วันจันทร์

เอาธรรมไปเป็นหลักประกันชีวิตและสังคมไว้ให้เจริญอย่างเดียวไม่มีเสื่อม

อีกประการหนึ่งที่ควรจะเป็นข้อคิด ก็คือ การที่เราจะเข้าถึงธรรมด้วยอาศัยคำสอนของพระองค์ ให้บรรลุสิ่งประเสริฐแห่งชีวิตของเรานี้ย่อมเป็นกิจส่วนตัวของแต่ละคน ซึ่งเราทุกคนมีหน้าที่สำหรับชีวิตของตนๆ เราควรจะต้องเข้าถึงสิ่งที่ดีงามที่ประเสริฐสุดของชีวิต คือการเข้าถึงธรรมอันจะทำให้ได้รับผลแห่งอมตะ อันเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา แต่พร้อมกันนั้น อีกด้านหนึ่ง คือ ในด้านที่เกี่ยวกับสังคม หรือการดำรงอยู่ของหมู่มนุษย์ เราจะต้องรู้ตระหนักถึงความเป็นไปของสรรพสิ่งที่เป็นสังขาร ว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย มีความเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง แต่ทีนี้ อนิจจัง ที่เป็นความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับตัวมนุษย์ และสังคมมนุษย์นั้น เรามีศัพท์เรียกพิเศษ

อธิบายว่า ที่จริง ความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นของกลางๆ แต่เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปในด้านหนึ่ง ก็ถูกใจมนุษย์ เมื่อเปลี่ยนแปลงไปอีกด้านหนึ่ง ก็ไม่ถูกใจมนุษย์ ทั้งที่ว่า ในแง่ของธรรมชาติ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นกลางๆ ไม่เข้าใครออกใคร คือ ธรรมชาตินี้ไม่ได้ดีไม่ได้ร้ายเมื่อพูดในแง่ของกฎแห่งความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นมันก็เป็นธรรมดาของธรรมชาติ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นปรากฏแก่มนุษย์ในแง่ที่ว่า ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นที่ปรารถนา ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่เป็นที่ปรารถนา ความเปลี่ยนแปลงที่เราปรารถนา เราเรียกว่า “ความเจริญ" ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปรารถนา เราเรียกว่า “ความเสื่อม" ความเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่าความเสื่อม หรือความเจริญนั้น เป็นเรื่องของมนุษย์ เกี่ยวพันกับความต้องการของมนุษย์ มนุษย์นี้เป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งที่สำคัญในการที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และมนุษย์ที่จะมาเป็นเหตุปัจจัยนี้ ถ้าเป็นผู้ที่มีสติปัญญา สามารถนำเอาความรู้ในความจริงของธรรมชาติมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่พึงประสงค์สำหรับตนได้ และความเปลี่ยนแปลงในทางที่พึงประสงค์ ที่เกิดจากการทำเหตุปัจจัยให้ตรงกับผลอย่างนั้นได้นี้แหละ เรียกว่าความเจริญ

ฉะนั้น มนุษย์ที่มีสติปัญญา เมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว จะได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือ เขาสามารถที่จะใช้ความรู้ในการเข้าถึงเหตุปัจจัยนั้น มากระทำเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่พึงปรารถนา ที่เรียกว่า ความเจริญ พร้อมกันนั้น เขาก็สามารถรู้เข้าใจเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าความเสื่อม แล้วด้วยความรู้นั้น เขาก็สามารถป้องกันแก้ไขกำจัดเหตุปัจจัยแห่งความเสื่อม และสร้างเหตุปัจจัยแห่งความเจริญนั้นได้ 

คนที่มีปัญญา จึงสามารถทำให้สังคม รวมทั้งชีวิตของตน มีความสุขความเจริญดีงามขึ้นไปได้อันนี้เป็นจุดสำคัญอย่างหนึ่งในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า เหตุปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยแห่งความเสื่อมและความเจริญ มนุษย์มีส่วนเข้าไปจัดการได้ และอันนี้ก็เป็นผลส่วนหนึ่งของการมีปัญญาที่เข้าถึงธรรม แล้วนำความรู้ในธรรม โดยเฉพาะในเหตุปัจจัย มาใช้ให้เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าตรัสถึงกับว่า ถ้าเรารู้จักปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง เราจะสามารถสร้างสรรค์สังคมและประเทศชาติของเราให้มีแต่ความเจริญ
ไม่มีความเสื่อมก็ได้ อย่างเช่นในหลักอปริหานิยธรรม พระองค์ได้ตรัสแสดง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม หรือธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม พระองค์ถึงกับตรัสเป็นหลักประกันว่า "ตราบใดที่พระภิกษุทั้งหลายยังประพฤติปฏิบัติตั้งอยู่ในอปริหานิยธรรม ก็พึงหวังได้แต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อมเลย" แม้ในด้านชาวบ้าน รวมถึงทางฝ่ายบ้านเมือง ก็ตรัสไว้ก่อนแล้ว คือ แก่พวกกษัตริย์ลิจฉวี แคว้นวัชชี ที่เราผ่านมาแล้ว พระองค์ตรัสว่า "ถ้าหากกษัตริย์ลิจฉวี ชาวแคว้นวัชชี ยังตั้งอยู่ในอปริหานิยธรรม ๗ ประการ ที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ ชาววัชชีก็จะมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม ไม่มีใครจะสามารถมาทำลายได้" อันนี้ก็เป็นการนำธรรมมาใช้ประโยชน์อย่างหนึ่ง

ทรงแสดงหลักอปริหานิยธรรมแก่จ้าวลิจฉวี

เป็นอันว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องเกี่ยวกับธรรมดาของสังขาร และการเข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลายนี้ มีคติที่เป็นประโยชน์ต่อแต่ละชีวิตของแต่ละบุคคล คือสอนว่า เราจะมัวมาฝากความหวัง ฝากความสุขแห่งชีวิตของเรา ไว้กับสิ่งทั้งหลายที่เป็นสังขารภายนอกอันไม่เที่ยงแท้ ไม่เป็นสาระที่แท้จริงไม่ได้ เราควรจะเข้าถึงธรรมที่เป็นสาระเป็นแก่นสารที่แท้จริง ที่จะทำให้ชีวิตมีความประเสริฐ เลิศ มีความสุข ไร้ทุกข์ เข้าถึงความเป็นอิสระได้ พร้อมกันนั้น ในทางสังคม ก็สามารถน้อมนำเอาความรู้ในธรรมที่หยั่งถึงเหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลายนี้ไปใช้ประโยชน์ ในการที่จะสร้างสรรค์สังคม ทำให้สังคมมีความเจริญงอกงาม ด้วยการตั้งอยู่ในธรรม ที่เป็นหลักสำคัญ คือ ความไม่ประมาท

สาระสำคัญในวันนี้ก็คือ การโยงจากภาพที่เราพบเห็น ไปหาคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ้าเราเข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็จะได้รับประโยชน์เป็นอันมาก จุดที่จะต้องก็มีสองส่วนอย่างที่กล่าวมา ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละคน ที่จะให้เข้าถึงสิ่งที่ดีงาม ที่ประเสริฐ แล้วก็มาช่วยกันสร้างสรรค์สังคม ให้หมู่มนุษย์มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป อย่างที่พระองค์ทรงรับรองยืนยันไว้แล้วว่า ถ้าเราเข้าใจเหตุ ปัจจัยแห่งความเสื่อมและความเจริญแล้วปฏิบัติตามนั้น โดยไม่มัวแต่ทอดทิ้งสติ ไม่มัวแต่ปล่อยปละละเลยลุ่มหลงมัวเมาเสีย เราก็สามารถจะทำให้มีแต่ความเจริญ ไม่มีเสื่อมก็ได้ นี่ก็คือการใช้ธรรมให้เป็นประโยชน์นั่นเอง และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้สําเร็จ ต้องอาศัยปัญญา ซึ่งจะพัฒนาขึ้นมา และงอกงามสมบูรณ์บนฐานแห่งศรัทธาที่เป็นไปอย่างเหมาะสมถูกทาง วันนี้เราได้มา ณ ที่นี่แล้ว (พระมูลคันธกุฎี) โดยศรัทธาเป็นตัวนำเรามา แล้วก็ได้มานมัสการสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับ เมื่อศรัทธาได้ทําหน้าที่ของมันอย่างดีเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้ศรัทธานั้นยังประโยชน์ให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมาเชื่อมต่อเข้ากับปัญญาที่จะเข้าถึงธรรม ดังที่กล่าวมา แล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแก่พระ วักกลิ ก็จะเกิดผลต่อตัวเราด้วย

อย่างที่กล่าวแล้วว่า อย่ามัวแต่หลงอยู่แค่รูปกายของพระองค์เท่านั้น ผู้ใดถึงแม้แต่เกาะชายสังฆาฏิของพระองค์ ตามพระองค์ไปตลอดเวลาทุกย่างพระบาท ก็ไม่ชื่อว่าเห็นพระองค์ การที่จะเห็นองค์พระพุทธเจ้าก็คือ ต้องเห็นธรรม การจะเห็นธรรมได้ ก็ต้องอาศัยพระพุทธองค์นั่นแหละ เพราะพระวรกายของพระพุทธเจ้าที่เสด็จเคลื่อนไหวไปในที่ต่างๆ นั้น ก็นำเอาธรรมไปด้วย และเอาไปประกาศ เมื่อเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นโอกาสให้ได้ฟังธรรมของพระองค์ จากการฟังธรรมของพระองค์ เราก็สามารถเข้าถึงธรรม เมื่อเราเข้าถึงธรรมนั่นก็คือ ศรัทธานำไปสู่ปัญญาทำให้เกิดผลงอกงามอย่างที่กล่าวมา จึงขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่าน ที่ได้เดินทางมาด้วยศรัทธา ขอให้ทุกท่านมีปีติ มีความอิ่มใจว่า ถึงแม้ว่าเราจะทุกข์ยากลำบากแค่ไหนก็ตามในการเดินทางมาถึงที่นี่ เราได้สละเวลา สละเรี่ยวแรง และกำลังกาย และ สละกำลังทรัพย์ มาจนถึงจุดหมายแห่งนี้แล้ว อันเป็นจุดสุดยอดแห่งหนึ่ง การเดินทางของเรา เราได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว

พระธรรมปิฎก (สมณะศักดิ์ในขณะนั้น) ณ. คันธกุฎี ปี ๒๕๓๘

ขอให้ทุกท่านเกิดความสมใจปรารถนา มีปีติ อิ่มใจ ดังที่กล่าวมาแล้ว ปีตินี้จะเป็นเครื่องบำรุงใจให้มีกำลังและเข้มแข็งมั่นคง แท้จริง คนที่มีความปีติอิ่มใจนี้ สามารถอดอาหารได้นานๆ เพราะว่ามีปีติเป็นภักษา ปีติเป็นความอิ่มชนิดหนึ่ง คนเรารับประทานอาหาร ก็ได้ความอิ่ม แต่เป็นความอิ่มกาย เมื่ออิ่มกายแล้วก็ดำรงรักษาร่างกายไว้ได้ แม้ความอิ่มใจก็เหมือนกัน ความอิ่มใจก็หล่อเลี้ยงชีวิตของเรา ทำให้อยู่ได้นานๆ โดยมีปีติเป็นภักษา เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจ ความอิ่มใจนี้มีผลดียิ่งกว่าอาหารที่ทำให้มีความอิ่มกายเสียอีก ถึงแม้อิ่มกาย แต่ถ้าใจไม่สบาย หน้าตาไม่สดชื่นผ่องใส ทั้งๆ ที่มีอาหารกินดี แต่หน้าตาก็ไม่อิ่มเอิบ ไม่ผ่องใส แต่ถ้าอิ่มใจ ก็จะทำให้หน้าตายิ้มย่องผ่องใส มีความสุขที่แท้จริงได้ ถ้าโยมถือว่า ปีตินั้นเป็นส่วนของใจ เราต้องมีความอิ่มทางกายด้วย ก็ขอให้ความอิ่มใจมาเป็นส่วนเติมเต็ม ให้ความอิ่มกายนี้ได้ผลสมบูรณ์ เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจ จึงขอให้โยมทำใจให้เกิดปีติ เพื่อเป็นการปรุงแต่งในทางที่เป็นกุศล เรียกว่าบุญญาภิสังขาร อย่าไปปรุงแต่งให้เป็นบาปเป็นอกุศล การมาถึงนี้ ทำให้มีโอกาสปรุงแต่งใจด้วยบุญญาภิสังขาร ทำใจให้เป็นบุญกุศล แล้วบุญกุศลนั้น ก็จะปรุงแต่งให้ชีวิตของเรามีความเจริญก้าวหน้าพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และประสบความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ขออนุโมทนาโยมผู้ศรัทธาอีกครั้งหนึ่ง ขอเอากำลังใจมาร่วมอวยพรโดยอ้างคุณพระรัตนตรัย โดยเฉพาะเมื่อมาถึงสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับ ณ ที่นี้แล้ว ก็ขออ้างพุทธานุภาพ เป็นเครื่องอำนวยพรแด่โยมญาติมิตรทุกท่าน จงเจริญด้วยปีติสุขทั่วกัน ทุกเมื่อ เทอญ

วันศุกร์

ธรรม เป็นอิสระจากคน คนถึงธรรม เป็นอิสระจากสังขาร

ธรรมอย่างหนึ่งที่พระองค์ตรัสไว้ ที่พึงระลึกในเวลานี้ ก็คือ ธรรมในแง่ความจริงของสิ่งทั้งหลาย โดยเฉพาะความไม่เที่ยง คือภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป การที่เรามา ณ สถานที่นี้ มองในแง่หนึ่งก็เป็นเครื่องเตือนใจของเราให้ระลึกถึงความจริงข้อนี้ จะเห็นว่าสถานที่นี้ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้เหลือแต่ซากเพียงนิดเดียวเท่านั้น และแม้แต่ซากเท่าที่มองเห็นเหล่านี้ ก็ยังต้องอาศัยการขุดการแต่งจึงปรากฏได้ เพราะผ่านกาลเวลายาวนานตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว สถานที่นี้ก็ทรุดโทรมแตกหักปรักพังไป ความเป็นอนิจจังก็เข้ามาครอบงำสิ่งที่เป็นสังขารทั้งหลาย ไม่เฉพาะแต่พระคันธกุฎีเท่านั้น พระพุทธเจ้าเองก็ทรงล่วงลับดับขันธปรินิพพานไปแล้ว

มองกว้างออกไป ที่ตั้งของพระคันธกุฎีนี้ คือเมืองราชคฤห์ทั้งหมด ที่เคยเป็นเมืองหลวง เป็นราชธานีของมหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ คือแคว้นมคธ เคยเต็มไปด้วยผู้คนประชาชนพลเมืองมากมาย บัดนี้ก็ไม่มีอะไรเหลือเป็นร่องรอย ราชคฤห์ได้กลายเป็นที่รกร้าง ถิ่นห่างไกล อยู่ในชนบท เป็นบ้านนอกไป นี้คือความเปลี่ยนแปลงซึ่งเราจะเห็นได้ในเรื่องของความเสื่อมและความเจริญของสังคม ของประเทศชาติ ตลอดจนอารยธรรมทั้งหลาย ดังที่สังคมอินเดียที่เป็นชมพูทวีปได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ประเทศอินเดีย เคยเป็นดินแดนแห่งอารยธรรม มีความเจริญก้าวหน้า เป็นศูนย์กลางทางความคิด สติปัญญา และวิทยาการต่างๆ มากมาย แต่บัดนี้ อินเดียก็เสื่อมลงไป อารยธรรมก็จบสิ้นสลายลงไปเป็นยุคๆ จนกล่าวได้ว่า อินเดียที่เคยเป็นอู่เป็นแหล่งที่เกิดและที่ดำรงอยู่ของอารยธรรม ต่อมาก็ได้กลายเป็นสุสานของอารยธรรม เวลานี้อินเดียกลายเป็นตู้โชว์ของอดีต คือไม่มีอะไรที่ดีงามยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน มีแต่เรื่องของความรุ่งเรืองในอดีต เวลาเรามาอินเดีย ก็มาชมสิ่งที่เป็นหลักฐานแสดงความเจริญในอดีตเท่านั้น ส่วนในปัจจุบันนี้ เราจะได้เห็นแต่สภาพที่น่าสลดหดหู่ใจ ถ้าเราทำใจไม่ถูก ก็จะมีแต่ความหดหูเศร้าหมองขุ่นมัว หรือบางทีก็รำคาญหงุดหงิดด้วย จึงต้องเตือนกันอยู่เสมอว่า ถ้ามาอินเดียแล้วต้องทำใจให้ถูก อันนี้จึงเป็นคติเตือนใจ ให้มองเห็นความหมายหลายอย่าง นอกจากให้คติในอนิจจังความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลายแล้ว ยังทำให้เรามองตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ถึงเรื่องความเป็นไปตามเหตุปัจจัย และได้ความรู้จากการศึกษาสังคมของคนอินเดียด้วย

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธศาสนาเคยเจริญ ผู้คนก็มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต่อมา ถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธศาสนาเจริญยิ่งขึ้น แผ่ไพศาล ประชาชนก็มีความเจริญทั้งด้านวัตถุและจิตใจ ครั้นมาถึงบัดนี้ ประเทศอินเดียเป็นอย่างไร สภาพที่เราเห็นมีแต่ความยากจนข้นแค้น สกปรกรกรุงรัง ญาติโยมหลายคนอาจมีความไม่สบายใจ ถ้าเราไม่ได้ทำใจตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะสงสัยข้องใจว่ามันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความเสื่อมความเจริญ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะน้อมนำมาพิจารณาให้เกิดประโยชน์ เป็นเรื่องทางสติปัญญาทั้งสิ้น ดูอย่างง่ายๆ ว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดมีขึ้นมาอันเกี่ยวข้องกับสถานที่นี้ จะเป็นพระมูลคันธกุฎีบนเขาคิชฌกูฏนี้ก็ดี หรือกว้างออกไปข้างล่าง คือเมืองราชคฤห์ ตลอดจนดินแดนที่เราผ่านมา คือมหาอาณาจักรมคธ ทั้งหมด ที่เป็นชมพูทวีป มีเมืองปาตลีบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าที่เมืองราชคฤห์นี้ เพราะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ชมพูทวีปแห่งแคว้นมคธนี้แผ่ไพศาล จนได้กล่าวแล้วว่าใหญ่กว่าประเทศอินเดียในปัจจุบัน หรือในยุคใดๆ ก็ตามของชมพูทวีป

ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าเมืองราชคฤห์ หรือปาตลีบุตร หรือปัตนะ ก็มีแต่ความเสื่อมโทรมทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่แสดงถึงความเจริญ ถ้าไม่มีประวัติศาสตร์ ไม่มีนักค้นคว้า ไม่มีนักโบราณคดี มาเล่าขานบรรยายแสดงหลักฐาน คนก็ไม่รู้ว่าเมืองราชคฤห์อยู่ที่ไหน ปาตลีบุตรอยู่ที่ไหน สิ่งเหล่านี้สูญหาย ปรักหักพัง ทลายไป หายไป พร้อมกับกาลเวลา แม้แต่มหาอาณาจักรต่างๆ ก็หมดไปได้ พระพุทธเจ้าทรงเตือนเรา สอนเราไว้แต่พุทธกาล ดังที่จารึกในพระไตรปิฎก ตรัสเล่าเรื่องราวของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีต บางพระสูตรก็ตรัสถึงเมืองใหญ่ๆ เช่นในมหาสุทัสสนสูตร พระองค์ได้ตรัสแสดงเรื่องของเมืองกุสาวดี อันยิ่งใหญ่ในอดีต ตรัสพรรณนาถึงความรุ่งเรื่องงดงามความใหญ่โตของสิ่งก่อสร้างในพระราชวังต่างๆ แล้วท้ายที่สุดพระองค์ก็ตรัสว่า บัดนี้ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดได้สูญสลายสิ้นไปกับกาลเวลาแล้ว นี่แหละคือความเป็นอนิจจัง

บางแห่งก็ตรัสถึงความเป็นไปในพระชนมชีพของพระองค์เองว่า พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาสาวกและพระสาวกมากมายแวดล้อมเป็นบริวาร พระวรกายของพระองค์ก็สง่างาม มีฉัพพรรณรังสีเป็นที่ชื่นชม เสด็จไปทรงบำเพ็ญพุทธกิจในที่ต่างๆ ปรากฏเป็นเหตุการณ์อันตื่นตาตื่นใจมากมาย พระองค์ตรัสถึงความรุ่งเรืองและความสำเร็จในพระชนมชีพของพระองค์ แล้วลงท้ายก็ตรัสว่า ในที่สุดพระองค์ก็ต้องจากไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสังขาร มีความไม่เที่ยง จะต้องสูญสิ้น หรือแตกดับไปเป็นธรรมดา ทั้งหมดนั้นคือการที่พระองค์ตรัสเตือนเราให้น้อมรำลึกถึงธรรม ฉะนั้น เมื่อเราได้มายังสถานที่ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์อย่างนี้ อันเป็นความจริงของสิ่งทั้งหลายแล้ว ในแง่หนึ่งก็ให้มีความเจริญศรัทธาว่า เราได้มาเฝ้าถึงที่ประทับของพระองค์แล้ว ด้วยความเลื่อมใสที่มีต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พร้อมกันนั้น ศรัทธาของชาวพุทธก็ไม่ทันอยู่แค่นั้น แต่จะนำไปสู่ปัญญาขั้นที่หนึ่ง คือทำให้ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสแสดงไว้ แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราต้องการแสดงศรัทธาด้วยการบูชาพระพุทธเจ้า และนำเอาดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ พระองค์ก็ตรัสเตือนว่า การบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนที่เป็นอามิสบูชานี้ ยังไม่ใช่เป็นการบูชาที่มีผลมากอย่างแท้จริง ถ้าจะบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง ก็ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติ คือนำเอาธรรมของพระองค์มาใช้ประโยชน์ ให้เกิดผลในชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ฉะนั้น ปฏิบัติบูชา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมบูชา คือ การบูชาด้วยธรรม ซึ่งตรงกับการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ถ้าเราทำได้สำเร็จ ก็จะทำให้การมานมัสการสถานที่สำคัญ มีสังเวชนียสถาน เป็นต้น เกิดผลเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง นอกจากนั้น ก็น้อมนำจิตใจ มาระลึกนึกถึงธรรมในความหมายอย่างที่กล่าวเมื่อกี้ คือการระลึกถึงความจริงของสังขารทั้งหลายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วจะได้ไม่ฝากชีวิตเอาไว้กับของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้ล่วงลับไป แตกดับไป ก็เห็นๆ กันอยู่ มองลงมาตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานสิ้นไป มหาสาวกทั้งหลาย ๘๐ องค์ หรือพระสาวกกี่องค์ก็ตาม ก็ปรินิพพานหมด อาณาจักรมคธในสมัยราชคฤห์ก็สลายไป อาณาจักรมคธในสมัยปาตลีบุตรก็สลายไป สังคมจะสลายไป ผู้คนจะหมดไป แต่ภูเขายังอยู่ ดินยังอยู่ ฟ้ายังอยู่ แต่ อ้อ! ยังมีสิ่งที่คงอยู่ นั่นดูสิ แม้อาณาจักรเหล่านี้จะสิ้นไปที่เห็นอยู่คือสิ่งเหล่านี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ภูเขา ทะเล ยังมี ในทะเลก็ยังคลื่นซัดฝั่งอยู่ตลอดเวลา แม้อาณาจักรทั้งหลายจะผ่านพ้นล่มสลายลงไป สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์จะหมดสิ้นไป แต่ธรรมชาติก็ยังทำหน้าที่ของมันต่อไป เราไปยืนอยู่ริมฝั่งทะเล จะเห็นคลื่นซัดฝั่ง ทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา สองพันปี สามพันปี มันเคยทำอย่างไร มันก็ทำของมันอยู่อย่างนั้น กาลเวลาผ่านไป มนุษย์ล่วงลับไป อาณาจักรล่มสลายไป อารยธรรมต่างๆ สูญสิ้นไป คลื่นทะเลก็ยังซัดฝั่งอยู่ตามเดิม เหมือนดังว่าธรรมชาตินี่แหละยืนยงคงอยู่แท้จริง แต่มองไปอีกทีหนึ่ง แม้แต่ธรรมชาติเหล่านี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อย่างเช่น ภูเขา ดิน น้ำ ลม ไฟ มันก็ไม่ได้คงสภาพอยู่ ภูเขาก็เปลี่ยนแปลงไป แต่อาศัยกาลเวลายาวนาน ดังจะเห็นได้ง่าย ตามทางที่เราจะเดินทางต่อไปอีก ยังสถานที่อีกมากมายในไม่ช้า เช่น สถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่แม่น้ำเนรัญชรา เมื่อไปเห็นที่นั่น เราก็จะได้คติธรรมที่ยิ่งชัดขึ้นมาว่า ที่นั่น ณ ริมฝั่งแม่น้ำที่พระพุทธเจ้าเคยประทับ แน่นอน ตัวสถานที่และบริเวณพร้อมทั้งสิ่งแวดล้อมย่อมเปลี่ยนไป แต่คงจะมีดิน มีน้ำ มีแม่น้ำอยู่ตรงนั้น กล่าวคือแม่น้ำเนรัญชรา

อย่างไรก็ตาม หาเป็นเช่นนั้นไม่ แม่น้ำเนรัญชราปัจจุบัน ก็ไม่เหมือนอย่างเก่า บัดนี้ มันไม่เป็นแม่น้ำแล้ว แต่เป็นแม่ทราย คือ น้ำไม่เหลืออยู่ในสภาพที่จะให้เราได้เห็น เราจะเห็นแต่ทราย เมื่อเดินลงไป เราสามารถเดินข้ามแม่น้ำได้ เพราะมีแต่ทรายทั้งนั้น นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของสังขาร แม้แต่ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เปลี่ยนแปรสภาพของมันไปในรูปต่างๆ ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองอะไร ก็เป็นอนิจจังทั้งสิ้น มีแต่ความเปลี่ยนแปลงไป คติเหล่านี้ก็มาสอนใจของเราว่า อย่าเอาชีวิต และความสุขของเราไปฝากไว้กับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เราต้องเร่งสร้างความดีงาม สิ่งที่ประเสริฐให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเราด้วยการปฏิบัติธรรม ธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่ดีงามมีชีวิตที่ประเสริฐ ถ้ามัวแต่เอาชีวิตของเราไปฝากไว้กับสิ่งภายนอก เช่นทรัพย์สิน เงินทอง ก็จะไม่ได้สาระที่แท้จริง เพราะสิ่งเหล่านี้จะล่วงลับดับสลายไปสิ้น ทำอย่างไรเราจึงจะประสบสาระที่แท้จริงได้ ธรรมคือความจริงเท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าถึงสาระ อันนี้พระพุทธองค์ก็ทรงนำไว้เป็นแบบอย่างแล้ว โดยที่พระองค์ได้
ทรงเข้าถึงธรรม คือความจริง ที่ทำให้พระองค์ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเปลี่ยนเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงสั่งสอน ตรัสเตือนเราอยู่เสมอ ตามคติในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่เราสวดกันอยู่ แม้แต่ญาติโยมก็ได้ยินพระสงฆ์สวดอยู่บ่อยๆ เมื่อไปในงานพิธีที่วัดดังข้อความในพระสูตรหนึ่งที่ตรัสว่า อุปปาทา วา ภิกฺขเวตถาคตานํ เป็นต้น (องตก. ๒๐/๕๗๖) ซึ่งมีใจความว่า พระตถาคตหรือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ความจริงที่เป็นภาวะตามธรรมดา ก็คงอยู่ของมันอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริง คือหลักที่เป็นธรรมนิยามนั้น แล้วก็ทรงนำมาแสดง ชี้แจง ทำให้เข้าใจได้ง่าย อันนี้แหละ คือตัวความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงเพียรพยายามบำเพ็ญพุทธกิจ สั่งสอนเรา เพื่อให้เราเข้าใจ และเข้าถึง ไม่ใช่จะอยู่แค่ติดตามไปดูเห็นใกล้ชิดพระองค์เท่านั้น การที่มีพระพุทธเจ้านั้น ความมุ่งหมายและประโยชน์ของพระองค์ที่แท้ก็คือ การที่พระองค์เป็นผู้ที่จะนำเราในการพัฒนาตนให้เข้าถึงความจริงนั้น 

ธรรม คือความจริงนั้นก็มีอยู่ เป็นอยู่ ปรากฏอยู่ตลอดเวลาตามธรรมดาของมัน แต่เราไม่มีดวงตาปัญญาที่จะมองเห็น พระองค์ทรงใช้ปัญญามาค้นพบธรรม และนำธรรมนั้นมาแสดง เราได้ฟังคำสอนของพระองค์ และมองตามที่พระองค์ทรงชี้บอกเปิดเผยให้ แล้วเราก็สามารถเข้าถึงความจริงนั้นได้ เมื่อเข้าถึงความจริงแล้ว เราก็เห็นธรรมอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นนั่นเอง เมื่อเห็นธรรมและเข้าถึงธรรมที่พระองค์เห็นแล้ว เราก็จะมีชีวิตที่ดีงาม ประเสริฐ เข้าถึงสิ่งที่สูงสุดเช่นเดียวกับพระองค์แล้วเราก็จะมีความสุขเป็นอิสระแท้จริง พระพุทธเจ้าทรงมีหลักการสำคัญว่า ไม่ต้องการให้สาวกหรือผู้ใดมาติดยึดขึ้นต่อพระองค์ ความสัมพันธ์กับพระองค์มีเพียงแค่ว่า อาศัยพระองค์เป็นสื่อที่ช่วยชักนำไปสู่สิ่งดีงาม คือเข้าถึงธรรมนั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงย้ำนัก ในเรื่องความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อพระองค์ เริ่มต้นด้วยศรัทธา เมื่อเรามีศรัทธาในพระพุทธองค์ ก็ทำให้เราเข้ามาหาและฟังคำสอนของพระองค์ จากการฟังคำสอนของพระองค์ ก็ทำให้เราพัฒนาปัญญาขึ้นมาเพื่อเข้าถึงความจริงตามที่พระองค์ทรงเข้าถึงมาแล้ว ด้วยปัญญาของเราเอง เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงเข้าถึงแล้ว เพราะฉะนั้น ศรัทธาจึงนำไปสู่ปัญญา และการพึ่งพาอาศัยก็เพื่อนำไปสู่อิสรภาพ นี้คือประโยชน์ที่แท้จริงของการนับถือพระพุทธศาสนา ฉะนั้น เมื่อเราได้เดินทางมาถึงสถานที่นี้ และได้เจริญศรัทธาจึงเป็นประโยชน์มาก เมื่อศรัทธามีกำลังแรงกล้าขึ้น ก็จะทำให้เรามีกำลังใจเข้มแข็งในการที่จะเล่าเรียนศึกษาประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้การปฏิบัติของเราหนักแน่นจริงจัง

วันพฤหัสบดี

ศรัทธาและปัญญา นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

บัดนี้เรามาถึงเมืองนี้ซึ่งมีความสำคัญดังได้กล่าวแล้ว และได้มาประชุมกันที่พระมูลคันธกุฎี บนยอดเขาคิชฌกูฏแห่งนี้ที่เป็นศูนย์กลางของการบำเพ็ญพุทธกิจ และศาสนกิจทั้งหมดในการประดิษฐานพระพุทธศาสนา ฉะนั้น เมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว จึงควรจะได้มีความปลาบปลื้มใจและอิ่มใจว่า เราได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับของพระองค์ พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสประทานพระโอวาทไว้ว่า แม้พระรูปกายของพระองค์จะล่วงลับไป แต่พระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงแสดงไว้ก็ยังคงอยู่ คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีทั้งในขั้นของศรัทธา และปัญญา ด้วยศรัทธานั้นในแง่หนึ่งเราก็อยากจะมาเฝ้านมัสการพระพุทธเจ้า ด้วยการไปดู ไปรู้ ไปเห็น ไปเยือนสถานที่สำคัญที่เกี่ยวกับพระองค์ เราเรียกสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับว่าเป็นเจดีย์ชนิดหนึ่ง


เจดีย์ คือสิ่งที่เตือนใจให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า เจดีย์นั้นมีหลายอย่าง และอย่างหนึ่งก็คือ บริโภคเจดีย์ ซึ่งแปลว่า เจดีย์คือ สถานที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย พระคันธกุฎี เป็นสถานที่ที่พระองค์เคยประทับ เป็นเสนาสนะที่พระองค์เคยใช้สอย จึงจัดเป็นปริโภคเจดีย์หรือบริโภคเจดีย์ชนิดหนึ่งด้วย เรามานมัสการพระองค์ที่นี่ คือมานมัสการบริโภคเจดีย์ แต่ที่สำคัญก็คือ เป็นที่ที่พระองค์เคยประทับอยู่จริง เมื่อมาถึงมาดูมาเห็นมากราบไหว้ด้วยตัวเองอย่างนี้แล้ว จิตใจของเราก็เกิดความรู้สึกปลาบปลื้มดื่มด่ำขึ้นมาว่า เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธ แม้จะห่างจากพระพุทธองค์โดยกาลเวลาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี และห่างโดยสถานที่ คือเป็นผู้ที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งห่างไกลจากประเทศอินเดียหรือชมพูทวีป แม้จะมีความห่างไกลทั้งสองประการนั้น แต่บัดนี้ เราได้นำตัวเข้ามาใกล้พระองค์ มาอยู่หน้าที่ประทับแล้ว เมื่อน้อมใจรำลึกถึงพระ
องค์ เราก็มีความรู้สึกปลาบปลื้มใจ ดังที่ได้กล่าวมา เป็นเครื่องเจริญศรัทธา และศรัทธาก็จะน้อมนำจิตใจของเราให้เจริญงอกงามในธรรม แต่ศรัทธาจะเกิดผลดังกล่าวได้ จะต้องสัมพันธ์กับปัญญา ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ท่านให้เกื้อกูลต่อปัญญา เริ่มแรกก็ประกอบด้วยปัญญา และจะต้องนำไปสู่ปัญญาเสมอ

ศรัทธาของเรานำไปสู่ปัญญาเบื้องต้น โดยเป็นเครื่องเตือนใจเราให้ระลึกถึงคำสอนของพระองค์ เมื่อเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธา ใจเราก็จะน้อมไปถึงคำสอนของพระองค์ จะไม่ติดอยู่แค่พระรูปกายของพระองค์เท่านั้น เราจะนึกไปถึงว่า อ้อ! พระองค์ทรงสอนเราไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติดีงามอย่างนี้ๆ เมื่อเราระลึกถึงพระองค์แล้ว ก็มาระลึกถึงคำสอนของพระองค์ ทำให้มีผลในทางปฏิบัติ เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น เมื่อเราปฏิบัติ นอกจากมีผลต่อชีวิตของเราเองแล้ว ก็ยังมีผลต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อโลก เมื่อทุกคนประพฤติดีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็จะทำให้โลกนี้มีสันติสุขสืบต่อไป

โดยนัยนี้ ศรัทธาจึงต้องนำไปสู่ปัญญา เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเตือนอยู่เสมอ อย่างเช่นพระสาวกองค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อบวชแล้วก็มีความหลงใหลในพระรูปกายของพระพุทธเจ้า คือติดใจในพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้ามาก แม้มาบวชก็บวชด้วยความรู้สึกอย่างนั้น คืออยากอยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า จะได้เข้าเฝ้าคอยติดตามพระองค์ได้เรื่อยไป ท่านผู้นั้นคือ พระวักกลิ เมื่อบวชแล้วก็คอยติดตามพระองค์ไปโน่นไปนี่ตลอดเวลา พระพุทธองค์ทรงมองเห็นความเป็นไปหรือพฤติกรรมเหล่านี้ของพระวักกลิอยู่เสมอ ทรงปรารถนาประโยชน์แก่พระวักกลิ โดยทรงเห็นว่า ถ้าพระวักกลิมามัวแต่ติดใจอยู่กับพระรูปกายของพระองค์ ก็จะไม่ก้าวหน้าในธรรม จะอยู่แค่ในขั้นศรัทธา ควรให้ศรัทธานั้นนำสู่ปัญญาสืบต่อไป คือศรัทธานั้น ควรจะเป็นสื่อนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อชีวิตที่ดีงามของพระวักกลิเอง จนบรรลุถึงความเป็นอิสระด้วยปัญญา พระองค์จึงทรงรอเวลา เมื่อพระพุทธเจ้าจะตรัสจะสอนอะไร พระองค์จะทรงตรวจความพร้อมของบุคคล เช่น ทรงตรวจดูความแก่ของอินทรีย์ หรือความสุกงอมของอินทรีย์ก่อน ในกรณีของพระวักกลิน เหตุการณ์ก็ดำเนินมา จนกระทั่งวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสออกไปเป็นการให้สติแก่พระวักกลิ แต่วิธีตรัสของพระองค์ บางครั้งก็ทรงใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงบ้าง เพื่อต้องการให้สะดุดหรือกระตุก เพื่อทำให้เกิดความรู้สึกที่สะท้อนขึ้นมา หรือทำให้เกิดการคิดขึ้นใหม่ ที่จะก้าวต่อไปได้ อันจะนำไปสู่ผลที่ดีงามสืบไปข้างหน้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระวักกลว่า “ดูกรวักกลิ เธอจะตามไปทำไมกับร่างที่เปื่อยเน่าได้นี้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม" (เช่น สํ.ข. ๑๗/๒๑๖)

พระองค์ยังตรัสไว้ ณ ที่อื่นอีกว่า "ผู้ใด แม้จะจับมุมชายผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ติดตามพระองค์ไปทุกย่างพระบาท แต่ถ้าเขาถูกกิเลสครอบงำใจ ก็ชื่อว่าอยู่ห่างไกลจากพระองค์ เพราะผู้นั้นไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นพระองค์ แต่ผู้ใด ถึงจะอยู่ห่างไกลพระองค์ตั้งร้อยโยชน์ แต่จิตใจมั่นคงไม่ถูกกิเลสครอบงำ ก็ชื่อว่าอยู่ใกล้พระองค์ เพราะผู้นั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรม ก็เห็นพระองค์" (ขุ.อิติ. ๒๕/๒๗๒)

พระดำรัสนี้เป็นพุทธพจน์ที่สำคัญ เรามักจำกันได้แต่ก่อนที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” หมายความว่า เพียงแต่มาติดตามพระองค์มองเห็นพระวรกายของพระองค์นี้ ไม่ใช่เป็นการเห็นพระองค์อย่างแท้จริง แต่เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นจึงจะชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ขอย้ำพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสเตือนไว้ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม” หมายความว่า การเห็นองค์พระพุทธเจ้า กับการเห็นธรรมนั้น มีความหมายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าผู้ใดจะติดตามพระองค์เพื่อดูพระวรกายแล้ว ผู้นั้นก็จะไม่ได้เห็นอะไร นอกจากขันธ์ ๕ ที่มีความแตกดับเสื่อมสลายไปได้ ถ้าจะเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงก็ต้องเห็นธรรม อันนี้เป็นคำตรัสเตือนสติที่สำคัญมาก และเป็นการโยงศรัทธา ศรัทธาที่เกิดจากการมีความเลื่อมใสในองค์พระพุทธเจ้า อย่างเรามานมัสการพระองค์ ณ สถานที่นี้ จะเป็นเครื่องเตือนใจเรา ให้ระลึกต่อไปถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า คือตัวธรรมะ และพยายามประพฤติปฏิบัติให้เกิดผลต่อชีวิตอย่างแท้จริงไปสู่ปัญญา เป็นการใช้ศรัทธาให้เป็นประโยชน์ 

ราชคฤห์: ศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

เจริญพรโยมผู้ศรัทธาทุกท่าน เราได้เดินทางมาบนเส้นทางบุญจาริกโดยลำดับ และขณะนี้เราได้มานั่งเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ ณ ที่ประทับของพระองค์ คือพระมูลคันธกุฎี เมื่อเช้านี้เรามาถึงเมืองปัตนะหรือเมืองปาตลีบุตร ซึ่งก็ได้เล่าให้โยมฟังแล้วว่า เป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นแหล่งที่พระพุทธศาสนาเผยแพร่ออกจากชมพูทวีปไปสู่ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย อันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อประมาณ ๒๓๕ ปีหลังพุทธกาลหลังจากนั้น เราก็ได้เดินทางต่อมา จนถึงเมืองนาลันทา แล้วก็เดินทางมายังเมืองราชคฤห์ ตามลำดับ ขณะนี้เรามาถึงเมืองราชคฤห์แล้ว

ราชคฤห์: ศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

เมืองราชคฤห์ นี้ เป็นเมืองหลวงเก่าของแคว้นมคธ เมืองปาตลีบุตรมีความสำคัญในสมัยหลังพุทธกาล ในฐานะเป็นแหล่งที่คำสอนของพระพุทธศาสนาเผยแพร่ออกไปสู่ประเทศต่างๆ เมื่อเรามาถึงเมืองราชคฤห์นี้ ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะแผ่ออกไปจากเมืองปาตลีบุตรสู่ประเทศต่างๆ ได้ ก็ต้องมาเริ่มต้นที่นี่ก่อน เมืองทั้งสองนี้มีความสำคัญด้วยกันทั้งคู่

ในทางการเมืองก็สำคัญ ในแง่ที่ว่าทั้งสองแห่งต่างก็เป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธด้วยกันดังที่กล่าวแล้วว่า ปาตลีบุตรเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธหลังพุทธกาล ส่วนราชคฤห์นี้ เป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในสมัยพุทธกาล ในทางส่วนในทางพระศาสนาก็เหมือนกันในแง่ของการเป็นศูนย์กลางการเมืองมีความเหมือนกันอย่างนี้
ที่พระพุทธศาสนาเผยแพร่ออกไป สำหรับเมืองราชคฤห์นี้ เป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประดิษฐานพระพุทธศาสนา มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็เคยเสด็จมาที่นี่ ดังที่เราทราบกันว่า ในการเสด็จออกบรรพชานั้น เมื่อเสด็จมาที่แม่น้ำอโนมาแล้ว อธิษฐานเพศบรรพชาและตัดพระเมาลีที่นั่น ต่อมาก็เสด็จมาที่เมืองราชคฤห์นี้ พระเจ้าพิมพิสารได้ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์เสด็จบิณฑบาตอยู่ ก็ทรงมีความเลื่อมใส แล้วก็ได้ทรงสนทนากับพระโพธิสัตว์ พร้อมทั้งได้รับพรคล้ายๆ เป็นคำปฏิญญาจากพระโพธิสัตว์ ที่ทรงรับว่า เมื่อทรงค้นพบสัจธรรมแล้วจะเสด็จมายังเมืองราชคฤห์นี้ เมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ได้เสด็จมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์นี้ ในแง่หนึ่ง ก็เหมือนกับว่า ทรงปฏิบัติตามพระพุทธปฏิญญาที่ได้ทรงให้ไว้แก่พระเจ้าพิมพิสาร แต่อีกแง่หนึ่งมองในด้านกิจการของพระพุทธศาสนา ก็ถือว่ามีความสำคัญ ในฐานะที่เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ เป็นศูนย์กลางของกิจการบ้านเมือง พระพุทธเจ้าทรงเลือกว่าการที่จะให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองควรเริ่มต้นที่ใด ก็ปรากฏว่า เมื่องราชคฤห์ได้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา โดยทรงเสด็จมาแสดงธรรมที่นี่ ทำให้พระเจ้าพิมพิสารได้ดวงตาเห็นธรรม และปฏิญาณพระองค์เป็นพุทธมามกะ

ต่อจากนั้น เหตุการณ์สำคัญที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในพระพุทธศาสนาหลายอย่างก็ได้เกิดขึ้นที่นี่ เช่น การถวายวัดเวฬุวัน ที่เป็นวัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนา ซึ่งพรุ่งนี้ก็เข้าใจว่าจะได้ไปแวะเยี่ยมเยียนด้วยยิ่งกว่านั้นประจวบกับช่วงนี้จะถึงวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดเวฬุวันนั้น จึงนับว่าเป็นเวลาอันเหมาะที่จะได้ไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวันนั้นด้วย พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจที่เมืองราชคฤห์นี้ในพรรษาแรก พุทธกิจได้ดำเนินก้าวหน้าไปอย่างมาก ความก้าวหน้าที่ควรกล่าวไว้อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่การได้พระอัครสาวก คือ พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ หรือที่ชาวพุทธเรานิยมเรียกว่า พระโมคคัลลาน์-สารีบุตร ซึ่งมาเป็นกำลังสำคัญในการที่จะเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไป

จุดสําคัญที่เป็นสุดยอด แห่งความเป็นศูนย์กลางพุทธกิจของเมืองราชคฤห์ก็คือที่นี่ ที่พระมูลคันธกุฎี นี้ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เสด็จมาประทับที่นี่ เรียกว่า เป็นศูนย์กลางพุทธกิจเพราะว่า กิจการพระพุทธศาสนาเริ่มต้นไปจากองค์พระพุทธเจ้า ฉะนั้นการที่เราได้มาที่นี่ จึงถือว่าเป็นจุดสุดยอดเลยทีเดียว นับว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองราชคฤห์อีกทีหนึ่ง เมื่อเราถือว่า เมืองราชคฤห์เป็นศูนย์กลางของการประดิษฐานพระพุทธศาสนา ก็ต้องถือว่า พระมูลคันธกุฎีนี้ เป็นศูนย์กลางการทำงานในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาอีกชั้นหนึ่ง

พระมูลคันธกุฏี (แปลว่า กุฏิที่มีกลิ่นหอม)
อีกประการหนึ่ง เมืองราชคฤห์ยังมีความสําคัญหลังพุทธกาลด้วย คือ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระสาวกทั้งหลายหลายได้เลือกเอาเมืองราชคฤห์นี้แหละเป็นที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๑ การสังคายนานั้น ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด เป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาหลังพุทธกาล คือ เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ก็ถือว่า พระพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์จึงเป็นการเริ่มต้นของการที่พระพุทธศาสนาจะเผยแพร่ออกไป แต่หลังพุทธกาลแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เมื่อพระองค์ล่วงลับไป พระธรรมวินัยที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้และบัญญัติไว้ จะเป็นศาสดาแทนพระองค์ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระสาวกทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะ เป็นประธาน ได้ปรารภว่า พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ อาจจะกระจัดกระจายและเลือนลางหายไปได้ จึงได้มีการตกลงกัน โดยมีมติว่าจะประชุมกันทำสังคายนา รวบรวมพระธรรมวินัยมาเป็นองค์พระศาสดาสืบแทนองค์พระพุทธเจ้า เป็นการเริ่มต้นเหตุการณ์ครั้งใหญ่หลังพุทธกาล จุดเริ่มต้นหลังพุทธกาลก็เริ่มต้นที่นี่ เพราะฉะนั้น เมืองราชคฤห์จึงมีความสำคัญมากในแง่ของการเริ่มต้นของพระพุทธศาสนา ทั้งในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่และเป็นจุดเริ่มต้นของงานพระศาสนาคือสังคายนาหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว

กูฏทันตสูตร (ย่อ)

พระสูตรเต็ม ศึกษาได้จากที่นี่ 👉 กูฎทันตสูตร 

🔅กูฏทันตสูตร (ย่อ)

เพื่อความเข้าใจ คำว่า "ยัญ, ยญฺญ(ยัน-ยะ)" เดิมทีก่อนพระพุทธองค์จะตั้งศาสนาพุทธ คำๆ นี้หมายถึงการบูชา เซ่นสรวง บนบาน ด้วยการฆ่าสัตว์หรือฆ่าคนเพื่อให้เทพเจ้าของตนพอใจจะได้ดลบันดาลให้ผู้ที่บนบาน เซ่นสรวงสมความปราถนาตามกิเลส ตามความเชื่อ

เมื่อ พระพุทธองค์ทรงเผยแผ่ศาสนาพุทธ จึงวางหลักคำสอนใหม่ ให้นิยามของคำว่า ยัญ ใหม่ เป็นการบูชาที่ไม่ต้องฆ่า แต่มีการให้ การแจกจ่าย การประพฤติปฎิบัติเป็นสิ่งบูชา  เป็นความหมายใหม่ ซึ่ง ยัญ ในความหมายของพระพุทธองค์ก็มีอานิสงค์แตกต่างกัน ไล่ไปตามลำดับ เช่น ทานจากทรัพย์มีอานิสงค์น้อยกว่าการรักษาศีล การรักษาศีลมีอานิสงค์น้อยกว่าการปฎิบัติจนได้ณาน เป็นต้น


ข้าพเจ้า(พระอานนท์)ได้สดับมาอย่างนี้

        สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านขานุมัตต์ สมัยนั้นมีพราหมณ์ชื่อ
กูฏทันตะ เป็นผู้ดูแลหมูบ้านนี้อยู่ ซึ่งหมู่บ้านนี้ก็อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็มีความเป็นอยู่อย่างผาสุข อุดมด้วยหญ้าไว้เลี้ยงสัตว์ อุดมด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ฯ ก็ในสมัยนั้นศาสนาพราหม์ต่างนิยมการกระทำบูชายัญ ด้วยเชื่อว่าผลของการบูชายัญต่อเทพยาดานั้นจะดลบันดาลให้มีความเป็นอยู่อย่างผาสุข พราหมณ์กูฏทันตะผู้เป็นใหญ่ในหมู่บ้านนี้ จึงได้ตระเตรียมจะกระทำมหาบูชายัญ จึงนำโคตัวผู้ ๗๐๐ ตัว ลูกโคตัวผู้ ๗๐๐ ตัว ลูกโคตัวเมีย ๗๐๐ ตัว แพะ ๗๐๐ ตัว และแกะ ๗๐๐ ตัว ถูกนำเข้าไปผูกไว้ที่หลักเพื่อรอการบูชายัญ 

ขณะเตรียมงานอยู่นั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ก็ได้ข่าวว่า พระสมณโคดม ศากยบุตร ทรงจาริกมาประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกาใกล้ๆกับหมู่บ้าน กิตติศัพท์อันงามของท่านพระสมณโคดม พระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ  ชาวบ้านต่างก็คิดว่าการเห็นพระอรหันต์จำนวนมากมาจาริกแสวงบุญ ย่อมเป็นการดีแล ดังนี้ ครั้งนั้น ทั้งพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ออกจากบ้านเป็นหมู่ๆ พากันเดินทางไปยังสวนอัมพลัฏฐิกา

        สมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะ ขึ้นพักกลางวันในปราสาทชั้นบน ได้เห็นพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์ออกจากบ้านขานุมัตต์รวมกันเป็นหมู่ๆ พากันไปสวนอัมพลัฏฐิกาจึงเรียกนักการมาถามว่า "พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้าน ออกเดินทางไปไหนกัน?" นักการ จึงตอบว่า "มีเรื่องอยู่ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดม ศากยบุตร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จมาประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ชาวบ้านจึงพากันเข้าไปเฝ้าท่านพระโคดมพระองค์นั้น"

        ลำดับนั้น พราหมณ์กูฏทันตะได้เกิดความคิดเช่นนี้ว่า เราก็เคยได้ยินมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบยัญสมบัติ ๓ ประการซึ่งมีบริวาร ๑๖ (การบูชายัญที่มีอานิสงส์มาก) แต่เราไม่รู้ และตอนนี้เราก็กำลังเตรียมจะทำบูชามหายัญ ฉะนั้น เราควรเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม และทูลถามเรื่องยัญสมบัติ ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ ให้เกิดความเข้าใจก่อน ลำดับนั้น พราหมณ์กูฏทันตะก็ได้เรียกนักการมาสั่งว่า "ท่านนักการ ท่านจงไปที่ขบวนของชาวบ้านแล้วบอกเขา เราพราหมณ์กูฏทันตะสั่งมาว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงรอก่อน เราก็จักไปเฝ้าพระสมณโคดมด้วย" นักการรับคำและดำเนินการทันที

        สมัยนั้น พราหมณ์หลายร้อยคนที่พักอยู่ในหมู่บ้านขานุมัตต์ ก็มมารออยด้วยหวังว่าเมื่อพราหมณ์กูฏทันตะ ได้กระทำมหาบูชายัญสำเร็จแล้ว พวกเราก็จะได้บริโภคมหายัญของพราหมณ์กูฏทันตะ พอพวกพราหมณ์ที่มาเฝ้ารอ ได้ทราบว่าเจ้าภาพใหญ่พราหมณ์กูฏทันตะจักไปเฝ้าพระสมณโคดม จึงต่างพากันไปหาพราหมณ์กูฏทันตะแล้วถามว่า "ท่านจักไปเฝ้าพระสมณโคดม จริงหรือ?"

กูฏทันตะ : เราคิดว่าจักไปเฝ้าพระสมณโคดม จริง
พวกพราหมณ์ : อย่าเลย ท่านกูฏทันตะ ท่านไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม ถ้าท่านไปเฝ้าท่านจักเสียเกียรติยศ เกียรติยศของพระสมณโคดมจักรุ่งเรือง ด้วยเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะมาหาท่าน ท่านเป็นผู้ที่เลิศกว่าใครๆ ด้วย

๑. ท่านเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงชาติได้
๒. ท่านเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินมากมาย
๓. ท่านเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเภท
๔. ท่านมี รูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส กอปรด้วยผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก
๕. ท่านเป็นผู้มีศีล
๖. ท่านเป็นผู้มีวาจาไพเราะ มีสำเนียงไพเราะ
๗. ท่านเป็นอาจารย์และปาจารย์ของชนหมู่มากสอนมนต์มาณพถึง ๓๐๐ พวก
๘. ท่านเป็นผู้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ ส่วนพระสมณโคดมเป็นคนหนุ่ม
๙. ท่านเป็นผู้อันพระเจ้าพิมพิสาร ทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม
๑๐. ท่านเป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติสักการะเคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม
๑๑. ท่านเป็นเจ้าปกครองหมู่บ้านขานุมัตต์ อันอุดมสมบูรณ์

เพราะเหตุนี้แหละ ท่านจึงไม่ควรไปเฝ้าพระสมณโคดม พระสมณโคดมต่างหากควรจะมาหาท่าน

กูฏทันตะ : ท่านทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นขอจงฟังข้าพเจ้าบ้าง เรานี้แหละ ควรไปเฝ้าท่านพระสมณโคดม เพราะได้ยินว่า
๑. พระสมณโคดมทรงเป็นอุภโตสุชาต ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงชาติได้
๒. พระสมณโคดมทรงละพระญาติหมู่ใหญ่ออกผนวชแล้ว
๓. พระองค์ท่านทรงสละเงินและทองทั้งหมดเพื่อออกผนวช
๔. พระองค์ท่านยังหนุ่มแน่นกลับไม่หลงระเริงกับวัย เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิตเมื่อตอนหนุ่ม
๕. เเม้พระมารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาให้ผนวช ท่านก็มีจิตใจเด็ดเดี่ยว อาจหาญ
๖. พระองค์ท่านมีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส กอปรด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก
๗. พระองค์ท่านเป็นผู้มีศีล มีศีลประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ประกอบด้วยศีลเป็นกุศล
๘. พระองค์ท่านมีพระวาจาไพเราะ มีพระสำเนียงไพเราะ
๙. พระองค์ท่านเป็นอาจารย์และปาจารย์ของคนหมู่มาก
๑๐. พระองค์ท่านสิ้นกามราคะแล้ว เลิกประดับตกแต่ง
๑๑. พระองค์ท่านเป็นกรรมวาที เป็นกิริยาวาทีไม่ทรงมุ่งร้ายแก่พวกพราหมณ์
๑๒. พระองค์ท่านทรงผนวชจากสกุลสูง คือสกุลกษัตริย์อันไม่เจือปน
๑๓. พระองค์ท่านทรงผนวชจากสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก
๑๔. ชนต่างรัฐต่างชนบทพากันมาทูลถามปัญหาพระองค์ท่าน
๑๕. เทวดาต่างมอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ
๑๖. กิตติศัพท์อันงามของท่านขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
๑๗. พระองค์ท่านทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
๑๘. พระองค์ท่านมีปรกติกล่าวเชื้อเชิญ เจรจาผูกไมตรี ช่างปราศรัย
๑๙. พระองค์ท่านเป็นผู้อันบริษัท ๔ สักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม
๒๐. เทวดาและมนุษย์เป็นอันมากเลื่อมใสพระองค์ท่านยิ่งนัก
๒๑. พระองค์ท่านทรงพำนักอยู่ในบ้านหรือนิคมใด บ้านหรือนิคมนั้น อมนุษย์ไม่เบียดเบียนมนุษย์
๒๒. พระองค์ท่านเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะและเป็นคณาจารย์ ได้รับยกย่องว่าเป็นยอดของเจ้าลัทธิเป็นอันมาก ๒๓. พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าพิมพิสาร พร้อมทั้งพระโอรสและพระมเหสี ทั้งราชบริษัทและอำมาตย์ ทรงมอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ
๒๔. พระเจ้าปเสนทิโกศลพร้อมทั้งพระโอรสและพระมเหสี ทั้งราชบริษัทและอำมาตย์ ทรงมอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ
๒๕. พราหมณ์โปกขรสาติ พร้อมทั้งบุตรและภรรยา ทั้งบริษัทและอำมาตย์มอบชีวิตถึงพระองค์ท่านเป็นสรณะ
๒๖. พระองค์ท่านเป็นผู้อันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนาพระนามว่าพิมพิสาร ทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม
๒๗. พระองค์ท่านเป็นผู้อันพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม
๒๘. พระองค์ท่านเป็นผู้อันพราหมณ์โปกขรสาติสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม

พระองค์ท่านเสด็จประทับอยู่ที่สวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์ ท่านสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่งมาสู่เขตบ้านของเรา ท่านเหล่านั้นจัดว่าเป็นแขกของเรา และเป็นแขกซึ่งเราควรสักการะเคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม เพราะเหตุนี้ เราต่างหากควรไปเฝ้าพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าทราบพระคุณของท่านพระโคดมเพียงเท่านี้ แต่ท่านพระโคดมมิใช่มีพระคุณเพียงเท่านี้ ความจริงพระองค์ท่านมีพระคุณหาประมาณมิได้

เมื่อพราหมณ์กูฏทันตะกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า

พวกพราหมณ์ : ท่านกูฏทันตะกล่าวชมท่านพระสมณโคดมถึงเพียงนี้ ถึงหากพระองค์ท่านจะประทับอยู่ไกลจากที่นี่อีก ๑๐๐ โยชน์ ก็ควรแท้ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาอย่างท่านก็ควรแล้วที่จะไปเข้าเฝ้า

กูฏทันตะ :  ท่านทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น เราทั้งหมดจักเข้าไปเฝ้าท่านพระสมณโคดมด้วยกัน

        ลำดับนั้น พราหมณ์กูฏทันตะพร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่สวนอัมพลัฏฐิกา ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านขานุมัตต์บางพวกก็ถวายบังคม บางพวกก็ปราศรัย บางพวกก็ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค บางพวกก็ประกาศชื่อและโคตร บางพวกก็นิ่งอยู่ แล้วต่างพากันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งๆ พราหมณ์กูฏทันตะ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสมณโคดมทรงทราบยัญสมบัติ ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ ส่วนข้าพระองค์ไม่ทราบ แต่ข้าพระองค์ปรารถนาจะกระทำการบูชามหายัญ ขอประทานพระวโรกาส พระโคดมผู้เจริญโปรดแสดงความหมายของยัญสมบัติ ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ แก่ข้าพระองค์ พระเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจักบอก เมื่อพราหมณ์กูฏทันตะทูลรับแล้ว จึงตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว*(เรื่องเคยมีมาแล้ว* หมายถึง เหตุการณ์เคยเกิดขึ้นมาแล้วในโลกอื่น จักรวาลอื่น ไม่ใช่เหตุการณ์ในยุคสมัยของพระพุทธองค์) พระเจ้ามหาวิชิตราช เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก วันหนึ่งเกิดปริวิตกอย่างนี้ว่า "เราได้ครอบครองสมบัติมนุษย์อย่างไพบูลย์แล้ว ได้ปกครองดินแดนมากมาย ถ้ากระไรเราควรกระทำบูชามหายัญ เพื่อจะเป็นได้เป็นบุญกุศลและนำความสุขให้แก่เราตลอดกาลนาน " 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ เมื่อพระเจ้ามหาวิชิตราชรับสั่งอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลว่า "ชนบทของพระองค์ยังมีเสี้ยนหนาม ยังมีการเบียดเบียนกัน โจรปล้นบ้านก็ดี ปล้นนิคมก็ดี ปล้นเมืองก็ดี ทำร้ายในหนทางเปลี่ยวก็ดี ยังปรากฏอยู่ พระองค์จะโปรดฟื้นฟูพลีกรรม ในเวลานี้ก็ชื่อว่าทรงกระทำการมิสมควร บางคราวพระองค์จะทรงพระดำริอย่างนี้ว่า เราจักปราบปรามเสี้ยนหนาม คือโจร ด้วยการประหาร ด้วยการจองจำ ด้วยการปรับไหม ด้วยการตำหนิโทษหรือเนรเทศ อันการปราบปรามด้วยวิธีเช่นนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นการปราบปรามโดยชอบ เพราะว่าโจรบางพวกที่เหลือจากถูกกำจัดจักยังมีอยู่ ภายหลัง มันก็จักเบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ แต่ว่าการปราบปรามเสี้ยนหนามคือโจรนั้น จะชื่อว่าเป็นการปราบปรามโดยชอบ เพราะอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้

๑. พลเมืองเหล่าใด ในบ้านเมืองของพระองค์ ขะมักเขม้นในกสิกรรม และโครักขกรรม(คนเลี้ยงวัว)ขอพระองค์จงเพิ่มข้าวปลูกและข้าวกินให้แก่พลเมืองเหล่านั้นในโอกาสอันสมควร
๒. พลเมืองเหล่าใด ในบ้านเมืองของพระองค์ ขะมักเขม้นในพาณิชยกรรม ขอพระองค์จงเพิ่มทุนให้แก่พลเมืองเหล่านั้น ในโอกาสอันสมควร
๓. ข้าราชการเหล่าใด ในบ้านเมืองของพระองค์ขยัน ขอพระองค์จงพระราชทานเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนแก่ข้าราชการเหล่านั้นในโอกาสอันสมควร

พลเมืองเหล่านั้นนั่นแหละ จักเป็นผู้ขวนขวายในการงานของตนๆ จักไม่เบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ อนึ่ง กองพระราชทรัพย์มีจำนวนมาก จักเกิดแก่พระองค์ บ้านเมืองก็จะตั้งมั่นอยู่ในความเกษม หาเสี้ยนหนามมิได้ ไม่มีการเบียดเบียนกัน พลเมืองจักชื่นชมยินดีต่อกัน ยังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอก จักไม่ต้องปิดประตูเรือนอยู่

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงรับคำพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว ก็ได้พระราชทานข้าวปลูกและข้าวกินแก่พลเมืองในบ้านเมืองของพระองค์ ที่ขะมักเขม้นในกสิกรรมและโครักขกรรม พระราชทานทุนแก่พลเมืองในบ้านเมืองของพระองค์ ที่ขะมักเขม้นในพาณิชยกรรม พระราชทานเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนแก่ข้าราชการในบ้านเมืองของพระองค์ที่ขยัน พลเมืองเหล่านั้นนั่นแหละ ได้เป็นผู้ขวนขวายในการงานตามหน้าที่ของตนๆ ไม่ได้เบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ อนึ่ง กองพระราชทรัพย์มีจำนวนมากได้เกิดมีแล้วแก่พระองค์ บ้านเมืองได้ดำรงอยู่ในความเกษม หาเสี้ยนหนามมิได้ ไม่มีการเบียดเบียนกัน พลเมืองชื่นชมยินดีต่อกัน ยังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอก ไม่ต้องปิดประตูเรือนอยู่แล้ว

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาวิชิตราชได้ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ปุโรหิตมาเฝ้าแล้วตรัสว่า "ท่านผู้เจริญ โจรที่เป็นเสี้ยนหนามนั้น เราได้ปราบปรามดีแล้ว เพราะอาศัยวิธีการของท่าน และกองพระราชทรัพย์ใหญ่ก็ได้บังเกิดแก่เรา บ้านเมืองก็ได้ดำรงอยู่ในความเกษมหาเสี้ยนหนามมิได้ ไม่มีการเบียดเบียนกัน พลเมืองชื่นชมยินดีต่อกัน ยังบุตรให้ฟ้อนอยู่บนอก ไม่ต้องปิดประตูเรือนอยู่ ดูกรพราหมณ์ เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงชี้แจงวิธีบูชามหายัญที่จะเป็นประโยชน์และความสุขแก่เราตลอดกาลนาน" 

พราหมณปุโรหิตกราบทูลว่า "
ขอเดชะ ถ้าเช่นนั้นท่านต้องเรียกบุคคลเหล่านี้มาปรึกษาและขอความร่วมมือว่าท่านจะกระทำบูชามหายัญ คือกระทำมหาทานเพื่อสร้างกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ บุคคลที่ท่านต้องเชื้อเชิญมีดังนี้
๑. อนุยนตกษัตริย์เหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์ 
๒. อำมาตย์ราชบริษัทเหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์
๓. พราหมณ์มหาศาลเหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์
๔. คฤหบดีผู้มั่งคั่งเหล่าใด ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองค์"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงรับคำพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว ทรงเรียกอนุยนตกษัตริย์ อำมาตย์ราชบริษัท พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง มาปรึกษาว่า ท่านทั้งหลาย เราปรารถนาจะบูชามหายัญ ขอท่านจงร่วมมือกับเราเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน คฤหบดีผู้มั่งคั่งเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอพระองค์ จงทรงบูชายัญเถิด ขอเดชะ

บัดนี้ เป็นการสมควรที่จะกระทำบูชายัญ ชนผู้เห็นชอบตามพระราชดำริ ๔ เหล่านี้ จัดเป็นบริวารของยัญนั้น ดังนี้แล

พระเจ้ามหาวิชิตราช ทรงประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ
๑. ทรงเป็นอุภโตสุชาต (เกิดในตระกูลดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ)
๒. ทรงมีพระรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส 
๓. ทรงมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก 
๔. ทรงมีกำลัง ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนา (มีอำนาจทางการทหาร อำนาจการปกครอง)
๕. ทรงพระราชศรัทธา เป็นทายก เป็นทานบดี (เป็นผู้มีใจโอบอ้อมอารี)
๖. ได้ทรงศึกษาทรงสดับเรื่องนั้นๆ มาก
๗. ทรงทราบอรรถแห่งข้อที่ทรงศึกษาและภาษิต
๘. ทรงเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ทรงพระปรีชาสามารถ

พระเจ้ามหาวิชิตราช ทรงประกอบด้วยองค์ ๘ ประการดังกล่าวนี้ องค์ ๘ ประการแม้เหล่านี้ จัดเป็นบริวารแห่งยัญนั้นโดยแท้ ด้วยประการดังนี้

พราหมณ์ปุโรหิตประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ
๑. ทรงเป็นอุภโตสุชาต (เกิดในตระกูลดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ)
๒. เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท 
๓. เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน
๔. เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา

พราหมณ์ปุโรหิตประกอบด้วยองค์ ๔ ดังแสดงมานี้ องค์ ๔ ประการ แม้เหล่านี้ จัดเป็นบริวารแห่งยัญนั้นโดยแท้ ด้วยประการดังนี้.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :  ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้นแล พราหมณ์ปุโรหิตได้แสดงยัญวิธี ๓ ประการ (อุบายกำจัดวิปฎิสาร)ถวายพระเจ้ามหาวิชิตราชก่อนทรงบูชายัญว่า

๑. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ไม่ควรมีความคิดว่ากองโภคสมบัติของเราจักหมดเปลือง
๒. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ไม่ควรมีความคิดว่ากองโภคสมบัติของเรากำลังหมดเปลือง
๓. เมื่อพระองค์ทรงบูชามหายัญอยู่ ไม่ควรมีความคิดว่ากองโภคสมบัติของเราได้หมดเปลืองไปแล้ว

ดูกรพราหมณ์ พราหมณ์ปุโรหิตได้แสดงยัญวิธี ๓ ประการ ดังแสดงมานี้ถวายพระเจ้ามหาวิชิตราชก่อนทรงบูชายัญนั้นเทียว

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้น พราหมณ์ปุโรหิตได้กำจัดความวิปฏิสาร (ความเดือดร้อนใจเนื่องจากเสียดายข้าวของโภคทรัพย์) ของพระเจ้ามหาวิชิตราชไปแล้ว จากนั้นจึงให้อุบายในการกำจัดวิปฎิสารจากพวกปฏิคาหก (ผู้รับทาน) โดยอาการ ๑๐ ประการก่อนจะทรงทำการบูชายัญ โดยมีวิธีพิจารณาดังนี้

พวกปฎิคายกที่มารับทานนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปนเปกัน ขอให้พระเจ้ามหาวิชิตราช พึงปรารถที่จะให้ทานเฉพาะกับบุคคลเหล่านี้
๑. เฉพาะพวกที่งดเว้นจากปาณาติบาตเท่านั้น 
๒. พวกที่งดเว้นจากการลักทรัพย์
๓. พวกที่งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำเท็จ
๕. พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำส่อเสียด
๖. พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำหยาบ
๗. พวกที่งดเว้นจากการกล่าวคำเพ้อเจ้อ
๘. พวกที่ไม่โลภอยากได้ของของผู้อื่น
๙. พวกที่มีจิตไม่พยาบาท
๑๐. พวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

ดูกรพราหมณ์ พราหมณ์ปุโรหิตได้กำจัดความวิปฏิสารของพระเจ้ามหาวิชิตราช เพราะพวกปฏิคาหก โดยอาการ ๑๐ ประการ ดังแสดงมานี้แล ก่อนทรงบูชายัญนั่นเทียว

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้น พราหมณ์ปุโรหิต ได้ยังพระหฤทัยของพระเจ้ามหาวิชิตราช ซึ่งทรงบูชามหายัญอยู่ ห้ทรงเห็นแจ้ง ให้ทรงสมาทาน ให้ทรงอาจหาญให้ทรงร่าเริง โดยอาการ ๑๖ ประการ คือ

๑. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ทรงกระทำบูชามหายัญ แต่มิได้ชักชวนเหล่าอนุยนตกษัตริย์ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ก็ได้ทรงชักชวนเหล่าอนุยนตกษัตริย์มาร่วมงานด้วย
๒. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ทรงกระทำบูชามหายัญ แต่มิได้ชักชวนเหล่าอำมาตย์ราชบริษัท ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ก็ได้ทรงเรียกเหล่าอำมาตย์ราชบริษัทมาร่วมงานด้วย
๓. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ทรงกระทำบูชามหายัญ แต่มิได้ชักชวนเหล่าพราหมณ์มหาศาล ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ได้ทรงเรียกเหล่าพราหมณ์มหาศาลมาร่วมงานด้วย
๔. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ทรงกระทำบูชามหายัญ แต่มิได้ชักชวนเหล่าคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ได้ทรงเรียกเหล่าคฤหบดีผู้มั่งคั่งมาร่วมงานด้วย
๕. หากมีใครคัดค้านติเตียนด้วยอ้างถึงพระชาติ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสเพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้อุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระมารดาและพระบิดาทรงถือปฏิสนธิหมดจดดี ตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ
๖. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์ทรงมีพระรูปไม่งาม ไม่น่าดู ไม่น่าเลื่อมใส ไม่น่าดู ไม่น่าชมเสียเลย แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสเพราะพระองค์ทรงมีพระรูปงาม ทรงกอปรด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ทรงมีพระพรรณคล้ายพรหม น่าดู น่าชมมิใช่น้อย แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด
๗. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ที่มั่งคั่งพอที่จะทรงกระทำบูชามหายัญ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้มั่งคั่ง มีพระราชทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก
๘. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีกำลัง มิได้ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนา แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใสเพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีกำลัง ทรงสมบูรณ์ด้วยเสนามีองค์ ๔ ซึ่งอยู่ในวินัยคอยปฏิบัติตามพระราชบัญชา ทรงมีพระบรมเดชานุภาพดังว่าจะเผาผลาญราชศัตรูได้ด้วยพระราชอิสริยยศ แม้ด้วยประการเช่นนี้
๙.หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระราชศรัทธา มิได้ทรงเป็นทายก มิได้ทรงเป็นทานบดี แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระราชศรัทธา ทรงเป็นทายก เป็นทานบดี เป็นดุจบ่อน้ำที่ลงดื่มของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก ยาจก แม้ด้วยประการเช่นนี้
๑๐. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่มิได้ทรงศึกษา มิได้ทรงสดับเรื่องนั้นๆ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีที่ได้ทรงศึกษา ทรงสดับเรื่องนั้นๆ มาก
๑๑. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่มิได้ทรงทราบอรรถแห่งข้อที่ทรงศึกษาและภาษิตนั้นๆ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงทราบอรรถแห่งข้อที่ทรงศึกษาและภาษิตนั้นๆ ว่า นี้อรรถแห่งภาษิตนี้ นี้อรรถแห่งภาษิตนี้
๑๒. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่มิได้เป็นบัณฑิต มิได้ทรงเฉียบแหลม มิได้ทรงมีพระปรีชา แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพระองค์ทรงเป็นบัณฑิต ทรงเฉียบแหลม ทรงมีพระปรีชา
๑๓. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์แต่พราหมณ์ปุโรหิต
(ที่ปรึกษา) ของพระองค์มิได้เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายมารดาและบิดา มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ
๑๔. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์แต่พราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นผู้เล่าเรียน มิได้ทรงจำมนต์ มิได้รู้จบไตรเพท ฯ แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์ เป็นผู้เล่าเรียนทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท ฯ
๑๕. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์แต่พราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นผู้มีศีล มิได้มีศีลยั่งยืน มิได้ประกอบศีลยั่งยืน แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์เป็นผู้มีศีล มีศีลยั่งยืน ประกอบด้วยศีลยั่งยืน
๑๖. หากจะมีใครกล่าวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์แต่พราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์มิได้เป็นบัณฑิต มิได้เป็นผู้เฉียบแหลม มิได้มีปัญญา แม้ด้วยประการเช่นนี้ ขอให้ทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส เพราะพราหมณ์ปุโรหิตของพระองค์เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา เป็นที่ ๑ หรือที่ ๒ ในพวกปฏิคาหกผู้รับบูชาด้วยกัน 

ดูกรพราหมณ์ พราหมณ์ปุโรหิต ได้ยังพระหฤทัยของพระเจ้ามหาวิชิตราชผู้ทรงบูชามหายัญอยู่ ให้ทรงเห็นแจ้ง ให้ทรงสมาทาน ให้ทรงอาจหาญ ให้ทรงร่าเริง โดยอาการ ๑๖ ประการ ดังแสดงมานี้แล

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ในยัญนั้น ไม่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร และสัตว์ นานาชนิด ไม่ต้องตัดต้นไม้มาทำเป็นหลักยัญ ไม่ต้องเกี่ยวหญ้าคามาเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น บูชามหายัญนั้นได้สำเร็จแล้วด้วยลำพังเพียงเนยใส น้ำมัน เนยข้น เปรียง น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เท่านั้น ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้นแล พวกอนุยนตกษัตริย์ พวกพราหมณ์มหาศาล พวกคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ต่างก็พากันนำทรัพย์มากมาย เข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหาวิชิตราชกราบทูลว่า "ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าได้นำทรัพย์มากมายนี้มาเฉพาะพระองค์ ขอพระองค์จงทรงรับเถิด" พระเจ้ามหาวิชิตราชตรัสว่า อย่าเลยพ่อ แม้ทรัพย์เป็นอันมากนี้ของข้าพเจ้าก็ได้รวบรวมมาแล้วจากภาษีอากรที่เป็นธรรม ทรัพย์ที่ท่านนำมานั้นจงเป็นของพวกท่านเถิด ก็และท่านจงนำทรัพย์จากที่นี้เพิ่มไปอีก

อนุยนตกษัตริย์ พราหมณ์มหาศาล และพวกคฤหบดีผู้มั่งคั่งเหล่านั้นถูกพระราชาปฏิเสธ ต่างพากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง คิดร่วมกันอย่างนี้ว่า การที่พวกเราจะรับทรัพย์เหล่านี้คืนไปบ้านเรือนของตนๆ อีกนั้นไม่เป็นการสมควรแก่พวกเราเลย พระเจ้ามหาวิชิตราชกำลังทรงบูชามหายัญอยู่ เอาเถอะ พวกเรามาบูชายัญตามเสด็จพระองค์บ้าง

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :  ดูกรพราหมณ์ ลำดับนั้น พวกอนุยนตกษัตริย์ พราหมณ์มหาศาล และพวกคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ซึ่งเป็นชาวนิคมและชาวชนบท ได้เริ่มบำเพ็ญทานโดย ไม่ต้องฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร และสัตว์นานาชนิด ยัญนั้นได้สำเร็จแล้วด้วยลำพังเพียงเนยใส น้ำมัน เนยข้น เปรียง น้ำผึ้งน้ำอ้อย เท่านั้น
๑. ชนผู้เห็นชอบตามพระราชดำริทั้ง ๔ จำพวก (อนุยนตกษัตริย์, อำมาตย์ราชบริษัท, พราหมณ์มหาศาล, คฤหบดีผู้มั่งคั่ง) ๒. พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ๓. พราหมณ์ปุโรหิตประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ ดังกล่าวมานี้ รวมเรียกว่ายัญญสัมปทา ๓ ใน ๓ อย่างนี้ประกอบด้วยบริวาร ๑๖  นี้คือความหมายของยัญสมบัติ ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์เหล่านั้นส่งเสียงอื้ออึงเกรียวกราวว่า โอ ยัญ โอ ยัญสมบัติ ส่วนพราหมณ์กูฏทันตะ นั่งนิ่งอยู่ ต่อนั้น พราหมณ์เหล่านั้นได้ถามว่า "เพราะเหตุไรเล่า ท่านกูฏทันตะจึงไม่ชื่นชมคำสุภาษิตของพระสมณโคดม" พราหมณ์กูฏทันตะกล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้คิดอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ได้ตรัสอย่างนี้ว่า เหตุอย่างนี้ได้มีแล้วในกาลนั้น เรื่องเช่นนี้ได้มีแล้วในกาลนั้น ดังนี้ทีเดียว ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้คิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น พระสมณโคดมคงจะทรงเป็นพระเจ้ามหาวิชิตราชผู้เป็นเจ้าแห่งยัญ หรือทรงเป็นพราหมณ์ปุโรหิตผู้อำนวยการบูชายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราชนั้นแน่นอน" ดังนี้ แล้วจึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

กูฏทันตะ : พระโคดมผู้เจริญทรงทราบโดยแจ้งชัดหรือว่า ผู้บูชายัญและผู้อำนวยกาบูชายัญตามที่บอกนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า :  ดูกรพราหมณ์ เราย่อมทราบโดยแจ้งชัดว่า ผู้บูชายัญและผู้อำนวยการบูชายัญตามที่บอกนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดูกรพราหมณ์ สมัยนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ปุโรหิต ผู้อำนวยการบูชายัญของพระเจ้ามหาวิชิตราชนั้น


🙏ว่าด้วยทาน 🙏

อานิสงค์มากกว่ายัญสมบัติทั้ง ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖

กูฏทันตะ : 
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ นี้ มีอยู่หรือ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ มีอยู่ ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติ ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ นี้
กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญสมบัติทั้ง ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ นี้ เป็นไฉน?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ นิตยทาน (การให้ทานสม่ำเสมอ ให้เป็นนิต ให้ประจำ) อันเป็นอนุกูลยัญอย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลถวายเจาะจงพวกบรรพชิตผู้มีศีล ก็ยัญนี้แลเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ นี้
กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้นิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนั้น ซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ นี้?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ พระอรหันต์ก็ดี ท่านที่บรรลุอรหัตมัคก็ดี ย่อมไม่รับยัญ (ทาน) ที่มาจากการประหาร เข่นฆ่าชีวิต ส่วนนิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญ (เนยใส น้ำมัน เนยข้น เปรียง น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลถวายเจาะจงพวกบรรพชิตผู้มีศีล พระอรหันต์ก็ดี ท่านที่บรรลุอรหัตมัคก็ดี ย่อมยอมรับการบูชาด้วยยัญเช่นนั้น เพราะเหตุไร เหตุเพราะในยัญนั้น ไม่ปรากฏว่ามีการประหาร เข่นฆ่าชีวิต นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้นิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนั้น ซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญสมบัติทั้ง ๓ ประการ ซึ่งมีบริวาร ๑๖ นี้

อานิสงค์มากกว่านิตยทาน

กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า นิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนี้ ยังมีอยู่หรือ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนี้ มีอยู่
กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญนั้นเป็นไฉน?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ยัญของบุคคลที่สร้างวิหารอุทิศพระสงฆ์ผู้มาแต่ทิศทั้ง ๔ (สร้างวิหารเสนาสนะแด่ภิกษุสงฆ์ โดยไม่เจาะจง) นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่านิตยทานอันเป็นอนุกูลยัญนี้

อานิสงค์มากกว่าสร้างวิหารอุทิศพระสงฆ์

กูฏทันตะ :  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่าสร้างวิหารทานนี้ยังมีอยู่หรือ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : มีอยู่ พราหมณ์
กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญนั้นเป็นไฉน?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ ทานของบุคคลที่มีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่าและมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานนี้

อานิสงค์มากกว่าบุคคลที่ศรัทธาไตรสรณะคม

กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่าสรณคมน์เหล่านี้ยังมีอยู่หรือ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : มีอยู่ พราหมณ์
กูฏทันตะ :ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญนั้นเป็นไฉน?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ การที่บุคคลเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบททั้งหลาย คือ งดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร งดเว้นจากมุสาวาท งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาท ดูกรพราหมณ์ นี้แหละเป็นยัญซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่าและมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ามีจิตศรัทธาไตรสรณคมน์นี้

อานิสงค์มากกว่าสมาทานศีล ๕

กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญอย่างอื่นซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่าสิกขาบทเหล่านี้ยังมีอยู่หรือ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : มีอยู่ พราหมณ์
กูฏทันตะ :ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ยัญนั้นเป็นไฉน?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ได้ฟังธรรมแล้วศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่าฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัดไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ

🙏ว่าด้วยด้วยศีล🙏

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?
พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึง จุลศีล มัชฌิมศีล และ มหาศีล เป็นการแบ่งลำดับของศีล ในระดับของความหยาบและละเอียดหากถิกษุพึงรักษาทั้ง จุลศีล มัชฌิมศีล และ มหาศีล ได้ครบถ้วนจึงได้ชื่อว่าภิกษุผู้นั้นถึงพร้อมด้วยศีล มีทั้งหมด ๔๓ สิกขาบท ศึกษาได้จาก 🔎พรหมชาลสูตร

🙏ว่าด้วยด้วยณาน🙏

ภิกษุบรรลุปฐมฌานอยู่ นี้แหละเป็นทานซึ่งใช้ทรัพย์น้อยกว่า มีการตระเตรียมน้อยกว่า และมีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่าทานก่อนๆ
ภิกษุบรรลุทุติยฌานอยู่ มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ
ภิกษุบรรลุตติยฌานอยู่ มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ
ภิกษุบรรลุจตุตถฌานอยู่ มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่า กว่ายัญก่อนๆ

 🙏ว่าด้วยวิชชา ๘ วิปัสสนาญาณ🙏

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ ๑. วิปัสสนาญาณ (ญาณที่เกิดจากวิปัสสนา เช่นเห็นการเกิดดับ) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากยัญก่อนๆ
๒. มโนมยิทธิญาณ (ฤทธิ์ทางใจ) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ
๓. อิทธิวิธญาณ (มีฤทธิ์ การแสดงฤิทธิ์) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ
๔. ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์ ได้ยินเสียงมนุษย์และเทวดา) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ
๕. เจโตปริยญาณ (รู้ใจคนอื่น รู้ความคิด) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ
๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติในอดีตได้หลายชาติ) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ
๗. จุตูปปาตญาณ (ตาทิพย์ รู้เหตุการเกิด การตายของสัตว์) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ
๘. อาสวักขยญาณ (ญาณที่ทำให้จิตหลุดพ้น) มีผลมากกว่า มีอานิสงส์มากกว่ายัญก่อนๆ

(ศึกษาความหมายของวิชชา ๘ ได้ใน 🔎สามัญญผลสูตร เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู ย่อหน้าที่ ๑๓๑-๑๓๘)

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า : ดูกรพราหมณ์ก็ยัญสมบัติอื่นๆ ที่จะดียิ่งกว่า ประณีตยิ่งกว่ายัญสมบัตินี้ (อาสวักขยญาณ) ไม่มีอีกแล้ว

กูฏทันตะ : ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพเจ้านี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ ทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญจงทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้านี้ได้ปล่อยโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ แกะ ๗๐๐ได้ให้ชีวิตแก่สัตว์เหล่านั้น ขอสัตว์เหล่านั้นจงได้กินหญ้าเขียวสด จงได้ดื่มน้ำเย็น ขอลมที่เย็นจงพัดถูกสัตว์เหล่านั้นให้มีความสุขกายสบายใจเถิด

กูฏทันตพราหมณ์ได้บรรลุโสดาปัตติผลในวันนั้นทันที


วันพุธ

เลิกบูชายัญ เพียงเป็นฐาน สู่ความงอกงามในธรรม

ย้อนกลับไปถามว่า การเลิกบูชายัญหรือไม่บูชายัญ เป็นหลักการปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร เมื่อการบูชายัญเป็นหลักการยิ่งใหญ่ยอดสำคัญของสังคมพราหมณ์ ทางพระพุทธศาสนาก็จึงยกการเลิกบูชายัญหรือไม่บูชายัญขึ้นมาเป็นหลักการสำคัญของสังคมแทน โดยมีความหมายที่จะต้องทำความเข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ในการบำเพ็ญพุทธกิจ มีหลายครั้งหลายคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปพบกับพราหมณ์ที่กำลังเตรียมการบูชายัญบ้าง กำลังประกอบบูชายัญบ้าง และมีทั้งพิธีบูชายัญขนาดย่อมส่วนบุคคล และพิธีระดับผู้ปกครองบ้านเมือง ถ้าเป็นพิธีใหญ่ จะมีการฆ่าสัตว์บูชายัญจำนวนมาก และทาสกรรมกรทั้งหลายมักเดือดร้อนมาก เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปพบและสนทนากับเจ้าพิธี ในที่สุดเรื่องก็จะจบลงโดยที่เขาเองให้ปล่อยสัตว์ล้มเลิกพิธี พร้อมทั้งรับหลักการและวิธีปฏิบัติอย่างใหม่ที่พระองค์สอนไปดำเนินการ 

สาระสำคัญของหลักการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน โดยทั่วไปจะให้
ประกอบยัญกรรมในความหมายใหม่ (หรือเป็นการฟื้นความหมายดั้งเดิมก่อนที่พวกพราหมณ์จะทำให้เพี้ยนไป) ซึ่งเน้นที่ทาน และต้องไม่มีการเบียดเบียนชีวิต ถ้าเป็นยัญพิธีใหญ่มากของผู้ปกครองบ้านเมือง คำสอนในเรื่องยัญของพระพุทธเจ้า จะรวมถึงการจัดการบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยและให้ราษฎรเป็นอยู่ผาสุกก่อน แล้วจึงทำยัญพิธี และบำเพ็ญทาน ดังเช่น ใน🔎กูฏทันตสูตร (ที่สี่ ๙/๑๙๙-๒๓๘) ที่ตรัสกับกูฎทันตพราหมณ์ ผู้ปกครองพราหมณคาม ชื่อว่าชานุมัตต์ ซึ่งได้ให้เอาโค ๗๐๐ ลูกโค ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ และ ๗๐๐ และแกะ ๗๐๐ ผูกไว้ที่หลัก เตรียมพร้อมที่จะบูชามหายัญ พราหมณ์นั้นได้สนทนาสอบถามพระพุทธเจ้าถึงวิธีบูชายัญใหญ่ให้ได้ผลมาก พระพุทธเจ้าทรงยกเรื่องตัวอย่างในอดีตมาให้เป็นแบบ

สาระสำคัญ คือ ให้จัดการบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยและให้ราษฎรเป็นอยู่ผาสุก ถ้าบ้านเมืองยังมีโจรผู้ร้ายเป็นต้น ไม่ให้เอาแต่ใช้วิธีปราบปรามรุนแรง แต่ให้ราษฎรที่ประกอบเกษตรกรรม พาณิชยกรรมและข้าราชการ ผู้ที่ตั้งใจหมั่นขยัน จึงได้รับการส่งเสริมให้ตรงจุด จนบ้านเมืองมั่งคั่ง ราษฎรชื่นชมยินดี อยู่ปลอดภัย “บ้านเรือนไม่ต้องลงกลอน ให้ลูกฟ้อนบนอก (หลักการนี้ คือธรรมชุดที่ในคัมภีร์บางแห่งเรียกว่าราชสังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ ๑. สัสสเมธะ (ฉลาดบำรุงธัญญาหาร) ๒. ปุริสมเมธะ (ฉลาดบำรุงข้าราชการ) ๓. สัมมาปาสะ (ผสานใจประชาด้วยอาชีพ) 4. วาจาเปยยะ (มีวาจาดูดดื่มใจ) (๕) เกิดผล คือ นิรัคคฬะ (เกษมสุข) บ้านเรือนไม่ต้องลงกลอน  หลักนี้เป็นนัยพุทธ จาก มหายัญ ๕ ของพราหมณ์ คือ ๑. อัสสเมธะ (อัศวเมธ/ ฆ่าม้าบูชายัญ ๒. ปุริสเมธะ (ฆ่าคนบูชายัญ) ๓. สัมมาปาสะ (ยัญลอดบ่วง) ๔. วาชเปยยะ (ยัญดื่มเพื่อชัย) ๕. นิรัคคฬะ หรือ สรรพเมธะ (ยัญฆ่าครบทุกอย่าง)

เมื่อบ้านเมืองดีแล้ว ผู้ปกครองนั้นก็เรียกพบปรึกษาคนทุกหมู่เหล่าในแผ่นดิน ทั้งอำมาตย์จนถึงชาวนิคมชนบท ขอความร่วมมือในการที่จะบูชายัญ ซึ่งไม่มีการฆ่าสัตว์และไม่ทำให้คนใดๆ เดือดร้อน มีแต่การมอบให้ของง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ และราษฎรก็พากันร่วมทำตามด้วย แล้วต่อจากนั้นก็มีการบำเพ็ญทานแก่บรรพชิตผู้มีศีล การสร้างสรรค์ประโยชน์ และพัฒนาชีวิตสูงขึ้นไปจนลุจุดหมายแห่งชีวิตที่ดี 

ผลของการฟังวิธีบูชายัญแบบนี้ คือ กูฏทันพราหมณ์ประกาศตนเป็นอุบาสก พร้อมทั้งได้กราบทูลว่าข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปล่อยโค ๗๐๐ ลูกโค ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ แกะ ๗๐๐ ข้าพเจ้าให้ชีวิตแก่สัตว์เหล่านั้น ขอให้สัตว์เหล่านั้นได้กินหญ้าเขียวสด จงดื่มน้ำเย็น จงรับลมสดชื่นที่พัดโชยมาให้สบายเถิด 

เห็นได้ชัดว่า การห้ามหรือให้เลิกบูชายัญ และการเผื่อแผ่แบ่ง
ปันช่วยเหลือกันคือทานนี้ เป็นหลักการใหญ่ที่เน้นของพระเจ้าอโศกจนเรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศแห่งศิลาจารึกของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าอโศกยังทรงก้าวต่อขึ้นไปอีก สู่งานในขั้นที่เป็นเป้าหมายแท้ของพระองค์ คือการสอนธรรมเพื่อให้ประชาชนประพฤติธรรม เหมือนกับว่าทานนั้นเป็นฐาน เพื่อเตรียมวัตถุและสังคมให้เอื้อแก่คนที่จะพัฒนาสูงขึ้นไป และตรงนี้เองจึงทรงเน้นธรรมทาน ขอยกคำในจารึกศิลา ฉบับที่ ๙ ต่อด้วย ฉบับที่ ๑๑ มาอีกว่า ฉบับที่ ๙ : ...การให้ทานเป็นความดี ก็แต่ว่าทาน หรือการอนุเคราะห์ที่เสมอด้วยธรรมทาน หรือธรรมานุเคราะห์ ย่อมไม่มี ฉบับที่ ๑๑: ไม่มีทานใดเสมอด้วยธรรมทาน ธรรมสังวิภาค (การแจกจ่ายธรรม) และธรรมสัมพันธ์ อาศัยธรรม (ธรรมทานเป็นต้น) นี้ ย่อมบังเกิดมีสิ่งต่อไปนี้ คือ
- การปฏิบัติชอบต่อคนรับใช้และคนงาน
-การเชื่อฟังมารดาบิดา
- การเผื่อแผ่แบ่งปันแก่มิตร คนคุ้นเคย ญาติ และแก่สมณพราหมณ์
- การไม่ฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ
นี่คือหลักการใหญ่ที่เป็นแกนกลางแห่งแนวคิดภาคปฏิบัติของพระเจ้าอโศก การทำศิลาจารึกสั่งสอนธรรมก็ตั้งบนฐานของหลักการนี้ หลักการไม่บูชายัญ แต่หันมาสู่ทาน และให้คนทุกหมู่เหล่าเกื้อกูลปฏิบัติชอบต่อกัน มารวมศูนย์ที่นี่

พร้อมนั้น จุดนี้ก็เป็นศูนย์รวมที่อโศกธรรมมาบรรจบกับแหล่ง
เดิมของหลักธรรมเดียวกันนั้น ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ขอให้ดูพุทธพจน์ในพระสูตรตอนต่อไปนี้ ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นพราหมณ์ ผู้ควรแก่การขอ เมืออันล้างแล้ว (พร้อมที่จะประกอบยัญพิธีแบบใหม่แห่งการบริจาคธรรม) ทุกเวลา ...ภิกษุทั้งหลาย ทานมี ๒ อย่างนี้ คือ อามิสทาน ๑ ธรรมทาน ๑ บรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ ภิกษุทั้งหลาย การแจกจ่ายมี ๒ อย่างนี้ คือ การแจกจ่ายอามิส ๑ การแจกจ่ายธรรม ๑ บรรดาการแจกจ่าย ๒อย่างนี้ การแจกจ่ายธรรม (ธรรมสังวิภาค) เป็นเลิศ ภิกษุทั้งหลาย การอนุเคราะห์มี ๒ อย่างนี้ คือ การอนุเคราะห์ด้วยอามิส การอนุเคราะห์ด้วยธรรม ๑ บรรดาการอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้ การอนุเคราะห์ด้วยธรรม (ธรรมานุเคราะห์) เป็นเลิศ ภิกษุทั้งหลาย อัญบูชา (ยาคะ) มี ๒ อย่างนี้ คือ ธัญบูชาด้วยอามิส ๑ ธัญบูชาด้วยธรรม ๑ บรรดายัญบูชา ๒ อย่างนี้ ยัญบูชาด้วยธรรม (ธรรมยาคะ) เป็นเลิศ ๆ (อิติ ๒๕/๒๘๐)



เรื่องนี้ ว่าจะพูดพอเห็นแนว แต่กลายเป็นยาว ควรจบเสียที ขอตั้งข้อสังเกตไว้อีกอย่างเดียว งานทางธรรมที่พระเจ้าอโศกทรงเอาพระทัยใส่จริงจังมาก และโดยชอบ แต่ไม่ใช่แค่คน ทรงเอาพระทัยใส่ต่อสัตว์อื่นทั่วไปหมดอยู่เสมอ คือการที่จะให้คนผู้ร่วมสังคม เอาใจใส่กันและปฏิบัติต่อกันนอกจากห้ามฆ่าสัตว์บูชายัญ และให้สำรวมตนต่อสัตว์ทั้งหลายคือทั้งไม่เบียดเบียนและเอื้ออาทรต่อสัตว์ทุกชนิดแล้ว ยังถึงกับตั้งโรงพยาบาลสัตว์ และให้ปลูกสมุนไพรที่เป็นยาสำหรับสัตว์ เช่นเดียวกับที่ได้จัดไว้สำหรับคน แล้วยิ่งกว่านั้นยังมีประกาศเกี่ยวกับอภัยทานและการสงวนพันธุ์สัตว์อีกด้วย การที่พระเจ้าอโศกทรงปฏิบัติในเรื่องนี้ถึงขนาดนี้ นอกจากเพราะจุดเน้นในการหันมาสู่ธรรมของพระองค์ ได้แก่การมีอวิหิงสา เมตตาการุณย์ต่อสัตว์อย่างที่กล่าวแล้ว บางทีจะเป็นด้วยทรงพยายามปฏิบัติให้ครบตามหลักจักรวรรดิวัตร ในจักกวัตติสูตร ซึ่งกำหนดให้พระเจ้าจักรพรรดิจัดการคุ้มครองอันชอบธรรม แก่มนุษย์สัตว์ทุกหมู่เหล่า โดยแยกไว้เป็น ๘ กลุ่ม อันมีมิคปักษี (เนื้อและนก คือทั้งสัตว์บกและสัตว์บินที่ไม่มีภัย) เป็นกลุ่มสุดท้าย

ขอให้ดูบางตอนในจารึกหลักศิลา ฉบับที่ ๒ ดังนี้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศีผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพตรัสไว้ดังนี้ :- ข้าฯ ได้กระทำการอนุเคราะห์แล้วด้วยประการต่างๆ แก่เหล่าสัตว์ทวิบาท สัตว์จตุบาท ปักษิณชาติ และสัตว์น้ำทั้งหลาย ตลอดถึงการให้ชีวิตทาน ...ต่อด้วยอีกบางตอนในจารึกหลักศิลา ฉบับที่ ๕ ดังนี้ ข้าฯ เมื่ออภิเษกแล้วได้ ๒๖ พรรษา ได้ออกประกาศ ให้สัตว์ทั้งหลายต่อไปนี้ ปลอดภัยจากการถูกฆ่า กล่าวคือ นกแก้ว นกสาลิกา นกจากพราก หงส์ ... เต่า และกบ กระรอก กวางเร็ว ... แรด นก พิราบขาว นกพิราบบ้าน และบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งปวงที่มิใช่สัตว์สำหรับปฏิโภค (ใช้หนังใช้กระดูก ฯลฯ) และมิใช่สัตว์สำหรับบริโภค แม่แพะ แม่แกะ และแม่หมู ที่กำลังมีท้องก็ดี กำลังให้นมอยู่ก็ดี ย่อมเป็นสัตว์ที่ไม่พึงฆ่า และแม้ลูกอ่อนของสัตว์เหล่านั้นที่อายุยังไม่ถึง ๖ เดือน ก็ไม่พึงถูกฆ่าเช่นกัน ไม่พึงทำการตอนไก่ไม่พึงเผาแกลบที่มีสัตว์มีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่พึงเผาป่าเพื่อการอันหาประโยชน์มิได้ หรือเพื่อการทำลายสัตว์ ไม่พึงเลี้ยงชีวิตด้วยชีวิต ไม่พึงฆ่าและขายปลา ในวันเพ็ญที่คำรบจาตุรมาสทั้ง และในวันเพ็ญแห่งเดือนดิษยะ คราวละ ๓ วัน คือ ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๑ ค่ำ และทุกวันอุโบสถ เป็นการเสมอไป อนึ่ง ในวันดังกล่าวมานี้ ไม่พึงฆ่าแม้เหล่าสัตว์ชนิดอื่นๆ ในป่าช้างและในเขตสงวนปลาของชาวประมง ตราบถึงบัดนี้ เมื่ออภิเษกแล้วได้ ๒๖ พรรษา ข้าฯ ได้สั่งให้มีการพระราชทานอภัยโทษแล้วรวม ๒๕ ครั้ง 

ในการจบเรื่องนี้ ก็มาดูกันว่า จากการบำเพ็ญธรรมทานของพระ
องค์ พระเจ้าอโศกได้ทรงประสบผลานิสงส์อย่างไร ซึ่งคงสรุปได้จากพระดำรัสในจารึกศิลา ฉบับที่ ๔ ดังนี้ กาลยาวนานล่วงแล้ว ตลอดเวลาหลายร้อยปี การฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ การเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย การไม่ปฏิบัติชอบต่อหมู่ญาติ การไม่ปฏิบัติชอบต่อสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ได้พอกพูนขึ้นถ่ายเดียว แต่มาในบัดนี้ ด้วยการดำเนินงานทางธรรม (ธรรมจรณะ) ของพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ เสียงกลองรบ (เกรีโฆษ) ได้กลายเป็นเสียงประกาศธรรม (ธรรมโฆษ) แต่ทั้งการแสดงแก่ประชาชน ซึ่งวิมานทรรศน์ หัสดิทรรศน์ อัคนีขันธ์และทิพยรูปอื่นๆ ก็ได้มีขึ้นด้วย
- การไม่ฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ
- การไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
- การปฏิบัติชอบต่อหมู่ญาติ
- การปฏิบัติชอบต่อสมณพราหมณ์ทั้งหลาย
- การเชื่อฟังมารดาบิดา
- การเชื่อฟังท่านผู้เฒ่าผู้ใหญ่
ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนตลอดเวลาหลายร้อยปี ได้เจริญงอกงามขึ้นแล้วในบัดนี้ เพราะการสั่งสอนธรรมของพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ความดีงามนี้ และการปฏิบัติธรรมอย่างอื่นๆ อีกหลายประการ ได้เจริญงอกงามขึ้นแล้ว พระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ จักทำให้การปฏิบัติธรรมนี้เจริญยิ่งขึ้นไปอีกและพระราชโอรส พระราชนัดดา พระราชปนัดดาของพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ก็จักส่งเสริมการปฏิบัติธรรมนี้ ให้เจริญยิ่งขึ้นต่อไปจนตลอดกัลป์ ทั้งจักสั่งสอนธรรม ด้วยการตั้งมั่นอยู่ในธรรมและในศีลด้วยตนเอง เพราะว่าการสั่งสอนธรรมนี้แล เป็นการกระทำอันประเสริฐสุด และการประพฤติธรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ไร้ศีล ก็แลความเจริญงอกงาม และความไม่เสื่อมถอยในการปฏิบัติธรรมนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเพื่อประโยชน์นี้ จึงได้จารึกธรรมโองการนี้ขึ้นไว้ ขอชนทั้งหลายจงช่วยกันประกอบกิจ เพื่อความเจริญงอกงามแห่งประโยชน์นี้ และจงอย่าได้มีวันกล่าวถึงความเสื่อมเลย ธรรมโองการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ โปรดให้จารึกไว้แล้ว เมื่ออภิเษกได้ ๑๒ พรรษา

เราได้มาถึงเมืองปัตนะ หรือปาตลีบุตร ศูนย์กลางแห่งมหาอาณาจักรของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งชมพูทวีป (H.G. Wells ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก) และพุทธศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนาเมื่อได้ทำความรู้จักกับพระเจ้าอโศกมหาราชมาอย่างนี้แล้ว ก็ขอยุติไว้แค่ที่พอสมควร เพียงเท่านี้