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะฉะนั้นนรกสวรรค์ ๒ ประเด็นนี้ก็ได้แก่ นรกสวรรค์ที่เราอาจจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อในปัจจุบันทิฏฐธรรมเวทนียะนี้แหละ คราวนี้มาถึงนรกสวรรค์อันเป็นปรโลภที่เราจะมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น แปลว่าจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาติหน้าจริง ๆ แล้ว สวรรค์นรกประเภทนี้ เป็นประเภทที่สำคัญมาก เพราะจะต้องอาศัยกรณีแวดล้อมพิสูจน์ต่าง ๆ ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนนะ ทุกวันนี้ความรู้ทางอวกาศเจริญมากแล้ว บางคนก็บอกว่า เอ ขี่จรวดขี่เครื่องบินไม่เห็นเจอ ไม่เห็นชมวิมานเทวดาเสียที ก็เคยดูในภาพเขียนตามศาลาตามโบสถ์ตามวิหารเขียนว่าวิมานเทวดาอยู่บนก้อนเมฆ คราวนี้เครื่องบินที่เร็วกว่าเสียง บินเหนือก้อนเมฆ มิหนำซ้ำยังมีจรวดบินพ้นโลกตั้งระยะตั้งเป็นร้อย ๆ ไมล์ ก็ไม่เห็นวิมานเทวดาไปอยู่ที่ไหน คนโบราณหลอกเอาเสียละมัง ว่าสวรรค์นรกมีจริงน่ะ ถ้าเราจะไปวิมานเทวดาในก้อนเมฆรับรองผิดหวัง ๑๐๐% เพราะเรื่องวิมานเทวดา บนก้อนเมฆน่ะเป็นเรื่องของจิตกรเขา เขาเขียนด้วยมโนภาพ ความจริงสวรรค์นรกไม่ได้ตั้งอยู่บนก้อนเมฆหรอก สวรค์เป็นโลกธาตุโลกหนึ่ง เป็นดาวดวงหนึ่งคล้าย ๆ โลกเรานี่ โลกเราก็เป็นดาวหนึ่ง เรียกว่าเป็นท่อนหนึ่งของราหู วิชาโหราศาสตร์เขาแบ่งดาวใหญ่ ๆ เป็นนพเคราะห์ ๙ โลกราหูถูกตัดเป็นสองท่อน โลกเรานี่เป็นหางราหูนะ ท่อนตัวท่อนหัวราหูออกไปเป็นอีกโลกหนึ่ง ท่อนหางคือโลกที่เราอยู่นี้ เพราะฉะนั้นดาวราหู วิชาโหราศาสตร์เขาทายบอกว่า ถ้าจะทายมัวเมาให้ดูราหู ราหูเสวยอายุเป็นกาลี คนนั้นแปลว่าอยู่ในความหลง จิตใจมัวเมาขุ่นข้อง ไม่มีความสว่างแจ่มใสเลย ถ้าใครราหูเป็นอายุกุมลัคนาอีก คนนั้นก็แย่ มืดเมามัว มีโมหคติมาก อย่างนี้เป็นต้น เพราะถ้าเผอิญใครว่าราหูเล็งอายุ เล็งลัคนา เล็งจันทร์ อย่างนี้ต้องให้ทายบอกว่า คนนั้นสายตาไม่ดี อาจจะเป็นโรคในจักษุ หรืออะไรต่าง ๆ ก็ว่ากันตามตำราโหราศาสตร์ แต่เอาความว่าโลกเรานี้เป็นท่อนหางราหู เพราะฉะนั้น สัตว์โลกที่เกิดมาในโลกนี้จึงหลงมัวเมาด้วยโลภมาก โหราศาสตร์เขาว่าอย่างนั้น 

แต่มันก็ปรับความจริงกับดาราศาสตร์ว่า โลกเรานี้เป็นสะเก็ดของดาวนพเคราะห์ดวงมหึมา แตกแยกออกมา และนอกจากโลกเราแล้วยังมีดาวพระเคราะห์อื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกับโลกเรา ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง นับไม่ถ้วนดวง ไม่เชื่อตอนกลางคืนเราก็แหงนคอมองบนท้องฟ้าดูซิจริงไหม ใครสามารถนับดวงดาวบนท้องฟ้าได้ว่ามีกี่ดวง รับรองไม่มีใครนับได้ ความจริงมันมีมากกว่าที่เราเห็นเสียอีก ที่เราเห็นแสงดาวนั้น ดวงดาวดวงหนึ่งกว่าจะส่งรัศมีมาให้เราเห็นน่ะต้องเดินทางเป็นล้าน ๆ ๆ ปีแสง หนึ่งวินาทีต่อความเร็วของแสงเดินนะ เดินหนึ่งวินาทีต่อสองแสนไมล์ แสงมันเดินเร็วอย่างนี้ ไม่มีอะไรจะเดินเร็วเท่าแสง แสงเดินเร็วยิ่งกว่าเสียงอีก เสียงยังเดินช้ากว่าแสงตามวิชาวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นหนึ่งวินาทีน่ะแสงเดินถึง ๒ แสนไมล์ เราเห็นดวงดาวดวงหนึ่งเห็นว่ามันระยิบระยับ ท่านทั้งหลายทราบหรือไม่ว่าการที่แสงของดวงดาวนั้นมาสัมผัสกับจักษุประสาทของเรานี้ มันเดินทางล้าน ๆๆ โกฏิปีของแสงถึงจะมาถึง แต่ถึงกระนั้น เราเองก็แหงนคอทีไรก็เห็นมันระยิบระยับทุกทีในเวลากลางคืนทุกทีเลย หารู้ไม่ว่า นั่นแหละกว่าจะมาเข้าสัมผัสกับจักษุเราน่ะเป็นโกฏิ ๆ ล้านปีแสงแล้ว เพราะฉะนั้นอันนั้นก็จักรวาลในสุริยะระบบต่าง ๆ จึงรูปมีเอนกอนันตัง ซึ่งทางวิชาอวกาศและดาราศาสตร์ได้พิสูจน์ไว้แล้ว ในข้อนี้ หากจะปรับสมมติเข้าเทียบเคียงพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาเราก็ก้าวไปลิบลับ

พระพุทธเจ้าได้ทรงมีความรู้ในห้วงอวกาศก่อนหน้านักวิทยศาสตร์ถึงสองพันกว่าปี ตรัสว่ามีจุลหัสสีโลกธาตุ มหาสหัสสี ติสหัสสี โลกธาตุ โลกธาตุน้อยหนึ่งพัน โลกธาตุใหญ่โลกธาตุน้อยอีกสามพัน แล้วก็ยังมีอีก ใช้คำว่าแสนโกฏิจักรวาลอีก คำว่าแสนโกฏิจักรวาลนี่ แปลว่าพระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วว่ามีดวงดาวต่าง ๆ เป็นโลกธาตุมากมายในอวกาศนี้นับไม่ถ้วน ก็เมื่อโลกเรายังมีมนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ ทำไมโลกอื่นซึ่งเขามีสิ่งแวดล้อมบางอย่างอาจจะคล้ายคลึงกับโลกเราจะมีสิ่งมีชีวิตบ้างไม่ได้เล่า เพราะฉะนั้นในข้อนี้ ความเจริญของอวกาศกลับมาพิสูจน์ถึงเรื่องนรกสวรรค์ว่า นรกสวรรค์ที่เป็นภูมิเป็นโลกสัณฐานต่างจากโลกเรานี้มีจริง ไม่ใช่เรื่องโกหกมดเท็จ แต่ว่าไม่ใช่ตั้งอยู่บนก้อนเมฆ เพราะก้อนเมฆเป็นเรื่องใกล้ ๆ ไม่ใช่เรื่องไกลอะไร ก้อนเมฆที่เราเห็นทุกชั้นนี้ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้านี่นะเป็นเรื่องใกล้ ๆ ระยะทางเหนือจากโลกเราไม่กี่สิบกิโลเมตร ก็ถึงก้อนเมฆแล้ว ขี่เครื่องบินยังเหนือเมฆเสียกว่าอีก บางทีเราขึ้นไปบนยอดเขาสูง ๆ ก้อนเมฆยังลอยต่ำกว่ายอดเขาเสียอีก ไม่เชื่อลองขึ้นไปบนภูพานหรือภูกระดึงดูซิ ก้อนเมฆลอยต่ำกว่ายอดเขา เวลามีพยับพโยมเมฆฝนตกนี้ ก้อนเมฆพยับพโยมน่ะลอยต่ำกว่าที่เราเหยียบ เพราะฉะนั้นเราจะไปหาวิมานบนก้อนเมฆน่ะ ไม่เจอแน่ อยากจะเจอวิมานเทวดาต้องไปหาบนดวงดาวอีกโลกหนึ่ง แต่จะไปอย่างไรล่ะ เวลานี้ไม่ใช่ว่าจรวดยังไปไม่ถึง แค่ดาวพระจันทร์คนก็ยังไปไม่ถึงเลยนี่ แล้วก็อะไรที่จะรับประกันได้ว่า ในดาวพระจันทร์จะมีวิมาน

สมมติว่าอเมริกาสามารถผลิตจรวดเอาคนออกนอกโลกไปลงดวงจันทร์ได้ในอีกห้าปีข้างหน้า ตามที่นักวิทยาศาสตร์อเมริกาคาดพยากรณ์ไว้ สมมติว่าอย่างนั้น คราวนี้ถ้าเราจะขี่จรวดจากดวงจันทร์ เอาดวงจันทร์เป็นสถานีกลาง จะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ละ ไปค้นคว้าว่าเมืองสวรรค์น่ะมีอยู่ในดวงนพเคราะห์ดวงไหน ขี่ไป เราตายเปล่า จรวดไปไม่ถึง เราตายในกลางจรวดแล้ว เพราะอายุขัยมนุษย์มีจำกัด คนอย่างมากอยู่ ๑๒๐ ตาย เป็นอายุกัปปะ ในสัตว์ ในภัทรกัปนี้ อายุสัตว์ในศาสนาพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันนี้ ๑๒๐ ปี เรียกว่าอายุยืนที่สุดแล้ว เป็นกำหนดเป็นอายุขัย ของกัลป์ ของมนุษย์ในกัลป์นี้ เรียกว่า อายุขัยของมนุษย์ คราวนี้โลกสวรรค์ต่างจากโลกมนุษย์ เราเปรียบว่าห่างกันล้านล้านไมล์เถอะนะ เราขี่จรวดวิ่งไป เหาะไป จรวดสมมติว่า วินาทีหนึ่งมีความเร็วประมาณร้อยไมล์ เราไปตายกลางทางแล้ว แก่หง่อมตายไปเลย ถ้าจะไปถึงก็จะมีแต่จรวดเปล่า เราไม่ได้ตามจรวดไปด้วย มีแต่ศพติดไป อาจจะเหลือแต่โครงกระดูกกองหนึ่งอยู่ในจรวดก็ได้ ไปถึงเมืองสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้นการจะไปเมืองสวรรค์ด้วยการขี่จรวดน่ะ รับรองว่าไม่ทางสำเร็จ เพราะว่าเมืองสวรรค์อยู่ห่างจากโลกมนุษย์นี้หลายล้านหลายโกฏิพันล้านไมล์ อย่างที่ว่ามานี้แหละว่า ถ้าไปทางกายไม่ได้ ไปได้ทางเดียว คือทางใจ ทางใจนี่แหละ เพราะว่าใจนั้นไม่ได้ถูกอำนาจขอบเทศะจำกัด เทศะจำกัดใจเราไม่ได้ แต่ว่าใจเองก็ถูกอำนาจกาละจำกัด ถ้าใจไม่ถูกอำนาจกาละจำกัดแล้ว ใจก็เป็นอมตะเป็นนิพพานน่ะซิ ใจยังเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ มีอุปปาทะ ฐิติภังคะ เพราะฉะนั้นใจจึงเป็นทาสของกาละแต่ไม่เป็นทาสของเทศะ สมมติว่า เรานั่งที่นี่ เราจะคิดถึงจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดเชียงใหม่ เมืองนอกเมืองนาที่เราเคยไป เราไม่ต้องเอาใจไปขี่จรวดขี่เครื่องบิน นั่งที่นี่คิดปับก็ถึงปุ๊บนี่แสดงว่าใจเราน่ะ ไม่ถูกเทศะจำกัดเลย ไปคล่อง ไปรวดเร็ว มาเร็วทีเดียว พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ลหุปริวตฺตํ จิตฺตํ จิตนี้นะเป็นไปอย่างรวดเร็วเชียว ชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ถึง นี่แสดงว่ามันไม่ถูกจำกัดด้วยเทศะ คราวนี้ถ้าหากว่ากาย กายเราจำกัดด้วย เทศะ เรานั่งเก้าอี้ตัวนี้ใครจะมานั่งซ้อนเราไม่ได้ จะมานั่งตรงที่เรานั่งไม่ได้ นอกจากนั่งซ้อนบนตักเราน่ะซิ นั่งได้ แต่จะมานั่งตรงที่เรานั่งสัมผัสอยู่แล้วไม่ได้ นี่แปลว่า กายน่ะมันเทอะทะ มันจำกัด มันเกะกะรุงรัง เป็นของหนัก แต่ไอ้ใจนี่น่ะคนร้อยคน พันคน พุ่งใจไปในจุดเดียวกันไม่เกะกะ ไม่เชื่อท่านทั้งหลายลองส่งกระแสจิตไปที่พระพุทธรูปองค์นี้ซิ จะเห็นว่าไม่มีเนื้อที่เกะกะใจเราเลย ไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันกี่แสนโกฏิดวง ส่งกระแสจิตพุ่งมาที่พระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านรับกระแสจิตทุกคนไว้หมด ถ้าหากว่าคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปจะไปนั่งเก้าอื้ตัวเดียวกัน นั่งกันไม่ได้แล้ว เกะกะแล้ว ต้องนั่งซ้อนบนตักแล้ว จะมานั่งบนที่เขานั่งก่อนไม่ได้แล้ว นี่แหละจึงแสดงให้เห็นว่า ใจนี้ไม่มีอำนาจเทศะจำกัด แต่ว่าถูกจำกัดด้วยกาละ

เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยากจะไปสวรรค์ทางกาย ไม่มีทาง เพราะจะต้องไปตายกลางทางไปไม่ถึงหรอก มันไกล ก็ไปได้ทางเดียวคือทางใจ ทางใจจะไปอย่างไรล่ะ ก็ต้องใช้เครื่องอุปกรณ์เหมือนหนึ่งเราจะขึ้นเครื่องบิน ก็ต้องอาศัยเครื่องบินเป็นอุปกรณ์ เครื่องบินก็ต้องอาศัยนักบิน อาศัยน้ำมันเป็นอุปกรณ์ มันถึงบินได้ ไม่ใช่ว่ามีเครื่องบินเปล่า ๆ แล้วเราจะบินได้เมื่อไรเล่า เราขับเครื่องบินก็ไม่เป็น ขับเครื่องบินเป็นไม่มีน้ำมัน เครื่องบินมันก็ไม่บินให้ เพราะฉะนั้นการไปเที่ยวโลกสวรรค์ก็เหมือนกัน ต้องมีอุปกรณ์ นอกจากมีใจแล้วต้องอุปกรณ์ของใจสำหรับพาเราไปเที่ยว อุปกรณ์ในที่นี้ก็คือว่า การฝึกจิตตามวิธีของฌาน เราฝึกจิตตามวิธีของฌานจนกระทั่งเกิดอภิญญา เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เรื่องของฌานเป็นเรื่องของจิตกรีฑา คือเป็นกีฬาเครื่องเล่นของจิตเหมือนกับ เรามองดูเขาเล่นกรีฑาทางโลก บางคนก็กระโดดสูงตั้งสองสามเมตร เรากระโดดได้ไหม ให้เรากระโดดสูงตัง ๒ - ๓ เมตร เรากระโดดได้ไหม เรากระโดดไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ฝึกใช่ไหม บางคนว่ายน้ำ ว่ายเร็ว เพียง ๕ นาทีนี่ มีความเร็วเป็นระยะตั้ง ๕ เส้น ๖ เส้น นี่ถ้าเรามาว่ายบ้าง เราไปไม่ไหว เพราะเราไม่ใช่นักกีฬาว่ายน้ำนี่ บางคนขว้างจานได้ไปที่ตั้งไกล ๆ ขว้างตั้งห่างกันตั้ง ๒ เส้น ๓ เส้น เราขว้างเองไม่ถึง แค่เส้นหนึ่งก็ไม่ถึงแล้วสุดกำลังของเรา เพราะอะไร เราไม่ใช่นักขว้างจาน เราไม่ได้ฝึกในทางขว้างจาน บางคนวิ่ง วิ่งทน วิ่งมาราธอน เขาอาจจะวิ่งรอบสนามหลวงตั้งสามรอบ ของเราล่ะ แค่ครึ่งรอบก็แย่แล้ว อย่าว่าแต่สามรอบเลยไปไม่ไหว บางคนไต่เส้นลวดเท่านิ้วหัวแม่มือ เขาเดินสองขาไต่สบายข้ามตึกหลังหนึ่งไปยังตึกอีกหลังหนึ่ง ตึกสูงลิ่ว ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น เอาเส้นลวดขึงจากตึกฟากนี้ไปตึกฟากโน้น แล้วก็เดินไต่ไป มิหนำซ้ำก็ยังปล่อยมืออีก ไม่มีเครื่องอุปกรณ์ ทำไมเขาไม่พลัดตกลงมา เราเองเดินท้องร่องสวน ต้นหมากต้นหนึ่งยังตกโครมลงไปในท้องร่อง ทำไมเป็นอย่างนั้น นี่แสดงว่าเป็นเพราะการฝึก คนฝึกกับคนไม่ฝึก มันมีความสามารถต่างกันฉันใด ผู้ที่ฝึกจิตเล่นจิตกรีฑาบ่อย ๆ จนกระทั่งมีวสีความเชี่ยวชาญในฌานมาก ๆ แล้ว ผู้นั้นก็อาจจะทำสิ่งซึ่งคนธรรมดาทำไม่ได้ มองเห็นเป็นเรื่องเหลือวิสัยไป คือว่ามีทิพยจักษุ มีทิพยโสต อาจจะติดต่อโลกทิพย์กายทิพย์ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราจงมีความไว้วางใจเถิดว่า สวรรค์มีจริงแน่ ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญเท่าไร ก็ยิ่งพิสูจน์ความจริงว่า สวรรค์มีไม่ใช่ว่าไม่มี

ก็เมื่อสวรรค์มีจริงแล้ว สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ คือนรก ทำไมจักมีไม่ได้ นรกก็คือโลกหนึ่งเหมือนกัน อีกดาวพระเคราะห์อีกดวงหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าเป็นดาวพระเคราะห์ที่มีอุตุนิยมไม่มี อุณหภูมิก็ไม่ดี อาหารก็ไม่ดี ดินฟ้าอากาศก็ไม่ดี ใครไปเกิดที่นั่นก็ทรมานทรกรรมด้วยดินฟ้าอากาศ, ด้วยอุตุ, ด้วยการหาอาหารบริโภค หาฝืดเคืองลำบากอดแห้งอดแล้ง อด ๆ อยาก ๆ กินกรวด กินดิน กินทราย กินอิฐ กินปูน กินของร้อน กินของสกปรก กินพวกนี้ ไม่เหมือนกับพวกที่ไปเกิดในโลกสวรรค์ กินอาหารที่เป็นของประณีต เป็นของทิพย์ เพราะฉะนั้นนรกก็ได้แก่โลกทรมานที่ไปเกิดขึ้นแล้ว ก็เริ่มทรมานด้วยชีวิต ความเป็นอยู่ลำบากลำบน วิกลวิการต่าง ๆ นานา เพราะอำนาจดินฟ้าอากาศที่โหดร้ายทารุณ อำนาจแห่งสังคมที่โหดร้ายทารุณ อำนาจความเป็นอยู่ที่โหดร้ายทารุณ ท่านจึงเรียกว่าโลกนั้นเป็นนรกอย่างคำว่า ตายแล้วตกใต้เถรอเวจีให้ไฟลุกเผาไหม้ตลอดกัปตลอดกัลป์ พูดอย่างนี้เป็นคำอุปมา ความจริงใต้เถรอเวจีนรก ก็คือว่าเป็นโลก ๆ หนึ่งที่อากาศแสนจะร้อนเหลือหลาย ใครไปเกิดที่นั่นแล้วต้องถูกดินฟ้าอากาศเผาผลาญกาย เผาผลาญใจ ไม่มีความสุขชั่วมื้อชั่วยาม ไม่มีเลย นี่แหละอเวจีนรกละ สมมติว่าไปเกิดในโลกที่มีภูเขาไฟเยอะ ๆ ดีไม่ดีก็ตกนรกเขาเรียกว่าตกนรกกระทะทองแดง ตกหลุมถ่านเพลิง นรกหลุมถ่านเพลิงหมายความว่าไปเกิดในโลกดาวพระเคราะห์ที่มีแผ่นดินไหวบ่อย ๆ และมีภูเขาไฟระเบิดบ่อย ๆ มองไปสารทิศมีแต่ภูเขาไฟลุกนั้นก็กำลังคุ ลูกนี้ ก็กำลังคุ ลูกโน้นก็กำลังคุ ดีไม่ดีเดินไป ๒ ก้าวก็แผ่นดินแยกตกหลุมไป ไฟกรดในใต้โลกมันพุ่งขึ้นมาเผาผลาญไหม้มอดไปหมด นี่แหละเรียกว่า นรกหลุมถ่านเพลิง



นรกป่างิ้ว ต้นงิ้วนะ ทำศีลผิดข้อกาเมไปตกนรกป่างิ้ว ก็หมายความว่า ไปเกิดในดาวพระเคราะห์ที่อุดมไปด้วยป่า ป่าไม้ ป่าไม้โบราณสมัยหลายล้านปี แต่ละต้นแหงนคอตั้งบ่ามองไม่เห็นยอด เวลานี้ไม้โบราณไม่ต้องไปหานรกงิ้วดูหรอก โลกมนุษย์ก็มีต้นไม้โบราณอย่างที่ว่าในแคนาดา ประเทศแคนาดากับในสหรัฐอเมริกา มีต้นไม้ยักษ์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ต้น Giant sequoia เฉพาะลำต้นของมันนะ เจาะเป็นอุโมงค์รถเก๋งสวนกันได้ ๓ คันสบาย ๆ ท่านทั้งหลายเชื่อไหมว่าต้นไม้ต้นหนึ่งในอเมริกาในแคนาดานี่ โพรงของมันเขาตัดถนนทะลุโพรงไม้ต้นนี่ รถเก๋ง ๓ คันสวนกันไปสวนกันมา เข้า ๆ ออก ๆ สบาย ๆ แล้วยอดของมันหรือแหงนคอตั้งบ่ามองไม่เห็น หายไปในทิวเมฆ ต้นซีคอยยามีในอเมริกากับแคนาดา รัฐบาลของแคนาดากับอเมริกา เขารักษาเป็นป่าสงวนเอาไว้ เพราะว่าต้นไม้ชนิดนี้เป็นพืชพันธุ์ของต้นไม้ยักษ์สมัยโลกล้านปีสืบทอดมา ตานี้ต้นงิ้วอย่างนรกฉิมพลี ที่ว่าป่าไม้งิ้วนี้ก็ได้แก่ไปเกิดในโลกยุคดึกดำบรรพ์ ดาวพระเคราะห์ที่มีความเจริญยุคดึกดำบรรพวิวัฒนาการยัง ไม่ถึงขั้นความเจริญอย่างโลกมนุษย์เรา แล้วก็เป็นป่าไปหมด เป็นป่าไม้หนาม หนามแต่ละอันนี้ยาวตั้ง ๒ ศอก ๓ ศอก ธรรมดาต้นงิ้วในบ้านเรา ไม่มียาว ๒ ศอก ๓ ศอกหรอก แต่ว่าต้นไม้ยักษ์ในโลกที่ว่านี้หนามงิ้วมันยาวตั้ง ๒ ศอก ๓ ศอก สัตว์โลกที่ไปเกิดในแดนนั้น จะหากินก็แสนจะลำบาก ต้องปีนป่ายต้นไม้ ประเภทนี้ขึ้นไปหาก็ถูกหนามงิ้วนั้นแหละมันทิ่มตำเอาตาย เรียกว่าตกนรกป่าไม้ฉิมพลี ตกนรกต้นงิ้วปีนต้นงิ้ว

 ฉะนั้นเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักอ่านรู้จักถอดโดยเอาหลักความรู้ของดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์มาปรับแล้วเราจะเชื่อมั่นว่า เรื่องของปรโกลนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องนิยายเลย เป็นเรื่องจริง แล้วความรู้พวกนี้ใครรู้ ผู้ที่รู้คือผู้ที่มีทิพยจักษุญาณตั้งแต่พระพุทธองค์ลงมา แม้กระทั่งฤษีชีไพรนอกศาสนาที่เขาทำอภิญญาได้โลกียอภิญญา เขาก็รู้เห็นแล้ว ไม่ต้องโลกุตตระหรอก เอาแค่โลกียอภิญญานี่แหละ เขาก็รู้เห็น เมื่อเขารู้เห็น เขาก็มาถ่ายทอดให้เราฟังว่ามีนะนรกอย่างนั้นน่ะ นรกทุกข์ สวรรค์สบาย ถ่ายทอดให้เราฟัง อย่างว่าเทวดากินอาหารทิพย์ไม่ต้องหุงหาอาหาร นั่งเฉย ๆ ก็อิ่ม อยากจะกินอาหารก็ลอยมา อิ่มทิพย์ ฟังดูคล้าย ๆ เป็นเรื่องนิยาย แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์กำลังจะทำให้เราอิ่มทิพย์แล้ว ท่านทั้งหลายทราบไหม? นักวิทยาศาสตร์ในเยอรมันเขาค้นพบบอกว่า ในอากาศที่เราหายใจนี่มีวิตามินเยอะแยะ เขาว่าเขากำลังสกัดวิตามินในอากาศให้เรากิน ต่อไปนี้เราไม่ต้องไปปลูกผักปลูกหญ้า ทำไร่ไถนาให้ลำบากแล้ว โลกของเราในอนาคต ความเจริญของวิทยาศาสตร์ซึ่งเขากำลังค้นคว้าอยู่ เขาจะสกัดเอาวิตามินในอากาศนี่มาเป็นอาหารเราแล้ว ใครอยากกินก็อ้าปากขึ้นมองในอากาศ แล้วใช้เครื่องสกัดนี้สกัดแผล็บเดียว แค่ไม่ถึงวินาที แล้วหุบปาก หุบเอาแต่ลมเข้าไป พอหุบกลืนลงไปในท้องเราอิ่มขึ้นมาทันที สบายกันมื้อหนึ่งอิ่มไปได้เป็นวัน กิริยาอย่างนี้ คล้าย ๆ กับแม่หนุมาน-นางสวาหะ ยืนขาเดียวกินวาตา กินลมอิ่ม เรื่องนิยายกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว ท่านทั้งหลายทราบไหมวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แล้วว่าในอากาศมีวิตามินเยอะแยะเลย เพราะฉะนั้นเทวดาอิ่มทิพย์ คืออิ่มอย่างนี้ ท่านอิ่มด้วยวิธีนี้ คือวิตามินมันมีไม่ต้องไปกินอะไร ไม่ต้องไปทำไร่ไถนาปลูกผักให้ลำบาก เพียงอ้าปากกินก็อิ่มแล้ว อาหารทิพย์สำเร็จรูปปรุงมาเลยในอากาศ หมายความว่าโลกสวรรค์ วิทยาศาสตร์เขาล้ำยุคยิ่งกว่าโลกเราตั้งกี่โกฏิเท่าก็ไม่รู้ในโลกสวรรค์ ส่วนโลกนรกน่ะเป็นที่ด้อยพัฒนา ไม่มีความเจริญด้านวิทยาศาสตร์ มิหนำซ้ำยังถูกดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อมลงโทษ ต้องให้มีความเป็นอยู่อย่างทรมานทรกรรม

เราจึงเรียกว่าโลกนรก มนุษย์เราเป็นก้ำกึ่งของสวรรค์และนรก คือว่ามีทั้งสุขอนันต์และทุกข์มหันต์ในโลกเรา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงต้องมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์ ถ้าไปตรัสรู้ในโลกสวรรค์ ไปสอนให้เทวดาฟัง ให้เห็นทุกข์ ให้เห็นอนิจจัง เทวดายากที่จะเห็นได้ เพราะแต่ละองค์แต่ละองค์ อายุยืนกันเหลือเกิน เทวดาชั้นจตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นชั้นต่ำของสวรรค์ ๑ วันเท่ากับ ๔๐๐ ปี ในเมืองมนุษย์ เรา ๔๐๐ ปี ตายแล้ว เกิดไม่รู้กี่ชาติ เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาเพิ่ง ๒๔ ชั่วโมง เพราะฉะนั้นจะไปเทศนาสั่งสอนพวกเทพพวกพรหมบอกว่า รูปํ อนิจจํ สงฺขารา อนิจฺจา พวกนี้ยากที่จะหยั่งถึงธรรม นอกจากเทวดาที่มีสัมมาทิฏฐิ ได้สร้างบารมีมาแต่โลกมนุษย์ติดตัวขึ้นไปแล้ว อย่างนี้แหละก็เห็นธรรมได้ง่าย ถ้าหากว่าเป็นพวกที่ประมาทเป็นพวกที่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิมาก่อนแล้ว ไปเกิดเป็นพวกกายทิพย์แล้วละก็ยากนักที่จะเห็นในเรื่องอนิจจังได้ เพราะความที่อายุของโลกสวรรค์มันยืนมาก มูลเหตุที่ยืนมากน่ะไม่ใช่อะไรหรอก เกี่ยวกับกับการหมุนรอบตัวเองของดาวพระเคราะห์ดวงนั้น บางดวงหมุนช้าไป บางดวงหมุนเร็ว โลกเรากำหนดวัน เดือน ปี ด้วยอะไรล่ะ ด้วยการหมุนใช่ไหม หมุนรอบตัวเอง ๒๔ ชั่วโมง เป็นหนึ่งวัน หมุนรอบดวงอาทิย์ ๓๖๕ วัน เป็นหนึ่งปี ดาวพระเคราะห์บางดวงกว่าจะหมุนรอบพระอาทิตย์กินเวลาโลกเรา ๑๑ ปีเศษ ดาวพฤหัสฯ นี่นะใหญ่กว่าโลกเราตั้งพันเท่า ใหญ่มหึมากว่าโลกเรา ตั้งพันโลกจึงเท่าพฤหัสดวงหนึ่ง ดาวพฤหัสหมุนรอบดวงอาทิตย์ ๑๑ ปีเศษ ถ้าเราไปเกิดในดาวพฤหัสแล้ว ๑ ปีของดาวพฤหัสจะเท่ากับ ๑๑ ปีเศษของโลกเรา นี่ดาราศาสตร์ เขาพิสูจน์มาอย่างนี้ จะป่วยการไปไยกับโลกสวรรค์ ซึ่งห่างจากโลกเราแสนโกฏิล้านไมล์ อายุก็ต้องยืนเป็นธรรมดา เพราะมันเกี่ยวกับการหมุนเวียนรอบตัวกับดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ เพราะฉะนั้นดาราศาสตร์ยิ่งเจริญก็ทำให้เรายิ่งเชื่อว่า นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลกน่ะมีจริง ๆ ใครเชื่อเรื่องนี้ คนนั้นก็มีกัมมัสกตญาณเป็นโลกียสัมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิซึ่งเป็นองค์ของมรรคในมรรคองค์ ๘ นั้น ท่านจัดเป็นโลกียทิฏฐิอย่างหนึ่ง

โลกุตตรสัมมาทิฏฐินั้น คือ กัมมัสกตาญาณหนึ่ง ตถาคตโพธิสัทธาหนึ่ง ความที่มีญาณทัสสนะแทงทะลุเห็นอริยสัจจ์ ๔ เป็นโลกุตตรสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นชาวพุทธทั่วไปจึงควรที่จะปลูกโลกียสัมมาทิฏฐิ คือ ความเชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว ใครทำดีได้ดีใครทำชั่วได้ชั่ว จังหวะของกรรมดีกรรมชั่วจะให้ผลนั้น อยู่ที่คิวของมัน เพราะว่าเราทำกรรมดีกรรมชั่วมามากมายอเนกอนันต์นับไม่ถ้วนชาติ มันก็มีคิว ต้องต่อคิวกันซิ จะมาให้ผลทันตาเราไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าตักบาตรทอดกฐินวันนี้ แล้วอธิษฐานว่า พรุ่งนี้แทงลอตเตอรี่ให้ถูกที่หนึ่งเถอะ อำนาจผลบุญที่รวมอนุโมทนากฐิน ขอให้ลอตเตอรี่ถูกที่หนึ่งเถอะ แล้วพอไม่ถูก มาโทษบอกว่าทำบุญไม่เห็นได้ผลบุญเลย ไม่ถูก มันอยู่ที่คิว ก่อนที่จะถูกเราต้องรอคิวเสียก่อนว่าบางทีกรรมชั่วเราทำมาก คิวของกรรมชั่วต้องเรียงมาตั้งเป็นชาติ ๆ รอเราอยู่ เราก็ต้องชดใช้หนี้มันก่อนซิ เหมือนเราทำกรรมชั่วเหมือนกันแหละ วันนี้ไปปล้นเขาปิดบังหลักฐานได้ก็หัวเราะชอบใจว่าตำรวจไม่รู้ เราไม่ต้องเข้าคุก เพราะฉะนั้นใครทำชั่วก็ไม่ได้ผลชั่ว ไม่จริงหรอก ที่ศาสนาสอนไม่จริง อย่างนี้แปลว่าคิวดีของเขายังไม้ผลอยู่ คิวชั่วยังมาไม่ถึง ก็เหมือนเราตีตั๋วนี่แหละ เราไปช้าก็ต้องไปยืนหลังเขา ใครไปก่อนก็ไปยืนหน้าเรา แล้วเราจะไปต่อว่า โอ๊ย ไม่ได้หรอก ไม่ถูกไม่ต้องไม่ได้ กรรมดีกรรมชั่วมันมีจังหวะจะให้ผล เราปลูกกล้วย ปลูกมะละกอ ปลูกพริก ปีหนึ่งก็ได้กินผล ปลูกทุเรียนปีหนึ่งได้กินผลไหม ไม่ได้ ห้าปี หกปี เจ็ดปีกว่าจะได้กินผลทุกเรียน ปลูกมะม่วงสามปีสี่ปีก็ได้กินผลแล้ว เมื่อปลูกพริกปีหนึ่งห้าเดือนหกเดือนก็ได้กินแล้ว สามเดือนได้กินแล้ว ปลูกพริกฉันใด กรรมดีกรรมชั่วก็เหมือนกัน มันมีจังหวะเร็วจังหวะช้า เพราะฉะนั้นเราจึงควรเชื่อกัมมัสกตาญาณว่า นรกสวรรค์มีจริงดีกว่า เป็นเครื่องอุ่นใจให้เรามีความหวัง มีความพากเพียรวิริยะที่จะประกอบกรรมดีต่อไป แล้วก็ได้ดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้าด้วย


วันพุธ

ข้อคิดเรื่อง เวสสันดรชาดก

พระคุณเจ้าและท่านสาธุชนทั้งหลาย ปาฐกถาธรรมในวันนี้ จะได้พูดถึงข้อคิดเรื่องเวสสันดรชาดก อันเป็นเรื่องน่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง เวสสันดรชาดกนั้นเป็นเรื่องจริง ทำไมเราจึงนิยมฟังกันมาก เหตุที่นิยมฟัง นอกจากจะเป็นเรื่องชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ที่มาสร้างบารมีแล้ว เรื่องนี้ยังมีเหตุมาจาก มาลัยสูตรอีกสูตรหนึ่ง ในคัมภีร์มาลัยสูตร ซึ่งเป็นของเกิดในลังกา เล่าความว่าพระมาลัยเถรเจ้าเป็นชาวลังกา บรรจุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยอภิญญา ท่านได้ขึ้นไปเฝ้าพระศรีอารยะเมตไตรยโพธิสัตว์บนสวรรค์ พระศรีอารยะเมตไตรยโพธิสัตว์ ได้ตรัสกับพระมาลัยว่าถ้าหากว่ามนุษยโลกคนใด มีความปรารถนาจะเกิดทันศาสนาของเราแล้ว ให้ฟังเทศน์มหาชาติพร้อมกับบูชาธูป เทียน และดอกบัวอย่างละพัน ให้ฟังให้จบในวันเดียวกันทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ผู้นั้นแล จะได้รับอานิสงส์เกิดทันในศาสนาของเรา ในมาลัยสูตรกล่าวไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น อิทธิพลจากมาลัยสูตร จึงทำให้เรื่องเวสสันดรชาดก มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะชาวพุทธของเราทุกคนก็มีความปรารถนาจะเกิดให้ทันศาสนาพระศรีอารย์อยู่แล้ว ท่านยังบอกวิธีเหตุให้เกิดทันศาสนาของพระองค์ จะต้องฟังเทศน์มหาชาติให้จบภายในวันเดียวแล้วบูชาด้วยธูปพันดอก เทียนพันเล่ม ดอกบัวพันดอก บูชากัณฑ์เทศน์ ๑๓ กัณฑ์ นั่นแหละครับ จึงกลายเป็นประเพณีตั้งแต่สุโขทัยเรื่อยมาตราบกาลปัจจุบันนี้ แต่เรื่องเวสสันดรชาดกนี้ เคยมีอยู่ในสมัยหนึ่ง ที่นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองไทยนี้ ไปเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางไม่ดี บอกว่าเรื่องพระเวสสันดรชาดกนี้ เป็นเหตุทำให้คนไทยใจอ่อน ใจดีเกินไป มีอะไรก็หยิบยื่นให้เขาหมด ต่อไปถ้าจะมีใครมาขอชาติไทย ก็จะหยิบยกชาติไทยให้เขาทั้งชาติเลย แล้วก็มี

ครู อาจารย์ ในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยบางท่าน พอสอนเรื่องเวสสันดรชาดก ก็หัวเราะเยาะหาว่าเป็นเรื่องหลอกคนเรื่องไร้สาระ นิทานอะไรใครเขาจะมาให้ลูกให้เมียใครได้ หาว่าท่านเวสสันดรเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ถ้าเป็นพ่อก็เป็นพ่อที่ไม่ดียกลูกให้เขาเป็นข้าทาสทาสี หาว่าเป็นผัวที่ใช้ไม่ได้ ดูหรือพระนางมัทรีมีความจงรักภักดีเป็นนักหนา กลับไปยกให้กับตาพราหมณ์ที่มาขอได้ ดูช่างกระไรเลย อย่างนี้เป็นต้น ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เป็นบาปอย่างอนันต์แล้ว ผู้ที่กล่าวผู้ที่เข้าใจเช่นนั้นเราจึงควรจะมาวิเคราะห์ข้อคิดบางประการในเวสสันดรชาดกว่า:-

เพราะการกระทำของเวสสันดรถูกต้องหรือผิด เป็นการกระทำของคนโง่หรือคนฉลาด
👉ประการแรก เรามาพิจารณากันเรื่องช้างปัจจัยนาค อันเป็นเหตุให้พระเวสสันดรต้องพลัดบ้านพลัดเมืองไป พร้อมทั้งลูกเต้า ความจริงช้างตัวนี้ไม่ใช่เป็นสมบัติของชาวแคว้นสีพี ไม่ใช่เป็นสมบัติของชาวเชตุดร ช้างตัวนี้เป็นช้างคู่บุญ เกิดในวันเดียวกับพระนางผุสดีประสูติพระเวสสันดรโพธิสัตว์ เป็นช้างคู่บุญ ถ้าจะพูดไปแล้ว ก็เป็นสมบัติส่วนบุคคล การที่ชาวสีพีเอะอะโวยวาย หาว่าพระเวสสันดรบริจาคกับพราหมณ์กลิงครัฐที่มาทูลขอ เพราะว่าช้างตัวนี้เป็นปัจจัยนาเคนทร์ สามารถเรียกร้องบันดาลให้เกิดฝนตกได้ โบราณเราถืออย่างนี้ ช้างที่เป็นมงคลแล้ว สามารถทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ช้างปัจจัยนาคเป็นช้างเผือก ชาวแคว้นสีพีจึงไม่พอใจ หาว่าพระเวสสันดรยกเอาสมบัติของชาติไปให้คนชาติอื่น

อันนี้ถ้าวิเคราะห์แล้ว จะเห็นทันทีว่าเกิดการเข้าใจผิด เพราะช้างตัวนี้ไม่ได้เป็นสมบัติของชาติ แต่เป็นสมบัติของส่วนบุคคล ของพระเวสสันดร ก็เมื่อเป็นสมบัติของส่วนบุคคลของพระเวสสันดรแล้ว พระเวสสันดรก็มีสิทธิ์ที่จะยกให้กับใครก็ได้ พวกชาวแคว้นสีพีเสียอีกที่มาขี้โกง เอาช้างนั้นเป็นของพวกตนไป แอบอ้างว่า ไม่ได้ ช้างตัวนี้เป็นช้างของชาวแคว้นสีพี แล้วเอะอะโวยวายขึ้น อีกประการหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า แคว้นกลิงครัฐกับแคว้นสีพีนั้น หยาบกับละเอียดกันเลย ถ้าจะเปรียบกันก็ได้แก่ยักษ์กับมนุษย์นั่นเอง ช้างกับตัวผึ้งนั่นแหละถ้าจะเปรียบกัน แคว้นสีพีนั้นเป็นแคว้นเล็ก ๆ แต่แคว้นกลิงครัฐนั้น เป็นมหาอำนาจชั้น ๑ ในอินเดียในครั้งนั้น มีรี้พลกลไกรพยุหโยธามากมาย การที่พวกกลิงครัฐส่งทูตมาขอช้างปัจจัยนาคนั้น ไม่ได้ขอเปล่านะ ไม่ได้ขอเอาไปเด็ดขาด เป็นเพียงการขอยืมไปเพื่อเป็นเหตุทำให้บ้านเมืองฝนตกหน่อยเพราะแล้งมาตั้งเจ็ดปีแล้ว ทำนาไม่ได้ผล ขอยืมเอาไป ไม่ได้โกงเอาเป็นของตัวหรอก เมื่อฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาลแล้วจะนำมาคืนให้

คราวนี้ สมมุติว่า พระเวสสันดรไม่ยอมให้ ผลจะมีอะไรเกิดขึ้น จะต้องเกิดสงครามอย่างแน่นอน ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ กองทัพจากกลิงครัฐจะต้องบุกเมืองสีพีแน่ แล้วแคว้นสีพีซึ่งเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย ก็ต้องพินาศตกเป็นเมืองขึ้นของเขา ราษฎรสีพีก็จะกลายเป็นเชลยศึก เพราะฉะนั้นการที่พระเวสสันดรยอมยกช้างปัจจัยนาคให้แก่เขาไปนั้น เป็นการเสียสละทำเพื่อชาติและประชาชนโดยตรง เป็นการตัดต้นเหตุการทำสงคราม ช่วยสร้างความสงบสุขให้แก่ประชาราษฎรโดยเสรี ให้ปลอดภัย แต่เป็นการไม่เข้าใจ และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกชาวแคว้นสีพี ซึ่งมองตื้นเกินไป เห็นไปว่าพระองค์ยกสมบัติของชาติไปให้ศัตรู ไปให้แก่คนอื่นเขา เพราะฉะนั้น การที่พระเวสสันดร ยอมยกช้างปัจจัยนาคให้เขาไป จึงเป็นการทำเพื่อชาติโดยตรงทีเดียว เป็นการตัดการทำสงคราม ช่วยสร้างความสุขให้แก่ประชาราษฎร์ชาวสีพีให้ปลอดภัย แต่เป็นความเข้าใจผิดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของชาวแคว้นสีพีซึ่งมองตื้นเกินไป เห็นไปว่าพระองค์ยกสมบัติของชาติไปให้ศัตรูหรือไปให้ผู้อื่นเขา และตามเรื่องราวปรากฏว่า เมื่อชาวแคว้นกลิงครัฐได้ช้างตัวนี้ไปแล้ว ไม่ช้าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลเขาก็ส่งมาคืน แถมกลับมีพระราชสาสน์มาขอบอกขอบใจเป็นการใหญ่ นี่เราจะเห็นได้แล้วว่า พระเวสสันดรท่านทำถูกตั้งแต่กรณีแรกที่ทรงให้ช้างเป็นทาน ไม่ว่าจะมองในแง่การเมืองหรือในแง่ส่วนตัว เราตำหนิท่านไม่ได้เลย

👉ประการที่สอง ในการที่ท่านให้บุตรกัณหาชาลีเป็นทานถูกไหม? ในกรณีที่ท่านให้ชาลีกัณหา หรือพระนางมัทรีเป็นทานนั้น ถ้าเราเอาจิตใจพวกเราอย่างปุถุชนธรรมดาผู้มีกิเลสไปวัดจิตใจท่าน เราก็อาจจะประณามและโวยวายหาว่า “เห็นแก่ตัว ๆ” เที่ยวยกลูกให้เขาไป เทินให้เขาไป นี่ แต่ข้อนั้นเราพูดตามวิสัยของเราที่มีกิเลส เป็นปุถุชน แต่ถ้าเรามองด้วยใจของพระเวสสันดรแล้ว ตรงกันข้าม พระเวสสันดรเป็นพระโพธิสัตว์ เราเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า และการที่พระเวสสันดรให้สิ่งเหล่านี้ไป ให้เพื่อหวังอะไร ให้เพื่อหวังชื่อเสียง เพื่อความสุข เพื่อพระองค์หรือ? ถ้าเพื่อชื่อเสียง เพื่อความสุขแล้ว ลูกเมียเป็นที่รักดังแก้วตา จะให้เขาไปไม่ได้หรอก จะต้องอยู่กับลูกอยู่กับเมีย แต่ที่พระองค์ให้เขาไป ก็เพื่อหวังพระโพธิญาณ พระโพธิญาณเพื่อใคร ถามต่อไปอีก ก็ได้รับคำตอบว่าพระโพธิญาณเพื่อสรรพสัตว์โลก เพราะฉะนั้น การทำประโยชน์ การให้ทานของพระเวสสันดรนั้น ไม่ใช่เพื่อพระองค์เสียแล้ว แต่เพื่อสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นการทำประโยชน์เพื่อชนหมู่มาก โดยการที่พระองค์ยอมเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ยอมทุกข์ในส่วนพระองค์ เพื่อความสุขของชนมหาศาลทั้งโลก การทำอย่างนี้เป็นการเห็นแก่ตัวหรือ มนุษย์ผู้มีความเห็นแก่ตัวทำได้อย่างนี้หรือ?

ถ้าหากเราถือว่าการทำอย่างนี้เป็นการเห็นแก่ตัวแล้ว เราก็น่าจะตำหนิทหารหาญที่ไปตายเพื่อชาติว่า ทหารเหล่านั้นเห็นแก่ตัว เพราะอะไร เพราะแม่หรือก็แก่ ไม่มีใครเลี้ยง ลูกหรือก็ยังแดง ๆ แม่อีหนูหรือก็ยังสาว อะไรไปเป็นทหารรบสงครามป้องกันประเทศชาติ เห็นแก่ตัวนี่ ทหารคนนี้ นี่ถ้าใครมีความรู้สึกตัวอย่างนี้ละก็ ชาติบ้านเมืองประเทศนั้นจะต้องล่มจมแน่ ถ้าประชาชนในบ้านเมืองนั้นมีความรู้สึกอย่างนี้ต่อทหาร ว่าทหารทิ้งลูก ทิ้งเมียไปรบเพื่อชาติ เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวละก็ ไม่ช้าชาตินั้นก็วิบัติ การที่ทหารไปรบเพื่อชาติ เราไม่ถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการเห็นแก่ตัว แต่เราให้ความยกย่องว่า เป็นวีรชนของเรา บรรดาพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษ์ ถึงขั้นสละชีวิต และลูก และเมีย เป็นทาน เพื่อพระโพธิญาณ ก็มีอุปมัยดุจเดียวกับทหาร ซึ่งเป็นวีรชนของชาติฉันนั้นเหมือนกัน แต่ว่าวัตถุประสงค์ของพระโพธิสัตว์ยิ่งกว่าทหาร ทหารนั้น รบเพื่อชาติ แต่พระโพธิสัตว์นั้น รบกะกิเลสเพื่อเห็นแก่สรรพสัตว์ ไม่มีชาติและไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ แต่แผ่ไพศาลไปยังมารอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เดียรัจฉาน เป็นที่สุด นี่แหละครับเป็นลักษณะมหากรุณาของพระโพธิสัตว์เจ้า มีกี่คนทำได้อย่างนี้

คราวนี้เรามองดูในแง่พ่อกับลูกว่า ที่พูดเมื่อกี้เป็นเรื่องสละประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ก่อนที่พระเวสสันดร ท่านจะยกลูกให้กับท่านชูชกได้คิดวางแผนการอะไร เพื่ออนาคตลูกท่านไม่ให้ลำบากไหม ท่านวางแผนไว้แล้ว ดังจะเห็นได้ว่า ท่านบอกดัง ๆ ให้ชูชกได้ยิน ท่านบอกชาลีกัณหาว่า ลูกเอ๋ย ถ้าหากลูกไปอยู่กับพ่อเฒ่าชูชกคนนี้ละก็ ใครจะมาเอาตัวลูกไถ่ไปละก็ พ่อตีราคาลูกแต่ละคน แต่ละคน สำหรับชาลีนั้น ผู้ที่มีทองคำพันลิ่ม ถึงจะมาไถ่ชาลีได้ ส่วนแม่กัณหาซึ่งเป็นน้องเล็กนั้น จะต้องผู้ที่มีโคร้อยตัว ม้าร้อยตัว ช้างร้อยตัว ทองพันลิ่ม เงินพันลิ่ม ทาสร้อยคน ทาสีร้อยคน รถร้อยเล่มมาไถ่แม่ถึงจะยอมตัวไปอยู่กับเขานั่น ท่านสั่งของท่านยังงี้ ชูชกฟังหูผึ่งทีเดียว ชูชกนี่ฉลาด ถ้าเอาใจชูชกมาใส่ใจเราบ้างว่า เราได้ลูกเขามาสองคน ชายคนหญิงคน มันก็ยังเล็กอยู่ ผู้หญิงก็ไม่เกินเจ็ดขวบ ผู้ชายก็ไม่เกินสิบสอง ได้มาสองคนอย่างนี้ อย่างมากก็เอาไปตักน้ำตักท่า ปัดกวาดถูบ้านถูเรือนเท่านั้นเอง กับที่ว่าเอาไปขายได้สินไถ่มากมายพอกินเป็นมหาเศรษฐีทันตาเห็น เราจะเลือกเอาอย่างไหน แน่นอน ชูชกซึ่งเป็นนักเศรษกิจตัวยง ก็จะต้องเอาชาลีกัณหาไปขายเพื่อเอาสินไถ่ คราวนี้ใครบ้างเล่าที่จะมาไถ่ด้วยราคาค่างวดอันมากมายอย่างนี้ เว้นไว้แต่ผู้นั้นจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขด้วย ก็เท่ากับว่าพระเวสสันดรนั้นได้ยืมมือชูชก ให้พาชาลีกัณหาออกจากป่าไปหาปู่เท่านั้นเอง

เท่านั้นเองละซิ พระเจ้ากรุงสัญชัยนั้นแหละจะเป็นผู้ไถ่ ไม่ใช่ใครหรอกครับ พระเจ้ากรุงสัญชัยซึ่งเป็นพระอัยกานั่นเองเป็นผู้ไถ่ กษัตริย์หรือเศรษฐีบ้านไหนเมืองไหนเขาจะมาไถ่กัน เด็กกะเปี๊ยก ๒ คน จะเอาไปทำอะไรกัน ทองคำพันลิ่ม ช้างม้าวัวควายทาส ทาสา อีกมากมาย อย่างละร้อย เอาทำไมกัน คนซื้อคนได้มากมายกว่านี้ ดีกว่าเด็ก ๒ คน เป็นอันว่าชูชกนี่จะต้องมุ่งพาเด็ก ๒ คนนี้ไปหาปู่ เพราะไปที่ไหนก็ไม่มีใครเขาเอา ปู่กับย่านั้นจะเป็นผู้ไถ่เอง แล้วการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงคาดไว้จริง พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีไถ่จริง ๆ ข้อเสนอราคาที่ชูชกบอกว่า พระเวสสันดรตีราคาอย่างนี้ อย่างนี้ พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีไม่เชื่อ หาว่าชูชกไปขโมยเด็กมา ฝ่ายเด็ก ๒ คน ก็ยืนยันว่าพระบิดาได้ยกให้ชูชกไปจริง ๆ พระบิดาได้ตีราคาไว้จริง ๆ ชูชกเลยกลายเป็นมหาเศรษฐีทันตาเห็นในวันนั้นเองที่พาหลานไปหาปู่ เรื่องนี้เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวแต่ได้นกสองตัว คือ ข้อที่พระองค์ให้ลูกเป็นทานนั้น มีประโยชน์ ๔ สถาน
    ๑. ชื่อว่าบำเพ็ญปุตตปริจาค
    ๒. ชื่อว่าไม่ทำให้พระโอรสและธิดาต้องตกระกำลำบากอยู่ในป่า แต่กลับมาอยู่ในอ้อมอกของปู่-ย่า
    ๓. ทำให้ชูชกซึ่งแกยากจนเป็นเศรษฐีรวยมั่งมีทันตาเห็น
    ๔. พระอัยกาได้ฟังนัดดาทั้งสองเล่าถึงความทุกข์ยากของพระโอรสและพระสุณิสา มีความเศร้าพระทัย เป็นเหตุให้ชาวสีพีรัฐทั้งปวงก็มีความเศร้าใจสงสารพระเวสสันดร พากันยกโทษให้ กลับไปทูลเชิญให้เสด็จกลับไปเสวยราชย์


กลับได้ประโยชน์ถึง ๔ สถาน การกระทำของพระเวสสันดร จึงไม่ใช่การกระทำที่โง่เขลา ดังที่พวกเราบางคนเข้าใจ แต่เป็นการกระทำของบัณฑิตผู้เห็นการณ์ไกล ที่เอาประโยชน์ ได้ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ ข้อนี้เห็นได้ชัดเจน



👉ประการที่สาม ทรงให้พระนางมัทรีเป็นทาน พระนางมัทรีใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นยอดมิ่งขวัญ ยอดกัลยาเป็นเมียแก้ว เมียขวัญที่ดี เพราะฉะนั้น การที่พระเวสสันดรยกพระนางมัทรีให้พราหมณ์นั้น พระนางมัทรีก็รู้อยู่แก่ใจว่า พระเวสสันดรมุ่งประสงค์อะไร และพระนางก็ยินดีที่จะร่วมเสียสละกับพระองค์ ยอมให้เป็นเครื่องมือของพระองค์เพื่อที่จะช่วยกันบ่มโพธิญาณให้สุกงอม เพื่อประโยชน์แก่มหาชนในอนาคตกาลเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น เมื่อพราหมณ์จำแลงมาขอพระนางมัทรีจากพระองค์ เมื่อพระเวสสันดรบอกยกให้แล้ว ยังไม่แน่แก่พระทัยว่า พระนางมัทรีจะเศร้าใจ หรือเสียใจ จึงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรพระนางมัทรีว่า จะมีการแสดงอาการอย่างไรปรากฏหรือไม่ พระนางมัทรีก็ได้ทูลออกมาด้วยน้ำใจที่แกล้วกล้าเยี่ยงสุรนารีว่า:- โกมารี ยสฺสาหํ ภริยา สามิโก มม อิสฺสโร ยสฺลิจฺเฉ ตสฺส มํ ทชฺชา วิกฺกีเณยฺย หเนยฺยา วา แปลความว่า หม่อมฉันผู้องอาจ เป็นเทวีของพระองค์ท่านใด พระองค์ท่านนั้น เป็นภัสดาของหม่อมฉัน เมื่อพระองค์จำนงค์ให้หม่อมฉันแก่บุคคลใด ขอจงประทานให้แก่บุคคลนั้นเถิด พึงขาย หรือพึงฆ่าเสียก็ตาม หม่อมฉันยอมทั้งนั้น

นี่ก็แสดงว่า จิตใจของนางมัทรีเต็มเปี่ยมแล้ว เข้าใจในเหตุผลของสวามีแล้ว พระนางมิได้เศร้าใจหรือเสียใจ พระนางยินดี เพราะยิ่งเป็นการช่วยให้พระสวามีได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ เร็วขึ้น เสร็จแล้ว พราหมณ์ผู้นั้น ก็เป็นพราหมณ์ที่มาทดลองพระเวสสันดรและได้คืนพระนางมัทรีให้ ใครเลยจะกล้ารับพระนางมัทรีไป สมมุติว่าเรา ไปเจอคนอย่างนั้นเข้า คู่ผัวตัวเมียทีมีความรักมั่นคง และเข้าใจถึงขนาดเสียสละอย่างนั้น ใครเลยพอที่จะยังใจร้ายไส้ระกำหินชาติ พรากเขาได้หรือ? ทำไม่ได้แน่ ถ้าเรายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ในสันดาน ฉะนั้นในที่สุดพระนางมัทรีก็ไม่ได้เสียอะไรไป ก็กลับอยู่ในสำนักของพระสวามีอีก

เรื่องเวสสันดรชาดก จึงเป็นเรื่องที่ให้คติธรรม ความเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะฉะนั้นโบราณกาลของเราจึงได้เลือกเอาชาดกเรื่องนี้มาเป็นเทศน์ประจำ ยิ่งกว่าชาดกเรื่องอื่น โดยมุ่งหวังสอนให้ประชาชนรู้สึกเลยสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยการเสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่าสังคมทุกยุคทุกสมัย มีความเดือดร้อนขึ้นนั้น ไม่ใช่เดือดร้อนเพราะคนเสียสละ ความเดือดร้อนส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่รู้จักเสียสละ ถ้าทุกคนรู้จักสละอย่างพระเวสสันดรแล้ว สังคมนี้ก็จะน่าอยู่ โลกนี้ก็จะน่าอยู่มาก โลกไม่เคยเดือดร้อน เพราะคนเสียสละ ตรงกันข้ามโลกเดือดร้อน เพราะคนกอบโกย ที่ไม่รู้จักเสียสละ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรายังจะมาตำหนิอีกหรือว่า เทศน์มหาชาติคร่ำครึ ฟังแล้วถ้าใครขืนปฏิบัติตาม เมืองไทยต้องขายชาติ ต้องยกให้บุคคลอื่น เป็นไปได้หรือที่จะเกิดโทษอย่างนั้นขึ้น เป็นไปไม่ได้เลย

เราฟังเทศน์มหาชาติมากี่ปีแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี นับตั้งแต่พุทธกาลมา มีการแสดงมาโดยลำดับ จนบัดนี้ แล้วเราพบคนอย่างพระเวสสันดรมีกี่คน ที่จะยกลูกยกเมียยกบ้าน ยกเมือง ยกทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ยังไม่พบเลย ก็จะไปพบได้อย่างไร ถ้าทุกคนทำอย่างพระเวสสันดรละก็ เจ๊งแน่นอนละซิ ถ้าคนในประเทศไทยทุกคน เกิดนัดกันทำอย่างพระเวสสันดรละ มันก็เจ๊งแน่ แต่จะมีคนที่ทำได้อย่างพระเวสสันดร ก็ตั้งสองพันกว่าปี มีกี่คนที่ทำได้อย่างพระเวสสันดร ยังไม่พบไม่มีเลย ถ้าพบกรุณาบอกกระผมด้วย การกลัวว่าทุกคนเป็นอย่างพระเวสสันดรแล้วก็แย่ โลกนี้ก็ลำบากละซิ ยกให้เขาหมดละซิ จึงเป็นเหมือนหนึ่งคนที่กลัวฟ้าจะพังหล่นมาทับฉะนั้น เป็นโรคเส้นประสาท คนที่กลัวอย่างนี้ เป็นโรคจิตทุกชนิด ไม่ใช่โรคสามัญชาติ อย่างกระต่ายตื่นตูมอย่างนี้เป็นต้น เรื่องเวสสันดรชาดกนั้น ให้คติธรรมในการสอนให้สัตว์รู้จักการเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม เราควรจะภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และรักษาประเพณีการฟังเทศน์มหาชาติไว้ โดยช่วยกันบอกเล่า ชี้แจงความเข้าใจผิดอันไร้สาระ ของคนที่ไม่ได้ศึกษาถึงสารัตถะแก่นสารของเวสสันดรชาดกให้ถูกต้องเข้าใจเสียให้ดี บุคคลที่จะประพฤติอย่างพระเวสสันดรนี้ ถ้าหากเป็นคำถามขึ้นก็ไม่มีใครเป็นพระเวสสันดรอีกแล้ว เราจะมาฟังเทศน์เวสสันดรชาดกทำไม เทศน์เพื่ออบรมจิตใจของพวกเราให้รู้จักเป็นคนเสียสละ ขนาดเทศน์อย่างนี้ทุกปี ๆ เรายังจะหาคนที่มีความเสียสละได้ยากยิ่ง ไม่ต้องเสียสละอย่างพระเวสสันดรหรอกครับ เอาเพียงหนึ่งในร้อยของพระเวสสันดร ยังหาไม่ค่อยจะพบ นี่ถ้ายิ่งไม่เทศน์ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ นี่ละซิ เราควรจะทำความเข้าใจให้ถูกต้อง

อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเผอิญเราพบคนอย่างพระเวสสันดรเข้า ท่านทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า เราพบพระโพธิ์สัตว์องค์ใหม่แล้ว ท่านผู้นั้นเป็นหน่อเนื้อ พระพุทธางกูร กราบไหว้ท่านไว้เถิด เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญอันวิเศษ ในประเทศไทยถามว่ามีตัวอย่างบ้างไหม ? มีครับ มีบุคคลผู้ประพฤติอย่างพระเวสสันดร ท่านผู้นั้นได้แก่รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีปฏิปทาประหลาดมากครับ กระผมมั่นใจว่าพระองค์ท่านเป็นพระพุทธางกูร มาเกิดในบรมราชขัตติยวงศ์ เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์ในประเทศไทยเพื่อสร้างบารมี ที่เชื่ออย่างนั้น เพราะอะไร เพราะมีปฏิปทาพระองค์ จริยาวัตรของท่านบ่งให้ทราบ ให้ท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ผู้เขียนบันทึกเหตุการณ์สมัยรัชกาลที่ ๓ ได้บันทึกจริยาวัตรของกษัตริย์พระองค์นี้ว่า ละครผู้หญิงท่านก็ไม่ค่อยจะทรง (โปรด) ท่านทรงแต่การวัดการวา การกุศลเท่านั้น เขียนไว้ย่อ ๆ เท่านี้ เขียนบอกไว้ว่าท่านไม่เพลิดเพลินต่อเรื่องกามสุข เพลิดเพลินแต่การสร้างวัดสร้างวา เจริญแต่ในทางพระกุศล อีกประการหนึ่ง อัธยาศัยของพระองค์ท่านนั้น ฝักใฝ่แต่ในเรื่องทานบริจาคอย่างมากน่าประหลาด เมื่อยังดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงว่ากรมท่า กรมท่าซ้ายท่าขวาขึ้นกับท่านหมด กรมท่าในสมัยนี้ก็เทียบกับกระทรวงต่างประเทศกับกระทรวงเศรษฐการเดี๋ยวนี้รวมกันเท่ากับกรมท่าซ้าย กรมท่าขวาในโบราณ แม่ทัพฝ่ายจีน-ญวนแขก ชวา มาลายู สังกัดอยู่ในสองกรมนี้ ว่าด้วยเรื่องสำเภา เรื่องค้าขาย กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงตั้งโรงทานหน้าวังของพระองค์ นิมนต์พระมาเทศน์ทุกวันให้เป็นธรรมทาน และถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่มาบิณฑบาตผ่านมา และยาจกวณิพกคนเข็ญใจ คฤหัสถ์ไม่มีข้าวปลาจะกิน ไม่มีเสื้อผ้าจะนุ่งจะห่ม ให้มาเอาที่นี่ ทรงให้ทานไม่อั้นทุกอย่าง จนกระทั่งรัชกาลที่สองซึ่งเป็นพระราชบิดา ออกอุทานเรียกพระองค์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสว่า เจ้าสัว ว่าฉันทำบุญสู้เจ้าสัวเขาไม่ได้ พระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชดำรัสว่า ดูซิ เขาเป็นแต่เพียงกรมหมื่น เขายังอุตส่าห์ตั้งโรงทานสองโรงหน้าวังเขาเลย เราเป็นถึงพระยามหากษัตริย์ ทำไมไม่มีโรงทานกับเขาบ้างเล่า เลยมีพระบรมราชโองการให้ตั้งโรงทานทางด้านประตูวิเศษไชยศรีปัจจุบันนี้ โรงทานนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒ ด้วยความดลใจของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นตัวอย่าง ต่อมานี้ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อท่านทรงบำเพ็ญทานครั้งใด ท่านก็เปล่งว่า พุทโธ โหมิ อนาคเต ฯขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล เวลาสร้างวัดวาอารามหลั่งน้ำทักษิโณทกถวายสงฆ์ท่านก็เปล่งสีหนาทประกาศยืนยันความปรารถนาความเป็นพุทธภูมิของท่าน อะไรไม่ประหลาดเท่ากับที่พระองค์บริจาคลูกเป็นทาน เรื่องนี้แปลกมาก เพราะพระองค์บริจาคพระราชโอรสพระราชธิดาเป็นทาน ประวัติศาสตร์ตอนนี้ลี้ลับมาก ประวัติศาสตร์เรื่องนี้ที่เป็นที่เปิดเผยไม่ปรากฏ ไปปรากฏในจดหมายเหตุของกรมหลวงนรินทรเทวี มีข้อความอยู่ตอนหนึ่ง กระผมจะอ่านถวายให้พระคุณเจ้าได้ฟังกล่าวว่า "... ได้ทรงสร้างพระบารมีโปรดคนโทษ ทำผิดคิดไม่ชอบต้องด้วยบทพระอัยการ ยกประทานชีวิตไว้ หลังน้ำทักษิโณทกตกศีรษะทั้งผู้ชาย ผู้หญิง โปรดประทานชีวิตปล่อยเจ็ดคน แล้วมีสงฆ์มาขอพระองค์ใหญ่วิลาศ พระองค์ลักขนา อุทิศถวาย ไม่เสียดาย เด็ดดวงพระทัยยื่นแล้ว สงฆ์ถวายคืน ว่าจะเพิ่มพระบารมี...” นี่เป็นตอนหนึ่งในจดหมายเหตุของกรมหลวงนริทรเทวี ซึ่งเรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า จดหมายเหตุเจ้าครอกวัดโพธิ เพราะพระองค์เป็นพระกนิษฐาของรัชกาลที่ ๑ เรียกกันว่าพระองค์เจ้าหญิงกุ ท่านสร้างวังอยู่ที่ข้างวัดโพธิ์ ตรงที่สร้างวิหารพระนอน ในปัจจุบันนี้ เดิมเป็นวังของกรมหลวงนรินทรเทวี เจ้าครอกวัดโพธิ์สร้างวังอยู่ และท่านเป็นคนเก็บอากรขอนตลาดที่ตลาดท่าเตียน รัชกาลที่ ๑ ยกให้ เพราะพระองค์เป็นน้องสาวคนละแม่ พ่อเดียวกัน และท่านผู้นี้ดำรงพระชนม์ชีพมาถึงรัชกาลที่ ๓ ได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ มาถึง ๓ แผ่นดิน ได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า ได้มีพระสงฆ์มาขอพระราชโอรสพระราชธิดารัชกาลที่ ๓ ไป คือพระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กับพระองค์เจ้าชายลักขณามงคล นี่ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เทียบได้กับชาลีกัณหา แล้วก็รัชกาลที่ ๓ ก็เด็ดดวงพระทัยยื่นยกให้เป็นทานอย่างพระเวสสันดรเหมือนกัน แต่แล้วพระท่านก็ถวายคืน แล้วทูลบอกว่าที่มาขอนี่ก็เพื่อทดลองบารมีว่า ที่อ้างปรารถนาพุทธภูมินั้นจะทำได้จริงไหม เป็นการทดสอบบารมีเป็นการส่งเสริมพระบารมี น่าเสียดายที่ว่าพระสงฆ์ที่ไปทูลขอนั้น ในจดหมายเหตุไม่ได้ระบุว่า เป็นพระวัดไหน น่ารู้จริงนะครับ

ฉะนั้น เรื่องพระเวสสันดรชาดก กระผมขอจบด้วยการยกเอาอภิสวาจาของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ที่ได้ประกาศไว้ว่า หทยํ จกฺขุมปหํ ทชฺชํ กึ เม พาหิรกํ ธนํ หริญฺญํ วา สุวณฺณํ วา มุตฺตา วา เวฬุริยา มณี แปลความว่า เราพึงให้ดวงหทัยหรือดวงจักษุก็ยังให้ได้ เราจะหวงแหนอะไรกับทรัพย์ภายนอก คือ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์ มณี ได้ ชาลึ กณฺหาชินํ ธีตํ มทฺทึ ปติพฺพตํ จชมาโน น จินฺเตสึ โพธิยาสึ เยว การณา แปลความว่า เราสละชาลีผู้โอรส กัณหาผู้ธิดา ตลอดจนมัทรีเทวี ผู้เคารพสามี โดยที่เราไม่คิดอย่างหนึ่งอย่างใด ก็เพราะเหตุอันจักสำเร็จโพธิญาณเท่านั้น น เม เทสฺสา อุโภ ปุตฺตา มทฺที เทวี น อปฺปิยา สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ ตสฺมา ปิเย อทาสหํ แปลความว่า โอรสธิดาทั้งสองของเรา เราจะเกลียดชังก็หาไม่ พระนางมัทรีไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรายิ่งกว่า เราจึงสละโอรสและธิดาพร้อมทั้งมัทรีเสีย เพื่อแลกกับสิ่งที่เรารักยิ่งกว่านั้นคือ พระสัพพัญญุตญาณ ขอจบปาฐกถาวันนี้ แต่เพียงเท่านี้





๔. อัตตา – อนัตตา และ อัตตา - นิรัตตา

 ๔. อัตตา – อนัตตา และ อัตตา - นิรัตตา

ในสุตตนิบาต มีพุทธพจน์หลายแห่งตรัสถึงพระอรหันต์ คือผู้บรรลุจุดหมายแห่งชีวิตประเสริฐแล้ว หรือท่านผู้ปฏิบัติถูกต้องแล้วว่า เป็นผู้ที่ ไม่มีทั้งอัตตาและนิรัตตา หรือทั้ง อตตํ และ นิรตํ  (*๑๘๓) แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า ไม่มีทั้งอัตตาและไร้อัตตา หรือ ไม่มีทั้งตัวและไร้ตัว คัมภีร์มหานิทเทสอธิบาย “อตุตา” หรือ “อตตํ” ว่าได้แก่ อัตตทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตัวตน หรือ สัสสตทิฏฐิ คือความเห็นว่า (มีตัวตนที่) เที่ยงแท้ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป และ “นิรตุตา” หรือ “นิรตตํ” ว่า ได้แก่อุจเฉททิฏฐิ คือ ความเห็นว่า (ตัวตน) ขาดสูญ อีกนัยหนึ่งอธิบาย “อตตา” หรือ “อตตํ” ว่าได้แก่ สิ่งที่ถือไว้หรือสิ่งที่ยึดถือ และ “นิรตุตา” หรือ “นิรตตํ” ว่าได้แก่ สิ่งที่จะต้องละหรือปล่อย ถือเอาใจความว่า พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง หรือท่านผู้มีปัญญาเข้าใจถูกต้องแล้ว ย่อมไม่มีทั้งความยึดถือตัวตนและทั้งความยึดถือว่าไม่มีตัวตน (ตัวตนขาดสูญ) ไม่มีทั้งสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ และทั้งสิ่งที่จะต้องละต้องปล่อยหรือต้องสลัดทิ้ง

คัมภีร์มหานิทเทสอธิบายต่อไปอีกว่า ผู้ใดมีสิ่งที่ยึดถือไว้ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้ใดมีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่ยึดถือไว้ พระอรหันต์ล่วงพ้นการยึดถือและการปล่อยละไปแล้ว (*๑๘๔) ความเข้าใจในพุทธพจน์และอรรถาธิบายข้างต้นนี้ จะช่วยให้เข้าใจความหมายของหลักอนัตตาครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ธรรมดาว่า ปุถุชนย่อมมีความยึดถือในตัวตนอย่างเหนียวแน่น อย่างหยาบๆ ก็ถือเอารูป คือร่างกายเป็นตัวตน เมื่อคิดลึกซึ้งลงไป เห็นว่าร่างกายเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นได้ชัดๆ โต้งๆ ก็เลื่อนไปยึดเอาจิตหรือคุณสมบัติบางอย่างของจิต เช่น ความรู้สึก ความจำ ปัญญา การรับรู้ เป็นต้น ว่าเป็นตัวตน ถ้าใช้ศัพท์ทางธรรมก็ว่า ยึดเอาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเป็นอัตตา บางทีก็ยึดถือรวมๆ คลุมๆ ทั้งกายและใจ คือขันธ์ ๕ ทั้งหมด ว่าเป็นตัวตน บ้างคิดแยบยลลึกซึ้งต่อไปอีกว่า ทั้งกายและใจ หรือขันธ์หมดทั้ง ๕ เป็นตัวตนไม่ได้ แต่มีตัวตนอยู่ต่างหาก เป็นอัตตาหรืออาตมันตัวแท้ตัวจริง เป็นแก่นเป็นแกนของชีวิต ซ้อนอยู่ภายในขันธ์ ๕ หรืออยู่นอกเหนือจากขันธ์ ๕ แต่เป็นตัวครอบครองควบคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง

เจ้าลัทธิและนักปราชญ์เจ้าปัญญาผู้สามารถทั้งหลาย พากันคิดค้นเรื่องตัวตนนี้โดยโยงเข้ากับการค้นหาสภาวะแท้ที่มีอยู่จริงในขั้นสุดท้าย หรือตัวสัจธรรม หรือบรมธรรม บางท่านก็ประกาศว่าตนได้เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงนั้นแล้ว อันเป็นตัวแท้ตัวจริง เป็นอัตตาหรืออาตมันสูงสุด อย่างที่บัญญัติเรียกว่า ปรมาตมันบ้าง พรหมมันบ้าง พระผู้เป็นเจ้าบ้าง ต้องยอมรับว่า เจ้าลัทธิและนักปราชญ์เหล่านั้นเป็นเจ้าความคิดอย่างสูง มีความรู้ความสามารถมาก อย่างที่ท่านเรียกว่าเป็นสมณพรามหณ์ผู้ประเสริฐ หรือเป็นเจ้าทฤษฎีชั้นพรหม และสภาวะที่ท่านเหล่านั้นกล่าวถึง ก็ประณีตลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ตราบใดที่สภาวะนั้นยังมีความเป็นตัวตนติดอยู่ หรือยังเป็นเรื่องของตัวตน ก็พึงทราบว่ายังไม่ใช่สภาวะที่จริงแท้ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่ใช่บรมธรรม เพราะยังถูกเคลือบคลุมและยังพัวพันด้วยความยึดถือ

สภาวะจริงแท้นั้นมีอยู่ มิใช่เป็นความสูญสิ้นไม่มีอะไรเลย แต่ก็มิใช่เป็นสภาวะที่จะเข้าถึงหรือประจักษ์ได้ด้วยความรู้ที่ถูกกั้นบังให้พร่ามัวหรือบิดเบือนโดยภาพเก่าๆ ที่ผิดพลาด และด้วยจิตที่ถูกฉุดรั้งไว้โดยความยืดติดในภาพเก่าที่ผิดพลาดนั้น การที่สมณพราหมณ์ผู้ประเสริฐหรือเจ้าลัทธิชั้นพรหมจำนวนมาก ไม่สามารถรู้แจ้งแทงตลอดถึงสภาวะแท้จริงขั้นสุดท้าย ก็เพราะว่า แม้ว่าสมณพราหมณ์หรือเจ้าลัทธิเจ้าทฤษฎีเหล่านั้นจะรู้ชัดแล้วว่า ตัวตนระดับกายใจชนิดที่เคยยึดถือมาก่อน ไม่ใช่เป็นสภาวะที่จริงแท้ และไม่ยอมรับแม้กระทั่งขันธ์ ๕ แต่ ท่านเหล่านั้นก็ยังนำเอาเครื่องพรางตาตัวเอง ๒ อย่างของปุถุชนติดตัวไปด้วยตลอดเวลาในการค้นหาสภาวะที่แท้จริงขั้นสุดท้าย กล่าวคือ

    ๑) บัญญัติแห่งอัตตา (concept) คือ มโนภาพของตัวตนที่เป็นคราบติดมาตั้งแต่ครั้งยึดติดในตัวตนหยาบระดับร่างกาย แม้มโนภาพนี้จะละเอียดประณีตขึ้นมากเพียงใด มันก็เป็นภาพอันเดียวกันหรือเทือกเถาเดียวกันอยู่นั่นเอง และเป็นภาพแห่งความหลงผิด ซึ่งเมื่อเขาไปเกี่ยวข้องกับสภาวะใดๆ เขาก็จะเอาบัญญัติหรือมโนภาพอันนี้ไปป้ายหรือฉาบทาสภาวะนั้น ทำให้มีสิ่งกั้นบัง เกิดความพร่ามัวหรือบิดเบือน และทำให้สภาวะที่เขาเข้าใจ ไม่ใช่สภาวะจริงแท้นั้นเองที่ล้วนๆ บริสุทธิ์

    ๒) ความยึดติดถือมั่น (อุปาทาน) ซึ่งเขามีมาแต่เดิมตั้งแต่ยึดติดในอัตตาอย่างหยาบๆ ขั้นต้น ซึ่งเป็นความหลงผิดอยู่แล้ว เขาก็ยังพาเอาความยึดติดนี้ไปด้วย และนำไปใช้ในการสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสภาวะที่จริงแท้ ความยึดติดในภาพตัวตนนี้จึงกลายเป็นเครื่องฉุดรั้งเขาไว้ ให้ไม่อาจเข้าถึงสภาวะที่จริงแท้นั้นได้

ถ้าพูดอย่างสั้นๆ ก็คือ สมณพราหมณ์หรือเจ้าทฤษฎีเหล่านั้นยังไม่หลุดพ้นนั่นเอง ยังไม่หลุดพ้นจากบัญญัติหรือภาพที่หลงผิด และยังไม่หลุดพ้นจากความยึดติดถือมั่น ซึ่งว่าที่จริงก็พันกันอยู่เป็นเรื่องเดียวกัน คือ พูดรวมเข้าด้วยกันได้ว่า พวกเขาหลงผิดหยิบเอาภาพอัตตาที่ติดมาจากอุปาทานเดิมของตน ไปปิดทับสภาวะหรือกระบวนการที่มีอยู่ตามธรรมชาติเสีย เลยวนเวียนติดตันอยู่ตามเดิม ความหลุดพ้นนี้ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะให้เข้าถึงหรือรู้ประจักษ์สภาวะที่จริงแท้ได้ เพราะสภาวะจริงแท้ขั้นสุดท้ายหรืออสังขตธรรม มีภาวะตรงข้ามกับสภาวะฝ่ายปรุงแต่งหรือสังขตธรรม เป็นสภาวะที่ถึงเมื่อสภาวะฝ่ายสังขตะสิ้นสุดลง คือเป็นสภาวะที่จะเข้าถึงเมื่อละความยึดถือในอัตตาได้แล้ว แม้แต่จะพิจารณาในระดับสังขตธรรมคือสังขาร เมื่อพิจารณาตามแนวพุทธธรรมดังได้บรรยายมาแล้วข้างต้นว่า อัตตาหรือตัวตนเป็นสิ่งสมมติ สภาวะที่จริงแท้ย่อมเป็นสิ่งตรงข้ามกับสมมติ เป็นคนละเรื่องคนละด้านกัน อัตตามีสำหรับสิ่งสมมติ เมื่อพ้นจากสมมติจึงจะเข้าถึงสภาวะจริงแท้ สภาวะจริงแท้ก็คือไม่เป็นอัตตา พูดง่ายๆ อย่างชาวบ้านว่า ของจริงต้องไม่เป็นอัตตา ถ้ายังเป็นอัตตาก็ไม่ใช่ของจริง หรือพูดอีกสำนวนหนึ่งว่า พอพ้นสมมติ อัตตาก็หมด พอเลิกยึด อัตตาก็หายตัวการสำคัญของความหลงผิด ก็คือบัญญัติหรือภาพของอัตตา กับความยึดติดถือมั่นหรือความยึดถือในเมื่ออัตตาหรือตัวตนไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงของสมมติ มันจึงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกยึดถือเอาไว้ ฉะนั้น

ในสุตตนิบาตที่อ้างข้างต้น คำว่า “อตุตา” หรือ “อตตํ” จึงแปลได้ ๒ อย่าง คือ แปลว่าตัวตน หรือการยึดถือตัวตนก็ได้ แปลว่า สิ่งที่ยึดถือเอาไว้ก็ได้ หมายความว่า ตัวตน ก็คือสิ่งที่ยึดถือเอาไว้เท่านั้นเอง มิใช่สภาวะที่มีอยู่จริง อีกประการหนึ่ง ในสุตตนิบาตที่อ้างถึงนั่นแหละ ท่านกล่าวถึง “อตตา” คู่กับ “นิรตุตา” หรือ “อตตํ” คู่กับ “นิรตตํ” และบอกว่า พระอรหันต์หรือผู้ปฏิบัติชอบ ไม่มีทั้งอัตตาหรืออัตตัง และไม่มีทั้งนิรัตตาหรือนิรัตตัง นิรัตตาหรือนิรัตตัง ก็แปลได้ ๒ อย่างเช่นเดียวกับอัตตาหรืออัตตัง คือแปลว่า (การยึดถือว่า) ไม่มีอัตตา หรือการถือว่า (อัตตา) ขาดสูญ ก็ได้ แปลว่า สิ่งที่จะต้องปล่อยละหรือสลัดทิ้งก็ได้ ข้อนี้หมายความว่า เมื่อไม่ยึดถือว่ามีอัตตาแล้ว เลิกความเห็นผิดยึดถือผิดต่อสิ่งสมมติได้เสร็จแล้ว ก็แล้วกัน จบเท่านั้น ไม่ต้องไปยึดถืออีกว่าไม่มีอัตตา ตัวเองจะเป็นอิสระสบายดีอยู่แล้ว แต่ไปจับยึดสิ่งที่พาให้ผิดเข้า เมื่อเลิกจับเลิกยึดได้แล้ว ก็จบเรื่องไม่ต้องไปจับไปยึดอะไรอีก เมื่อไม่มีสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่มีสิ่งที่จะต้องละต้องปล่อย เหมือนดังพุทธพจน์ที่ว่า

“สิ่งที่ยึดถือไว้ก็ไม่มี แล้วสิ่งที่ต้องปล่อยละจะมีมาแต่ที่ไหน” (นตถํ อตุตา กุโต นิรตตํ วา) (*๑๘๕)  พึงสังเกตด้วยว่า ถ้าจะพูดกันให้ถูกต้องจริงๆ แล้ว แม้แต่คำว่าความยึดถืออัตตา ก็ใช้ไม่ได้ ต้องพูดว่าความยึดถือในภาพของอัตตา หรือยึดถือบัญญัติแห่งอัตตา เพราะอัตตาเป็นเพียงสิ่งสมมติ ไม่มีอยู่จริง ในเมื่ออัตตาไม่มีอยู่จริง ก็เพียงไม่ยึดถือ (ว่ามี) อัตตา หรือไม่ยึดถือบัญญัติของอัตตาเท่านั้น ไม่ต้องละอัตตา เพราะไม่มีอัตตาที่จะยึดถือได้ จะไปละอัตตาที่ไหน การถือ (ว่ามี) อัตตา ก็คือการสร้างภาพอีกอันหนึ่งขึ้นมาซ้อนสภาพความเป็นจริงที่มีอยู่เป็นไปอยู่ สิ่งที่จะต้องทำ ก็เพียงเลิกสร้างภาพนั้นเท่านั้น ถ้าไม่เลิกสร้างภาพนั้น แม้เลิกยึดอย่างหนึ่งแล้ว ไปจับสิ่งอื่นอะไรก็ตาม ก็จะเอาภาพหรือคราบของอัตตาไปปะติดหรือป้ายหรือฉาบทาสิ่งนั้น ให้ไม่เห็นตัวจริง หรือเห็นผิดเพี้ยนไป ดังนั้น กิจที่จะต้องทำ ก็คือ ถอนเลิกความยึดติดถือมั่นในภาพอัตตาที่เคยมีแล้วไม่ยึดอะไรใหม่ว่าเป็นอัตตา และทั้งไม่ตกไปใน นิรัตตา ก็จะมีแต่สภาวะแท้ที่มีอยู่จริง ซึ่งไม่เกี่ยว ไม่เป็นไปตาม ไม่ขึ้นต่อความยึดถือของตน ในเมื่อตัวตนเป็นสิ่งสมมติ เป็นบัญญัติ (concept) เพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร ถ้าเราเพียงแต่รู้เท่าทันใช้โดยไม่ยึดติด มันก็ไม่มีพิษสง ไม่ก่อให้เกิดโทษความเสียหายอันใด และถ้าเราเคยยึดถือมัน ก็เพียงแต่เลิกยึดเท่านั้น เมื่อไม่มีการยึดแล้ว ก็เป็นอันจบเรื่อง ไม่ต้องเอาภาพอัตตาไปใส่ให้อะไรอีก ไม่ต้องไปคว้าเอาอะไรมายืดเป็นอัตตาอีก ตลอดจนไม่ต้องไปค้นหาอัตตาที่ไหนอีก

เพราะฉะนั้น ภาระในการสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีเพียงแค่ทรงสอนให้เลิกยึดถืออัตตาที่ยึดถืออยู่แล้วเท่านั้น คือให้เลิกยึดถือขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เมื่อเลิกยึดอัตตาแล้ว ก็เป็นอันหมดเรื่องกับอัตตา ต่อนั้นไปก็เป็นเรื่องของการเข้าถึงสภาวะที่จริงแท้ ซึ่งมีอยู่ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอัตตา จึงเรียกว่าเป็นอนัตตา เป็นเรื่องพ้นจากการยึดถืออัตตาแล้ว และก็ไม่ต้องไปยึดถือต่อไปอีกว่ามีอัตตาหรือไม่มีอัตตา สิ่งที่ไม่มี เมื่อรู้ว่าไม่มีแล้ว ก็เสร็จเรื่องกัน จากนั้นก็เข้าถึงสิ่งที่มีจริงหรือสภาวะจริงแท้ คืออสังขตธรรม ซึ่งไม่ต้องพูดถึงอัตตาอีกต่อไป ผลร้ายที่สำคัญอย่างหนึ่งของการยึดติดในอัตตา หรือยึดถือบัญญัติแห่งอัตตา ก็คือ ผู้ยึดถือจะโยงอัตตานี้เข้ากับความหมายว่า เป็นตัวแกนหรือตัวการที่มีอำนาจบังคับบัญชาบันดาลให้เป็นไปต่างๆ เมื่อความคิดในเรื่องอัตตานี้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปจนถึงสภาวะขั้นสุดท้าย ก็จะสร้างความคิดให้มีอัตตาหรืออาตมันใหญ่อันเป็นสากล ที่เป็นผู้สร้างผู้บันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง จินตนาการให้มีพระผู้สร้างเข้ามาซ้อนแทรกแซงกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยโดยไม่จำเป็น ที่ว่าไม่จำเป็น ก็เพราะสภาวธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ได้เอง กระบวนธรรมก็สัมพันธ์กันเกิดความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันอยู่เอง โดยไม่ต้องมีผู้สร้างผู้บันดาล ถ้าจะว่าต้องมีผู้สร้างก่อนเป็นเบื้องแรกจึงจะมีสิ่งทั้งหลายได้ จึงต้องมีพระเจ้าเป็นผู้สร้างสภาวธรรม ถ้าเช่นนั้นก็ให้สภาวธรรมทั้งหลายนั่นแหละเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนเป็นเบื้องแรกแทนพระเจ้าเสียเลย (เพราะสภาวธรรมก็ปรุงแต่งกันตามเหตุปัจจัย เรียกอย่างง่ายๆ ว่าสร้างกันและกันเองได้อยู่แล้ว) จะได้ตัดปัญหา ไม่ต้องไปวุ่นวายตอบคำถามย้อนต่อไปอีกว่า อะไรมีอยู่ก่อนแล้วพระเจ้าจึงมีขึ้นได้ หรือว่าใครสร้างพระเจ้า คือใครให้กำเนิดพระเจ้า หรือว่าพระเจ้ามาจากไหน

ถ้าจะว่า การที่สภาวธรรมทั้งหลายหรือกระบวนธรรมต่างๆ จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ต้องมีผู้บันดาลให้เป็นไป คือมีพระเจ้าอยู่เบื้องหลัง ข้อนี้ก็เกินจำเป็น และไม่สมจริงอีก เพราะถ้ามีพระเจ้าเป็นผู้บันดาลจริง ก็จะกลายเป็นว่ามีระบบซ้อนกันอยู่ ๒ ชั้น คือ พระเจ้าชั้นหนึ่ง กับกระบวนธรรมอีกชั้นหนึ่ง กระบวนธรรมจะเป็นไปอย่างไร ก็ต้องรอการบันดาลจากพระเจ้า แต่กระบวนธรรมจะเป็นไปตามการบันดาลของพระเจ้าก็ไม่สะดวกเพราะมันจะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยภายในระบบของมันเองอยู่แล้ว คือองค์ประกอบต่างๆ เกิดดับ ก็สัมพันธ์เป็นปัจจัยส่งต่อสืบทอดแก่กันในกระบวนธรรม การบันดาลของพระเจ้าเลยจะกลายเป็นการแทรกแซงขัดขวางและขัดแย้งกับความเป็นไปของกระบวนธรรมเสียมากกว่า ยิ่งกว่านั้น ถ้าพระเจ้าบันดาล พระเจ้ามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ ก็จะให้สภาวธรรมเป็นไปตามพระประสงค์เดี๋ยวก็จะให้เป็นไปอย่างโน้น เดี๋ยวก็จะให้เป็นไปอย่างนี้ กระบวนธรรมก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็จะยิ่งปั่นป่วนวุ่นวายมาก แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น กระบวนธรรมก็คงเป็นไปของมันตามเหตุปัจจัย ถ้าจะว่า ที่กระบวนธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นก็เพราะเป็นกฎ และพระเจ้าเป็นผู้สร้างหรือวางกฎนั้นไว้ ถ้าเช่นนั้น กฎก็จะต้องไม่แน่นอน อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อไรก็ได้ ไม่อาจวางใจได้ เพราะมีผู้วางกฎ และผู้วางกฎก็ยังอยู่ต่างหากจากกฏ อีกทั้งมีความประสงค์ของตนที่เปลี่ยนแปรได้ เพิ่มลดดัดแปลงได้ แต่ตามความเป็นจริงกฎก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


ในทางกลับกัน ตามความเป็นจริงนั้น ก็ไม่จำเป็น และไม่อาจจะมีผู้สร้างกฎด้วยซ้ำ เพราะสภาวธรรมทั้งหลายจะต้องเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง และมันก็ได้เป็นมาอย่างที่มันเป็นอยู่นี้ คือเป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยที่มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ตถตา) เพราะมันไม่เป็นและไม่อาจจะเป็นไปอย่างอื่น (อวิตถตา) กฎเป็นเพียงบัญญัติ (concept) ซึ่งเกิดจากการที่สภาวธรรมทั้งหลายมันเป็นไปอย่างนั้นต่างหาก อนึ่ง การไม่มีพระเจ้าผู้สร้างผู้บันดาล และการที่กระบวนธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเองนั้น ยังตัดปัญหาไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ สภาวะแท้จริงขั้นสุดท้าย หรืออสังขตธรรม ก็มีอยู่ตามสภาวะของมัน โดยไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวเป็นผู้สร้างผู้บันดาลสิ่งต่างๆ ไม่ต้องมาแทรกแซงขัดขวางหรือขัดแย้งกับกระบวนธรรมฝ่ายสังขตะ (ในแง่นี้จะเห็นว่า นิพพานไม่มีทางเป็นพระเจ้า หรือ God ได้เลย ไม่ว่าบางท่านจะพยายามเพียงใดก็ ตามที่จะเทียบให้เป็นอย่างเดียวกัน นอกจากจะยอมปรับความหมายของ God เสียใหม่) (*๑๘๖)

เมื่อว่าโดยสามัญวิสัย ย่อมเป็นธรรมดาที่มนุษย์ทั่วไปจะต้องคิดว่ามีตัวตน มีพระผู้สร้างผู้บันดาลโลกและชีวิต เพราะตามที่มองเห็นด้วยสายตา การที่อะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นไปอย่างไร ก็ต้องมีผู้สร้างหรือผู้ทำ ส่วนการที่จะมองเห็นเหตุปัจจัยซึ่งเป็นไปอยู่เบื้องหลังภาพของผู้สร้างผู้ทำนั้น เป็นเรื่องลึกซึ้งเห็นได้ยาก ดังนั้น ในสมัยโบราณ แม้แต่ฟ้าร้อง ลมพัด น้ำท่วม แผ่นดินไหว ก็จึงเข้าใจกันไปว่ามีเทวดาประจำอยู่เป็นผู้ทำทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงมิใช่เรื่องแปลก ที่สมณพราหมณ์ผู้ประเสริฐหรือเจ้าลัทธิชั้นพรหม จะพากันมาติดอยู่ในความคิดเรื่องอัตตาหรืออาตมัน และพระผู้สร้างผู้บันดาล ท่านผู้ใดมีปัญญามาก ก็ทำความคิดในเรื่องนี้ให้ละเอียดซับซ้อนกว้างขวางมาก แต่โดยสาระก็พากันมาวนเวียนติดอยู่ที่จุดเดียวกันนี้

การที่พระพุทธเจ้า ซึ่งก็น่าจะติดอยู่ในวงความคิดนั้น แล้วขยายบัญญัติให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไป แต่
กลับทรงค้นพบความเป็นอนัตตา หลุดพ้นจากความยึดถือตัวตน มาทรงแสดงให้เห็นว่ากระบวนธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัยได้อย่างไรโดยไม่ต้องมีผู้สร้างผู้บันดาล และอสังขตธรรมซึ่งเป็นสภาวะแท้จริงสูงสุด มีอยู่ได้โดยไม่ต้องเป็นอัตตา ไม่ต้องเกี่ยวกับการสร้างสรรค์บันดาลอย่างไร ข้อนี้จึงนับเป็นความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง แห่งวิวัฒนาการทางปัญญาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เป็นการถอนตัวหลุดพ้นจากหลุมดักอันใหญ่โตแสนลึก ที่มหาชนพากันมาตกติดอยู่ นักปราชญ์ยิ่งใหญ่ในอดีตก่อนหน้านั้น แม้จะเข้าใจถึงหลักอนิจจตา และทุกขตา แต่ก็มาติดอยู่ในความคิดเรื่องอัตตา ความเป็นอนัตตาจึงเป็นภาวะที่เห็นได้ยากมากพระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงอธิบายความเป็นอนัตตา ก็มักต้องทรงแสดงโดยใช้อนิจจลักษณะและทุกขลักษณะเป็นเครื่องช่วยชี้นำ ข้อที่ว่าอนัตตตาเห็นได้ยากจนต้องใช้อนิจจตาและ ทุกขตาเป็นเครื่องช่วยอธิบายก็ดี การค้นพบอนัตตาเป็นความก้าวหน้าสำคัญของปัญญา และไม่ปรากฏก่อนหรือนอกพระพุทธศาสนาก็ดี เป็นเรื่องที่พระอรรถกถาจารย์ก็ได้ตระหนักอยู่แล้ว ดังจะยกคำกล่าวของท่านมาแสดงไว้ดังต่อไปนี้ (*๑๘๗)

“แท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอนัตตลักษณะ ย่อมแสดงด้วยความไม่เที่ยงบ้าง ตัวความเป็นทุกข์บ้าง ด้วยทั้งความไม่เที่ยงและความเป็นทุกข์บ้าง ในข้อที่ว่านั้น พระองค์ทรงแสดงอนัตตลักษณะ ด้วยความไม่เที่ยง ในพระสูตรนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลใดพึงกล่าวว่า จักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) เป็นอัตตา, คำกล่าวของผู้นั้นไม่สม (เพราะว่า) จักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) ย่อมปรากฎแม้ความเกิด แม้ความเสื่อม, ผู้มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปปรากฏนั้น ก็จะต้องลงเนื้อความว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นและเสื่อมไป, เพราะฉะนั้น คำที่กล่าวว่าจักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) เป็นอัตตานั้น จึงไม่สม. จักขุ (ตลอดถึงกายและใจ) ย่อมเป็นอนัตตา ฉะนี้” (*๑๘๘)

“พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักษณะ ด้วยความเป็นทุกข์ ในพระสูตรนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา ก็ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้วไซร้, รูปนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ (มีความบีบคั้นข้องขัด-ทุกข์) และใครๆ ก็ฟังได้ (ตามปรารถนา) ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้ รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้ แต่เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ -ทุกข์) และจึงไม่ได้ (ตามปรารถนา) ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้, รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้” (*๑๘๙)

“พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักษณะ ด้วยทั้งความไม่เที่ยงและความเป็นทุกข์ในพระสูตรทั้งหลาย เช่นที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง, สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา, สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นพึงเห็นด้วยสัมมาปัญญา ตามที่มันเป็นอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา, มิใช่เราเป็นนั่น, นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” (*๑๙๐)

เพราะเหตุไร จึงทรงแสดงอย่างนี้? เพราะความไม่เที่ยงและความเป็นทุกข์เป็นสภาพปรากฎ (คือมองเห็นได้ง่าย) จริงทีเดียว เมื่อถ้วย ชาม ขัน หรือวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง ตกจากมือแตก ชนทั้งหลายย่อมกล่าวว่า “โอ้ อนิจจัง” อย่างนี้ ความไม่เที่ยง จึงชื่อว่าเป็นของปรากฎ เมื่อฝีและตุ่มเป็นต้นเกิดขึ้นตามร่างกาย หรือถูกตอถูกหนามเป็นต้นที่มตำ ชนทั้งหลายย่อมกล่าวว่า “โอย ทุกข์นะ” อย่างนี้ ทุกข์จึงชื่อว่าเป็นของปรากฏ ส่วนอนัตตาลักษณะ ไม่ปรากฏ คือไม่กระจ่างแจ้ง เข้าใจตลอดได้ยาก แสดงได้ยาก บัญญัติได้ยาก

“อนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะนั้น พระตถาคตทั้งหลายจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ก็ย่อมปรากฎ, แต่อนัตตลักษณะ ย่อมไม่ปรากฏ นอกจากพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้น, จะปรากฏก็แต่ในอุบัติกาลของพระพุทธเจ้าเท่านั้น”

“จริงอยู่ ท่านดาบสและปริพาชกทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ดังเช่นสรภังคศาสดา เป็นต้น ย่อมสามารถกล่าวว่า อนิจจัง ทุกขัง ได้ แต่ไม่สามารถที่จะกล่าวว่า อนัตตาแม้นหากว่าท่านสรภังคศาสดาเป็นต้นเหล่านั้น จะพึงสามารถกล่าวว่าอนัตตา แก่บริษัทที่ประชุมกันได้แล้ว, บริษัทที่มาประชุมกัน ก็คงจะมีการบรรลุมรรคผลได้ แท้จริง การบัญญัติ (ยกขึ้นมาวางให้ดู) อนัตตลักษณะ มิใช่วิสัยของใครๆ อื่น, หากเป็นวิสัยของพระสัพพัญญพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น. อนัตตลักษณะนี้เป็นของไม่ปรากฏโดยนัยดังกล่าวฉะนี้”

๑๘๓ พระไตรปิฎกบาลีอักษรไทย ฉบับสยามรัฐ เป็น อตุตา และ นิรตตํ บ้าง เป็น อตตํ และ นิรตุติ บ้าง ดู ขุ.สุ.๒๕/๔๑๐/๕๘๘ ; ๔๑๗/ ๕๐๑; ๔๒๑/๕๑๔, และดูประกอบ ๒๕/๔๑๑/๔๘๙, ๔๑๒/๔๙๑ ; ๔๓๕/๕๔๕) แต่ฉบับอื่นๆ เท่าที่พบเป็น อตุตา และ นิรตุตา ทั้งนั้น
๑๘๔ ดู ขุ.ม.๒๙/๑๐๗/๙๗; ๔๒๗/๒๙๗; ๗๒๑/๔๒๖ และดูประกอบ ขุ.ม.๒๙/๑๒๒/๑๐๗; ๑๖๔/๑๒๙; ขุ.จู.๓๐/๔๐๒/๑๙๓
๑๘๕ ขุ.สุ.๒๕/๔๒๑/๕๑๔; อธิบายใน ขุ.ม.๒๙/๗๒๑/๔๒๖
๑๘๖ ว่าที่จริง ทั้งคำว่าพระเจ้า และคำว่า God ต่างก็จัดอยู่ในจำพวกคำที่มีขอบเขตความหมายไม่ลงตัว คำว่าพระเจ้านั้น แต่เดิมเป็นคำที่ชาวพุทธใช้เรียกพระพุทธเจ้า (พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นคำเรียกพระภิกษุ) ต่อมา เมื่อชาวคริสต์ใช้คำนั้นเรียกเทพสูงสุดของตนแล้ว ชาวพุทธก็ปล่อยจนลืมความหมายที่ตนเคยใช้เดิม ส่วนคำว่า God ชาวคริสต์ใช้เรียกเทพสูงสุดที่ตนนับถือว่าเป็นผู้สร้างโลก มีลักษณะเป็นตัวบุคคล แต่นักปรัชญาบางคนแปรขยายความหมายของ God ออกไปเป็นสภาวะนามธรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการสร้าง
โลก นักปราชญ์คริสต์สมัยใหม่บางท่านก็อธิบายความหมายของ God ใหม่อย่างเป็นนามธรรม ไม่เป็นตัวบุคคล แต่สถาบันศาสนาคริสต์ไม่ยอมรับ (ถ้าไม่ถึงกับถือหรือประณามว่านอกคอก), Hans King ใน Does God Exist? An Answer for Today, trans. Edward Quinn (London: Collins, 1980), pp. 594-602] เมื่อพยายามเปรียบเทียบ God กับ นิพพาน ก็ตระหนักดีถึงความแตกต่างในแง่ที่นิพพานไม่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์บันดาลโลก
๑๘๗ วิภงฺด.อ.๖๓-๖๔; และบางส่วนใน ม.อ.๒/๑๕๑-๒; วินยฎีกา ๔/๘๒
๑๘๘ ม.อุ.๑๔/๘๑๘/๕๑๒
๑๘๙ สํ.ข.๑๗/๑๒๗/๘๒
๑๙๐ เช่น สํ ข.๑๗/๔๒/๒๘

🔅 บทที่ ๓ ไตรลักษณ์
คำอธิบายไตรลักษณ์ตามหลักวิชาในคัมภีร์
๑. ความเข้าใจเกี่ยวกับศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
วิเคราะห์ความหมายของไตรลักษณ์
                พิเศษ: ทุกข์ในอริยสัจ แยกให้ชัด จากทุกข์ในไตรลักษณ์
                    (ก) หมวดใหญ่ของทุกข์ 
                ชุดที่ ๑ ทุกข์ ๑๒
                ชุดที่ ๒ ทุกข์ ๒
                ชุดที่ ๓ ทุกข์ ๒
                ก) ขอบเขตความหมาย
                ข) ความหมายพื้นฐาน
                ค) ความหมายที่ไม่ต้องอธิบาย
                ง) ความหมายที่อธิบายทั่วไป
            ๔. อัตตา - อนัตตา และ อัตตา - นิรัตตา
                อัตตา กับ มานะ
        คุณค่าทางจริยธรรม
            จ. คุณค่าทางจริยธรรมของไตรลักษณ์ตามลำดับข้อ
                ๑. อนิจจตา
                ๒. ทุกขตา
                ๓. อนัตตตา