RSS

อนุสติ ๑๐ หน้า ๒

กลับไป อนุสติ ๑๐ หน้าแรก

๕. จาคานุสสติ 
จาคานุสสติ หมายความว่า การระลึกถึงการบริจาคทานของตน ที่เป็นไปโดยบริสุทธิ์ไม่โอ้อวด ไม่ตระหนี่ ไม่เอาหน้าหรือหวังชื่อเสียง เล็งเห็นคุณของการบริจาค องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีเจตนาในการบริจาคเป็นอารมณ์

การเจริญจาคานุสติ ผู้บริจาคทานต้องถึงพร้อมด้วยคุณความดี ๓ ประการ คือ
    ๑. วัตถุที่บริจาคทานเป็นสิ่งที่ได้มาโดยชอบ
    ๒. มีจิตที่ตั้งไว้ดี เป็นกุศลตั้งแต่ก่อนบริจาค ขณะบริจาค และเมื่อบริจาคแล้ว
    ๓. เป็นการบริจาคให้พ้นจากความตระหนี่ และตัณหา มานะ ทิฐิ

เมื่อบริจาคแล้วต้องสละให้ได้ บางคนบริจาคทานไปแล้วไม่พอใจที่ผู้รับไม่ใช้ของที่ตนบริจาคหรือไม่พอใจที่ผู้รับนำของนั้นไปให้ผู้อื่นต่อ เรียกว่าสละแล้วไม่พ้น สละไม่หลุด หรือบางคนบริจาคทานแล้วไม่พอใจเพราะมีคนบริจาคมากกว่าตน หรือบริจาคทานที่ประณีตกว่าตน บริจาคโดยหวังผลตอบแทน เช่น หวังโภคสมบัติ หวังสวรรค์สมบัติ ไม่จัดเป็นจาคานุสสติ เพราะเมื่อระลึกขึ้นมาไม่เป็น

การชำระจิต
การบริจาคทาน ที่เป็นทานบารมี เป็นปัจจัยอุปการะ แก่บารมีอื่น เช่น ศีลบารมี เป็นต้น ทานบารมีเป็นการชำระจิตในเบื้องต้น การสละมีตั้งแต่ สละวัตถุสิ่งของ อวัยวะ เลือดเนื้อ ชีวิต ดังพระเวสสันดรเป็นแบบอย่าง ผู้ปฏิบัติเมื่อระลึกอยู่เนืองๆ ถึงการบริจาคของตน ด้วยอำนาจแห่งคุณ มีความเป็นผู้มีใจปราศจากมลทินและความตระหนี่ เป็นต้น จะทำให้จิตไม่ถูกราคะ โทสะ โมหะ รบกวน การคำนึงนึกถึงอย่างนี้แหละ ได้ชื่อว่าจาคานุสสติ ต่อไปก็เริ่มต้นภาวนา ระลึกเป็นภาษาบาลี ดังนี้:-มนุสสัตตัง สุลัทธัง เม ยวาหัง จาเค สทา รโต มัจเฉรปริยุฏฐาย ปชาย วิคโต ตโต ฯ

ระลึกเป็นภาษาไทยดังนี้ :- ในบรรดาคนทั้งหลาย ที่มีมัจฉริยะก่อกวนกำเริบด้วยการหวงแหนอยู่นั้น แต่เรานั้นมีความยินดีปลื้มใจอยู่แต่ในการบริจาคทาน โดยปราศจากมัจฉิรยะลงได้ การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ดีจริงหนอ .

การระลึกถึงคุณแห่งการบริจาค จิตจะระลึกน้อมไปถึงคุณแห่งการบริจาคมากประการ ฌานจึงไม่ขึ้นถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น

อานิสงส์ของจาคานุสสติ คือ
๑. ย่อมน้อมไปในการสละที่ยิ่ง ๆ ขึ้น
๒. มีอัธยาศัยไม่โลภ
๓. อยู่อย่างไม่มีทุกข์
๔. เป็นที่รักของผู้อื่น
๕. ไม่สะทกสะท้านในกลุ่มคน
๖. มากไปด้วยปีติและปราโมช
๗. เข้าถึงเทวโลก

จบ จาคานุสสติ

๖. เทวตานุสสติ 
เทวตานุสสติ หมายถึง การระลึกถึงกุศลกรรมของตน มี ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ที่ตนมีแล้วเปรียบเทียบกับเทวดาว่าเทวดาที่ได้เกิดในเทวโลกมีความบริบูรณ์ในสุขในสมบัติต่างๆ เพราะเมื่ออดีตชาติเทวดาก็ประกอบด้วย ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา แม้ตัวของเราเองก็มีคุณธรรมเหล่านั้นเช่นเดียวกัน องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิก ที่ในมหากุศลจิต ที่มีศรัทธาเป็นต้น เป็นอารมณ์

วิธีเจริญเทวตานุสสติ จะต้องอยู่ในสถานที่เงียบเหมาะกับการปฏิบัติ และระลึกถึงความเป็นไปของเทวดาและพรหมทั้งหลายว่า ขณะที่ท่านเหล่านั้นยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น ท่านเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยธรรมอันดีงาม มีสัปปุริสรัตนะ ๗ อย่าง คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา หิริ โอตตัปปะและมี สัปปุริสธรรม ๗ คือ ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ ปัญญา ด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อตายลงก็ได้ไปบังเกิดในเทวภูมิ พรหมภูมิ ธรรมที่มีสภาพอันดีงามเหล่านี้ตนก็มีอยู่เหมือนกัน เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบดูอยู่อย่างนี้เนืองๆ แล้วก็บังเกิดความโสมนัสใจ การเจริญเทวตานุสสติมีหลายสิ่งให้ระลึกถึง ฌานจึงไม่ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ ได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น

อานิสงส์ของเทวตานุสติ คือ
๑. เพิ่มพูนคุณธรรม ๕ ประการ คือ
    - ศรัทธา มีความเชื่อในการกระทำความดี
    - ศีล มีความประพฤติดีทางกายวาจา
    - สุตะ ได้ยินได้ฟังได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
    - จาคะ มีการบริจาค เสียสละ ให้ทาน
    - ปัญญา มีการเพิ่มพูนความรู้ด้วยการคิด ฟัง ภาวนา
๒. ได้รับสิ่งที่เทวดาในสวรรค์ปรารถนา
๓. เป็นสุขในการรอเสวยผลของบุญ
๔. เคารพตัวเอง
๕. เทวดาในสวรรค์นับถือ
๖. สามารถปฏิบัติสีลานุสสติ และจาคานุสสติได้ด้วย
๗. อยู่เป็นสุข
๘. ตายไปย่อมเข้าถึงเทวโลก

จบ เทวตานุสสติ

๗. อุปสมานุสสติ 
อุปสมานุสสติ หมายความว่า การระลึกถึงคุณของพระนิพพานเป็นอารมณ์ โดยระลึกถึงคุณต่างๆ ของพระนิพพาน เช่น นิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ดับกิเลส ดับราคะ โทสะ โมหะ ดับกองทุกข์ คือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความโศกเศร้าต่างๆ นิพพานทำลายวัฏฏสงสาร ถอนความอาลัยรักใคร่ พอใจในเบญจกามคุณ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิตที่มีคุณของพระนิพพานเป็นอารมณ์

วิธีเจริญอุปสมานุสสติ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในคุณศัพท์ที่พรรณนาถึงคุณของพระนิพพานมี ๒๙ ประการให้ดีเสียก่อน จึงจะทำการเจริญอุปสมานุสสตินี้ได้

คุณของพระนิพพานมี ๒๙ ประการ คือ
๑. มทนิมมทโน พระนิพพาน เป็นธรรมที่ย่ำยีความมัวเมาต่างๆ คือ ความมัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ และบัญญัติต่างๆ
๒. ปิปาสวินโย พระนิพพาน เป็นธรรมที่บรรเทาเสียซึ่งความกระหายในกามคุณอารมณ์
๓. อาลยสมุคฆาโต พระนิพพาน เป็นธรรมที่ถอนเสียซึ่งความอาลัยในกามคุณอารมณ์
๔. วัฏฏูปัจเฉโท พระนิพพาน เป็นธรรมตัดเสียซึ่งการเวียนไปในวัฏฏะทั้ง ๓ ให้ขาด
๕. ตัณหักขโย พระนิพพาน เป็นธรรมที่สิ้นตัณหา
๖. วิราโค พระนิพพาน เป็นธรรมที่ปราศจากราคะ
๗. นิโรโธ พระนิพพาน เป็นธรรมที่ดับตัณหา
๘. ธุวัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ตั้งมั่นอยู่เสมอ
๙. อชรัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่มีความแก่
๑๐. นิปปปัญจัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ปราศจากปปัญจธรรม คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ที่ทำให้วัฏฏสงสารกว้างขวาง
๑๑. สัจจัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่มีความจริงแน่นอน
๑๒. ปารัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ข้ามพ้นฝั่งวัฏฏทุกข์
๑๓. สุทุททสัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ผู้มีปัญญาน้อยย่อมเห็นได้ยาก
๑๔. สิวัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่สบาย ปราศจากกิเลส
๑๕. อมตัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่มีความตาย
๑๖. เขมัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ปราศจากภัย
๑๗. อัพภุตัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
๑๘. อณีติกัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่มีภัยอย่างร้ายแรง ที่นำความเสียหายมาสู่
๑๙. ตาณัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ช่วยรักษาสัตว์ ไม่ให้ตกอยู่ในวัฏฏสงสาร
๒๐. เลณัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่หลบภัยต่างๆ
๒๑. ทีปัง พระนิพพาน เป็นเกาะที่พ้นจากการท่วมทับของโอฆะทั้ง ๔
๒๒. วิสุทธัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่บริสุทธิ์จากกิเลส
๒๓. วรัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่สัปปุรุษทั้งหลายพึงปรารถนา
๒๔. นิปุณัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่สุขุมละเอียด
๒๕. อสังขตัง พระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔
๒๖. โมกโข พระนิพพาน เป็นธรรมที่พ้นจากกิเลส
๒๗. เสฏโฐ พระนิพพาน เป็นธรรมที่ควรสรรเสริญโดยพิเศษ
๒๘. อนุตตโร พระนิพพาน เป็นธรรมที่ประเสริฐยิ่งหาที่เปรียบมิได้
๒๙. โลกัสสันโต พระนิพพาน เป็นธรรมที่สุดสิ้นแห่งโลกทั้ง ๓

เมื่อรู้ถึงคุณของพระนิพพานด้วยใจจริงแล้ว ต่อไปก็เริ่มต้นภาวนา ระลึกเป็นภาษาบาลี ดังนี้:-ยาวตา ภิกขเว ธัมมา สังขตา วา อสังขตา วา วิราโค เตสัง ธัมมานัง อัคคมักขายติ, ยทิทัง มทนิมมทโน , ปิปาสวินโย, อาลยสมุคฆาโต , วัฏฏูปจฺเฉโท , ตัณหักขโย , วิราโค, นิโรโธ , นิพพานัง ฯ 
ระลึกเป็นภาษาไทยดังนี้ :- ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดที่ถูกปรุงแต่งและไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ ที่ชื่อว่าสังขตะและอสังขตะ มีอยู่ ธรรมใดเป็นสภาพที่ย่ำยีความมัวเมาต่างๆ บรรเทาเสียซึ่งความกระหายในกามคุณ อารมณ์ ถอนเสียซึ่งความอาลัยในกามคุณอารมณ์ ตัดเสียซึ่งการเวียนไปในวัฏฏะทั้ง ๓ ให้ขาด ที่สิ้นไปแห่งตัณหา ปราศจากราคะ ที่ดับแห่งตัณหา และพ้นจากตัณหาอันเป็นเครื่องร้อยรัดนี้ ตถาคตพึงกล่าวว่าเป็นธรรมอันประเสริฐอย่างยอดยิ่ง ให้พิจารณาอย่างนี้อยู่เนืองๆ

การปฏิบัติจะ ระลึกเป็นภาษาบาลี หรือ ภาษาไทยตามที่ได้แปลไว้นั้นก็ได้ หรือจะระลึกในคุณพระนิพพาน ๒๙ ประการ มี มทนิมมทโน เป็นต้น ก็ได้ ความสำคัญอยู่ที่ผู้ระลึกจะต้องรู้ถึงความหมายของศัพท์นั้นๆ ไปด้วย การเจริญอุปสมานุสสติ มีคุณพระนิพพานเป็นอารมณ์นั้น พระนิพพานเป็นปรมัตถธรรมโดยเฉพาะที่นอกจาก จิต เจตสิก รูป ฉะนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับสังขตธรรมทั้งปวงที่เป็นรูปและนาม เมื่อว่าโดยธรรมที่เป็นภายในและภายนอกแล้ว พระนิพพานเป็นธรรมภายนอกอย่างเดียว ฉะนั้น พระนิพพานนี้จึงมิใช่เป็นธรรมที่ตั้งอยู่ภายในร่างกายของสัตว์โดยความเป็นแก่นสาร

ผู้ที่จะเจริญอนุสสติ มีพุทธานุสสติ เป็นต้น จนถึงอุปสมานุสสติ ให้สมบูรณ์อย่างถี่ถ้วนได้นั้นคงทำได้แต่พระอริยบุคคล สำหรับปุถุชนนั้นจะเจริญให้ได้ดีอย่างสมบูรณ์นั้นยังทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม

ถ้าเป็นผู้ที่มีสุตมยปัญญาอันสำเร็จมาจากการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างดีแล้ว ก็สามารถระลึกไปในพระคุณนั้นๆ ได้ด้วยดี จิตใจก็จะบังเกิดความเลื่อมใสในอารมณ์กรรมฐานนี้ได้เช่นกัน

อานิสงส์ของอุปสมานุสสติ
๑. หลับเป็นสุข
๒. ตื่นเป็นสุข
๓. มีความสงบ
๔. มีหิริโอตตัปปะ
๕. มีความเลื่อมใส
๖. เป็นที่นับถือของคนทั่วไป
๗. อยู่เป็นสุข
๘. มีกิริยาอ่อนน้อม
๙. จิตหยั่งในพระนิพพานเป็นคุณ
๑๐. สามารถทำความปรารถนาให้สำเร็จ หากไม่ได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ก็จะไปสู่สุคติ

จบ อุปสมานุสสติ


๘. มรณานุสสติ 
มรณานุสสติ คือ การระลึกถึงความตาย เป็นอารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีการระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตาย หรือมรณะ มี ๔ ชนิด คือ
๑. สมุทเฉทมรณะ คือ การปรินิพพานของพระอรหันต์ทั้งหลาย ตายครั้งเดียวเป็นการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
๒. ขณิกมรณะ คือ การดับของสังขาร รูปนามทุกขณะ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป (อุปาทขณะ ฐีติขณะ และภังคขณะ) เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ยังเกิดดับสืบต่อไป
๓. สมมุติมรณะ คือ ความตายที่ชาวโลกสมมติกัน เช่น นาฬิกาตาย รถตาย ต้นไม้ตาย เป็นต้น
๔. ชีวิตินทริยุปัจเฉทมรณะ ความตายในชาติหนึ่ง เมื่อชีวิต รูปนาม ดับสิ้นลงไป

แบ่งความตายโดยกาลเวลาเป็นเกณฑ์ มี ๒ อย่าง คือ
๑. อกาลมรณะ ตายก่อนเวลา คือ ตายในเวลาที่ไม่ควรจะตาย เป็นการตัดช่วงเจริญวัยของชีวิต เพราะมีกรรมมาตัดรอนให้ตายแต่เยาว์วัยหรือ ตายเมื่อ ยังหนุ่มสาว เช่น เจ็บป่วยตาย ถูกฆ่าตาย เป็นต้น
๒. กาลมรณะ ตายไปตามกาลเวลา คือตายเพราะสิ้นอายุ ตายเพราะ สิ้นกรรม ทั้งกาลมรณะและอกาลมรณะ ย่อมนำมาซึ่งการนึกถึงการตายได้ ดังนี้

  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยทุกข์กังวล เช่น คิดถึงการจะสูญเสียบุตรอันเป็นที่รัก
  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยความกลัว เช่น ระลึกถึงความตายอย่างกะทันหันของบุตร
  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยอุเบกขา เช่น สัปเหร่อที่เคยชินกับความตายจนวางเฉยไม่รู้สึกสลดหรือสังเวชใจ
  • นึกถึงความตาย ที่เนื่องด้วยปัญญา เช่น เมื่อระลึกถึงความตายแล้วเห็นว่าเป็นธรรมชาติของชีวิต ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด
วิธีการเจริญมรณานุสสติ ในการระลึกถึงความตาย ๔ ประการ ความตายที่ใช้ การเจริญมรณานุสสติ มีเฉพาะชีวิตินทริยุปัจเฉทมรณะ เท่านั้น ส่วนสมุทเฉทมรณะ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น เราจึงไม่สามารถเห็นได้ทั่วไป ขณิกมรณะ มีการเกิดดับเป็นไปทุกขณะ เรา ยังไม่สามารถเห็นความจริงของการเกิดดับนั้น สมมุติมรณะ ก็ไม่ทำให้เราเกิดความสังเวชใจ และการระลึกถึงความตายต้องระลึกถึงความตายที่เกี่ยวเนื่องด้วยปัญญาเท่านั้น เพราะถ้าระลึกถึงความตายด้วย ความทุกข์กังวล ความกลัว หรือเห็นความตายแล้ววางเฉย ไม่ปลงธรรมสังเวช อย่างนี้ไม่สามารถกำจัดทุกข์ได้

การเจริญมรณานุสสติ ไม่ใช่พร่ำบริกรรมท่องบ่นว่า “ตายๆๆๆ” โดยไม่ได้กำหนดพิจารณา แต่ต้องพิจารณาว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องประสบอย่างแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ตัวเราก็จะต้องตาย พระมหาจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยวิชชาและ จรณะ พระโมคคัลลาน์เถระผู้ทรงฤทธิ์ เป็นต้น ก็ยังไม่มีใครรอดพ้นความตายไปได้ ชีวิตนั้นไม่มีนิมิตหมายว่าจะตายเมื่อไร เป็นโรคอะไรตาย ตายเวลาใด สถานที่ใด ไม่มีใครรู้ได้คนที่จะอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีมีน้อยนัก จึงไม่ควรประมาทมัวเมาในชีวิต ควรขวนขวายหาทางดับทุกข์ให้สำเร็จพระนิพพาน เหมือนคนที่ไฟไหม้ศีรษะต้องหาทางดับไฟให้ได้โดยเร็ว

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่
เจริญมรณานุสสติ ทุกลมหายใจว่าเป็นผู้ไม่ประมาทจะเป็นผู้สิ้นกิเลสอาสวะได้เร็ว การเจริญมรณานุสสติไม่สามารถให้ได้ฌาน ได้แต่เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น มรณานุสสติช่วยเตือนสติไม่ให้ประมาทในชีวิต ให้เร่งสร้างความดี เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลอื่นๆ ต่อไป แต่มรณานุสสติก็เป็นสิ่งทวนกระแสความรู้สึกของคนทั่วไป เพราะคนกลัวความตาย ไม่ชอบการพลัดพราก แม้เพียงเอ่ยถึงความตาย ก็รู้สึกพรั่นพรึง เห็นเป็นลางร้าย จึงเป็นกรรมฐานที่เจริญได้ยาก

อานิสงส์ของผู้ที่เจริญมรณานุสสติ คือ
๑. เป็นผู้ขวนขวายในกุศลธรรม สนใจ ใฝ่ใจในธรรมชั้นสูง
๒. เป็นผู้ไม่ชอบความชั่ว หลีกเลี่ยงความชั่ว
๓. ไม่สะสมสิ่งของที่เกินความจำเป็น
๔. คลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
๕. ละความไยดีในชีวิตเสียได้
๖. อยู่เป็นสุข
๗. ไม่กลัวตาย
๘. ไม่หลงสติในเวลาตาย
๙. หากยังไม่สำเร็จพระนิพพานก็จะไปสู่สุคติ

จบ มรณานุสสติ

๙. กายคตาสติ 

กายคตาสติ หมายความว่า การระลึกถึงลักษณะอาการของกายส่วนต่างๆ ๓๒ ประการ หรือเรียกว่าโกฏฐาส ๓๒ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีโกฏฐาส เป็นอารมณ์ คำว่า กาย แปลว่า กอง หมายถึงกองของสิ่งประกอบ ๓๒ อย่าง มีดังนี้
๑. ผม (เกสา)            ๒. ขน (โลมา)
๓. เล็บ (นขา)            ๔. ฟัน (ทันตา)     
๕. หนัง (ตโจ)            ๖. เนื้อ (มังสัง)
๗. เอ็น (นหารู)            ๘. กระดูก (อัฐิ)
๙. เยื่อในกระดูก (อัฐิมิญชัง)            ๑๐. ไต (วักกัง)
๑๑. หัวใจ (หทยัง)            ๑๒. ตับ (ยกนัง)
๑๓. พังผืด (กิโลมกัง)            ๑๔. ม้าม (ปิหกัง)
๑๕. ปอด (ปัปผาสัง)            ๑๖. ไส้ใหญ่ (อันตัง)
๑๗. ไส้น้อย (อันตคุณัง)            ๑๘. อาหารใหม่ (อุทริยัง)
๑๙. อาหารเก่า (กรีสัง)            ๒๐. สมอง (มัตถเก มัตถลุงคัง)
๒๑. น้ำดี (ปิตตัง)            ๒๒ . น้ำเสลด (เสมหัง)
๒๓. น้ำหนอง (ปุพโพ)            ๒๔. น้ำเลือด (โลหิตัง)
๒๕. น้ำเหงื่อ (เสโท)            ๒๖. น้ำมันข้น (เมโท)
๒๗. น้ำตา (อัสสุ)            ๒๘. น้ำมันเหลว (วสา)
๒๙. น้ำลาย (เขโฬ)            ๓๐. น้ำมูก (สิงฆานิกา)
๓๑. น้ำไขข้อ (ลสิกา)            ๓๒. น้ำมูตร (มุตตัง)

หมายเหตุ ข้อ ๒๐ มัตถลุงคัง(สมอง) นี้เดิมทีนั้นในพุทธภาษิตไม่มี เพราะพระพุทธองค์ทรงรวบรวมบท (มัตถลุงคัง)สมอง ไว้ในบท อัฏฐิมิญชัง(เยื่อในกระดูก) แล้ว ต่อมาปฐมสังคีติการกาจารย์ทั้งหลายได้ แยกบทมัตถลุงคัง จากบท อัฏฐิมิญชัง มาโดยเฉพาะ โดยนำมาต่อจากบท กรีสัง(อาหารเก่า) เพื่อจะได้ครบจำนวนปถวีฐาตุ ๒๐

การพิจารณาอาการ ๓๒ ประการนี้ ส่งผลสำเร็จได้ ๓ ทาง คือ
๑. บางบุคคลเจริญกายคตาสติแล้ว พิจารณาสังขารร่างกายโดยความเป็นปฎิกูล ปฏิภาคนิมิตที่เกิดขึ้นโดยเป็นปฏิกูลนี้ สามารถบรรลุได้ถึงปฐมฌานเท่านั้น อย่างนี้จัดเป็น สมถกรรมฐาน
๒. บางบุคคลเจริญกายคตาสติแล้ว ปฏิภาคนิมิตที่เกิดขึ้น เป็นปฏิภาคนิมิตชนิดวัณณกสิณเมื่อเจริญแล้วสามารถบรรลุไปถึงปัญจมฌานได้ อย่างนี้จัดเป็น สมถกรรมฐาน
๓. บางบุคคลเจริญกายคตาสติแล้ว ให้เห็นความเป็นธาตุ สมาธิก็ได้เพียงอุปจารสมาธิ หรืออุปจารภาวนาเท่านั้น

ถ้าท่านผู้เจริญกายคตาสติหาเหตุปัจจัยของความเป็นธาตุนั้น ก็จะสามารถ
บรรลุวิปัสสนาได้ เช่น พิจารณาธาตุใดที่แข็ง เหล่านั้นเป็นธาตุดิน สิ่งที่ไหลเอิบอาบเกาะกุม เหล่านั้นเป็นธาตุน้้า สิ่งใดคือความเย็นความร้อน เหล่านั้นเป็นธาตุไฟ สิ่งใดมีการพัดไหวไปมา เคลื่อนไปได้ เช่นลมหายใจเข้าออก เหล่านั้นเป็นธาตุลม อย่างนี้จัดเป็น วิปัสสนากรรมฐาน

วิธีการเจริญกายคตาสติ
๑. การเจริญกายคตาสติ สำหรับบุคคลที่มีปัญญาระดับกลาง ต้องใช้เวลาในการเจริญ ๕ เดือนกับอีก ๑๕ วัน บุคคลมี ๓ จำพวก คือ
    (๑) ติกขบุคคล ใช้เวลาน้อยกว่าที่กำหนด
    (๒) มัชฌิมบุคคล ใช้
เวลา ๕ เดือน ๑๕ วัน
    (๓) มันทบุคคล ใช้เวลามากกว่านั้น
๒. ผู้ที่จะเจริญกายคตาสติ ก่อนลงมือปฏิบัติต้องรู้กิจเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติให้ดีเสียก่อน กิจเบื้องต้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ
    ๒.๑ อุคคหโกสัลละ ความฉลาดในการศึกษา ๗ อย่าง คือ
        ๒.๑.๑ การพิจารณาโดยการท่องด้วยวาจา
        ๒.๑.๒ การพิจารณาทางใจ
        ๒.๑.๓ การพิจารณาโดยความเป็นวรรณะ คือ สีดำ ขาว หรือแดง
        ๒.๑.๔ การพิจารณาโดยความเป็นรูปร่างสัณฐาน
        ๒.๑.๕ การพิจารณาโดยความเป็นที่เกิด (คือ เกิดอยู่ส่วนบนหรือส่วนล่างของร่างกาย)
        ๒.๑.๖ การพิจารณาโดยที่ตั้ง ( คือ ตั้งอยู่ในร่างกายส่วนใด)
        ๒.๑.๗ การพิจารณาโดยกำหนดขอบเขต (เช่น เส้นผม กำหนดเขตโดยผมนั้นหยั่งลงในศีรษะประมาณปลายเม็ดข้าวเปลือก และในรูที่เส้นผมหยั่งลงนั้น ไม่มีผม ๒ เส้นอยู่ด้วยกัน กำหนดเขตปลายผมนั้น สุดความยาวของเส้นผม
    ๒.๒ มนสิการโกสัลละ ความฉลาดในการพิจารณา ๑๐ อย่าง คือ
        ๒.๒.๑ การพิจารณาไปตามลำดับ (ไม่กระโดดข้ามหมวด)
        ๒.๒.๒ การพิจารณาโดยไม่รีบร้อนนัก
        ๒.๒.๓ การพิจารณาโดยไม่เฉื่อยช้านัก
        ๒.๒.๔ การพิจารณาโดยบังคับจิตไม่ให้ไปที่อื่น
        ๒.๒.๕ การพิจารณาโดยก้าวล่วงบัญญัติ
        ๒.๒.๖ การพิจารณาโดยทิ้งอาการ ๓๒ ที่ไม่ปรากฏโดยสี สัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง ขอบเขตตามลำดับ
        ๒.๒.๗ การพิจารณาในอาการ ๓๒ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เข้าถึงอัปปนา
        ๒.๒.๘ การพิจารณาโดย อธิจิตตสูตร
        ๒.๒.๙ การพิจารณาโดย สีติภาวสูตร
        ๒.๒.๑๐ การพิจารณาโดย โพชฌังคโกสัลลสูตร

อธิบายขั้นตอนการปฏิบัติในอุคคหโกสัลละ ๗
๒.๑ อุคคหโกสัลละ ความฉลาดในการศึกษา ๗ อย่าง คือ
    ๒.๑.๑ การท่องด้วยวาจา
    ๒.๑.๒ การพิจารณาทางใจ

ผู้ปฏิบัติต้องเริ่มต้นด้วยการท่องด้วยวาจาทุกคนไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป หรือบุคคลที่ทรงพระไตรปิฎกก็ตาม เพราะว่าการท่องด้วยวาจานั้นเป็นเหตุสำคัญที่จะให้ได้รับความสะดวกสบายในการพิจารณาด้วยใจ

การเจริญกายคตาสตินี้ ผู้เจริญจะต้องบริกรรมด้วยการท่องในหมวดหนึ่งๆ โดยความเป็นอนุโลม ๕ วัน ปฏิโลม ๕ วัน และอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน การเจริญด้วยการท่องด้วยวาจาโดยใช้คำบริกรรมเป็นภาษาบาลี หรือภาษาไทยก็ได้ ท่องไปจนครบถ้วนถูกต้องตามหลัก(ทั้ง ๑๑ ลำดับ)แล้ว ไม่หมวดใดก็หมวดหนึ่งจะต้องปรากฏชัดเจนมากทางใจเมื่อหมวดใดหมวดหนึ่งปรากฏในเวลานั้น สัญญาความจำไว้ว่าเป็นสัตว์ เป็นชีวิต เป็นบุคคล ก็จะไม่เกิดขึ้น (แต่ถ้าไม่ปรากฏ สัญญาความจำว่าเป็นสัตว์ เป็นชีวิต เป็นบุคคลก็ยังมีอยู่)

๒.๑.๑ การท่องด้วยวาจา
ลำดับที่ ๑ หมวดที่ ๑
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๑ ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๑ ว่า
หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๑ ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง , หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๑ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๒ 
หมวดที่ ๒
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๒ ว่า

เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๒ ว่า
ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๒ ว่า
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต , ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อรวมเวลาการท่องหมวดที่ ๒ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๓ คือหมวดรวมกันเป็น ๑๐ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต, ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๔หมวดที่ ๓
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๓ ว่า
หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๓ ว่า
ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๓ ว่า
หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๓ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๖ หมวดที่ ๔
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๔ ว่า
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๔ ว่า
สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๔ ว่า
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๔ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๕ คือหมวดรวมกันเป็น ๑๕ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๗ หมวดรวมกันเป็น ๒๐ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกันว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๘ หมวดที่ ๕
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๕ ว่า น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๕ ว่า
น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๕ ว่า
น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๕ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๙ หมวดรวมกันเป็น ๒๖ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้ำมันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ นำดี มันสมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวม = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๑๐ หมวดที่ ๖
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๖ ว่า
น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๖ ว่า
น้้ามูตร น้้าไขข้อ น้้ามูก น้้าลาย น้้ามันเหลว น้้าตา
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดที่ ๖ ว่า
น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร , น้้ามูตร น้้าไขข้อ น้้ามูก น้้าลาย น้้ามันเหลว น้้าตา
รวมเวลาการท่องหมวดที่ ๖ = ๑๕ วัน

ลำดับที่ ๑๑ หมวดรวมกันเป็น ๓๒ อาการ
👉 ท่องโดยอนุโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง , เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต , หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ไส้ใหญ่ ใส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร
👉 ท่องโดยปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
น้้ามูตร น้้าไขข้อ น้้ามูก น้้าลาย น้้ามันเหลว น้้าตา , น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี , สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ , ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ , ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ , หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม 
👉 ท่องโดยอนุโลมปฏิโลม ๕ วัน ในหมวดรวมกัน ว่า
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง , เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต , หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด , ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า สมอง , น้้าดี เสมหะ หนอง เลือด เหงื่อ น้้ามันข้น , น้้าตา น้้ามันเหลว น้้าลาย น้้ามูก น้้าไขข้อ น้้ามูตร, น้ำมูตร น้ำไขข้อ น้ำมูก น้ำลาย น้ำมันเหลว น้ำตา, น้้ามันข้น เหงื่อ เลือด หนอง เสมหะ น้้าดี สมอง อาหารเก่า อาหารใหม่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ปอด ม้าม พังผืด ตับ หัวใจ ไต เยื่อในกระดูก กระดูก เอ็น เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม
รวมเวลาการท่องหมวดรวมกัน = ๑๕ วัน

ฉะนั นต้องท่องด้วยวาจารวม ๑๑ ลำดับ = ๑๖๕ วัน หรือรวมเป็น ๕ เดือน ๑๕ วัน

๒.๑.๒ การพิจารณาทางใจ
ตอนท่องด้วยวาจา เช่น การท่องในหมวดแรกว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง การเจริญท่องบ่นครั้งแรกในหมวดหนึ่งๆนั้น ผู้เจริญจะต้องท่องอย่างเดียวว่า “ผม ขน เล็บ ฟัน หนังๆๆ ” ไม่ต้องพิจารณาโดยความเป็นสี เป็นปฏิกูล เป็นธาตุ แต่อย่างใดทั้งสิ น ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น หมายความว่า ถ้าผู้ปฏิบัติท่องบ่นและพร้อมกับพิจารณาโดยความเป็นสีแล้ว ขณะที่ทำการท่องบ่นพิจารณาอยู่นั้นหากวัณณนิมิต คือ สีปรากฏขึ้น ผู้เจริญก็อาจจะเข้าใจเพราะนิมิตที่เกิดขึ้นตรงกับการพิจารณา แต่ถ้านิมิตที่เกิด ขึ้นกลับเป็นปฏิกูลนิมิต คือ ความเป็นปฏิกูล หรือธาตุนิมิต คือ ความเป็นธาตุ(ปถวี อาโป เตโช) เช่นนี้ ผู้เจริญก็จะเข้าใจผิดไปว่า การเจริญนี้ผิดไปเสียแล้ว เพราะนิมิตที่ปรากฏนั้นไม่ตรงกับการพิจารณา ถ้าผู้ปฏิบัติท่องบ่นด้วยวาจาอย่างเดียว แล้วนิมิตที่เกิดจะเป็นวัณณนิมิตก็ดี ปฏิกูลนิมิตก็ดี ธาตุนิมิตก็ดี ผู้เจริญก็จะไม่เข้าใจผิด

ท่องด้วยวาจาแล้ววัณณนิมิตปรากฏ หรือ ปฏิกูลนิมิตปรากฏ หรือ ธาตุนิมิตปรากฏ ถ้าวัณณนิมิตปรากฏ ก็ให้เข้าใจว่า เพราะผู้ปฏิบัติมีบุญบารมีที่เกี่ยวกับการเคยเจริญวัณณกสิณมาแต่ภพก่อนๆ วัณณนิมิตจึงปรากฏ ก็ให้รู้ไว้ว่าวัณณกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่เหมาะสมสำหรับผู้นั้น ดังนั้นควรท่องบ่นพิจารณาโดยความเป็นสีต่อไป หรือปฏิกูลนิมิตปรากฏ ธาตุนิมิตปรากฏ ก็เป็นเพราะผู้ปฏิบัติมีบุญบารมีที่เกี่ยวกับการเคยเจริญปฏิกูล หรือ ธาตุมาแต่ภพก่อนๆ ก็ให้รู้ว่าปฏิกูลกรรมฐาน
หรือ ธาตุกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่เหมาะสมสำหรับผู้นั้น ดังนั้น ควรท่องบ่นพิจารณาต่อไป

การที่วัณณนิมิตปรากฏ ก็เพราะโกฏฐาสทั้งหมดมีสีอยู่ ขณะที่กำลังท่องบ่นว่า เกสาๆ หรือ ผมๆ อยู่นั้น สีดำ สีขาว สีแดง อันเป็นวัณณนิมิตก็จะปรากฏได้ (ช่วงตอนนี้ต้องพิจารณาโดยความเป็นสีในทางใจด้วย)เพราะผมมีหลายสี ส่วน ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นนั้น วัณณนิมิตก็ปรากฏได้เช่นเดียวกัน ผลจากการเพ่งวัณณนิมิต คือให้ได้รูปฌาน ๕ เมื่อได้รูปฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดารูปฌาน ๕ นั้นแล้ว ก็อาศัยรูปฌานนั้นๆ เป็นบาทในการเจริญวิปัสสนาต่อไปจนสำเร็จอรหัตตมรรค อรหัตตผล ได้

การที่ปฏิกูลนิมิตปรากฏ ก็เพราะโกฏฐาสทั้งหมดเป็นปฏิกูลอยู่แล้ว(ช่วงตอนนี้ต้องพิจารณาโดยความเป็นปฏิกูลทางใจด้วย) ผลที่ได้รับจากการท่องบ่นพิจารณาโดยความเป็นปฏิกูล คือให้ได้ถึง รูปปฐมฌาน จากนั้นก็อาศัยปฐมฌานสมาธิเป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อไปจนกระทั่งสำเร็จอรหัตตมรรค อรหัตตผล ได้

การที่ธาตุนิมิตปรากฏก็เพราะโกฏฐาส ๒๐ มี ผม เป็นต้น จนถึง สมอง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปถวีธาตุ โกฏฐาสที่เหลือ ๑๒ มี น้ำดี เป็นต้น จนถึง น้ำมูตร จัดเป็นอาโปธาตุ (ช่วงตอนนี้ต้องพิจารณาโดยความเป็นธาตุ ในทางใจด้วย) ผลที่ได้รับจากการท่องบ่นพิจารณาโดยความเป็นธาตุต่อไปนั้นได้เพียงอุปจารสมาธิไม่ถึงรูปฌาน จากนั้นก็อาศัยอุปจารสมาธินี้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อไป จนสำเร็จอรหัตตมรรค อรหัตตผล ได้

๒.๑.๓ – ๒.๑.๗ การพิจารณาโดยความเป็นสี รูปร่างสัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง และกำหนดขอบเขต
การพิจารณาโดยความเป็นสี รูปร่างสัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง และขอบเขต สามารถพิจารณาในอาการหนึ่งไปพร้อมกัน ดังนี้
๑. ผม นั้นมีสีดำ แดง ขาว มีสัณฐานยาวกลม เกิดขึ้นอยู่เบื้องบนของร่างกาย ตั้งอยู่ในหนังอ่อนซึ่งหุ้มกะโหลกศีรษะ สองข้างจดหมวกหู ข้างหน้าจดหน้าผาก ข้างหลังจดหลุมคอ ขอบเขตของผมเบื้องต่ำเส้นหนึ่งๆ หยั่งลงในหนังหุ้มศีรษะเข้าไปประมาณเท่ากับปลายข้าวเปลือก เบื้องบนมีขอบเขตแค่อากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกัน ขึ้นติดกัน ๒ เส้นไม่มี ผมก็เป็นผม ไม่ใช่ขน ไม่ใช่เล็บ มิใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๒. ขน สีดำบ้าง เหลืองบ้าง มีสัณฐานดังรากตาล ปลายน้อมลง เกิดอยู่ทั่วร่างกาย ขึ้นอยู่ในหนังทั่วตัว เว้นที่หนังศีรษะ และฝ่ามือ ฝ่าเท้า ขอบเขตเบื้องต่ำกำหนดด้วยรากของตนที่แยงเข้าในหนังหุ้มร่างกายประมาณเท่าไข่เหา เบื้องบนกำหนดด้วยอากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกัน ขึ้นอยู่เส้นเดียว ไม่มีติดกัน ๒ เส้น มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย ขนก็เป็นขนไม่ใช่ ผม เล็บ ฟัน ไม่ใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๓. เล็บ มีสีขาว มีสัณฐานเหมือนเกล็ดปลา เกิดอยู่ทั้ง ๒ ส่วน คือ เล็บมือเกิดอยู่ส่วนบน เล็บเท้าเกิดอยู่ส่วนล่าง ตั้งอยู่ที่หลังปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ขอบเขตกำหนดด้วยเนื้อปลายนิ้วทั้ง ๓ ด้าน ภายในกำหนดด้วยเนื้อหลังนิ้ว ภายนอกและปลายกำหนดด้วยอากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกันเล็บ ๒ อันติดกันไม่มี มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย เล็บก็คือเล็บ เล็บไม่ใช่ผม ขน ฟัน ไม่ใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๔. ฟัน ได้แก่ฟัน ๓๒ ซี่ ของผู้มีฟันเต็ม ฟันมีสีขาว มีสัณฐานต่างๆ คือ ฟันสี่ซี่ตรงกลางอยู่ด้านหน้า ข้างล่างเหมือนเม็ดน้ำเต้าที่เสียบติดไว้เป็นลำดับบนก้อนดินเหนียว ฟันสี่ซี่นี้มีรากเดียว มีสัณฐานเหมือนดอกมะลิตูม ถัดจากฟันหน้าเข้าไปข้างละซี่มี ๒ ราก ๒ ง่าม มีสัณฐานเหมือนไม้ค้ำยันถัดไปฟันข้างละ ๒ ซี่ มี ๓ ราก ปลาย ๓ แง่ ถัดไปฟันข้างละ ๓ ซี่ มี ๔ ราก ปลาย ๔ แง่ นี้คือฟันแถวล่าง ส่วนฟันแถวบนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ฟันเกิดอยู่ส่วนบนของร่างกาย ตั้งอยู่ที่กระดูกคางทั้ง ๒ ขอบเขต เบื้องต่ำกำหนดด้วยอากาศ ส่วนกว้างกำหนดด้วยส่วนของกันและกัน ฟัน ๒ ซี่ติดกันไม่มี มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย ฟันก็คือฟัน ไม่ใช่โกฏฐาสอื่นๆ
๕. หนัง ที่หุ้มร่างกาย ถ้าเป็นส่วนผิวหนัง มีสีดำบ้าง เหลืองบ้าง ขาวบ้าง ส่วนหนังหนานั้นมีแต่สีขาวอย่างเดียว มีสัณฐานเท่ากับร่างกาย เกิดอยู่ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ตั้งอยู่โดยรึงรัดทั่วไปทั้งตัวขอบเขตเบื้องต่ำกำหนดด้วยพื้นที่ตั้งอยู่ เบื้องบนกำหนดด้วยอากาศ มีอยู่โดยเฉพาะในร่างกาย มิใช่โกฏฐาสอื่น ๆ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหล่านี้ เมื่อว่าโดยสี สัณฐาน กลิ่น ที่อาศัยเกิด ที่ตั้ง ล้วนแต่เป็นของน่าเกลียดทั้งสิ้น บุคคลใดได้เห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ดี หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่คล้ายกันก็ดี ตกอยู่ในจานอาหารก็รังเกียจ หรือหากไม่ได้สระผมหลายวันก็จะมีกลิ่นที่น่ารังเกียจ เส้นผมเกิดบนศีรษะที่ชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำเหลือง เป็นปฏิกูลน่าขยะแขยง 

นี้เป็นตัวอย่างของการพิจารณา ซึ่งผู้ปฏิบัติที่สนใจปฏิบัติจริง ๆ ต้องศึกษาต่อเพิ่มเติมจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค

ประโยชน์ของการพิจารณาโกฏฐาสโดยความเป็น สี สัณฐาน เป็นต้น
ปกติแล้วคนทั้งหลายเมื่อเห็นกันและกันแล้ว ก็จะสำคัญผิดถือว่าเป็นคนนั้นเป็นชาย คนนี้เป็น หญิง สวย ไม่สวย เป็นอยู่อย่างนี้เสมอไป จิตใจก็เศร้าหมองไปด้วยกิเลสมี ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิเป็นต้น อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อได้พิจารณาผม ขน เล็บ เป็นต้น โดยความเป็นสี สัณฐาน ได้แล้ว ก็ทำให้ความเห็นผิดว่าเป็นหญิง ชาย สวย ไม่สวย ก็จะไม่เกิดขึ้น มีแต่สี หรือปฏิกูลนิมิต หรือ ธาตุนิมิต อย่างใดอย่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น จิตใจก็จะผ่องใสปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งก็เป็นสาเหตุสำคัญที่จะให้ได้บรรลุอรหัตตมรรค อรหัตตผล

การพิจารณาอาการ ๓๒ โดยพิจารณาสี สัณฐาน เป็นการพิจารณาให้เห็น
ส่วนต่างๆ ของอาการ ๓๒ ยิ่งคิดยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นความแยกส่วน ตลอดจนเห็นความจริง นอกจากจะพิจารณาในอุคคหโกสัลละ ๗ แล้วยังมีขั้นตอนการพิจารณาอีก ๑๐ ข้อ

๒.๒ การพิจารณาโดยมนสิการโกสัลละ ๑๐ ขั้นตอน
๒.๒.๑ การพิจารณาไปตามลำดับ ภายหลังจากการศึกษาและปฏิบัติในอุคคหโกสัลละ ๗ ประการแล้ว เมื่อผู้ปฏิบัติไม่ต้องทำการท่องบ่นด้วยวาจา แต่ต้องทำการพิจารณาโกฏฐาส ๓๒ เหล่านั้นด้วยใจ โดยสี สัณฐาน ที่ตั้ง ที่เกิด ขอบเขต ให้ถูกตรงตามหลักแห่งข้อนี้ คือต้องพิจารณาไปตามลำดับ ไม่ลักลั่น ไม่กระโดดข้ามหมวด
๒.๒.๒ การพิจารณาโดยไม่รีบร้อนนัก ขณะกำลังพิจารณาไปโดยลำดับอยู่นั้น อย่าพิจารณาให้เร็วนัก เพราะจะทำให้ สี สัณฐาน เป็นต้น ของโกฏฐาสนั้นจะปรากฏไม่ชัด
๒.๒.๓ การพิจารณาโดยไม่เฉื่อยช้านัก ขณะกำลังพิจารณาไปโดยลำดับอยู่นั้น อย่าพิจารณาให้ช้านัก เพราะจะทำให้ สี สัณฐาน เป็นต้น ของโกฏฐาสนั้น จะปรากฏโดยความเป็นของสวยงาม ทำให้กรรมฐานไม่ถึงที่สุด คือไม่ให้ได้ฌาน มรรค ผล นั่นเอง
๒.๒.๔ การพิจารณาโดยบังคับจิตไม่ให้ไปที่อื่น การปฏิบัติกรรมฐานนั้น เปรียบเหมือนกับคนที่เดินไปใกล้เหวซึ่งมีช่องทางชั่วรอบเท้าเดียว จะต้องระวังอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้พลาดตกลงไป ฉันใด ผู้ปฏิบัติต้องพยายามป้องกันความฟุ้งซ่านของจิตใจ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์กรรมฐานเช่นเดียวกัน
๒.๒.๕ การพิจารณาโดยการก้าวล่วงบัญญัติ ในขณะที่พิจารณาไปตามลำดับอยู่นั้น ได้ มีการพิจารณานามบัญญัติและสัณฐานบัญญัติอยู่ด้วย เพื่อจะให้ปฏิกูลนิมิตปรากฏ เมื่อปฏิกูลนิมิตปรากฏแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงนามบัญญัติคือ ผม ขน เป็นต้น และสัณฐานบัญญัติ คือ รูปร่างสัณฐูาน แต่อย่างใดอีก เปรียบเหมือนคนเห็นบ่อน้ำในป่าเวลาหาน้ำยาก จึงได้ทำเครื่องหมายเพื่อจำไว้จะได้สะดวกแก่การที่จะมาหาน้ำดื่มและอาบในครั้งต่อๆ ไป ครั้นมาบ่อยๆ เข้าก็ชำนาญในทางนั้นดีไม่จำเป็นที่จะต้องจำเครื่องหมายนั้นอีก เช่นเดียวกัน เมื่อปฏิกูลนิมิตปรากฏแล้ว ผู้เจริญก็พึงก้าวล่วงบัญญัติ
๒.๒.๖ การพิจารณาโดยทิ้งโกฏฐาสที่ไม่ปรากฏโดย สีสัณฐาน ที่เกิด ที่ตั้ง ขอบเขต ไปตามลำดับ ในขณะที่พิจารณาไปตามลำดับ โดยอนุโลมตั้งแต่ ผม จนถึง สมอง พิจารณาตามลำดับโดยปฏิโลมตั้งแต่ สมอง จนถึง ผม ผู้ปฏิบัติต้องสังเกตว่า โกฏฐาสอันใด หรือ หมวดใดปรากฏไม่ชัด ก็ให้ละการพิจารณาโกฏฐาสอันนั้น หรือ หมวดนั้นไป แล้วพิจารณาโกฏฐาสอันอื่น หรือหมวดอื่นที่เหลือ ซึ่งมีการปรากฏชัดมากต่อไป และในระหว่างนั้นก็พึงสังเกตดูอีกว่าโกฏฐาสอันใด หรือ หมวดใดปรากฏชัดกว่าก็ให้พิจารณาแต่โกฏฐาสนั้น หรือหมวดนั้น แล้วละทิ้งที่ไม่ค่อยชัดไป ให้คัดเลือกอย่างนี้เรื่อยไปจนเหลือโกฏฐาส ๒ และต่อจากนั้นก็สังเกตดูอีกว่าใน ๒ อย่างนั้น อันไหนปรากฏชัดมากกว่า ก็ให้พิจารณาอันนั้นละอันที่ปรากฏชัดน้อยไป การพิจารณาโกฏฐาสนี้ เมื่อถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ต้องถือเอาเพียงอันเดียว ไม่ได้ถือเอาทั้งหมด
๒.๒.๗ การพิจารณาโกฏฐาสอย่างใดอย่างหนึ่งให้เข้าถึงอัปปนา เมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณาโดยการละทิ้งโกฏฐาสที่ไม่ชัดไปตามลำดับจนกระทั่งเหลืออันเดียว จากนั้นก็พิจารณาในโกฏฐาสอันนั้นจนถึงได้ฌาน ไม่ต้องพิจารณาโกฏฐาสที่ละทิ้งไปแล้วๆ นั้นอีก อันที่จริงแล้วการพิจารณาโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ประการก็ยังผลให้ได้เข้าถึงอัปปนาเหมือนกัน ฉะนั้นการที่ต้องเจริญโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ในระยะแรกนั้น ก็เพื่อจะได้รับประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ ประการ คือ
            ๑. ในขณะที่กำลังพิจารณาโกฏฐาสโดยความเป็นอนุโลม ปฏิโลม ในหมวดทั้ง ๖ ตามลำดับปฐมฌานอาจเกิดขึ้นก็ได้
            ๒. ถ้าหากว่าฌานไม่เกิด ก็จะได้พิจารณาคัดเลือกโกฏฐาสอื่นต่อไปว่า โกฏฐาสใดจะเหมาะ สมกับอัธยาสัยของตนที่สุด ตามหลักข้อที่ ๖
๒.๒.๘ พิจารณาจิต (อธิจิตตสูตร) (ตั้งแต่ข้อ ๒.๒.๘–๒.๒.๑๐ เป็นการพิจารณาตามในพระสูตร) ผู้ปฏิบ้ติต้องพิจารณาในนิมิตทั้ง ๓ คือ สมาธินิมิต จิตใจที่สงบ ปัคคหนิมิต ความพยายาม อุเบกขานิมิต ความวางเฉย พิจารณาดูว่าอย่างใดมากเกินไปหรือน้อยเกินไป แล้วแก้ไขเพิ่มเติมนิมิตนั้นๆ ให้เสมอกัน จนกระทั่งสมาธิของตนขึ้นสู่อธิจิต คือ สมาธิที่มีกำลังยิ่งสามารถทำจิตให้นิ่งอยู่ในอารมณ์กรรมฐานได้ ทั้งนี้เพราะว่าถ้าสมาธินิมิตมาก ความเกียจคร้านย่อมเกิดขึ้น ถ้าปัคคหนิมิตมาก ความฟุ้งซ่านย่อมเกิดขึ้น ถ้าอุเบกขานิมิตมาก ก็จะไม่ถึงฌาน มรรค ผล ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงไม่ควรใฝ่ใจในนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งให้มากเกินไป แต่ควรใฝ่ใจนิมิตทั้ง ๓ ให้เสมอกัน
๒.๒.๙ พิจารณาธรรมที่ปรากฏ (สีติภาวสูตร) พึงพิจารณาตามข้อธรรม ๖ ประการ คือ
            ๑. ย่อมข่มจิตใจในคราวที่ควรข่ม คือ จิตมีความเพียรมากไป
            ๒. ย่อมประคองจิตในคราวที่ควรประคอง คือ จิตมีการง่วงเหงา ท้อถอย หดหู่
            ๓. ย่อมปลอบจิตในคราวที่ควรปลอบ คือ จิตไม่ยินดีในการงาน
            ๔. ย่อมพักผ่อนจิตในคราวที่ควรพักผ่อน คือ จิตดำเนินอยู่ด้วยดีในอารมณ์กรรมฐาน ไม่มีการฟุ้งซ่าน ง่วงเหงา ท้อถอย
            ๕. มีจิตใจน้อมไปในมรรค ผล
            ๖. มีความยินดีในพระนิพพาน

เมื่อพิจารณาตามข้อธรรม ๖ ประการแล้ว ถ้าข้อใดปรากฏแก่เรา ก็ให้แก้ไขโดยปฏิบัติตามหลักโพชฌงค์ ในข้อ ๒.๒.๑๐ ต่อไป
๒.๒.๑๐ ปฏิบัติโดยหลักโพชฌงค์(โพชฌังคโกสัลลสูตร) การปฏิบัติ คือ คราวใดจิตใจมีการง่วง เหงา ท้อถอย ไม่มีความเพียร ในคราวนั้นต้องอบรมธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ทั้ง ๓ นี้ให้แก่กล้ายิ่งขึ้น และคราวใดจิตใจมีความเพียรมากจนฟุ้งซ่านในคราวนั้นต้องอบรมปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทั้ง ๓ นี้ให้แก่กล้ายิ่งขึ้น (ทบทวนโพชฌงค์)


ความลำบากในการเจริญกายคตาสติกรรมฐาน
ในบรรดากรรมฐาน ๔๐ นั้น อนุสสติ ๑๐ และ พรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานที่ปฏิบัติได้ยากกว่ากรรมฐานอื่นๆ เพราะเหตุว่าผู้ปฏิบัติจะต้องทำการศึกษาให้เข้าใจเป็นอย่างดีเสียก่อนจึงจะลงมือปฏิบัติได้ มิฉะนั้นจะปฏิบัติไม่ถูก แต่การเจริญ กายคตาสตินี้ยิ่งลำบากมาก เพราะว่าผู้ปฏิบัติจะต้องศึกษาวิธีเจริญกายคตาสติกรรมฐาน ตามนัยอุคคหโกสัลละ ๗ ประการ เมื่อศึกษาและปฏิบัติตามแล้วก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่นิมิตทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นก็ได้ฌาน มรรค ผล ต่อไป

สำหรับบุคคลที่ปฏิบัติตามนัยอุคคหโกสัลละ ๗ แล้วนิมิตไม่ปรากฏ ก็ต้องศึกษาและปฏิบัติตามนัยมนสิการโกสัลละ ๑๐ ประการต่อไป แล้วจึงจะได้นิมิตทั้ง ๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง และได้ฌาน มรรค ผล ตามความปรารถนา ถึงแม้ว่าการปฏิบัติจะลำบากสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าได้นึกถึงอานิสงส์และคำยกย่องชมเชย ของท่านอรรถกถาจารย์ที่แสดงไว้ในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาแล้ว ชาวพุทธก็ควรยินดีพอใจในการปฏิบัตินี้โดยไม่ย่อท้อ อานิสงส์และคำยกย่องชมเชยนั้นมีดังนี้

อานิสงส์ของการเจริญกายคตาสติ คือ
๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ โดยอาศัยการเจริญกายคตาสติกรรมฐานนี้มีมากมาย นับจำนวนมิได้
๒. บุคคลใดทำการปฏิบัติกายคตาสติกรรมฐาน บุคคลนั้นได้ชื่อว่าเป็นภิกษุ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มนุษย์ ก็นับสงเคราะห์ว่าเป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น
๓. ตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคอรรถกถาได้แสดงว่า การเจริญกายคตาสตินี้ จะมีได้เฉพาะในสมัยพุทธกาลเท่านั้น(หมายถึงในเวลาที่พุทธศาสนายังตั้งอยู่) ถ้าสิ้นพุทธศาสนาแล้วจะมีไม่ได้เลย แม้ว่าพวกเดียรถีย์ที่ตั้งตัวเป็นศาสดาทำการปฏิบัติเผยแผ่ลัทธิแก่ชนทั่วไปในสมัยใดๆก็ตาม ก็มิอาจรู้ถึงวิธีเจริญกายคตาสติกรรมฐานนี้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะมิใช่เป็นวิสัยของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น หากแต่เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และพระพุทธองค์ได้ทรงสรรเสริญกายคตาสติกรรมฐานนี้ว่า 

🔅ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งเมื่อภิกษุได้เจริญแล้ว และเจริญติดต่อกันให้เพิ่มพูนทวีมากยิ่งขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไปแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสังเวชสลดใจอย่างใหญ่หลวงในกาย ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ในปัจจุบันภพนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความโปร่งใจอย่างใหญ่หลวงจากโยคะ ย่อมเป็นไปเพื่อมีสติสัมปชัญญะอย่างแรงกล้า ย่อมเป็นไปเพื่อความเห็นในกายเป็น อนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อสุภะ ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขในภพนี้ทันตาเห็น ย่อมเป็นไปเพื่อท้าให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ พระนิพพาน และผลสมาบัติธรรมอย่างหนึ่ง คืออะไร ?
คือ กายคตาสตินี้เอง

🔅 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดประพฤติปฏิบัติกายคตาสติ บุคคลเหล่านั้นย่อมได้เสวยอมตรส คือ พระนิพพาน บุคคลเหล่าใดมิได้ประพฤติปฏิบัติกายคตาสติ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวยอมตรส คือพระนิพพาน

🔅 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดพยายามปฏิบัติกายคตาสติจนสำเร็จ บุคคลเหล่านั้นย่อมได้เสวยอมตรส คือ พระนิพพาน ไม่เสื่อมจากพระนิพพาน ไม่ผิดทางพระนิพพาน บุคคลเหล่าใดไม่พยายามปฏิบัติกายคตาสติให้สำเร็จ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ได้เสวยอมตรส คือ พระนิพพาน เสื่อมจากพระนิพพาน ผิดทางพระนิพพาน 


🙏หมายเหตุ กายคตาสติที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องชมเชย และท่านอรรถกถาจารย์ก็ยกย่องไว้ 
มิได้มุ่งหมายเฉพาะแต่ ๓๒ โกฏฐาสอย่างเดียว แม้อสุภะ ๑๐ อานาปานสติ การกำหนดอิริยาบถใหญ่น้อย การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ เหล่านี้ล้วนแต่จัดเข้าเป็นกายคตาสติด้วยกันทั้งสิ้น ดังที่แจ้งไว้ในกายานุปัสสนาแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร สำหรับกายคตาสติในอนุสสติ ๑๐ นี้ มุ่งหมายเอาเฉพาะแต่ ๓๒ โกฏฐาสเท่านั้น

จบ กายคตาสติ


๑๐. อานาปานสติ 
อานาปานสติ หมายความว่า สติที่เกิดขึ้นโดยมีการระลึกอยู่ในลมหายใจเข้าออก อานะ คือลมหายใจเข้า อปานะ คือลมหายใจออก สติคือความระลึก ดังนั้น อานาปานสติหรืออานาปานัสสติ คือ การมีสติระลึกอยู่ในลมหายใจเข้าออก องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์

อานาปานสติ เป็นกรรมฐานหนึ่งในอนุสสติ ๑๐ และเป็นสติปัฏฐานด้วย การเจริญอานาปานสติจึงเป็นไปได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า :- 🔅ถ้าบุคคลปฏิบัติอานาปานสติ เธอชื่อว่าทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ ถ้าบุคคลปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เธอชื่อว่าทำโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ ถ้าบุคคลปฏิบัติโพชฌงค์ ๗ เธอชื่อว่าทำวิมุตติและวิชชาให้บริบูรณ์”

“ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธินี้แล อันพระโยคีเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นสภาพสงบ ประณีต สดชื่น เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข และยังอกุศลธรรมชั่วร้ายที่เกิดขึ้นแล้วๆ ให้อันตรธานสงบไปโดยพลัน เปรียบเสมือนฝนใหญ่ที่ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาล ยังฝุ่นละอองที่ฟุ้งขึ้นในเดือนท้ายฤดูร้อนให้อันตรธานไปสงบโดยพลัน ฉะนั้น

นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังทรงสรรเสริญอานาปานสติว่าเป็นอริยวิหาร (ธรรมเครื่องอยู่ของพระอริยะ) พรหมวิหาร (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม) และตถาคตวิหาร (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระพุทธเจ้า) นับว่าอานาปานสติเป็นกรรมฐานที่สำคัญยิ่ง พระพุทธองค์ทรงสนับสนุนให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติการเจริญอานาปานสติหากจะให้จิตสงบถึงระดับฌานต้องหาสถานที่ที่สงบสงัด เช่น เรือนว่าง ในถ้ำ โคนต้นไม้หรือในป่าที่ไม่มีผู้ใดหรือเสียงรบกวน เพราะเสียงเป็นปฏิปักษ์กับฌาน เมื่อเลือกสถานที่ได้แล้วให้นั่งคู้บัลลังก์หรือนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรงอย่าค้อมมาข้างหน้าหรือแอ่นไปข้างหลัง เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วหัวแม่มือจรดกัน การนั่งในท่านี้มีผลดีคือทำให้ตัวตรง เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลมหายใจเดินสะดวก นั่งได้นาน สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ทำให้ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้จะนั่งห้อยเท้า นั่งบนเก้าอี้ก็ได้ ให้เลือกเอาอิริยาบถที่นั่งได้สบายพอดี ผ่อนคลาย ไม่ฝืนเกินไป และเป็นท่านั่งที่ทำให้นั่งได้นาน เมื่อนั่งไปเรียบร้อยแล้วให้หลับตาลงเบาๆ อย่าเกร็ง ในการเริ่มแรกให้หายใจยาวๆ ลึกๆ ช้าๆ ที่เรียกว่าหายใจเข้าให้เต็มปอด ให้จิตใจโปร่งสบาย ต่อไปก็ให้หายใจตามปกติธรรมดา คอยกำหนดลมหายใจเข้าออกให้รู้ชัด รู้สึกตัวตลอดไม่หลงลืมหรือเผลอสติ เมื่อหายใจออกก็ให้รู้ชัดว่าหายใจออก หายใจเข้าก็ให้รู้ชัดว่าหายใจเข้า หายใจออกยาวก็ให้รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หายใจเข้ายาวก็ให้รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว หายใจออกสั้นก็ให้รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น หายใจเข้าสั้นก็ให้รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น การกำหนดลมหายใจเข้าออกนี้ให้นับไปด้วย จะได้ไม่เผลอสติหรือลืมกำหนด

วิธีเจริญอานาปานสติ
ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดสติหายใจออก กำหนดสติหายใจเข้า
๑. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
๒. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น
๓. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า
๔. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้า
๕. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า
๖. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า
๗. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจเข้า
๘. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจเข้า
๙. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า
๑๐. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า
๑๑. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักตั้งจิตมั่นหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า
๑๒. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า
๑๓. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า
๑๔. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า
๑๕. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยความดับหายใจเข้า
๑๖. ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืนหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่าเราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืนหายใจเข้า

ในที่นี้ คำว่า สำเหนียก หมายความว่า มีสติกำหนดที่จุดลมหายใจกระทบ สำหรับคนจมูกยาวลมจะกระทบที่กระพุ้งจมูก สำหรับคนจมูกสั้นลมจะกระทบที่เหนือริมฝีปากบน เพราะส่วนเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับลมหายใจเข้าออก ถ้ารู้การกระทบก็แสดงว่ามีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ไม่ต้องพิจารณาลมที่เข้าไปแล้วหรือลมที่ออกไปแล้ว มีสติกำหนดรู้อยู่ ณ บริเวณจุดที่ลมกระทบเท่านั้น เพราะการที่พิจารณาตามลมที่เข้ามาหรือออกไปนั้นจะเป็นเหตุทำให้จิตฟุ้งซ่าน กายและจิตก็จะกระสับกระส่าย ภาวะอย่างนี้เป็นโทษ การหายใจก็ไม่ควรหายใจแบบตั้งใจทำ เช่น หายใจยาวเกินไป หรือสั้นเกินไป เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน กายและจิตจะกระสับกระส่าย สิ่งเหล่านี้เป็นโทษไม่ควรปฏิบัติ

ควรปฏิบัติไปตามสมควร คือ ไม่พากเพียรหนักหรือหย่อนเกินไป ถ้าหย่อนเกินไป ความหดหู่และเซื่องซึม(ถีนมิทธะ) ก็จะครอบงำ ถ้าพากเพียรมากเกินไปก็จะฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)

การเตรียมตัวขั้นพื้นฐานก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการปฏิบัติ
ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติควรศึกษาข้อปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ๔ ประการ ดังนี้
๑ . การนับลม การนับลมแบ่งออกเป็น ๒ ตอน คือ
        ๑.๑ การนับลมหายใจเข้าออกด้วยวิธีนับช้าๆ ดุจคนตวงข้าวเปลือก การนับช้าๆ นั้นหมายความว่า ต้องนับแต่ลมหายใจเข้าหรือหายใจออกที่รู้สึกชัดเจนทางใจเท่านั้น ส่วนลมหายใจที่ไม่รู้สึกชัดเจนทางใจให้ทิ้งเสีย ไม่ต้องนับ สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็ควรกำหนดการหายใจเข้าออกอย่างช้าพอประมาณเพื่อจะได้กำหนดรู้ทันและนับถูก

ลมออกนับ ๑ ลมเข้านับ ๑
ลมออกนับ ๒ ลมเข้านับ ๒
ลมออกนับ ๓ ลมเข้านับ ๓

ให้นับเช่นนี้ จนถึง ๕,๕ แล้วเริ่มใหม่นับ ๑,๑ จนถึง ๖,๖ แล้วเริ่มใหม่นับ ๑,๑ ถึง ๗,๗ ..... เริ่มใหม่นับ ๑,๑ ถึง ๑๐, ๑๐ เมื่อถึง ๑๐ ,๑๐ แล้วย้อนกลับมานับที่ ๑,๑ ถึง ๕,๕ ใหม่ ดังนี้

๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘ ๙,๙
๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕ ๖,๖ ๗,๗ ๘,๘ ๙,๙ ๑๐,๑๐

๑,๑ ๒,๒ ๓,๓ ๔,๔ ๕,๕

        ๑. ๒ นับลมเข้าออกด้วยวิธีนับเร็ว ไม่ต้องเอาสติตามลมเข้าลมออก ให้เอาสติกำหนดการกระทบของลมที่กระพุ้งจมูก หรือที่เหนือริมฝีปากบน แล้วแต่ว่าจะรู้สึกชัดเจนที่ไหน การนับไม่ต้องนับเป็นคู่ ให้นับ ๑ ถึง ๕ แล้วเพิ่ม ๑ ถึง ๖ จนกระทั่งนับ ๑ ถึง ๑๐ และย้อนกลับมานับ ๑ ถึง ๕ ใหม่ จนสติแน่วแน่

๑, ๒, ๓, ๔, ๕,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙,
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐,

๑, ๒, ๓, ๔, ๕,

๒. การติดตาม เมื่อนับลมแล้ว ผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างต่อเนื่อง อย่างนี้เรียกว่าการติดตาม (หมายถึงการมีสติติดตามรู้การกระทบของลมอยู่อย่างต่อเนื่อง เรียกว่าการติดตาม มิได้หมายถึงตามลมที่หายใจเข้าไปในท้องแล้ว หรือ ลมหายใจออก)

๓. การกระทบ เมื่อรู้แล้วว่าลมหายใจของเรานั้นกระทบ ณ จุดใด ก็ให้ทำสัญญาจำไว้ว่าลมหายใจของเราจะกระทบ ณ จุดนี้ อย่างนี้เรียกว่า รู้การกระทบ การปฏิบัติในอานาปานสติจะทิ้งการรู้การกระทบไม่ได้เลย เพราะว่าเมื่อนับลมหายใจตามวิธีการในข้อที่ ๑ แล้ว จนชำนาญก็ให้ทิ้งการนับลมหายใจได้ แต่ก็ต้องกำหนดรู้ลมหายใจโดยการกระทบอยู่ตลอด
๔. การตั้งมั่น เมื่อมีความชำนาญในการกระทบแล้ว ผู้ปฏิบัติก็ทำให้มากให้มั่นคง และควรทำให้ปีติ สุข และธรรมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในที่นี้ตั้งมั่นด้วย เช่น เมื่อกำหนดลมหายใจแล้วจิตใจมีความเบิกบาน ก็พยายามทำความเบิกบานให้เกิดขึ้นบ่อยๆในขณะปฏิบัติ

ประโยชน์ในการปฏิบัติตามเป็นขั้นตอน
👉 การนับลมทำให้ระงับวิจิกิจฉา
👉 การติดตามทำให้ระงับวิตกที่หยาบ และทำให้อานาปานสติเกิดขึ้นไม่ขาดตอน
👉 การกระทบทำให้กำจัดความฟุ้งซ่าน และทำให้สัญญามั่นคง
👉 การตั้งมั่น ทำให้ปีติและสุขเกิดขึ้น

อานาปานสติ เป็นกรรมฐานที่ต่างจากกรรมฐานอื่นๆ คือ กรรมฐานอื่นๆ ยิ่งปฏิบัติอารมณ์ยิ่งปรากฏชัด แต่อานาปานสติเมื่อเจริญไปแล้ว ลมหายใจยิ่งละเอียดจนเหมือนกับว่าไม่มีลมหายใจ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติต้องมีความรู้ในการปฏิบัติว่า บุคคลทั้งหลายที่ยังไม่ตายก็ต้องมีลมหายใจ แล้วใส่ใจในการกระทบของลมให้มากขึ้นลมหายใจก็จะกลับคืนมา

วิธีฝึกอานาปานสติ ๑๖ ประการ
ประการที่ ๑ และประการที่ ๒ เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น การมีสติระลึกรู้ในลมหายใจที่เข้าออกว่ายาว ว่าสั้นนั้น ก็รู้ได้ตอนที่มีสติรู้ว่าลมหายใจกระทบนานหรือไม่ ถ้าลมหายใจกระทบนานก็แสดงว่าลมหายใจยาว ถ้ากระทบไม่นานก็แสดงว่าลมหายใจสั้น การกำหนดรู้อย่างนี้จะทำให้ไม่หลงลืมสติ ไม่หลงลืมการกำหนดลม

ประการที่ ๓ เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจออก เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง หายใจเข้า รู้กายทั้งปวงมีวิธีการ ๒ อย่าง คือ โดยความไม่หลง และโดยอารมณ์
    ๓.๑ ผู้ปฏิบัติอานาปานสติ และเจริญสมาธิโดยการกำหนดรู้การกระทบของลมหายใจพร้อมด้วยปีติและสุขอย่างนี้ จะมีผลทำให้ไม่หลงลืมการกำหนดลมหายใจ
    ๓.๒ ลมหายใจเข้าและออกนี้ เมื่อกำหนดโดยเป็นอารมณ์แล้ว ก็ต้องให้รู้ว่าลมหายใจนี้เป็นรูป ส่วนจิตและสติที่กำหนดรู้การกระทบนี้เป็นนาม การกำหนดอย่างนี้เป็นวิปัสสนา คือรู้ทั้งสิ่งที่ถูกรู้ (ลมหายใจที่กระทบ) และรู้สิ่งที่รู้การกระทบ (จิตและเจตสิกนั่นเอง)

ประการที่ ๔ เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจออก เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้า ถ้าถามว่า อะไรคือกายสังขาร ? ตอบว่า ลมหายใจนั่นเอง คือ เป็นกายสังขาร ลมหายใจแรก ๆ เป็นลมหายใจหยาบระคนด้วยความเร้าร้อนเพราะจิตเร้าร้อน แต่ถ้ากำหนดรู้ลมหายใจที่หยาบนั้นได้เท่าทัน ต่อไปลมหายใจก็ละเอียด ลมหายใจละเอียดนั้นจัดว่าเป็นกายสังขารที่สงบระงับ ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติต่อไปจนปฐมฌานเกิดขึ้นได้ โดยอาศัยกายสังขารที่สงบระงับ

ประการที่ ๕ เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจออก เราจักรู้แจ้งปีติ หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าออกทำปีติให้เกิดขึ้นในฌาน ๒ ปีตินี้สามารถรู้ได้โดยวิธีการ ๒ อย่าง คือ
    (๑) โดยความไม่
หลง
    (๒) โดยอารมณ์ ในที่นี้ ผู้ปฏิบัติเข้าฌานและรู้ปีติโดยไม่หลง โดยการตรวจสอบ โดยการครอบงำ
และโดยอารมณ์
- รู้โดยอารมณ์ คือ เมื่อผู้ปฏิบัติอานาปานสติจนได้ฌานที่ ๒ เข้าฌาน ๒ ที่มีปีติ สุข เอกัคคตา ปีติย่อมเป็นธรรมชาติที่ผู้ปฏิบัตินั้นรู้แจ้งใน อารมณ์นั้น เมื่อออกจากฌานแล้วก็พิจารณาปีติที่เคยได้แล้ว 
- รู้โดยไม่หลงลืม ? คือ ครั้นเข้าฌาน ๒ ที่มีปีติ ออกจากฌาน ๒ แล้ว ผู้ปฏิบัติพิจารณาปีติที่ประกอบในฌานที่ ๒ นั้นโดยความสิ้นไปเสื่อมไป ปีติก็เป็นอันได้ชื่อว่ารู้แจ้งแล้วโดยไม่หลงลืม การรู้ลักษณะของปีติโดยความสิ้นไปเสื่อมไปนี้ เป็นการรู้ด้วยวิปัสสนาปัญญา

ประการที่ ๖ เราจักรู้แจ้งสุข หายใจเข้าออก เราจักรู้แจ้งสุข หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าออก ทำสุขให้เกิดขึ้น ในฌาน ๓ สุขนี้สามารถรู้ได้โดยวิธีการ ๒ อย่าง เหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๗ เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจออก เราจักรู้แจ้งจิตตสังขาร หายใจเข้า “จิตตสังขาร” หมายถึง “สัญญาและเวทนา ” ผู้ปฏิบัติทำจิตตสังขารเหล่านี้เกิดขึ้นในฌาน ๔ รู้โดยวิธีการ ๒ อย่าง เหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๘ เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขาร หายใจออก เราจักเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจเข้า จิตตสังขารนี้ คือ “สัญญาและเวทนา ” ผู้ปฏิบัติระงับจิตตสังขาร โดยวิธีการ ๒ อย่างเหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๙ เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจออก เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจในลมหายเข้าออก จิตรู้การเข้ามาและออกไปของอารมณ์ โดยวิธีการ ๒ อย่าง เหมือนกับประการที่ ๕

ประการที่ ๑๐ เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจออก เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจเข้า “ปีติ” หมายถึงความรื่นเริง บันเทิง ปลื้ม เบิกบาน ในฌาน ๒ ผู้ปฏิบัติทำจิตให้บันเทิง

ประการที่ ๑๑ เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก เราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจในลมหายใจเข้าออก ตั้งจิตอยู่กับอารมณ์ด้วยสติ และด้วยฌาน เมื่อทำให้จิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมทำให้อานาปานสติสำเร็จ

ประการที่ ๑๒ เราจักเปลื้องจิต หายใจออก เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจในลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตเฉื่อยชา หดหู่ จงทำจิตให้หลุดพ้นจากความหดหู่ ถ้าจิตมีความขวนขวายมากเกินไป จงทำจิตให้พ้นจากความฟุ้งซ่าน ถ้าจิตฟูขึ้น จงทำจิตให้พ้นจากราคะ ถ้าจิตคับแค้น จงทำจิตให้พ้นจากโทสะ ถ้าจิตเศร้าหมอง จงทำจิตให้พ้นจากอุปกิเลส ถ้าจิตไม่มุ่งหน้าต่ออารมณ์ และไม่พอใจอยู่กับอารมณ์นั้น จงทำจิตของตนให้มุ่งหน้าต่ออารมณ์นั้น เปลื้องจิตจากนิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนา เปลื้องจิตจากสุข -สัญญาด้วยทุกขานุปัสสนา เปลื้องจิตจากอัตตสัญญาด้วยอนัตตานุปัสสนา จงพยายามฝึกตนอย่างนี้

ประการที่ ๑๓ เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าและออก พิจารณาเห็นโดยความไม่เที่ยง คือ ขณะหายใจเข้าออกพิจารณาตามเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้

ประการที่ ๑๔ เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัด หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึงใส่ใจถึงลมหายใจเข้าและลมหายใจออก คิดอย่างนี้ว่า “นี้คือความไม่เที่ยง นี้คือความไม่กำหนัด นี้คือความดับ นี้เป็นนิพพาน” จงพยายามฝึกตนอย่างนี้

ประการที่ ๑๕ เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยความดับ หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติเมื่อรู้ชัดนิวรณ์ทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้วพิจารณาว่า นิวรณ์เหล่านี้ไม่เที่ยง ความดับของนิวรณ์เหล่านี้คือนิพพาน จงมีทัศนะที่สงบ และจงพยายามฝึกตนอย่างนี้

ประการที่ ๑๖ เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจออก เราจักพิจารณาเห็นโดยสละคืน หายใจเข้า ผู้ปฏิบัติพึ่งรู้ชัดทุกข์โทษตามความเป็นจริง พิจารณาสิ่งเหล่านี้ โดยความไม่เที่ยง เธอทำให้ตัวเองพ้นจากทุกข์โทษ อยู่ในความดับ คือนิพพาน จงศึกษาและพยายามฝึกตน บัณฑิตพึงเข้าใจดังนี้

สังขารทุกอย่างถูกนำไปสู่ความระงับ กิเลสทุกอย่างถูกละทิ้งไป ตัณหาถูกทำลาย ราคะสิ้นไป เป็นความสงบที่เกิดจากนิพพาน

หมายเหตุ วิธีฝึกอานาปานสติ ๑๖ ประการนี้ ๑๒ ประการแรกทำให้ได้ทั งสมถะและวิปัสสนา ส่วน ๔ สุดท้าย ทำให้ได้วิปัสสนาอย่างเดียว

นิมิตของอานาปานสติ
ผู้เจริญอานาปานสติจนนิมิตเกิดขึ้น นิมิตจะมีหลายลักษณะ บางท่านนิมิตปรากฏเหมือนกับปุยนุ่น เหมือนกับปุยฝ้าย เหมือนกับสายลม บางท่านปรากฏเหมือนดวงดาว เหมือนเม็ดมณี เหมือนเม็ดไข่มุกดา บางท่านนิมิตปรากฏเป็นสิ่งมีสัมผัสหยาบเหมือนเม็ดฝ้าย และเหมือนเสี้ยนไม้แก่น บางท่านเหมือนสายสังวาลยาวเหมือนพวงดอกไม้ เป็นต้น

การปฏิบัติอานาปานสติจะบรรลุธรรมในสติปัฏฐาน ๔ ได้หรือไม่ ?
สติปัฏฐานที่เริ่มกำหนดลมหายใจออกยาวและเข้ายาว คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานที่เริ่มจากรู้ปีติ คือ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติปัฏฐานที่เริ่มจากการรู้จิต คือ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

สติปัฏฐานที่เริ่มจากการเห็นความไม่เที่ยง คือ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ปฏิบัติพึงบำเพ็ญอานาปานสติอย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นผู้ทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์

สิ่งที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติของบุคคล ที่เรียกว่าสัปปายะหรือ อสัปปายะ ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ คือ
สัปปายะ คือ สิ่งที่สบายมี ๗ ประการ
๑. อาวาส ที่อยู่เป็นที่สบาย
๒. โคจร ที่บิณฑบาต หรือแหล่งอาหารไม่อดอยาก
๓. ภัสสะ พูดคุยแต่เรื่องที่เสริมการปฏิบัติ
๔. บุคคล ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยทำให้จิตใจผ่องใส มั่นคง
๕. โภชนะ อาหารให้พอเหมาะ และถูกกับธาตุ
๖. อุตุ สภาพแวดล้อมและอุณหภูมิเหมาะกับร่างกาย
๗. อิริยาบถ อิริยาบถเป็นที่สบาย

อสัปปายะ คือ สิ่งที่ไม่สบายมี ๗ ประการ
ตรงข้ามกับสัปปายะ เช่น อาวาส หรือที่พักที่อยู่ไม่สบาย หรืออุตุ ไม่สัปปายะ คืออากาศไม่สบายแก่ผู้ปฏิบัติเช่น ร้อนเกินไป หรือหนาวเกินไป เป็นต้น และควรจะปฏิบัติในอัปปนาโกศล ๑๐

อัปปนาโกศล ๑๐ ได้แก่
๑. ทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้สอย ที่อยู่ และชำระกายให้สะอาด
๒. ต้องเข้าใจในการกำหนดลมหายใจ
๓. ต้องข่มจิตในคราวที่จิตมีความพยายามมาก
๔. ต้องยกจิตในคราวที่จิตง่วงเหงา หรือเกียจคร้านในการเจริญภาวนา
๕. ทำจิตที่เหี่ยวแห้งให้เบิกบานปีติโสมนัส
๖. วางเฉยต่อจิตที่กำลังดำเนินงานสม่ำเสมออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
๗. เว้นการคลุกคลีกับคนที่ไม่มีสมาธิ
๘. คบหากับบุคคลที่มีสมาธิ
๙. อบรมอินทรีย์ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ให้มีกำลังเสมอกัน)
๑๐. มีจิตน้อมที่จะได้อัปปนาฌาน

หากปฏิบัติดังนี้ปฏิภาคนิมิตก็จะไม่เสื่อมหายไปและ ได้รูปฌานตามลำดับ ถึงขั้นสูงสุด คือปัญจมฌานได้ หรือถึงแม้ว่าผู้เจริญอานาปานสติเพียรปฏิบัติแล้วนิมิตไม่เกิดก็อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ เพราะถึงแม้นิมิตไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีสติกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอนั้น เป็นการปฏิบัติที่ทำให้จิตกุศล ทำให้กุศลเจริญขึ้นอยู่เนื่อง ๆ เช่นนี้เป็นการเจริญกุศลขั้นสูง ก็ขอให้เพียรสั่งสมกุศลนี้ให้ต่อเนื่องไป

อานิสงส์ของอานาปานสติ คือ
๑. ทำให้ได้ถึงรูปปัญจมฌาน
๒. เป็นบาทของมรรค ผล
๓. ป้องกันไม่ให้เกิดความฟุ้งซ่าน
๔. ผู้ที่สำเร็จอรหัตตผลโดยใช้อานาปานสติเป็นบาทฐาน ย่อมสามารถกำหนดรู้อายุสังขารของตนว่าจะอยู่ได้เท่าใด

อานาปานสติเป็นกรรมฐานที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญและทรงปฏิบัติอยู่เสมอ เป็นบาทฐานไปสู่
วิปัสสนา เป็นกรรมฐานที่ไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์มาปฏิบัติ ต่างจากกรรมฐานอื่นๆ เช่น กสิณ อสุภะ ที่ต้องหาอุปกรณ์ ต้องจัดเตรียมการ แต่อานาปานสติใช้เพียงลมหายใจที่มีอยู่แล้วกับตัวเรา และเป็นกรรมฐานที่ปฏิบัติแล้วเบาสบายปลอดโปร่ง

ในอนุสสติ ๑๐ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ อุปสมานุสสติ มรณานุสสติ ๘ ประการแรกนี้ เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถยังสมาธิเพียงขั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น เพราะการเจริญในอารมณ์กรรมฐานแต่ละอย่างนั้นมีความหลากหลาย เช่น พุทธานุสสติ ต้องพิจารณาคุณของพระพุทธเจ้าถึง ๙ ประการ ทำให้จิตไม่สามารถตั้งมั่นได้ ฉะนั้นจึงมีผลสำเร็จเพียงขั้นอุปจารสมาธิ

ส่วนอนุสสติที่เหลืออีก ๒ คือ กายคตาสติ และ อานาปานสติ เมื่อเจริญแล้วยังสมาธิได้ขั้นสูงถึงอัปปนาสมาธิ ผู้เจริญกายคตาสติจนบรรลุถึงอัปปนาสมาธิแล้วย่อมยังผลให้สำเร็จฌานในขั้นปฐมฌานเท่านั้น แต่อานาปานสติยังผลให้ได้ถึงขั้นรูปปัญจมาฌาน

จบ อานาปานสติ




  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๖. อนุสสติ ๑๐

 อนุสสติ ๑๐

อนุสสติ หมายความว่า การระลึกเนืองๆ เป็นการระลึกถึงอยู่เนืองๆ เสมอๆ คือมีสติระลึกถึงใน ๑๐ ประการ คือ

๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
๒. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรมเป็นอารมณ์
๓. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์
๔. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลที่ตนรักษาเป็นอารมณ์
๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคเป็นอารมณ์
๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณธรรมของเทวดาเป็นอารมณ์
๗. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระนิพพานเป็นอารมณ์
๘. มรณานุสสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
๙. กายคตาสติ ระลึกถึงลักษณะอาการของร่างกายส่วนต่างๆ เป็นอารมณ์
๑๐. อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์


๑. พุทธานุสสติ
พุทธานุสสติ คือ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเนืองๆ องค์ธรรม (สภาพธรรมที่ทำ
หน้าที่ระลึก) ได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ วิธีการปฏิบัติ การระลึกนั้นจะระลึกเป็นภาษาไทยหรือภาษาบาลีก็ได้ แต่ที่สำคัญก็คือต้องเข้าใจและรู้ถึงความหมายนั้นๆ สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ควรไปสู่สถานที่สงัด รักษาจิตไว้ให้มั่นคง ไม่ถูกรบกวนจิตไม่ฟุ้งซ่าน พระพุทธคุณมี ๙ ประการ ระลึกในบทพระพุทธคุณเป็นภาษาบาลี ดังนี้

อิติปิ โส ภควา , อรหัง , สัมมาสัมพุทโธ , วิชชาจรณสัมปันโน , สุคโต , โลกวิทู , อนุตตโรปุริสทัมมสารถิ , สัตถา เทวมนุสสานัง , พุทโธ , ภควา ฯ หรือระลึกเป็นภาษาไทย ดังนี้คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น :- 
พระพุทธคุณประการที่ ๑ ผู้เป็นพระอรหันต์ (อรหัง) เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส ๑,๕๐๐ อย่างเด็ดขาด มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสงดงาม เป็นผู้ควรได้รับการสักการบูชาเป็นพิเศษจากมวลมนุษย์ เทวดา พรหม ทั้งหลายพระพุทธคุณประการที่ ๒ ผู้ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ (สัมมาสัมพุทโธ) เพราะทรงฆ่าอวิชชา เพราะเป็นผู้ตรัสรู้เญยยธรรม ๕ ประการ คือ สังขาร วิการ ลักขณะ นิพพาน บัญญัติ ด้วยอำนาจแห่งพระสัพพัญญุตญาณโดยลำพังพระองค์เองอย่างถูกถ้วน
พระพุทธคุณประการที่ ๓ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ (วิชชาจรณสัมปันโน) เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และการปฏิบัติอย่างประเสริฐ คือ วิชชาและจรณะ วิชชา หมายถึง ความรู้ จรณะ หมายถึง ความประพฤติ

คำว่า วิชชา มีวิชชา ๓ และวิชชา ๘

วิชชา ๓ ได้แก่
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๒. จุตูปปาตญาณ (หรือ ทิพยจักขุญาณ) รู้การตายและเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
๓. อาสวักขยญาณ รู้ในธรรมที่สิ้นอาสวะ

วิชชา ๘ ได้แก่
๑. วิปัสสนาญาณ ปัญญาที่สามารถรู้แจ้งรูปนามทั้งปวงที่มีสภาพเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๒. อิทธิวิธญาณ ปัญญาที่สามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๓. มโนมยิทธิญาณ ปัญญาที่สามารถเนรมิตร่างกายอื่นๆ ให้เกิดขึ้นภายในร่างกายของตน
๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตได้
๕. เจโตปริยญาณ ปัญญาที่สามารถรู้จิตใจของบุคคลอื่นๆได้อย่างถี่ถ้วน
๖. ทิพพจักขุญาณ ปัญญาที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ในที่ห่างไกล หรือเล็กที่สุดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าจะอยู่ในที่แจ้ง หรือ ลี้ลับกำบังไว้อย่างมิดชิดประการใดๆ ก็ตาม ย่อมสามารถเห็นได้เป็นอย่างดี เหมือนกับตาของเทวดาและพรหมทั้งหลาย
๗. ทิพพโสตญาณ ปัญญาที่สามารถได้ยินเสียงในที่ห่างไกล หรือเบาที่สุดเหมือนกับหูของเทวดาและพรหมทั้งหลาย
๘. อาสวักขยญาณ ปัญญาที่สามารถทำลายกิเลสอาสวะให้หมดไปโดยสิ้นเชิง

จรณะ หมายความว่า ความประพฤติ จรณะ มี ๑๕ คือ
๑. ศรัทธา เชื่อต่อการงานของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นบุญก็มี เป็นบาปก็มี และจะได้รับผลของ บุญ บาป นั้นอย่างแน่แท้ เชื่อในคุณของพระรัตนตรัยว่ามีจริง เชื่อว่าเคยเกิดมาแล้วในภพก่อนๆ
๒. สติ มีการระลึกอยู่ในการงานที่เป็นฝ่ายดี
๓. หิริ มีความละอายในการงานอันเป็นทุจริตทุราชีพ
๔. โอตตัปปะ มีความสะดุ้งกลัวในการงานที่เป็นทุจริตทุราชีพ
๕. วิริยะ มีความขยันในการงานที่เป็นฝ่ายดี
๖. สุตะ เคยฟัง เคยเห็นมามาก
๗. ปัญญา การเฉลียวฉลาดในกิจการทั้งปวง
๘. โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภค
๙. ชาคริยานุโยค ตื่นไวในยามหลับ หรือ มีการหลับนอนน้อย
๑๐. ศีล มีศีลสมบูรณ์
๑๑. อินทรียสังวร การสำรวมในทวาร ๖
๑๒. ปฐมฌาน ฌานที่มีองค์ฌาน ๕
๑๓. ทุติยฌาน ฌานที่มีองค์ฌาน ๓
๑๔. ตติยฌาน ฌานที่มีองค์ฌาน ๒
๑๕. จตุตถฌาน ฌานที่มีองค์ฌาน ๒

พระพุทธคุณประการที่ ๔ เสด็จไปดีแล้ว (สุคโต) เพราะทรงบรรลุหนทางที่ดี เพราะจะไม่เสด็จกลับมา(สู่โลกนี้)อีก เพราะทรงบรรลุความดับโดยไม่มีภาวะเหลืออยู่ (อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ดับกิเลสทั้งหมดสิ้นพร้อมขันธ์ ๕) เพราะคำสอนของพระพุทธองค์ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะคำสอนของพระพุทธองค์ไม่มากไม่น้อยเกินไป ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงได้รับพระนามว่า สุคโต
พระพุทธคุณประการที่ ๕ ทรงรู้แจ้งโลก (โลกวิทู) โลก มี ๓ คือ
    ๑. สัตตโลก (โลกคือ หมู่สัตว์)
    ๒. สังขารโลก (โลกคือ สังขาร)
    ๓. โอกาสโลก (โลกคือ ที่ตั้ง)

สัตตโลก คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แจ้งสัตตโลกตลอดเวลาที่บำเพ็ญพุทธกิจ ที่ว่าทรงรู้แจ้ง สัตตโลก คือ ทรงรู้แจ้งความปรารถนาต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้ความต่างกันแห่งอินทรีย์ของหมู่สัตว์

สังขารโลก คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แจ้งกรรมทุกอย่าง ทรงรู้แจ้งกุศลธรรม อกุศลธรรมและอัพยากตธรรม ทรงรู้แจ้งขันธ์ อายตนะ ธาตุ พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งในธรรมทุกประการ

โอกาสโลก คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า จักรวาลหนึ่งกว้างยาว ประมาณ ๑,๒๐๓.๔๕๐ โยชน์ วัดโดยรอบ ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์ ในจักรวาลมีแผ่นดินหนาประมาณ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ บนแผ่นดินมีน้ำตั้งอยู่บนลมรองรับไว้โดยความหนาประมาณ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ มีลมรองรับให้จักรวาลนี้ลอยอยู่ได้ ประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นต้น

พระพุทธคุณประการที่ ๖ เป็นสารถีฝึกบุรุษผู้ควรฝึกที่ยอดเยี่ยม (อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ) คำว่า “ยอดเยี่ยม” (อนุตตโร) เพราะไม่มีใครเหนือกว่าในโลก เพราะปราศจากคนที่เสมอ เพราะทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะหาใครเทียบไม่ได้ และเพราะไม่มีบุคคลอื่นยอดเยี่ยมกว่าคำว่า “เป็นสารถีฝึกบุรุษผู้ควรฝึก” (ปุริสทัมมสารถิ)
บุคคลมี ๓ จำพวก คือ
    ๑. บุคคลฟังธรรมแล้วสามารถอธิบายธรรมนั้นได้
    ๒. บุคคลอธิบายหลักแห่งเหตุและปัจจัยได้
    ๓. บุคคลทำให้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณชัดแจ้ง

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงรู้แจ้งอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางแห่งความ หลุดพ้นแล้ว ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์(บุคคล)ทั้งหลาย ทรงฝึกมนุษย์เทวดา พรหมทั้งหลาย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย โดยวิธีการต่างๆ ทั้งปลอบโยน ทรมาน ยกย่อง ตามควร ตามความเหมาะสมแก่อัธยาศัยของสัตว์นั้นๆ 

พระพุทธคุณประการที่ ๗ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ (สัตถา เทวมนุสสานัง) 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพร่ำสอนเวไนยสัตว์ ด้วยประโยชน์โลกนี้ ประโยชน์โลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง คือพระนิพพาน ตามสมควร
พระพุทธคุณประการที่ ๘ ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม (พุทโธ) พระผู้มีพระภาคทรงรู้อะไรๆ ที่ควรรู้ ซึ่งมีอยู่อย่างทั่วถ้วน ด้วยอำนาจ
พุทธญาณ ๑๘ คือ
    ๑. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยั่งรู้อดีตทั้งปวง
    ๒. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยั่งรู้อนาคตทั้งปวง
    ๓. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยั่งรู้ปัจจุบันทั้งปวง
    ๔. กายกรรมทั้งหมด ที่ดำเนินไปด้วยญาณและปรากฏสอดคล้องกับญาณนั้น
    ๕. วจีกรรมทั้งหมด ที่ดำเนินไปด้วยญาณและปรากฏสอดคล้องกับญาณนั้น
    ๖. มโนกรรมทั้งหมด ที่ดำเนินไปด้วยญาณและปรากฏสอดคล้องกับญาณนั้น
    ๗. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพุทธธรรม คือ ความไม่เสื่อมแห่งฉันทะ
    ๘. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพุทธธรรม คือ ความไม่เสื่อมแห่งวิริยะ
    ๙. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพุทธธรรม คือ ความไม่เสื่อมแห่งสติ
    ๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพุทธธรรม คือ ความไม่เสื่อมแห่งสมาธิ
    ๑๑. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพุทธธรรม คือ ความไม่เสื่อมแห่งปัญญา
    ๑๒. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพุทธธรรม คือ ความไม่เสื่อมแห่งวิมุตติ
    ๑๓. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีความไม่มีการเล่น ท่าทางของพระองค์มีลักษณะผึ่งผาย ไม่มีอะไรที่ไม่สมควรในกิจกรรมของพระองค์
    ๑๔. พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีความหลอกลวง
    ๑๕. ไม่มีอะไรที่พระญาณของพระองค์ไม่สามารถรับรู้ได้
    ๑๖. พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีความหุนหันพลันแล่น
    ๑๗. พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีสภาพที่ไม่รู้
    ๑๘. พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีสภาพแห่งอุเบกขาที่ปรากฏโดยพระองค์ไม่รู้

พระพุทธคุณประการที่ ๙ (ภควา) เพราะพระพุทธองค์ได้รับการยกย่องจากชาวโลก เพราะบรรลุอริยสัจ เพราะทรงเป็นผู้ควรแก่ของถวาย เพราะจะทำให้ผู้ถวายได้รับความดีสูงสุด

เพราะพระพุทธองค์ทรงเป็นเจ้าของมรรคสัจ 
ผู้เจริญพุทธานุสสติย่อมเป็นผู้ที่ขัดเกลาจิตใจไม่ให้ราคะ โทสะ โมหะกลุ้มรุมได้ เพราะจิตใจมุ่งตรงต่อพระพุทธเจ้า จิตของผู้มีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นสมาธิได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้นเพราะการระลึกพุทธคุณมีมากประการ สมาธิจึงไม่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวได้ จึงไม่ถึงอัปปนาสมาธิ

อานิสงส์ของพุทธานุสติ 
ผู้ที่เจริญพุทธานุสติ จะได้รับอานิสงส์ดังนี้ คือ
๑. ย่อมเป็นผู้มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา
๒. มีความไพบูลย์แห่งศรัทธา
๓. มีความไพบูลย์แห่งสติ
๔. มีความไพบูลย์แห่งปัญญา
๕. มีความปีติปราโมทย์
๖. สามารถอดกลั้นทุกข์ได้
๗. ทนความกลัวในอารมณ์ที่น่ากลัวได้
๘. มีความรู้สึกเสมือนว่าได้อยู่ใกล้พระศาสดา
๙. ร่างกายของผู้เจริญพุทธานุสสติอย่างดีแล้ว ย่อมเป็นของที่ควรแก่การบูชาของมนุษย์และเทวดาประดุจดังเรือนเจดีย์
๑๐. จิตจะน้อมไปสู่พุทธภูมิ
๑๑. แม้ประสบกับสิ่งที่จะทำให้ล่วงละเมิด หรือทำความผิดได้ ก็จะเกิดหิริโอตตัปปะ มีความกลัวและละอายต่อบาป ประดุจว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่ตรงหน้า
๑๒. หากยังไม่สามารถสำเร็จมรรคผลนิพพาน ก็จะไปสู่สุคติ

การเจริญพุทธานุสติ ให้เห็นคุณของพระพุทธเจ้านั้นไม่ควรพร่ำบ่นแต่ปาก แต่ควรนึกถึงเนื้อความ ความหมายของพุทธคุณ อย่ามุ่งถือตามตัวอักษรหรือพยัญชนะ จะทำให้ไม่เห็นพุทธคุณ การระลึก จะระลึกทุกบท หรือบทใดบทหนึ่งก็ได้ปุถุชนทั่วไปมีความเข้าใจพุทธคุณได้น้อย มักจะใช้พุทธคุณเป็นคาถาเพื่อความขลังความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าจะระลึกถึงด้วยความเคารพ เช่น ใช้บทสวด อิติปิโส เดินหน้าถอยหลัง หรือใช้หัวใจ อิติปิโส เป็นคาถาในการปลุกเสกทำพิธี หรือทำให้ขลัง เป็นต้น

ผู้ที่จะ
มองเห็นพุทธคุณโดยชัดแจ้ง ก็คือพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เพราะเป็นผู้เห็นธรรมเข้าถึงซึ่งธรรมโดยการปฏิบัติเอง ปุถุชนทั่วไปถ้าต้องการให้ซาบซึ้งในพระพุทธคุณก็ต้องศึกษาทั้งปริยัติ (ทฤษฎี) และปฏิบัติ เพื่อจะได้เข้าถึงข้อธรรมที่ทรงแสดงทั้งศีล สมาธิ ปัญญา จะศึกษาโดยไม่ปฏิบัติไม่ได้ ควรระลึกไว้ว่าพระอริยบุคคล ผู้บรรลุมรรคผล ท่านก็เคยเป็นปุถุชนมาก่อน แต่เพราะได้ศึกษา ได้ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์จึงได้เห็นแจ้งปรากฏชัดในพระพุทธคุณ

จบ พุทธานุสสติ

๒. ธัมมานุสสติ
ธัมมานุสสติ หมายความว่า การระลึกถึงคุณของพระธรรม มี สวากขาโต เป็นต้น อยู่เนืองๆ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีคุณของพระธรรมเป็นอารมณ์

ธรรม หมายถึง ความดับ(นิพพาน) หรือข้อปฏิบัติอันเป็นเหตุให้บรรลุถึงนิพพาน การทำลายกิจกรรมทุกอย่าง การละกิเลสทุกอย่าง การกำจัดตัณหา ความเป็นผู้บริสุทธิ์และสงบ

ข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ วิธีการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติต้องมีความสงบนิ่งอยู่กับการระลึก มีความตระหนักรู้คุณของพระธรรม เข้าใจในความหมายของธรรมคุณนั้นๆ ด้วย ไปสู่สถานที่สงัด รักษาจิตไว้ไม่ให้ถูกรบกวน

ธัมมานุสสติ มี ๖ ประการ จะระลึกเป็นภาษาบาลี หรือ ภาษาไทยก็ได้ ระลึกดังนี้ว่า :- สวากขาโต ภควตา ธัมโม , สันทิฏฐิโก , อกาลิโก , เอหิปัสสิโก , โอปนยิโก , ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ ฯ

ระลึกเป็นภาษาไทยว่า :- พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่บุคคลพึงเห็นไ ด้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ควรเชื้อเชิญให้มาดู ควรน้อมเข้ามาใส่ตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน
พระธรรมคุณประการที่ ๑ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว (สวากขาโต ภควตา ธัมโม) เพราะพระธรรมนั้นเว้นที่สุดโต่งทั้ง ๒ ไม่มีความขัดแย้งกันในพระธรรม และพระธรรมนั้น ประกอบด้วยความดีพระธรรมนั้นปราศจากข้อเสียโดยสิ้นเชิง พระธรรมนั้นย่อมนำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความดับ (นิพพาน)
พระธรรมคุณประการที่ ๒ เป็นสิ่งที่บุคคลพึงเห็นได้ด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก) เพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรมสามารถบรรลุมรรคและผลได้ตามลำดับ เพราะบุคคลย่อมเห็นแจ้งพระนิพพานและมรรคผล
พระธรรมคุณประการที่ ๓ ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา (อกาลิโก) คือ ผลย่อมเกิดขึ้น โดยไม่มีการรอเวลา
พระธรรมคุณประการที่ ๔ ควรเชื้อเชิญให้มาดู(เอหิปัสสิโก) พระธรรม ๙ อย่าง มีมรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ๑ เป็นธรรมที่ควรแก่การ เชื้อเชิญชนทั้งหลายให้มาชมได้ โดยกล่าวคำว่า ท่านจงมาดูเถิด มาเเลดูคุณค่าของพระธรรม
พระธรรมคุณประการที่ ๕ ควรน้อมเข้ามาใส่ตน (โอปนยิโก) พระธรรม ๙ อย่าง มีมรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ๑ เป็นธรรมที่ควรยึดหน่วงให้มาปรากฏแก่ใจ แม้ที่สุดจะถูกไฟไหม้ศีรษะ ก็มิยอมที่จะทำการดับไฟนั้น โดยเหตุว่า ธรรมเหล่านี้เมื่อปรากฏขึ้นแล้วเพียงครั้งเดียวก็สามารถปิดประตูอบายได้
พระธรรมคุณประการที่ ๖ อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) ถ้าบุคคลยอมรับพระธรรมนั้น ไม่ยอมรับลัทธิอื่น เขาย่อมทำความรู้ในนิโรธให้เกิดขึ้น ย่อมทำพระนิพพานให้เกิดขึ้น ทำความรู้ในวิมุตติให้เกิดขึ้น

ผู้ปฏิบัติระลึกถึงพระธรรมโดยวิธีอื่นๆ ได้อีกดังนี้ คือ
พระธรรมนั้นเป็นดวงตา เป็นความรู้ เป็นความสงบ เป็นหนทางที่นำไปสู่อมตะ (นิพพาน) พระธรรมนั้นเป็นการหลีกออก เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้บรรลุถึงนิโรธ (ความดับทุกข์) เป็นหนทางสู่ทิพยภาวะ (เป็นทิพย์หรือคุณวิเศษ) เป็นการไม่ถอยกลับ เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด เป็นความสงัด เป็นความวิเศษ พระธรรมเป็นการข้ามไปสู่ฝั่งโน้น เป็นที่พึ่ง ผู้ปฏิบัตินั้นระลึกถึงพระธรรมด้วยวิธีการเหล่านี้ โดยอาศัยคุณความดีเหล่านี้

การเจริญธัมมานุสสติได้เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น เพราะอารมณ์ในการเจริญมีมาก จิตจึงไม่อาจตั้งมั่นจนทำให้อัปปนาสมาธิเกิดขึ้นได้

อานิสงส์ของธัมมานุสสติ
เหมือนกันกับพุทธานุสสติ

จบ ธัมมานุสสติ

๓. สังฆานุสสติ 
สังฆานุสสติ หมายความว่า การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ มี สุปฏิปันโน เป็นต้น อยู่เนืองๆ องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิต ที่มีคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์

พระสงฆ์มี ๒ จำพวก คืออริยสงฆ์ และสมมติสงฆ์
อริยสงฆ์ คือ ท่านที่ดำรงอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔
สมมติสงฆ์ คือพระสงฆ์โดยสมมติได้แก่ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูป ที่สามารถทำสังฆกรรมได้

พระสงฆ์มีคุณเพราะท่านเป็นผู้รักษาและสืบทอดคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งยังเป็นบุญเขตเป็นเนื้อนาบุญของโลก

วิธีการปฏิบัติ ควรไปสู่สถานที่สงัด รักษาจิตไว้ไม่ให้ถูกรบกวน
พระสังฆคุณมี ๙ ประการ จะระลึก
เป็นภาษาบาลี หรือ ภาษาไทยก็ได้ ระลึกดังนี้ว่า :- สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ , อุชุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ , ญายปฏิปันโน ภควโตสาวกสังโฆ , สามีจิปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ ยทิทัง จัตตาริ ปุริสยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคลา เอสะภควโต สาวกสังโฆ , อาหุเนยโย , ปาหุเนยโย , ทักขิเณยโย , อัญชลีกรณีโย , อนุตตรัง ปุญญักเขตตังโลกัสสะ ฯ

ระลึกเป็นภาษาไทยดังนี้ :-
พระสังฆคุณประการที่ ๑ พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดี (สุปฏิปันโน) หมู่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี โดยปฏิปทาอันถูกต้อง เป็นข้อปฏิบัติตรง คือไม่คด ไม่โกง ไม่โค้ง เป็นการปฏิบัติที่ไกลจากกิเลส เป็นเหตุให้รู้แจ้ง
พระสังฆคุณประการที่ ๒ พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติตรง (อุชุปฏิปันโน) ชื่อว่าปฏิบัติดีและปฏิบัติตรงตามปฏิปทาอันถูกต้อง เพราะเว้นทางสุดโต่งทั้ง ๒ และถือเอาทางสายกลาง ชื่อว่าปฏิบัติดีและปฏิบัติตรง เพราะปราศจากกายกรรมและวจีกรรมที่ไม่สะอาด
พระสังฆคุณประการที่ ๓ พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ (ญายปฏิปันโน) พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติมุ่งต่อพระนิพพาน อันเป็นอมตธรรม ไม่มีการปรารถนาอยากได้ภวสมบัติ และโภคสมบัติแต่อย่างใด
พระสังฆคุณประการที่ ๔ พระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติสมควร (สามีจิปฏิปันโน) ชื่อว่าปฏิบัติสมควร เพราะสมบูรณ์ด้วยข้อปฏิบัติที่พร้อมเพรียงกันในหมู่ภิกษุ เพราะเมื่อเห็นอานิสงส์อย่างมากแห่งคุณความดี และการเพิ่มพูนคุณความดีที่เกิดจากความสามัคคี จึงรักษาความสามัคคีนี้ไว้ ได้แก่ บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ (ยทิทัง จัตตาริ ปุริสยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคลา.....)

พระอริยสงฆ์จัดได้เป็น ๔ คู่ ๘ บุคคล คือ
คู่ที่ ๑ ได้แก่ โสดาปัตติมรรคบุคคล โสดาปัตติผลบุคคล
คู่ที่ ๒ ได้แก่ สกทาคามิมรรคบุคคล สกทาคามิผลบุคคล
คู่ที่ ๓ ได้แก่ อนาคามิมรรคบุคคล อนาคามิผลบุคคล
คู่ที่ ๔ ได้แก่ อรหัตตมรรคบุคคล อรหัตตผลบุคคล

พระสังฆคุณประการที่ ๕ พระสงฆ์สาวกผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา (อาหุเนยโย) พระอริยสงฆ์สาวก ๔ คู่ ๘ บุคคลของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สามารถให้ผลเกิดขึ้นอย่างมหาศาล ดังนั้น จึงเป็นผู้ควรรับอามิสบูชาที่เขานำมา 
พระสังฆคุณประการที่ ๖ พระสงฆ์สาวกผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ (ปาหุเนยโย) พระอริยสงฆ์สาวก ๔ คู่ ๘ บุคคลของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นแขกที่ประเสริฐสุดของคนทั่วโลก เพราะมีแต่ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นผู้ที่ควรแก่การต้อนรับด้วยปัจจัย ๔ ที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
พระสังฆคุณประการที่ ๗ พระสงฆ์สาวกผู้ควรรับทักขิณาทาน (ทักขิเณยโย) พระอริยสงฆ์สาวก ๔ คู่ ๘ บุคคลของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สามารถให้อานิสงส์ผลเกิดขึ้นตามความประสงค์ของคนทั้งหลายได้ ดังนั้น จึงควรแก่การรับทักขิณาทาน คือ การบริจาคทานของผู้มีความปรารถนาภวสมบัติ โภคสมบัติ ที่เกี่ยวกับตน หรือ คนอื่นในภพหน้า
พระสังฆคุณประการที่ ๘ พระสงฆ์สาวกผู้ควรแก่การกราบไหว้ (อัญชลีกรณีโย) พระอริยสงฆ์สาวก ๔ คู่ ๘ บุคคลของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น จึงสมควรแก่การกระทำอัญชลีของมนุษย์ เทวดา พรหมทั้งหลาย
พระสังฆคุณประการที่ ๙ พระสงฆ์สาวกผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ( อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ) พระอริยสงฆ์สาวก ๔ คู่ ๘ บุคคลของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ เป็นบุญเขตที่สรรพสัตว์ทั้งหลายจะได้รับบุญ เมื่อหว่านพืชแห่งบุญลงไปบนผืนนานี้แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็จะได้รับผลมากมาย การเจริญสังฆานุสสติจะพิจารณาเพียงบทใดบทหนึ่งก็ได้ จะได้บรรลุเพียงอุปจารสมาธิ

อานิสงส์ของสังฆานุสสติ
เช่นเดียวกับ พุทธานุสสติ และธัมมานุสสติ

จบ สังฆานุสสติ

๔. สีลานุสสติ 
สีลานุสสติ หมายความว่า การระลึกถึงความบริสุทธิ์ของศีลที่ตนรักษาไว้ โดยศีลนั้นไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ต้องเป็นศีลที่บริสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนด้วยมลทิน เป็นศีลที่ผู้รักษา รักษาด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้มุ่งโลกียสมบัติ ไม่ได้เป็นทาสของตัณหา องค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิกที่ในมหากุศลจิตที่มีการเว้น การรักษา ในศีลนั้นๆ

การเจริญสีลานุสสตินี้ ผู้เจริญจะต้องมีความประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักทั้ง ๕ ประการเสียก่อน คือ
    ๑. จะต้องชำระศีลของตนให้สะอาด หมดจด ครบบริบูรณ์
    ๒. จะต้องมีจิตใจพ้นไปจากความเป็นทาสแห่งตัณหา คือ การรักษาศีลที่ไม่มีความมุ่งหวังต่อโลกียสมบัติ
    ๓. มีการปฏิบัติกาย วาจา ให้ตั้งอยู่ในศีลอย่างเคร่งครัด จนมิอาจที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะมาจับผิดโดยอ้างวัตถุขึ้นแสดงเป็นหลักฐานได้
    ๔. ความประพฤติด้วยกาย วาจา ของตนนั้น แม้ว่าคนอันธพาลและผู้ที่เป็นศัตรูแก่ตนจะไม่มีความเห็นชอบด้วยก็ตาม แต่วิญญูชนทั้งหลายย่อมสรรเสริญ
    ๕. ต้องประกอบด้วยความรู้ว่า ศีลนี้เป็นเหตุทำให้อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มรรคสมาธิ ผลสมาธิ เกิดขึ้นได้

เมื่อความประพฤติปฏิบัติของตนถูกต้องตรงตามหลักทั้ง ๕ ประการนี้แล้วก็ลงมือทำการระลึกไปในศีล ระลึกเป็นภาษาบาลี ดังนี้:- อโห เม วต สีลัง เห อขัณฑัง อฉิททัง หเว อสพลัง อกัมมาสัง ภุชิสสัง อปรามสัง ปสัฏฐัง สัพพวิญญูหิ สมาธิ สังวัตตนกัง ฯ
ระลึกเป็นภาษาไทยดังนี้ :- ศีลของเรานี้บริสุทธิ์ดีน่าปลื้มใจจริงหนอ ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย โดยแน่นอน ศีลของเรานี้บริสุทธิ์ ทำให้เราพ้นไปจากการเป็นทาสของตัณหา ศีลของเรานี้มิอาจที่จะมีผู้มากล่าวหาได้ ศีลของเรานี้ คนอันธพาลและผู้ที่เป็นศัตรูกับเราจะไม่มีการเห็นดีด้วยก็ตาม แต่คนดีทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ศีลของเรานี้เป็นเหตุทำให้อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ และมรรคสมาธิ ผลสมาธิ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แสดงศีลที่มีโทษ และ พ้นไปจากโทษ
ศีลที่มีโทษนั้นมี ๔ อย่าง คือ
    ๑. ศีลขาด ศีลของคฤหัสถ์ หรือ บรรพชิตก็ตาม ที่มีสิกขาบทข้อแรกสุด หรือ ข้อท้ายสุด อย่างใดอย่างหนึ่งขาดไป อย่างนี้เรียกว่า ขัณฑสีล หรือ ศีลขาด เช่นศีล ๘ มีปาณาติปาตาเวรมณี เป็นข้อแรกสุด และมี อุจจาสยนมหาสยนาเวรมณี เป็นของท้ายสุด
    ๒. ศีลทะลุ ได้แก่ สิกขาบทท่ามกลาง คือ ศีลข้อที่ ๒ ถึงข้อที่ ๗ ข้อใดข้อหนึ่งขาดไป อย่างนี้เรียกว่าฉิททสีล หรือ ศีลทะลุ 
    ๓. ศีลด่าง ได้แก่ สิกขาบทท่ามกลาง คือ ศีลข้อที่ ๒ ถึงข้อที่ ๗ ขาดไป ๒ หรือ ๓ ข้อ แต่ไม่ใช่ขาดไปเป็นลำดับ (คือติดกัน) เช่น ในศีล ๘ นั้นสิกขาบทข้อที่ ๒ กับ ข้อที่ ๔ หรือข้อที่ ๒ กับข้อที่ ๖ หรือข้อที่ ๔ กับข้อที่ ๖ หรือข้อที่ ๒ ที่ ๔ กับที่ ๖ เป็นต้น เหล่านี้ขาดไป ศีลอย่างนี้ เรียกว่า สพลสีล หรือ ศีลด่าง
    ๔. ศีลพร้อย ได้แก่ สิกขาบทท่ามกลาง คือข้อที่ ๒ ถึงข้อที่ ๗ นั้น ขาดไป ๒ หรือ ๓ หรือ ๔ ข้อติดต่อกันโดยลำดับ (ถ้าขาดไปถึง ๔ ข้อ ก็นับว่าหนัก) เช่นในศีล ๘ นั้น ข้อที่ ๒ กับข้อที่ ๓ หรือข้อที่ ๒ - ๓ - ๔ หรือข้อที่ ๒ - ๓ - ๔ - ๕ หรือ ข้อที่ ๓ - ๔ – ๕ หรือ ข้อที่ ๓ - ๔ - ๕ - ๖ เป็นต้น ถ้าขาดติดต่อกันไปโดยลำดับ ศีลอย่างนี้เรียกว่า กัมมาสสีล หรือ ศีลพร้อย

อานิสงส์ของสีลานุสสติ คือ
๑. ทำให้เคารพพระพุทธ
๒. ทำให้เคารพพระธรรม
๓. ทำให้เคารพพระสงฆ์
๔. เอื้อเฟื้อต่อศีล คือยินดีปฏิบัติศีลอย่างถูกต้อง
๕. เคารพทาน
๖. มีสติ
๗. มองเห็นภัยในความผิดแม้เป็นความผิดเพียงล็กน้อย
๘. รักษาตนเอง
๙. คุ้มครองผู้อื่น
๑๐. ไม่มีภัยในโลกนี้
๑๑. ไม่มีภัยในโลกอื่น
๑๒. ได้รับอานิสงส์ต่างๆ อันเกิดจากการรักษาศีล เช่น เมื่อสิ้นชีวิตจะสู่สุคติทำให้มีโภคทรัพย์ เป็นเหตุให้มีชื่อเสียง ไม่หลงตาย แกล้วกล้าในที่ประชุมชน เป็นต้น

การเจริญสีลานุสติอยู่เนืองๆ ทำให้
บรรลุเพียงอุปจารสมาธิ

จบ สีลานุสสติ อ่านต่อ อนุสติ ๑๐ หน้าต่อไป

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๕. อสุภะ ๑๐

 อสุภะ ๑๐

อสุภะ หมายถึง ไม่สวยงาม มุ่งหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของคนที่ตายไป การเจริญอสุภกรรมฐานคือ การพิจารณาซากศพในลักษณะต่างๆกัน ๑๐ ลักษณะ ให้เห็นความน่าเกลียดไม่สวยงาม โดยจะพิจารณาซากศพอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ใน ๑๐ ลักษณะ ได้แก่

๑. อุทธุมาตกะ ซากศพที่ขึ้นอืดพอง
๒. วินีลกะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ
๓. วิปุพพกะ ซากศพที่มีน้ำเหลือง แตกปริ
๔. วิจฉิททกะ ซากศพที่ถูกฟันขาดออกจากกันเป็น ๒ ท่อน 
๕. วิกขายิตกะ ซากศพที่ถูกสัตว์ เช่น สุนัข กา แร้ง ทึ้งแย่ง
๖. วิกขิตตกะ ซากศพที่กระจายเรี่ยราด ศีรษะ มือ เท้า อยู่คนละทาง 
๗. หตวิกขิตตกะ ซากศพที่ถูกสับฟันด้วยมีด ถูกแทงด้วยหอก
๘. โลหิตกะ ซากศพที่มีเลือดไหลอาบ
๙. ปุฬุวกะ ซากศพที่มีหนอนไชอยู่ทั่วร่าง
๑๐. อัฏฐิกะ ซากศพที่เหลือแต่กระดูก

การพิจารณาซากศพหรือเจริญอสุภกรรมฐานทุกชนิด ผู้ปฏิบัติต้องยืนอยู่เหนือลม อย่ายืนใต้ลม เพราะกลิ่นเน่าเหม็นของศพจะรบกวน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก อย่ายืนใกล้หรือไกลเกินไป ต้องยืนในระยะให้เห็นซากศพชัดเจนทั้งร่าง ควรยืนกลางลำตัวศพ อย่ายืน ด้านศีรษะหรือปลายเท้าของศพ ศพที่ใช้พิจารณาควรเป็นเพศเดียวกับผู้พิจารณา เช่น ผู้พิจารณาหรือเจริญอสุภกรรมฐานเป็นหญิง ก็ใช้ศพหญิง เป็นชายก็ใช้ศพชายในการพิจารณา นอกจากจะพิจารณาศพในแนววิปัสสนาจึงจะใช้ศพเพศใดก็ได้ เช่นในกรณีของพระกุลลเถระ ที่หลงรูปโฉมนางสิริมาหญิงงามเมือง

ครั้นนางสิริมาสิ้นชีวิตลง พระพุทธเจ้าทรงให้พระกุลลเถระผู้มีราคจริตพิจารณาศพของนางสิริมา ที่พระภิกษุหนุ่มหลงรักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนมองเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ่ายถอนความลุ่มหลงรักใคร่ได้ในที่สุด การเจริญอสุภกรรมฐาน เป็นไปได้ทั้งในแง่สมถกรรมฐาน และวิปัสสนา-กรรมฐาน หากเจริญในแง่สมถะ ก็ให้เห็นความเป็นสิ่งที่น่าเกลียดไม่สวยงาม ปฏิบัติแล้วทำให้ฌานเกิดขึ้นได้ ส่วนในแง่วิปัสสนาให้พิจารณาความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือไตรลักษณ์ คือ ให้เห็นว่าตัวของเราก็เป็นสิ่งไม่เที่ยงเหมือนซากศพที่นอนอยู่ต่อหน้านั้นเช่นกัน เพียงแต่ศพนี้ ชายนี้ หญิงนี้ ตายก่อนเราเท่านั้น ชีวิตร่างกายของเราแม้จะผ่านทุกข์ทรมาน ได้รับความยากลำบากต่างๆนานามาเพียงใด ก็ไม่ทุกข์เท่าตอนที่จะตายร่างกายแตกดับ ในขณะนั้นจะทุกข์ที่สุด คือทุกข์จนทนอยู่ไม่ได้ต้องตายไปเช่นศพนี้

ดังพุทธดำรัสที่ว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และพิจารณาศพที่อยู่ตรงหน้าของเรานี้ว่า เมื่อศพนี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาหรือเธอผู้นี้ไม่เคยปรารถนาที่จะตาย ไม่เคยต้องการจะเจ็บป่วยหรือแก่เฒ่า แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเป็นไปเช่นนี้ ใจปรารถนาแต่กายไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่อาจบังคับบัญชาได้ เขาหรือเธอก็ไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้โดยแท้จริง เพราะหากเป็นเจ้าของร่างกายนี้ก็ต้องไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ตามคำสั่งตามบัญชา แม้ร่างกายของเราเองก็ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของเรา รูปนาม ทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อสังขารร่างกายเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คืออนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) จะไปยึดมั่นถือมั่นได้อย่างไร

ส่วนการพิจารณาซากศพโดยนัยของสมถะต้องพิจารณาศพโดยอาการ ๖ และอาการ ๕

พิจารณาซากศพโดยอาการ ๖
๑. พิจารณาสี โดยกำหนดดูว่า ศพนี้เป็นคนผิวสีอะไร ดำ ขาว หรือผิวเหลือง
๒. พิจารณาวัย โดยกำหนดดูว่า ศพนี้เป็นเด็ก วัยกลางคนหรือคนชรา โดยไม่ต้องสนใจว่าเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย
๓. พิจารณาสัณฐาน โดยกำหนดดูว่า นี่คือศีรษะ คอ แขน มือ ท้อง อก เอว แข้ง ขา เท้า เป็นต้น
๔. พิจารณาทิศ โดยกำหนดว่าตั้งแต่สะดือขึ้นไปจนถึงศีรษะเป็นส่วนบน จากใต้สะดือลงมาเป็นส่วนล่าง หรืออีกนัยหนึ่ง คือให้รู้ว่าเรายืนอยู่ทางทิศนี้ ซากศพอยู่ทางทิศนี้
๕. พิจารณาที่ตั้ง โดยกำหนดว่า มืออยู่ตรงนี้ เท้าอยู่ตรงนี้ ศีรษะอยู่ตรงนี้ เป็นต้น หรืออีกนัยหนึ่งให้รู้ว่าเรายืนอยู่ตรงนี้ ศพอยู่ตรงนั้น
๖. พิจารณาขอบเขต ให้รู้ว่าเบื้องต่ำสุดของซากศพคือพื้นเท้า เบื้องบนสุดเพียงปลายผม ทั่วตัวสุดแค่ผิวหนัง เต็มไปด้วยของเน่าเหม็น อย่าง เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เป็นต้น

พิจารณาโดยอาการ ๕
๑. ดูส่วนต่อหรือที่ต่อ ให้รู้ว่าในสรีระร่างของศพมีส่วนต่อใหญ่ๆอยู่ ๑๔ แห่ง คือมือขวามีที่ต่อ ๓ แห่ง มือซ้ายมีที่ต่อ ๓ แห่ง เท้าขวามีที่ต่อ ๓ แห่ง เท้าซ้ายมีที่ต่อ ๓ แห่ง คอมีที่ต่อ ๑ แห่ง และเอวมีที่ต่อ ๑ แห่ง
๒. ให้ดูช่อง เช่น ช่องตา ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ศพหลับตาหรือลืมตา อ้าปากหรือหุบปาก
๓. ให้ดูหลุม หรือส่วนที่เว้าลงไป พิจารณาว่าเป็นหลุมตา หลุมคอ เป็นต้น
๔. ให้ดูที่ดอน หรือส่วนที่นูนขึ้น โดยให้กำหนดรู้ว่าส่วนนูนนี้ คือหัวเข่า คือหน้าผาก หน้าอก เป็นต้น
๕. ให้ดูทั่วไป รอบๆ ด้านของศพ ส่วนใดปรากฏชัดตามลักษณะของศพ เช่นความพองอืดปรากฏชัด ก็บริกรรมว่า อุทธุมาตกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพพองอืดนี้น่าเกลียด น่าขยะแขยง) หรือเห็นศพที่มีสีเขียวคล้ำปรากฏชัด ก็บริกรรมว่า วินีลกะ ปฏิกูละ ๆ ๆ (ศพวินีลกะ หรือศพเขียวคล้ำนี้น่าเกลียด น่าขยะแขยง) ศพลักษณะอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ในขณะบริกรรมก็ให้ตั้งจิตกำหนดลงที่ลักษณะตรงส่วนนั้นๆ ของศพ


วิธีการเจริญอสุภะ ๑๐

๑. อุทธุมาตกอสุภะ
พิจารณาความน่าเกลียดของศพว่าพองอืด พร้อมบริกรรมว่า อุทธุมาตกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพที่พองอืดนี้ เป็นของน่าเกลียด น่าขยะแขยง) บริกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลืมตาดูและหลับตาพิจารณาสลับไปเช่นนี้ ถ้าเมื่อใดหลับตาแล้วปรากฏภาพซากศพนั้น เหมือนเมื่อลืมตาก็จะได้อุคคห-นิมิต อุคคหนิมิตเป็น

นิมิตที่ปรากฏทางใจ จะเห็นเป็นซากศพที่น่าเกลียดน่ากลัว ชวนให้ขยะแขยงสะอิดสะเอียน เมื่อปฏิบัติต่อไปก็จะได้ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นภาพคนอ้วนพีล่ำสันนอนนิ่งอยู่ ปฐมฌานก็จะเกิดขึ้น ศพที่ขึ้นอืดเป็นกรรมฐานที่หาเจริญได้ยากกว่าอสุภกรรมฐานอื่น ๆ เพราะศพที่พองอืดจะมีอาการพองเพียง ๑ หรือ ๒ วัน ก็จะแปรสภาพเป็นเขียวคล้ำ มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มต่อไป หากขณะที่เจริญอุทธุมาตกอสุภะแล้วยังไม่ได้อุคคหนิมิต หรือปฏิภาคนิมิต แต่ศพแปรสภาพไปแล้วก็ต้องไปหาศพใหม่ที่พองอืด

๒. วินีลกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ บริกรรมว่า วินีลกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพที่มีสีเขียว น่าเกลียด น่าขยะแขยง) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตของวินีลกอสุภะ คือลักษณะของศพมีสีเขียวคล้ำ ส่วนปฏิภาคนิมิตจะไม่น่าเกลียดน่ากลัว จะเหมือนรูปปั้นมีสีแดง สีขาว สีเขียวเจือกัน

๓. วิปุพพกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่มีน้ำเหลืองแตกปริ บริกรรมว่า วิปุพพกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพวิปุพพกะ มีน้ำเหลืองไหลนี้ น่าเกลียด น่าขยะแขยง) บริกรรมซ้ำๆ อุคคหนิมิตที่เกิดขึ้นจะเป็นเหมือนตัวศพนั้น ส่วนปฏิภาคนิมิตจะเป็นเหมือนรูปปั้นนอนนิ่งไม่มีน้ำเหลืองไหล

๔. วิจฉิททกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่ถูกฟันขาดเป็น ๒ ท่อน ถ้าศพที่จะพิจารณานั้น กระเด็นอยู่ห่างกันเกินไปให้นำส่วนที่ขาดมาวางใกล้ให้ต่อกันห่างกันประมาณ ๑ องคุลี แล้วบริกรรมว่า วิจฉิททกะ ปฏิกูละๆๆ (ศพวิจฉิททกะ ถูกฟันขาด ๒ ท่อนนี้น่าเกลียด น่าขยะแขยง) อุคคหนิมิตปรากฏเป็นภาพศพขาด ๒ ท่อนนั่นเอง ส่วนปฏิภาคนิมิตจะเป็นศพสภาพเรียบร้อยนอนแน่นิ่งอยู่

๕. วิกขายิตกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่ถูกสัตว์ทึ้งแย่งเรี่ยราด บริกรรมว่า วิกขายิตกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพวิกขายิกตะนี้น่าเกลียด น่าขยะแขยง) อุคคหนิมิตที่เกิดขึ้นจะเหมือนที่พิจารณา ส่วนปฏิภาคนิมิตจะเป็นสภาพเหมือนกับรูปปั้นที่ใสสะอาด เรียบร้อย วางไว้นิ่งอยู่เป็นท่อนเดียวกัน

๖. วิกขิตตกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่กระจาย อวัยวะกระเด็นไปคนละทิศละทาง ต้องนำส่วนที่กระจายในที่ต่างๆ มากองไว้ในที่เดียวกัน กำหนดบริกรรมว่า วิกขิตตกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพวิกขิตตกะนี้ เป็นของน่าเกลียด น่าขยะแขยง) อุคคหนิมิตเหมือนซากศพที่เห็นปรากฏแก่สายตา ปฏิภาคนิมิตจะเห็นว่า อสุภะมีความสมบูรณ์ตลอดกาย

๗. หตวิกขิตตกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่ถูกสับฟันด้วยมีด บริกรรมว่า หตวิกขิตตกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพหตวิกขิตตกะนี้เป็นของน่าเกลียด น่าขยะแขยง) อุคคหนิมิตที่เกิดขึ้น เป็นสภาพศพที่เป็นริ้วรอยเพราะถูกฟัน ปฏิภาคนิมิตจะเป็นศพที่เรียบร้อย สมบูรณ์

๘. โลหิตกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่มีเลือดไหล บริกรรมว่า โลหิตกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพโลหิตกะนี้ เป็นของน่าเกลียดน่าขยะแขยง) อุคคหนิมิตจะเป็นสภาพศพที่เลือดไหล บางครั้งก็จะเหมือนผ้าแดงต้องลมพัดไหวๆ อยู่ส่วนปฏิภาคนิมิต จะเห็นซากศพเหมือนรูปปั้นกำมะหยี่สีแดง

๙. ปุฬุวกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่มีหนอนคลาคล่ำชอนไชอยู่ บริกรรมว่า ปุฬุวกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพปุฬุวกะนี้ เป็นของน่าเกลียด น่าขยะแขยง) อุคคหนิมิตจะเห็นเป็นศพที่หมู่หนอนคลานไต่ไปมา แต่ปฏิภาคนิมิต จะเห็นเป็นสภาพศพที่เรียบร้อยเหมือนกองข้าวสาลีสีขาวกองอยู่

๑๐.อัฏฐิกอสุภะ
พิจารณาซากศพที่เหลือแต่กระดูก บริกรรมว่า อัฏฐิกะ ปฏิกูละ ๆๆ (ศพอัฏฐิกะนี้ เป็นของน่าเกลียด ) การพิจารณาจะพิจารณากระดูกที่ติดกันหมดทั้งร่างก็ได้ หรือจะพิจารณากระดูกที่มีลักษณะเป็นท่อนๆ เป็นชิ้นๆ ก็ได้ อุคคหนิมิตที่เกิดขึ้น ก็สุดแต่ว่าจะพิจารณากระดูกในลักษณะใด ถ้าพิจารณาทั้งร่าง อุคคหนิมิตก็จะปรากฏกระดูกทั้งร่าง ถ้าพิจารณาเป็นท่อน อุคคหนิมิตก็จะปรากฏกระดูกเป็นท่อนแต่ปฏิภาคนิมิตจะเหมือนกันคือ เป็นร่างกายที่สมบูรณ์

อัฏฐิกอสุภะ หรือ ซากศพที่เป็นกระดูก สามารถนำมาพิจารณาเป็นอารมณ์กรรมฐานมีอยู่ ๕อย่าง คือ
    ๑. ร่างกระดูกที่ยังมีเนื้อ เลือด เส้นเอ็นรัดรึงเป็นรูปร่างอยู่
    ๒. ร่างกระดูกที่ไม่มีเนื้อ แปดเปื้อนด้วยเลือด ยังมีเส้นเอ็นร้อยรัดอยู่
    ๓. ร่างกระดูกที่ไม่มีเนื้อและเลือด แต่ยังมีเส้นเอ็นร้อยรัดอยู่
    ๔. กระดูกที่ไม่มีเส้นเอ็นรัดรึงแล้ว กระจัดกระจายทั่วไป
    ๕. กระดูกเป็นท่อนมีสีขาวดังสีสังข์

การเจริญอสุภกรรมฐานนั้น สำหรับผู้ที่มีนิสัยขลาดกลัวหรือกลัวผี เมื่อเกิดอุคคหนิมิต และขาดอาจารย์คอยควบคุมสอนการปฏิบัติ หรือผู้ปฏิบัติศึกษาไม่ดี ไม่เข้าใจในรูปแบบหรือลักษณะของนิมิตนั้นๆอย่างแท้จริง ก็อาจเข้าใจผิดว่าตนเองถูกผีหลอก เกิดเจ็บป่วยได้ จึงควรทำความเข้าใจในการปฏิบัติให้ดี

บางทีก่อนที่อุคคหนิมิตจะเกิดขึ้น ผู้ปฏิบัติอาจนึกคิดไปว่าศพนี้จะลุกขึ้นนั่ง จะลุกขึ้นยืน ควรมีเพื่อนไปร่วมปฏิบัติด้วย และให้ทำความเข้าใจว่าศพนั้นที่จริงไม่ต่างกับท่อนไม้ ไม่มีวิญญาณครอง ไม่มีจิตใจ จะลุกขึ้นมาหลอกหลอนไม่ได้ เป็นเพราะใจของเราคิดไปเอง วาดภาพไปเอง ในบางกรณีที่ศพยังใหม่ยังสดอยู่ เส้นเอ็นยึดทำให้ลุกขึ้น ก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ถ้าเป็นเช่นนี้ให้ใช้ไม้ตีให้ล้มลง

การพิจารณาอสุภะนั้น นอกจากพิจารณาซากศพ หรือร่างกายที่ปราศจากชีวิต ๑๐ ประการดังกล่าวแล้ว ยังสามารถพิจารณาความเป็นอสุภะ หรือความไม่สวยงามในร่างกายของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน โดยจะพิจารณาร่างกายของตนเอง หรือผู้อื่นก็ได้ดังต่อไปนี้

๑. พิจารณาเมื่อร่างกาย หรือ อวัยวะบวมขึ้น ให้พิจารณาโดยความเป็นอุทธุมาตกะ (พองอืด)
๒. พิจารณาเมื่ออวัยวะเป็นแผล ฝี มีหนองไหลออกมา ให้พิจารณาโดยความเป็นวิปุพพกะ (น้ำเหลืองไหล แผลแตกปริ)
๓. พิจารณาเมื่อ แขน ขา มือ เท้า หรืออวัยวะขาดด้วน เพราะอุบัติเหตุ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ให้พิจารณาโดยความเป็นวิจฉิททกะ (อวัยวะขาดเป็นท่อน)
๔. พิจารณาเมื่อมีโลหิตเปรอะเปื้อนร่างกาย ให้พิจารณาโดยความเป็นโลหิตกะ (เลือดไหล)
๕. พิจารณาขณะที่แลเห็นฟัน ให้พิจารณาโดยความเป็นอัฏฐิกะ (กระดูก)

หากจะพิจารณาไปแล้วความเป็นอสุภะหรือไม่สวยงาม ไม่ได้เป็นเฉพาะเมื่อตาย
ลงหรือเป็นซากศพเท่านั้น ร่างกายที่มีชีวิตอยู่นี้หากพิจารณาให้ดีก็ไม่ใช่สิ่งสวยงาม แต่เพราะการตบแต่งประดับประดา และความหลงผิดทำให้คิดไปว่าเป็นของสวยงาม น่ารัก น่าใคร่ จึงเกิดความยึดมั่นถือมั่น หวงแหน

การเจริญอสุภะ สามารถให้บรรลุฌานขั้นปฐมฌานเท่านั้น การพิจารณาอสุภะในซากศพ จะมีความน่ากลัว อุคคหนิมิตจะเกิดได้เร็วกว่าการพิจารณาอสุภะในคนที่ยังมีชีวิตอยู่ การเจริญอสุภกรรมฐานทำให้ได้ปฐมฌาน หรือฌานเบื้องต้น หากต้องการจะได้ทุติยฌานต่อไปให้เปลี่ยนไปเพ่งสีที่ปรากฏชัดที่ศพ เช่น เพ่งสีแดงของเลือดที่ไหล จัดเป็นวรรณกสิณ หรือกสิณสี พร้อมบริกรรมว่าแดงๆ หรือศพสีเขียวก็เพ่งสีเขียว บริกรรมว่าเขียว ๆ ตามวิธีการของวรรณกสิณ ก็จะได้บรรลุทุติยฌาน


อานิสงส์ของการเจริญอสุภกรรมฐาน
ได้แก่

๑. มีสติ
๒. มองเห็นความไม่เที่ยงของร่างกาย (อนิจจสัญญา)
๓. มองเห็นความตายว่าจะบังเกิดกับทุกคน (มรณสัญญา)
๔. มีความรังเกียจในร่างกาย
๕. ทำให้กามตัณหาไม่ครอบงำ
๖. กำจัดความยึดมั่นถือมั่นในรูป
๗. กำจัดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งน่าเพลิดเพลิน (อิฏฐารมณ์)
๘. อยู่เป็นสุข
๙. เข้าถึงอมตธรรม คือ พระนิพพาน เฉพาะสำหรับผู้ที่เจริญสมถะจนได้ฌาน แล้วเอาฌานเป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ 

ทั้งหมดนี้ เป็นความรู้ก่อนที่จะเริ่มลงมือปฏิบัติสมถกรรมฐาน เป็นความรู้เบื้องต้นพื้นฐาน เพื่อให้มีความรู้ก่อนลงมือปฏิบัติอย่างมีหลักที่ถูกต้อง การเพ่งกสิณและ อสุภะ ซึ่งจัดว่าเป็นอารมณ์สมถะกรรมฐานที่ค่อนข้างจะพิจารณายาก โดยเฉพาะในปัจจุบัน การที่จะหาศพมาพิจารณาก็ยาก ตลอดจนความเพียรของผู้ปฏิบัติเองก็อาจจะยังไม่มากพอ และทั้งกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ ในปัจจุบันโดยเฉพาะในประเทศไทยก็ไม่ใคร่นิยมปฏิบัติกัน

ฉะนั้น หากจะปฏิบัติก็ต้องศึกษาทบทวน และสอบทานตัวเองก่อนว่าเข้าใจจริงหรือไม่แล้วจึงลงมือปฏิบัติ ในระหว่างการปฏิบัติก็ต้องทบทวน สอบทานความรู้อยู่เสมอ เพื่อป้องกันการปฏิบัติผิด ตำราที่ผู้ปฏิบัติจะสอบทานผลการปฏิบัติของตนได้ คือ ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค คัมภีร์วิสุทธิมรรค และวิมุตติมรรค



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๔. กสิณ ๑๐

กสิณ ๑๐

กสิณ หมายถึง วัตถุอันจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ ทำให้คุมใจได้มั่น จิตใจไม่ฟุ้งซ่านซัดส่าย วัตถุที่ใช้ในการเจริญกสิณมี ๑๐ อย่าง คือ

๑. ปฐวีกสิณ กสิณ ดิน
๒. อาโปกสิณ กสิณ น้้า
๓. เตโชกสิณ กสิณ ไฟ
๔. วาโยกสิณ กสิณ ลม
๕. นีลกสิณ กสิณ สีเขียว
๖. ปีตกสิณ กสิณ สีเหลือง
๗.โลหิตกสิณ กสิณ สีแดง
๘. โอทาตกสิณ กสิณ สีขาว
๙.อาโลกสิณ กสิณแสงสว่าง
๑๐. อากาสกสิณ หรือปริจฉินนากาสกสิณ กสิณที่ว่างหรืออากาศ



๑. ปฐวีกสิณ (กสิณดิน) 
ต้องเตรียมดินที่จะใช้เป็นองค์กสิณ โดยเลือกดินสีอรุณ หรือสีพระอาทิตย์แรกขึ้น มีความเหนียวพอประมาณ เก็บสิ่งสกปรกที่ติดอยู่กับดินนั้นออกให้หมด ผสมกับน้ำนวดจนดินหมดฝุ่นละออง คลึงแผ่เป็นแผ่นวงกลมกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้ว ทำหน้าดินให้เรียบเหมือนหน้ากลอง แต่งวงขอบของดินด้วยอีกสีหนึ่ง จะเป็นสีเขียวหรือสีขาวก็ได้ให้มีขนาดเส้นขอบประมาณหนึ่งกระเบียด

ดวงกสิณนี้จะสร้างอยู่บนกระดาน บนผ้า บนกำแพง หรือบนดินก็ได้ แต่ต้องรักษาให้สะอาดเรียบร้อย และเรียบอยู่เสมอ เมื่อทำองค์กสิณเสร็จแล้วให้หาสถานที่สงบห่างไกลผู้คน เพื่อเพ่งปฐวีกสิณโดยตั้งองค์กสิณไว้เบื้องหน้าในระดับสายตาไม่สูงหรือต่ำเกินไป นั่งห่างจากองค์กสิณประมาณ ๒ ศอก ๑ คืบ หรือไม่ใกล้ –ไกล เกินไปนัก โดยนั่งขัดสมาธิ ทำจิตให้ระลึกถึงโทษของกามคุณว่า กามเป็นสิ่งน่ายินดีน้อย มีทุกข์มาก ให้โทษต่างๆ เปรียบดังหัวงูมีพิษ เพราะเป็นของน่ากลัว จึงควรทำตนให้พ้นจากกามคุณอารมณ์ต่างๆ ตั้งจิตให้ยินดีในฌาน ระลึกพระคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วจึงลืมตาดูดวงกสิณนั้น บริกรรมว่า ปฐวีๆๆ (ดินๆๆ) เป็นร้อยครั้งพันครั้ง เมื่อลืมตาดูดวงกสิณแล้วหน่อยหนึ่งก็หลับตาลง แล้วจึงลืมตาขึ้นดูอีก ปฏิบัติจนได้อุคคหนิมิต คือหลับตาเห็น ลืมตาเห็นดวงกสิณ

จนคล่องแคล่ว ปฏิภาคนิมิตก็จะเกิดขึ้นเป็นสภาพที่สะอาด ไม่ด่างพร้อย จะใสเป็นกระจก งามกว่าอุคคหนิมิต จิตจะตั้งมั่น นิวรณ์ ๕ จะสงบระงับ พากเพียรต่อไปก็จะได้อัปปนาสมาธิ หากรักษาปฏิภาคนิมิตให้ดี พากเพียรปฏิบัติต่อไปก็จะได้ฌานเป็นลำดับขึ้นไป แต่หากรักษาปฏิภาคนิมิตไม่ดี สมาธิหรือฌานที่ได้ก็จะเสื่อมหายไป

๒. อาโปกสิณ (กสิณน้้า)
คือ การเพ่งน้ำ ผู้ที่เคยปฏิบัติอาโปกสิณในชาติก่อนๆ เมื่อเพ่งน้ำที่ใดที่หนึ่ง เช่น ในสระหรือในบ่อ ก็สามารถสำเร็จอุคคหนิมิตโดยง่าย หรือนำผ้าขาวขึงกลางแจ้งรองน้ำฝนบริสุทธิ์มาใส่ภาชนะเช่นขัน ใส่เต็มขอบปากภาชนะ เพ่งดูน้ำนั้นในที่สงบ บริกรรมว่า อาโปๆๆ (น้ำๆๆ) จนเกิดอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตตามลำดับ เช่นเดียวกับปฐวีกสิณ

๓. เตโชกสิณ (กสิณไฟ)
คือการเตรียมเปลวเพลิง ผู้ที่เคยปฏิบัติเตโชกสิณในชาติก่อนๆ อาจเพ่งเปลวไฟในเตา หรือที่ใดๆ จนได้อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ตามลำดับ โดยทั่วไปการจะเพ่งเตโชกสิณต้องเตรียมการโดยก่อไฟให้ลุกโพลง นำเสื่อ หรือ แผ่นหนังกั้นไว้หน้ากองไฟ เจาะช่องกลมโตประมาณ ๑ คืบ ๔ นิ้ว แล้วเพ่งดูเปลวไฟ อย่าพิจารณาสีของเปลวไฟ หรือเถ้าถ่าน หรือควันไฟ เพราะจะกลายเป็นวรรณกสิณไป ขณะเพ่งเปลวไฟให้บริกรรมว่า เตโชๆๆ (ไฟๆๆ) จนอุคคหนิมิตปรากฏขึ้น และได้ปฏิภาคนิมิต ได้ฌานตามลำดับ อุคคหนิมิตของเตโชกสิณจะปรากฏภาพของเปลวไฟที่คุแต่อาจมีการพัดไหว ส่วนปฏิภาคนิมิตเปลวไฟจะนิ่ง มีสีทองหรือแดง

๔. วาโยกสิณ (กสิณลม)
คือ กสิณลม เจริญได้โดยต้องอาศัยการมองดู ยอดไม้ ใบไม้ เส้นผม เป็นต้น ที่สั่นไหวเพราะลมพัด หรือจะเจริญเมื่อลมพัดสัมผัสกายเราก็ได้ พร้อมบริกรรมว่า วาโยๆๆ (ลมๆๆ) จนเกิดอุคคหนิมิต เป็นลักษณะไอน้ำ น้ำตกหรือควันที่ไหวหวั่น แต่เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตจะไม่หวั่นไหวจะมีสภาพเป็นกลุ่มกอง เป็นเกลียวที่แน่นิ่ง

๕. นีลกสิณ (กสิณสีเขียว)
๖. ปีตกสิณ (กสิณสีเหลือง)
๗. โลหิตกสิณ (กสิณสีแดง)
๘. โอทาตกสิณ (กสิณสีขาว)

จะกล่าวรวมถึงวรรณกสิณ ทั้ง ๔ เพราะมีการปฏิบัติและลักษณะใกล้เคียงกัน นีลกสิณ คือ กสิณสีเขียว ผู้ที่มีวาสนาบารมีเคยเจริญกสิณนั้นมาก่อน เมื่อเห็นสีของใบไม้ ผ้า หรือวัตถุอื่นก็สามารถเพ่งดู และบริกรรมได้ทันที แต่ถ้าจะทำองค์นีลกสิณ ต้องใช้ดอกไม้ ใบไม้ วัตถุใดๆ ก็ตามที่มีสีเขียว ถ้าใช้ดอกไม้ เช่น ดอกบัว ก็ต้องนำมาใส่พาน หรือขันให้เต็มขอบภาชนะ หรือ ถ้าจะใช้ผ้า, กระดาษ, ก็ต้องใช้ผ้า กระดาษ สีเขียว มาตัดเป็นวงกลมกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้ว เอาสีเขียวทาบนแผ่นวงกลมให้เรียบร้อย ตัดขอบด้วยสีขาว แดง เพื่อเน้นให้สีเขียวเด่นชัดขึ้น เมื่อเพ่งก็บริกรรมว่า นีละ นีละ(เขียวๆๆ)

ส่วนกสิณสีอื่นๆ เช่น ปีตกสิณ กสิณสีเหลืองก็จัดทำเช่นเดียวกันโดยใช้ดอกไม้ หรือผ้า, กระดาษ บริกรรมว่า ปีตะ ปีตะ (เหลืองๆๆ)
โลหิตกสิณ คือกสิณสีแดง ให้บริกรรมว่า โลหิตะ โลหิตะ 
(แดงๆๆ)
โอทาตกสิณ คือ กสิณสีขาว ก็บริกรรมว่า โอทาตะ โอทาตะ (ขาวๆ)
ทำไปจนเกิดอุคคหนิมิต
ก็ไม่จำเป็นต้องเพ่งองค์กสิณอีก ให้เพ่งแต่อุคคหนิมิตที่ได้มา จนเกิดปฏิภาคนิมิตขึ้น และได้ฌานไปตามลำดับ

๙. อาโลกกสิณ (กสิณแสงสว่าง)
คือ กสิณแสงสว่าง เป็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงไฟเป็นต้น แต่เมื่อมิอาจ เพ่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงไฟต่างๆโดยตรง ก็ต้องทำองค์กสิณ โดยการหารอยแตกของฝาเรือน หลังคาที่พักอาศัย หรือเจาะให้แสงสว่างลอดเข้ามาปรากฏที่ฝาหรือพื้นเรือน หรือจุดตะเกียง หรือเปิดไฟไว้ เอาม่านกั้นให้มิดชิด เจาะรูม่านให้แสงลอดออกมาเป็นดวงที่ฝา แล้วเพ่งดูแสงสว่างนั้น บริกรรมว่าโอภาโส โอภาโส (แสงๆๆ) หรือ อาโลโก อาโลโก (สว่างๆๆ) จนอุคคหนิมิตเกิดขึ้นเป็นแสงสว่างไม่ต่างจากบริกรรมนิมิต ส่วนปฏิภาคนิมิตแสงสว่างจะเป็นกลุ่มก้อนคล้ายดวงไฟในโป๊ะไฟสีขาวสว่างรุ่งโรจน์กว่าอุคคหนิมิตหลายเท่า

๑๐. อากาสกสิณ หรือปริจฉินนากาสกสิณ (กสิณที่ว่างหรืออากาศ)
คือ การเพ่งอากาศว่างเปล่าเป็นอารมณ์ ทำองค์กสิณโดยเจาะฝาให้เป็นช่องว่างประมาณ ๑ คืบ ๔ นิ้ว หรือใช้ช่องหน้าต่าง ประตู เพ่งดูอากาศที่ปรากฏตามช่องนั้นๆ แล้วบริกรรมว่า อากาโสๆๆ (แจ้งๆๆ) จนเกิดอุคคหนิมิตเห็นอากาศที่ปรากฏตามช่อง มีขอบเขต เหมือนกับบริกรรมนิมิตทุกประการ แต่เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้ว จะปรากฏแต่อากาศอย่างเดียวไม่ปรากฏขอบเขต ทั้งยังสามารถขยายขอบเขตให้กว้างใหญ่เพียงไรก็ได้

คุณลักษณะพิเศษของกสิณ ๑๐ 

กสิณมีลักษณะพิเศษหลายประการ เช่น เมื่อได้รูปฌาน ๔ การเพ่งกสิณอย่างหนึ่งแล้ว ถ้าต้องการอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิตจากกสิณอีก ๙ อย่างที่เหลือ ก็ไม่ต้องจัดทำองค์กสิณขึ้นใหม่ให้มองดูสิ่งอื่นๆตามธรรมชาติ เช่นมองดูดิน (ปฐวีกสิณ) แล้วบริกรรมปฐวีๆๆ(ดินๆๆ) หรือ ดูแม่น้ำ ไฟ ลม สีต่างๆ แสงสว่าง อากาศ แล้วบริกรรมตามคำบริกรรมตรงกับสิ่งที่เราเพ่งนั้นๆ อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ก็จะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ กสิณยังเป็นกรรมฐานที่ทำให้ถึงฌานเร็วกว่ากรรมฐานอื่นๆ เพราะการเพ่งกสิณนั้น อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต เกิดขึ้นง่าย ได้ฌานเร็ว โดยเฉพาะกสิณที่เกี่ยวกับสีทั้ง ๔ แล้วจะยิ่งเกิดอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต และฌานได้เร็วยิ่งกว่ามหาภูตกสิณ พระพุทธองค์ทรงยกย่องโอทาตกสิณ (กสิณสีขาว) ว่าเลิศกว่ากสิณสีอื่นๆ เพราะทำให้จิตใจของผู้ที่เจริญกสิณนั้นผ่องใส ไม่เซื่องซึมง่วงเหงา ทั้งยังทำให้ผู้เจริญกสิณนี้ทราบเหตุการณ์ต่างๆคล้ายผู้ทรงอภิญญาทั้งที่ยังไม่ได้อุคคหนิมิต


อานุภาพแห่งกสิณ ๑๐ ท้าให้เกิดฤทธิ์ต่างๆ
๑. ปฐวีกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๑.๑ เนรมิตคน ๆ เดียวให้กลายเป็นหลายร้อยหลายพันคน
    ๑.๒ เนรมิตตนเองให้เป็นพญานาค พญาครุฑ
    ๑.๓ ทำท้องอากาศ แม่น้ำ มหาสมุทร ให้เป็นพื้นแผ่นดิน ให้ยืน เดิน นั่ง นอน ได้
    ๑.๔ เนรมิต วิมาน วัดวาอาราม บ้านเรือน วัตถุสิ่งของต่างๆ ตามความประสงค์ของตน
    ๑.๕ ทำสิ่งที่เบาให้หนัก
    ๑.๖ ทำให้วัตถุติดแน่นตั้งมั่นอยู่ มิให้โยกย้ายเคลื่อนที่ไป
    ๑.๗ ได้ อภิภายตนะ คือ สามารถข่มทำลายธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อจิตใจ และสามารถข่มอารมณ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา อยากได้ อยากพบ) และอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่อยากได้ ไม่อยากพบ) มิให้มาปรากฏภายในจิตใจของตนได้
๒. อาโปกสิณ มีอานุภาพ คือ

    ๒.๑ แทรกแผ่นดินไปแล้ว ผุดขึ้นมาได้
    ๒.๒ ทำให้ฝนตก
    ๒.๓ ทำพื้นแผ่นดินให้เป็นแม่น้ำ และมหาสมุทร
    ๒.๔ ทำน้ำธรรมดาให้เป็น น้ำมัน น้ำนม น้ำผึ้ง
    ๒.๕ ทำให้กระแสน้ำพุ่งออกมาจากร่างกาย
    ๒.๖ ทำให้ภูเขา ปราสาท วิมาน สะเทือนหวั่นไหว
๓. เตโชกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๓.๑ เกิดควันกำบังตน และทำให้เปลวไฟโชติช่วงขึ้นจากร่างกาย หรือวัตถุอื่นๆ
    ๓.๒ ทำให้ฝนถ่านเพลิงตกลงมา
    ๓.๓ ใช้ไฟที่เกิดจากฤทธิ์ของตนดับไฟที่เกิดจากฤทธิ์ของผู้อื่นให้ดับลง
    ๓.๔ สามารถเผาผลาญบ้านเมือง วัตถุสิ่งของต่างๆได้
    ๓.๕ ทำให้แสงสว่างเกิดขึ้น เพื่อจะได้แลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุอภิญญา
    ๓.๖ ทำให้เตโชธาตุ หรือไฟลุกไหม้สรีระในสมัยที่ปรินิพพาน
    ๓.๗ ทำให้ความมืดหายไป
๔. วาโยกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๔.๑ เหาะไปได้
    ๔.๒ สามารถไปถึงสถานที่ที่ตนต้องการจะไปได้อย่างรวดเร็ว
    ๔.๓ ทำสิ่งที่หนักให้เบา
    ๔.๔ ทำให้พายุใหญ่เกิดขึ้น
๕. นีลกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๕.๑ ทำวัตถุสิ่งของให้เป็นสีเขียว
    ๕.๒ ทำเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง เป็นต้น ให้เป็นมรกต
    ๕.๓ ทำความมืดให้เกิดขึ้นไม่ว่าเวลาใด
    ๕.๔ ได้อภิภายตนะ
    ๕.๕ ได้สุภวิโมกข์ คือ บรรลุ มรรค ผล นิพพานโดยง่ายและสะดวกสบาย
๖. ปีตกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๖.๑ ทำให้วัตถุสิ่งของเป็นสีเหลือง
    ๖.๒ ทำเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง เป็นต้น ให้เป็นทอง
    ๖.๓ ได้อภิภายตนะ
    ๖.๔ ได้สุภวิโมกข์
๗. โลหิตกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๗.๑ ทำให้วัตถุสิ่งของเป็นสีแดง
    ๗.๒ ทำเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง เป็นต้น ให้เป็นแก้วทับทิม
    ๗.๓ ได้อภิภายตนะ
    ๗.๔ ได้สุภวิโมกข์
๘. โอทาตกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๘.๑ ทำให้วัตถุสิ่งของเป็นสีขาว
    ๘.๒ ทำเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง เป็นต้น ให้เป็นเงิน
    ๘.๓ ทำให้หายจากความง่วงเหงาหาวนอน
    ๘.๔ ทำให้ความมืดหายไป แล้วทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น เพื่อเห็นรูปด้วยทิพพจักขุอภิญญา
๙. อาโลกกสิณ มีอานุภาพ คือ
๙.๑ ทำให้วัตถุสิ่งของเกิดแสงสว่าง หรือทำให้ร่างกายเกิดแสงสว่างเป็นรัศมีพวยพุ่งขึ้นมา
๙.๒ เนรมิตเป็นรูปต่างๆประกอบด้วยแสงสว่างอย่างรุ่งโรจน์
๙.๓ ทำให้ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
๙.๔ ทำความมืดให้หายไป ทำความสว่างให้เกิดขึ้น เพื่อเห็นรูปด้วยทิพพจักขุอภิญญา
๑๐. อากาสกสิณ มีอานุภาพ คือ
    ๑๐.๑ เปิดเผย สิ่งที่หลบซ่อนลี้ลับให้ปรากฏให้เห็นได้
    ๑๐.๒ ทำให้มีอากาศเป็นอุโมงค์ช่องว่างเกิดขึ้นภายในพื้นแผ่นดิน ภูเขา มหาสมุทร แล้วยืน เดิน นั่ง นอนได้
    ๑๐.๓ เข้าออกทางฝา หรือกำแพงได้

กสิณทั้ง ๑๐ อย่าง มีอานุภาพทำให้เกิดฤทธิ์ที่เหมือนๆ กัน คือ
ก. สามารถกำบังสิ่งต่างๆไม่ให้ผู้ใดแลเห็น
ข. ทำวัตถุสิ่งของเล็กให้กลับใหญ่ หรือที่ใหญ่ให้กลับเล็ก
ค. ทำระยะทางใกล้ให้ไกล และย่นระยะทางที่ไกลให้กลับเป็นใกล้
ง. กสิณ เมื่อเจริญแล้วทำให้สำเร็จรูปฌานและอรูปฌานได้



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS