RSS

พระพุทธดำรัส (๑๓)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏

🔅 พุทธทำนายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
ปัญหา ความเจริญหรือเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาท่านว่า ย่อมขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของพุทธบริษัททั้ง ๔ เฉพาะอย่างยิ่งภิกษุบริษัทซึ่งเป็นผู้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ภิกษุประพฤติปฏิบัติอย่างไรจะชื่อว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา ?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบจีวรดีงาม เมื่อชอบจีวรดีงาม ก็จักละความเป็นผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร จักละเสนาสนะอันสงัดคือป่า และป่าชัฏ จะประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคมและราชธานี และจักถึงการแสวงหาไม่สมควร อันไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุจีวร....

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบบิณฑบาตที่ดีงาม..... จักละความเป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร..... จักประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคมและราชธานี แสวงหาบิณฑบาตที่มีรสเลิศด้วยปลายลิ้น แลจักถึงการแสวงหาอันไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่างๆ เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต....

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ชอบเสนาสนะที่ดีงาม..... จักละความเป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร..... จักประชุมกันอยู่ที่บ้าน นิคมและราชธานี แลจักถึงการแสวงหาอันไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ....

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้คลุกคลีด้วยภิกษุณีนางสิกขมานา แลสมณุทเทส เมื่อมีการคลุกคลี... พึงหวังข้อนี้ได้ว่า เธอเหล่านั้นจักเป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักต้องอาบัติเศร้าหมองบางอย่าง หรือจักบอกคืนสิกขา เวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้คลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ แลสมณุทเทส เมื่อมีการคลุกคลี... พึงหวังข้อนี้ได้ว่า เธอเหล่านั้นจักเป็นผู้ประกอบการบริโภคของที่สะสมไว้มีประการต่าง ๆ จักกระทำนิมิตแม้อย่างหยาบที่แผ่นดินบ้าง ที่ปลายของเขียวบ้าง

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล.... อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้นฯ”

อนาคตสูตร


🔅 ภัยของพระพุทธศาสนา
ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีภัย เมื่อภัยเกิดขึ้นย่อมทำลายสิ่งนั้น ๆ ให้เสียหายหรือพินาศ พระพุทธศาสนาก็น่าจะมีภัยเช่นเดียวกัน อยากทราบว่าภัยของพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญาจักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำกุลบุตรแม้เหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา ก็จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำกุลบุตร แม้เหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....

“อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... จะให้นิสัยแก่กุลบุตรเหล่านั้น จักไม่สามารถแนะนำกุลบุตรแม้เหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย... ศีล... จิต... ปัญญา เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....

“อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... เมื่อแสดงอภิธรรมกถา เวทัลลกถา หยั่งลงสู่ธรรมที่ผิด ก็จักไม่รู้สึก เพราะเหตุนี้แล การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม.....

“อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... พระสูตรต่างๆ ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นสูตรลึกซึ้ง เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตาธรรม พระสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ก็จักไม่ฟังด้วยดี.... จักไม่เงี่ยโสตลงสดับ จักไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ จักไม่ใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้น ว่าควรศึกษาเล่าเรียน แต่ว่าสูตรต่างๆ ที่นักกวีแต่งไว้ ประพันธ์เป็นบทว่า มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะสละสลวย เป็นพาหิรกถา เป็นสาวกภาษิต เมื่อสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ จักฟังด้วยดี... เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....

“อีกประการหนึ่ง ในอนาคตภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย....ศีล.... จิต.....ปัญญา.... ภิกษุผู้เถระจักเป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อนเป็นหัวหน้าในความล่วงละเมิด ทอดธุระในความสงัด จักไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง.... ประชุมชนรุ่นหลังก็จักถือเอาภิกษุเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง แม้ประชุมชนนั้นก็จะเป็นผู้มักมาก..... เพราะเหตุนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย.....

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้แล.... อันเธอทั้งหลายถึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น”

อนาคตสูตร ที่ ๓


🔅 ทางสู่ความดับทุกข์
ปัญหา ก็เมื่อภิกษุเป็นผู้อยู่ในธรรม แล้ว จะพึงปฏิบัติโดยลำดับขั้นอย่างไร จึงจะบรรลุถึงความดับทุกข์?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเสพเสนาสนะอัน สงัด คือโคนไม้ ภูเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฝาง เธออยู่ในป่าโคนไม้หรือเรือนว่าง ย่อมนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอย่อมละอภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้) ในโลกเสีย.... เธอย่อมละความคิดประทุษร้ายคือพยาบาท....เธอย่อมละถีนมิทธะ (ความง่วงเหง่าหาวนอน) เสีย...เป็นผู้มีอาโลกสัญญา มีสติสัมปชัญญะ.... เธอย่อมลุอุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญ) มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายใน.... เธอย่อมละวิจิกิจฉา หมดความสงสัยในธรรมทั้งหลาย.... เธอละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ซึ่งทำปัญญาให้อ่อนกำลัง แล้วบรรลุ ปฐมฌาน..... ทุติยฌาน.... ตติยฌาน... จตุตถฌาน.... เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้วอย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยฌาณ (ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น) เธอย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเหล่านี้อาสวะ เหล่านี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตของเธอย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีฌานหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก นี้ชื่อว่าชัยชนะ ในสงครามของเธอ...ฯ”

โยธาชีวสูตร ที่ ๑


🔅 ทำอย่างไรจึงจะถูกพุทธประสงค์
ปัญหา ภิกษุที่บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ควรจะปฏิบัติตนอย่างไร หรือไม่ควรจะปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็นผู้ อยู่ในธรรม อย่างแท้จริง หรือว่าจะปฏิบัติกิจเบื้องต้นอย่างไร จึงจะถูกต้องพระพุทธประสงค์ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณ์ คาถา อุทาน อติวุตตกะ ชาดก อัพภูธรรม เวทัลละ เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป ละการหลีกออกเร้นอยู่ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน เพราะการเรียนธรรมนั้น ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการเรียน ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมแสดงธรรมตามที่ได้สดับมาแล้ว ตามที่ได้เรียนมาแล้ว โดยพิสดาร เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป... ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน.... ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการแสดงธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมทำการสาธยายธรรมตามที่ได้สดับมาแล้ว ตามที่ได้เรียนมาแล้ว โดยพิสดาร เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป... ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน.... ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการสาธยายธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมตรึกตาม ตรองตาม เพ่งตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้สดับมาแล้ว ตามที่ได้เรียนมาแล้ว เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป... ไม่ประกอบความสงบใจในภายใน.... ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้มากด้วยการตรึกตรองธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรม

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเล่มเรียนธรรม คือ สุตตะ... เวทัลละ เธอย่อมปล่อยให้วันคืนล่วงไป... ไม่ละการหลีกออกเร้นอยู่ ประกอบความสงบใจในภายใน.... เพราะการเล่าเรียนธรรมนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรมอย่างนี้แล.....

“ดูก่อนภิกษุ นั่นโคนต้นไม้ นั่นเรือนว่าง เธอจงเพ่งฌานอย่าประมาท อย่าเป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลัง นี้เป็นอนุสาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลายฯ”

ธรรมวิหาริกสูตร ที่ ๑


🔅 ทำไมคนจึงต้องคิดถึงความตาย
ปัญหา ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นเรื่องของความเศร้า ความทุกข์ คนไม่ชอบ ไม่อยากประสบ แม้แต่คิดถึงก็ไม่อยากคิด แต่เหตุไฉนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พุทธบริษัทพิจารณาธรรมชาติเหล่านี้เสมอ ๆ?

พุทธดำรัสตอบ “......ความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาว มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วย กาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้น (ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้) อยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาวนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้

“......ความมัวเมาในความไม่มีโรค มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วย กาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้น (ว่าเรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้) อยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในความไม่มีโรคนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้

“......ความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วย กาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้น (ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้) อยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในชีวิตนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้”

ฐานสูตร


🔅 วิธีงดเว้นความชั่ว
ปัญหา คนย่อมทำความชั่วทาง กาย วาจา ใจ ด้วยเหตุต่างๆ กัน ทำเพราะความจำเป็นก็มี ทำเพราะสันดานชั่วก็มี ทำเพราะความโง่เขลาก็มี ทำเพราะความเห็นผิดเป็นชอบก็มี จะทำอย่างไร จึงจะให้คนละการทำความชั่วได้ ?

พุทธดำรัสตอบ “......สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนือง ๆ ย่อมละทุจริตได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้”

ฐานสูตร


🔅 ควรบวชเมื่อหนุ่มหรือเมื่อแก่
ปัญหา การบวชในเมื่อยังหนุ่มแน่น กับบวชเมื่อแก่ อย่างไหนจะดีกว่ากัน ?

พุทธดำรัสตอบ “......ภิกษุบวชเมื่อแก่ เป็นคนละเอียดหาได้ยาก เป็นผู้มีมารยาทสมบูรณ์หาได้ยาก เป็นพหูสูตรหาได้ยาก เป็นธัมมกถึกหาได้ยาก เป็นวินัยธรหาได้ยาก... เป็นผู้ว่าง่ายหาได้ยาก เป็นผู้คงแก่เรียนหาได้ยาก เป็นผู้รับโอวาทด้วยความเคารพหาได้ยาก....”

ทุลลภสูตร ๑-๒


🔅 ประโยชน์ของการเดินจงกรม
ปัญหา วิธีการบำเพ็ญสมถกรรมฐาน เพื่อทำจิตให้สงบระงับนั้น มีอยู่หลายวิธี การเดินจงกรมก็เป็นวิธีหนึ่ง อยากทราบว่าพระพุทธองค์ทรงเห็นประโยชน์อย่างไร จึงทรงแนะนำให้ภิกษุเดินจงกรม?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรมมี ๕ ประการ ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล ๑
ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร ๑
ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย ๑
อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี ๑
สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมย่อมตั้งอยู่ได้นาน ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรมมี ๕ ประการฉะนี้แลฯ”

จังกมสูตร 


🔅 บางครั้งก็ควรงดการบำเพ็ญเพียร
ปัญหา ขึ้นชื่อว่าเป็นพระภิกษุแล้ว จะต้องบำเพ็ญเพียรเพื่อมรรคผลเรื่อยไป หรือว่ามีกาลสมัยพิเศษที่ภิกษุไม่ควรบำเพ็ญเพียร?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยที่ควรบำเพ็ญเพียร ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นคนแก่ ถูกชราครอบงำ นี้เป็นสมัยที่ไม่ควรบำเพ็ญเพียรข้อที่หนึ่ง

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้อาพาธ ถูกพยาธิครอบงำ นี้เป็นสมัยที่ไม่ควรบำเพ็ญเพียรข้อที่สอง

“อีกประการหนึ่ง สมัยที่มีข้างแพง ข้าวเสียหาย มีบิณฑบาต หาได้ยาก ไม่สะดวกที่จะยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยการแสวงหาบิณฑบาต นี้เป็นสมัยที่ไม่ควรบำเพ็ญเพียรข้อที่สาม

“อีกประการหนึ่ง สมัยมีภัย มีความกำเริบในป่าดง ชาวชนบทพากันขึ้นยานพาหนะอพยพไป นี้เป็นสมัยที่ไม่ควรบำเพ็ญเพียรข้อที่สี่

“อีกประการหนึ่ง สมัยที่สงฆ์แตกกัน.... ย่อมมีการด่ากันและกัน บริภาษกันและกัน มีการใส่ร้ายกันและกัน มีการทอดทิ้งกันและกัน คนผู้ไม่เลื่อมใส ในหมู่สงฆ์นั้น ย่อมเลื่อมใส และคนบางพวกที่เลื่อมใสอยู่แล้ว ย่อมเป็นอื่นไป นี้เป็นเวลาที่ไม่ควรบำเพ็ญเพียรข้อที่ ๕ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยที่ไม่ควรบำเพ็ญเพียร ๕ ประการ มีดังนี้แล ฯ

สมยสูตร


🔅 เจริญมรณัสสติอย่างไร
ปัญหา ทางพระพุทธศาสนาสนให้หมั่นเจริญมรณัสสติ คือ การระลึกถึงความตายเพื่อความไม่ประมาท อยากทราบว่าจะเจริญมรณัสสติโดยวิธีใด?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง (อาจจะมีชีวิตอยู่เพียงวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเท่านั้น) (หรือ)... เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง (หรือ).... เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง (หรือ).... เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่ห้าคำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้ เรากล่าวว่าเป็นผู้ประมาท เจริญมรณัสสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายช้า

“ส่วนภิกษุใด ย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำกลืนกิน (หรือ).... เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณัสสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย แรงกล้า...เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้”

มรณัสสติสูตร ที่ ๑

“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันผ่านไป กลางคืนย่างเข้ามา ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เหตุแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ งูพึงกัดเรา แมงป่องพึงต่อยเรา หรือตะขาบพึงกัดเรา เราพึงตายเพราะเหตุนั้น อันตรายนั้นพึงมีแก่เราพึงพลาดล้มลง อาหารที่เราฉันแล้วไม่พึงย่อมดี.... เสมหะ... หรือลมที่มีพิษเพียงดังศัสตราของเราพึงกำเริบ เราพึงตายเพราะเหตุนั้น.... ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลที่เรายังละไม่ได้ อันจะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้กระทำกาละ (ตาย) ในกลางคืนมีอยู่หรือหน ถ้าภิกษุพิจาณาอยู่ย่อมราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปเพียรความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้มีปริมาณยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาปกุศลนั้น เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีผ้าโพกศีรษะ ถูกไฟไหม้ พึงทำฉันทะ.... เมื่อดับผ้าโพกศีรษะหรือศีรษะนั้น.... ก็ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ย่อมทราบอย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศล... ไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์ ตามศึกษาในกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งกลางวันกลางคืนอยู่เถิด...ฯ”

มรณัสสติสูตร ที่ ๒



🔅 คนฆ่าไม่รวย-คนรวยไม่ฆ่า
ปัญหา ทำไมคนที่เลี้ยงชีพด้วยการฆ่าปลา ฆ่าวัว ฆ่าเนื้อ ฆ่าแพะ ฆ่าสุกร ฯลฯ ขาย จึงไม่ค่อยร่ำรวย?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุ เรา.... ไม่ได้เห็นไม่ได้ฟังมาว่า ชาวประมงผูกปลา ฆ่าปลาขายอยู่.... คนฆ่าโค ฆ่าโคขายอยู่.... พรานเนื้อฆ่าเนื้อขายอยู่... ย่อมขี่ช้าง ขี่ม้า ขี่รถ ขึ้นยาน เป็นเจ้าของโภคะหรือครอบครองกองโภคะสมบัติเป็นอันมาก เพราะกรรมนั้น เพราะอาชีพนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าเขาย่อมเพ่งดูปลาเหล่านั้น.... เพ่งดูโคเหล่านั้น.... เพ่งดูเนื้อเหล่านั้น ที่พึงฆ่า... ที่นำมาเพื่อฆ่าด้วยใจที่เป็นบาป เขาจึงไม่ได้ขี่ช้าง.... ไม่ได้เป็นเจ้าของโภคะ ไม่ได้ครอบครองกองโภคะสมบัติเป็นอันมาก.... จะกล่าวอะไรถึงบุคคลผู้เพ่งดูมนุษย์ที่พึงฆ่า ที่นำมาเพื่อฆ่าด้วยใจที่เป็นบาปเล่า เพราะผลข้อนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานแก่เขา เมื่อตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าพึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก”

มัจฉสูตร


🔅 วิธีดับอาสวะ ๖ วิธี
ปัญหา เท่าที่ได้ยินได้ฟังมานั้น อาสวะทั้งหลายดูเหมือนจะละได้ด้วยการบำเพ็ญเพียรทางจิต จนได้บรรลุมรรคผลเท่านั้น จะมีวิธีละอาสวะวิธีใดวิธีหนึ่งอีกหรือไม่ ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้....?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการสำรวม คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยการสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเมื่อเธอไม่รวมพึงเป็นเหตุให้อาสวะที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนเกิดขึ้น เมื่อเธอสำรวมอยู่ อาสวะเหล่านั้น... ย่อมไม่มีแก่เธอ...

“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการซ่องเสพ.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นเสพจีวรเพียงเพื่อป้องกัน หนาว ร้อน เหลือบ ยุง ลม แดด.... เพียงเพื่อปกปิดอวัยวะอันน่าละอาย... ย่อมเสพบิณฑบาต... เพียงเพื่อความดำรงอยู่... ย่อมเสพเสนาสนะ เพียงเพื่อป้องกันหนาว ร้อน เหลือบ ยุง ลม แดด... เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายที่เกิดจากฤดู.... ย่อมเสพคิลานปัจจัย เภสัชบริขารเพียงเพื่อบรรเทาเวทยาอันเกิดจากอาพาธต่าง ๆ ... เมื่อเธอเสพอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มี....

“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยความอดกลั้น.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย เหลือบ ยุง ลม แดด ย่อมเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี... อดกลั้นต่อทุกขเวทนาทางกาย.... เมื่อเธออดทนอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ....

“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการหลีกเลี่ยง คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยง ช้างดุ ม้าดุ โคดุ สุนัขดุ งู หลักตอ ที่มีหนาม หลุม ตลิ่งชัน บ่อโสโครก ท่อโสโครก... ย่อมหลีกเหลี่ยงที่ไม่ควรนั่ง ที่ไม่ควรเที่ยวไป และบาปมิตร.... เมื่อเธอหลีกเลี่ยงอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ....

“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการบรรเทา.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมไม่รับไว้ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้สิ้นไป ย่อมทำให้หมดไปซึ่งพยาบาทวิตก.... ซึ่งวิหิงสาวิตก... ซึ่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ... เมื่อเธอบรรเทาทาอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ....

“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยการภาวนา.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเจริญธรรมอันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการ คือ สติ.... ธัมมวิจยะ... วิริยะ... ปีติ.... ปัสสสัทธิ... สมาธิ... อุบเกขา อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธน้อมไปเพื่อความสละ ... เมื่อเธอเจริญโพชฌงค์อยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ....ฯ”

อาสวสูตร


🔅 ความมุ่งหมายในชีวิตของคน ๖ ประเภท
ปัญหา บุคคลประเภทต่างๆ ต่อไปนี้คือ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สตรี โจร และสมณะ ประสงค์อะไร นิยมอะไร มั่นใจอะไร ต้องการอะไร มีอะไรเป็นที่สุด?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดากษัตริย์ ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในกำลังทหาร ต้องการได้แผ่นดิน มีความเป็นใหญ่เป็นที่สุด

“ธรรมดาพราหมณ์ ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในมนต์ ต้องการบูชายัญ มีพรหมโลกเป็นที่สุด

“ธรรมดาคฤหบดีทั้งหมาย ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในศิลปะ ต้องการการงาน มีการงานที่สำเร็จแล้วเป็นที่สุด

“ธรรมดาสตรีทั้งหลาย ย่อมประสงค์บุรุษ นิยมเครื่องแต่งตัว มั่นใจในบุตร ต้องการไม่ให้มีสตรีอื่นร่วมสามี มีความเป็นใหญ่ในบ้านเป็นที่สุด

“ธรรมดาโจรทั้งหลาย ย่อมประสงค์ลักทรัพย์ของผู้อื่น นิยมที่ลับเร้น มั่นใจในศัสตรา ต้องการที่มืด มีการที่ผู้อื่นไม่เห็นเขาเป็นที่สุด

“ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ย่อมประสงค์ขันติ โสรัจจะ (สงบเสงี่ยมเจียมตัว) นิยมเครื่องปัญญา มั่นใจในศีล ต้องการความไม่มีห่วงใย มีพระนิพพานเป็นที่สุด”

ขันติยาธิปปายสูตร


🔅 ทำไมพระจึงลาสิกขา
ปัญหา ภิกษุผู้ปฏิบัติทางจิตใจอย่างแรงกล้า จนได้บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน และเจโตสมาธิแล้ว จะมีทางสละเพศสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ได้หรือไม่ ?

พระมหาโกฏฐิตะตอบ “......ดูก่อนท่านผู้มีอายุ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นดุจสงบเสงี่ยม.... อ่อนน้อม... สงบเรียบร้อย ตลอดเวลาที่อาศัยพระศาสนาหรือเพื่อพรหมจรรย์ผู้อยู่ในฐานะเป็นครูรูปใดรูปหนึ่งอยู่ แต่ว่าเมื่อใดเขาหลีกออกไปจากพระศาสนา หลีกออกไปจากเพื่อนพรหมจรรย์... เมื่อนั้นเขาย่อมคลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชามหาอำมาตย์ พวกเดียรถีย์ พวกสาวกเดียรถีย์อยู่ เมื่อเขาคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ ปล่อยจิตไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวนจิตเขา เขามีจิตถูกราคะรบกวน ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ เปรียบเหมือนโคที่เคยกินข้าวกล้า ถูกเขาผูกไว้ด้วยเชือกหรือขังไว้ในคอก ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าโค.... ตัวนี้จักไม่ลงกินข้าวกล้าอีก

“อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกามสงัดจากอกุศลกรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เขากล่าวว่า เราได้ปฐมฌาน (แต่) คลุกคลีด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปล่อยจิตไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบคุย ราคะย่อมรบกวนจิตเขา ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ เปรียบเหมือนฝนเม็ดใหญ่ตกลงที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง พึงยังฝุ่นให้หายไป ปรากฏเป็นทางลื่น ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าฝุ่นจักไม่ปรากฏที่ทางใหญ่ ๔ แพร่งโน้นอีก?

“อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุทุติฌาน.... เขาย่อมกล่าวว่า เราได้ทุติยฌาน (แต่) คลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ เปรียบเหมือนฝนเม็ดใหญ่ตกลงที่สระใหญ่ใกล้บ้านหรือนิคมพึงยังทั้งหอยกาบและหอยโข่ง ทั้งก้อนกรวด และกระเบื้องให้หายไป ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บัดนี้หอยกาบหอยโข่ง ก้อนกรวดแลกระเบื้อง จักไม่ปรากฏในสระโน้นอีก ?

“อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุตติยฌาน... เขากล่าวว่า เราได้ตติยฌาน (แต่) คลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ เปรียบเหมือนอาหารค้างคืน ไม่พึงชอบใจแก่บุรุษผู้บริโภคอาหารประณีต ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าอาหารจักไม่เป็นที่ชอบใจแก่บุรุษชื่อโน้นอีก ?

“อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ บรรลุเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต... เขากล่าวว่า เราได้เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต (แต่) คลุกคลีด้วยพวกภิกษุ ย่อมลาสิกขาสึกมาเป็นคฤหัสถ์ เปรียบเหมือนพระราชา หรือมหาอำมาตย์ของพระราชามีจตุรงค์เสนาเดินทางไกลไปพักแรมคืนอยู่ที่ป่าทึบแหงหนึ่ง... เสียงจักจั่นเรไรพึงหายไปเพราะเสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียพลเดินเท้า เสียงกึกก้องแห่งกรอง บัณเฑาะว์ สังข์และพิณ เรา ผู้ใดพึงกล่าว บัดนี้ ที่ป่าทึบแห่งโน้น เสียงจักจั่นเรไร จักไม่มีปรากฏอีก?ฯ”

จิตตหัตถิสารีปุตตสูตร


🔅 ภรรยา ๗ ประเภท
ปัญหา พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกภรรยาไว้กี่ประเภท มีอะรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนสุชาดา ภรรยาของบุรุษ ๗ จำพวกนี้... คือ ภรรยาเสมอด้วยเพชฌฆาต ๑ ภรรยาเสมอด้วยโจร ๑ ภรรยาเสมอด้วยนาย ๑ ภรรยาเสมอด้วยแม่ ๑ ภรรยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาว ๑ ภรรยาเสมอด้วยเพื่อน ๑ ภรรยาเสมอด้วยทาสี ๑

ปัญหา ที่ว่าภรรยาเสมอด้วยเพชฌฆาตนั้น เป็นอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ “.....ภรรยาผู้มีจิตประทุษร้าย ไม่อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ยินดีในชายอื่น ดูหมิ่นสามี เป็นผู้อันเขาซื้อมาด้วยทรัพย์ พยายามจะฆ่าผัว ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่าวธกาภริยา ภรรยาผู้เสมอด้วยเพชฌฆาต”

ปัญหา ที่ว่าภรรยาเสมอด้วยโจร นั้น มีลักษณะอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ “.....สามีของหญิงประกอบด้วยศิลปกรรม พาณิชยกรรม และกสิกรรม ได้ทรัพย์ใดมา ภรรยาปรารถนาจะยักยอกทรัพย์แม้มีอยู่น้อยนั้นเสีย ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่าโจรภริยา ภรรยาผู้เสมอด้วยโจร”

ปัญหา ที่ว่าภรรยาเสมอด้วยนายนั้น มีลักษณะอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ “.....ภรรยาที่ไม่สนใจการงาน เกียจร้าน กินมาก ปากร้าย ปากกล้า ร้ายกาจ กล่าวคำหยาบข่มขี่สามีผู้ขยันขันแข็ง ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่าอัยยภริยา ภรรยาผู้เสมอด้วยนาย”

ปัญหา ที่ว่าภรรยาเสมอด้วยแม่นั้น มีลักษณะอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ “.....ภรรยาใดอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนมารดารักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่ามาตาภริยา ภรรยาผู้เสมอด้วยแม่”

ปัญหา ที่ว่าภรรยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาวนั้น มีลักษณะอย่างไร ?
พุทธดำรัสตอบ “.....ภรรยาที่เป็นเหมือนพี่สาวน้องสาว มีความเคารพในสามีของตน เป็นคนละอายาบาป เป็นไปตามอำนาจสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่าภคินีภริยา ภรรยาผู้เสมอด้วยพี่สาวน้องสาว”

ปัญหา ที่ว่าภรรยาเสมอด้วยเพื่อนนั้น มีลักษณะอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ “.....ภรรยาใดในโลกนี้ เห็นสามีและชื่นชมยินดีเหมือนเพื่อนผู้จากไปนานแล้วกลับมา เป็นหญิงมีตระกูล มีศีล มีวัตร ปฏิบัติสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่าสขีภริยา ภรรยาผู้เสมอด้วยเพื่อน”

ปัญหา ที่ว่าภรรยาเสมอด้วยทาสีนั้น มีลักษณะอย่างไร?
พุทธดำรัสตอบ “.....ภรรยาสามีเฆี่ยนตี ขู่ตะคอก ก็ไม่โกรธ ไม่คิดพิโรธโกรธตอบสามี อดทนได้ เป็นไปตามอำนาจสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้เรียกว่าทาสีภริยา ภรรยาผู้เสมอด้วยทาสี”

ภริยาสูตร


🔅 โทษของความโกรธ
ปัญหา ความโกรธมีโทษอย่างไรบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ระงับกำจัดเสีย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะอาบน้ำ ไล้ทา ตัดผม โกนหนวด นุ่งผ้าขาวสะอาดแล้วกตาม... ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม.....

“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะนอนบนบัลลังก์อันลาด้วยฝ้าขนสัตว์ ลาด้วยฝ้าขาวเนื้ออ่อน ลาดด้วยเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีผ้าดาดเพดาน มีหมอนหนุนศีรษะและหนุนเท้าแดงทั้งสองข้างก็ตาม ย่อมนอนเป็นทุกข์....

“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งเป็นประโยชน์ แม้จะถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งไม่เป็นประโยชน์ ธรรมเหล่านี้อันคนผู้โกรธ... ถือเอาแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาล

“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะมีโภคะที่ตนหามาได้ด้วยความขยันขันแข็ง สั่งสมได้ด้วยกำลังแขนอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม พระราชาย่อมริบโภคะของคนขี้โกรธเข้าพระคลังหลวง....

“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้เขาจะมีมิตร อมาตย์ ญาติสายโลหิต เหล่านั้นก็เว้นเสียห่างไกล...

“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ครั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาตนรก....”

โกธนาสูตร


🔅 การให้ทานในแบบต่างๆ และผลของทานชนิดนั้น
ปัญหา ก่อนที่จะให้ทาน ถ้าเราตั้งใจขอให้ได้เสวยผลของทานผลจะเป็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “...บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแล้วให้ทานมุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจตุมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีการกลับมา คือมาสู่ความเป็น (มนุษย์) อย่างนี้”

ปัญหา คนบางคนเมื่อให้ทาน ไม่มุ่งหวังผลตอบแทนอะไร เห็นว่าการให้ทานเป็นความดี ก็ให้ทานเพื่อกระทำความดี ทานแบบนี้จะมีผลอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “...ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาผู้นั้นเมื่อให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีการกลับมา คือมาสู่ความเป็น อย่างนี้”

ปัญหา บางคนให้ทาน ไม่ใช่เพราะหวังผลทาน ไม่ใช่เพราะเห็นว่าการให้ทานเป็นความดี แต่ให้ทานเพราะมารดาบิดาปู่ย่าตายายเคยให้มา ให้ทานเพื่อรักษาประเพณี ผลทานจะเป็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “...บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีความหวังจึงให้ทาน... ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า มารดาบิดาปู่ย่าตายายเคยให้มา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ฯลฯ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีการกลับมา คือมาสู่ความเป็น อย่างนี้”

ปัญหา บางคนให้ทาน ไม่มุ่งผล ไม่เห็นว่าทานเป็นของดี ไม่ทำตามประเพณี แต่ให้เมื่อมุ่งอนุเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์ ผู้ไม่ได้ประกอบอาชีพอย่างตน ผลทานจะเป็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “...บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า มารดาบิดาปู่ย่าตายายเคยให้มา แต่ให้ท่านด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหา ไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ฯลฯ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีการกลับมา ...”

ปัญหา บางคนให้ทาน ไม่ใช่เพื่อมุ่งหวังผลใดๆ แต่ให้ทานเพื่อจะกระทำตามตัวอย่างของบุคคลสำคัญในอดีตที่เขาให้มาแล้ว ผลทานจะเป็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “...บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน แต่สมณะและพราหมณ์เหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร แต่ให้ทานด้วยคิดว่าเราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษี วามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี สมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปถาษี และภคุฤาษีบูชามหายัญฉะนั้น เขาให้ทานคือ ข้าว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี สิ้นกรรม ... แล้ว ยังมีการกลับมา ...”

ปัญหา บางคนให้ทาน ไม่มุ่งหวังผลตอบแทนทางวัตถุ แต่เห็นว่าให้ทานแล้วสบายใจดี ก็ให้ทาน ผลทานจะเป็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “...บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะผ่องใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทานคือข้าว... เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี สิ้นกรรม แล้ว ยังมีการกลับมา ...”

ปัญหา บางคนให้ทาน ไม่ได้ให้ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว แต่ให้เพื่อให้ทานนั้นเป็นเครื่องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากกิเลส มีความตระหนี่เห็นแก่ตัว เป็นต้น ผลทานจะเป็นอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “...ในการให้ทานนั้นบุคคลไม่มีความหวังให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้จิตจะผ่องใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนี้แล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ...”

ทานสูตร


🔅 ความหมายของพระธรรมคุณ
ปัญหา พระธรรมคุณที่ว่า ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน นั้นมีความหมายแค่ไหน?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนสิวกะ การที่ท่านทราบชัดโลภะที่มีอยู่ภายในว่า โลภะมีอยู่ในภายในของเรา หรือทราบชัดโภคะที่ไม่มีอยู่ภายในว่า โลภะไม่มีอยู่ภายในของเรา.....ทราบชัดโทสะที่มีอยู่ภายในว่า โทสะมีอยู่ภายในของเรา.....ทราบชัดโทสะที่ไม่มีอยู่ภายในว่า โทสะไม่มีอยู่ภายในของเรา.....ทราบชัดโมหะที่มีอยู่ภายในว่า โมหะมีอยู่ภายในของเรา.....ทราบชัดโมหะที่ไม่มีอยู่ภายในว่า โมหะไม่มีอยู่ภายในของเรา.....

ทราบชัดธรรมที่ ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอยู่ภายในว่า ธรรมที่ประกอบด้วย..... โลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่ภายในของเรา.....ทราบชัดธรรมที่ ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ที่ไม่มีอยู่ภายในว่า ธรรมที่ประกอบด้วย..... โลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีอยู่ภายในของเรา.....อย่างนี้แล เป็นธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ฯ”

สันทิฏฐสูตร ที่ ๑


🔅 จะรู้จักพระอรหันต์ได้ไหม
ปัญหา ฆราวาสผู้อยู่ครองเรือน มีทางจะทราบได้หรือไม่ว่าภิกษุองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ ได้บรรลุมรรคผล?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนคฤหบดี ท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดเสียดบุตร บริโภคจันทน์จากแคว้นกาสี ทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ พึงรู้ขอนี้ได้ยากว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้บรรลุอรหัตตมรรค (เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ และอยากทำบุญให้ทานกับพระอรหันต์ ย่อมมีทางจะให้ได้ถูกต้องฉะนั้น)..... เชิญทานให้สังฆทานเถิด เมื่อท่านให้สังฆทานอยู่ จิตจักเลื่อมใส... เมื่อตายไปจักเข้าพึงสุคติโลกสวรรค์”

ทารุกัมมิกสูตร


🔅 กรรม เหตุของกรรมและวิธีดับกรรม
ปัญหา กรรมคืออะไร อะไรเป็นเหตุของกรรม จะดับกรรมได้ดีโดยวิธีใด ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรมบุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉนคือผัสสะ (การกระทบกันระหว่างตากับรูป หูกับเสียง เป็นต้น) เป็นเหตุเกิดแห่งกรรม ก็ความต่างแห่งกรรมเป็นไฉน คือกรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี ทำให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี ที่ให้วิบากในมนุษยโลกก็มี ที่ให้วิบากในเทวโลกก็มี นี้เรียกว่าความต่างแห่งกรรม

“ก็วิบากแห่งกรรมเป็นไฉน คือ เราย่อมกล่าววิบากแห่งกรรม ว่ามี ๓ ประการ คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน ๑ กรรมที่ให้ผลในภพที่เกิด ๑ กรรมที่ให้ผลในภพต่อๆ ไป ๑ นี้เรียกว่า วิบากแห่งกรรม

“ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ... สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม

“ก็เมื่อใด อริยสาวกย่อมทราบชัด กรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรมอย่างนี้ ๆ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดพรหมจรรย์ อันเป็นไปในส่วนแห่งความชำแรกกิเลสเป็นที่ดับกรรมนี้”

นิพเพธิกสูตร


🔅 เหตุทำให้พระศาสนาเสื่อม
ปัญหา อะไรเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ไมได้นาน?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ในพระศาสนา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในความไม่ประมาท ในปฏิสันถาร ดูก่อนกิมพิละ นี้แลเห็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อตถาคตปรินพพานแล้ว ฯ”

กิมมิลสูตร


🔅 ความคิดเรื่องสสาร-พลังงานในพระพุทธศาสนา
ปัญหา ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า สสารเป็นแต่เพียงรูปหนึ่งของพลังงาน เราอาจแปลงสสารให้เป็นพลังงานได้ ทางพระพุทธศาสนาเห็นด้วยหรือไม่กับมตินี้ ?

คำตอบของพระสารีบุตร “.....ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ถึงความชำนาญทางใจ เมื่อจำนงพึงน้อมใจถึงกองไม้กองโน้นให้เป็นดินได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกองไม้โน้นมีปฏวีธาตุเมื่อจำนง พึงน้อมใจถึงกองไม้กองโน้นให้เป็นน้ำได้.... เพราะกองไม้โน้นมีอาโปธาต...เมื่อจำนง พึงน้อมใจถึงกองไม้โน้นให้เป็นไฟได้.... เพราะกองไม้กองโน้นมีเตโชธาตุ...เมื่อจำนง พึงน้อมใจถึงกองไม้กองโน้นให้เป็นลมได้.... เพราะกองไม้กองโน้นวาโยธาตุ....เมื่อจำนง พึงน้อมใจถึงกองไม้กองโน้นให้เป็นของงามได้.... เพราะกองไม้กองโน้นมีสุภธาตุ....เมื่อจำนงพึงน้อมใจถึงกองไม้กองโน้น ให้เป็นของไม่งามได้....เพราะกองไม้โน้นมีอสุภธาต

ซึ่งภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีความชำนาญทางใจ พึงอาศัยน้อมใจถึงให้เป็นของไม่งามได้ ฯ”

ทารุกขันธสูตร


🔅 ความทุกข์ของผู้เป็นหนี้เขา
ปัญหา ความทุกข์ของฆราวาสผู้อยู่ครองเรือนมีอะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจยากไร้ ย่อมกู้ยืมแม้การกู้ยืมก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก.... กู้ยืมแล้ว ย่อมรับใช้ดอกเบี้ย แม้การรับใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์.... รับใช้ดอกเบี้ยแล้วไม่ใช้ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมทวงเขา แม้การทวงก็เป็นทุกข์.... (เมื่อ) ถูกเจ้าหนี้ทวงไม่ได้ เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมติดตามเขา มีการติดตามก็เป็นทุกข์.... (เมื่อ) ถูกจ้าหนี้ติดตามทันไม่ให้ทรัพย์ เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมจองจำเขา แม้การจองจำก็เป็นทุกข์ฯ”

อิณสูตร


🔅 วาระสุดท้ายของโลก
ปัญหา นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า โลกของเราจะมีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านปีแล้วก็จะแตกดับ ทางพระพุทธศาสนาแสดงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม.... ควรเบื่อหน่าย.... ควรคลานกำหนัด.... ควรหลุดพ้น

“ขุนเขาสิเนรุโดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีกาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อฝนไม่ตก พืชคาม ภูตคามและติณชาติป่าไม้ใหญ่ย่อมเฉา เหี่ยวแห้ง เป็นอยู่ไม่ได้

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่สองปรากฏ...แม่น้ำลำคลองทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๔ ปรากฏ...แม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรพู มหี ทั้งหมดย่อมงวดแห้ง.... ไม่มีน้ำ

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ปรากฏ...น้ำในมหาสมุทรลึก ๑๐๐ โยชน์ก็ดี.... ๗๐๐ โยชน์ก็ดี ย่อมงวดลงเหลืออยู่เพียง ๗ ชั่วต้นตาลก็มี ๖ ชั่วต้นตาลก็มี.... ชั่วต้นตาลเดียวก็มี แล้วยังจะเหลืออยู่ ๗ ชั่วคน ๖ ชั่วคน.... เพียงเขา... เพียงรอยเท้าโค

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น เปรียบเหมือนนายช่างหม้อเผาหม้อที่ปั้นดีแล้ว ย่อมมีกลุ่มควันพลุ่งขึ้น ฉะนั้น

“.....โดยล่วงไปแห่งกาลนาน พระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏ...แผ่นดินใหญ่นี้และเขาสินเนรุ ไฟจะติดทั่วลุกโชติช่วง มีแสงเพลิงเป็นอันเดียวกัน.... เมื่อแผ่นดินใหญ่และเขาสิเนรุ ถูกไฟเผาผลาญอยู่ ย่อมไม่ปรากฏขี้เถ้าและเขม่า.....

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย..... สังขารทั้งหลาย.... เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม ควรจะเบื่อหน่าย.... ควรคลายกำหนัด.... ควรหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง

สุริยสูตร


🔅 ทำไมอาสวะจึงไม่สิ้น
ปัญหา การบรรลุมรรคผล หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง รู้สึกว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากมาก เพราะเหตุไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนา แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร จะพึงกล่าวได้ว่าเพราะไม่ได้เจริญ เพราะไม่ได้เจริญอะไร เพราะไม่ได้เจริญ

สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
มรรคมีองค์ ๘

“เปรียบเหมือนแม่ไก่ มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี แม่ไก่นั้นแม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปาก เจาะกระเปาะไข่ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นไม่สามารถจะใช้ปลายเล็บเท้า หรือจะงอยปากเจาะกระเปาะไข่ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะแม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอฟักไม่ดีฉะนั้น....”

ภาวนาสูตร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระพุทธดำรัส (๑๒)

🙏 พระพุทธดำรัส 🙏




🔅 ทำอย่างไรจึงจะค้าขายมีกำไร
ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนค้าขายจึงขาดทุน บางคนไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ บางคนได้กำไรตามที่ประสงค์ บางคนกลับได้ยิ่งกว่าที่มุ่งหมายไว้ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด เขากลับไม่ถวายปัจจัยดังที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใด เขาย่อมขาดทุน

“.... บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วย่อมปวารณาว่าท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด แต่เขาถวายปัจจัยไม่เต็มตามที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์

“.... บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วย่อมปวารณาว่าท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด เขาถวายปัจจัยเต็มตามที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรตามที่ประสงค์

“.... บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วย่อมปวารณาว่าท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด แต่เขาถวายปัจจัยยิ่งกว่าที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์

วณิชชสูตร


🔅 เหตุที่ทำให้เป็นเทพี
ปัญหา ทำไมสตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้งยังยากจนและต่ำศักดิ์อีกด้วย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคาม (สตรี) บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ ไม่เป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ยวดยาน ระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือการไหว้ การบูชาของผู้อื่น กีดกันตัดรอนผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนันมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนยากจนขัดสนทรัพย์สมบัติและต่ำศักดิ์”

มหาวรรค


🔅 ทำไมไม่สวยแต่รวยและสูงศักดิ์
ปัญหา ทำไมสตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ แต่มีทรัพย์สมบัติมากและมีศักดิ์สูง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด.... แต่เขาเป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ยวดยาน แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจไม่ริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ไม่กีดกันตัดรอน.... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก มีโภคทรัพย์สมบัติและสูงศักดิ์”

มหาวรรค


🔅 ทำไมจึงสวยแต่ยากจนและต่ำศักดิ์
ปัญหา เพราะเหตุไร สตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปงาม แต่ยากจนขัดสน และต่ำศักดิ์?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ แม้ถูกว่าเล็กน้อยก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว แต่เขาเป็นผู้ไม่ให้ทานคือข้าว น้ำ ผ้า..... แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้..... ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม..... แต่เป็นคนยากจนขัดสนและต่ำศักดิ์”

มหาวรรค


🔅 ทำไมจึงสวย รวยทรัพย์ สูงศักดิ์
ปัญหา เพราะเหตุไร สตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปงาม บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ และสูงศักดิ์อีกด้วย?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง... เป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบ ของหอม..... แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้ไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ไม่กีดกัน ไม่ตัดรอน... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้น..... กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม..... ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณดียิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ฯ”

มหาวรรค


🔅 ทำอย่างไรจะได้พบกันอีกในชาติหน้า
ปัญหา ถ้าสามีภรรยารักกันมากๆ ในชาตินี้ และปรารถนาจะพบกันอีก ได้เป็นสามีภรรยากันอีกในชาติหน้า จะมีทางเป็นไปได้ไหม? และควรจะปฏิบัติอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ (ชาติหน้า) ไซร้ทั้งสองคนนั้นแลพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ...”

สมชีวสูตร


🔅 อย่าน้อยใจว่าเราเกิดมามีกรรม
ปัญหา คนที่เกิดมามีกรรม ยากจน อัปลักษณ์ อับปัญญา จะมีวิธีปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น หรือกลับตนกลับตัวได้หรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือในตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูลเข็ญใจ มีข้าวน้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง อนึ่ง เขามีผิวพรรณทรามไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือพิการไปแถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปตามสมควร แต่เขาประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา แลด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริต ด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าพึงสุคติโลกสวรรค์ บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้วมีสว่างไปอย่างนี้แล”

ตามสูตร


🔅 ผู้เสียสละนั้นดีแล้วหรือ
ปัญหา คนบางคนชอบสละเวลาของตนทำประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างเดียว เพิกเฉยละเลยประโยชน์ของตน ชาวโลกสรรเสริญว่าเป็นคนเสียสละ เห็นแก่ส่วนรวมควรได้รับการยกย่อง พระพุทธองค์ทรงยกย่องคนประเภทนี้อย่างไรหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก คือ
บุคคลผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน และไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ๑
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนด้วย เพื่อประโยชน์ผู้อื่นด้วย ๑

บรรดาบุคคล ๔ จะพวกนี้ บุคคลผู้ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เป็นผู้เลิศ เป็นผู้วิเศษ เป็นประธาน อุดม และเป็นผู้ประเสริฐ....”

ฉลาวาตสูตร


🔅 ควรติคนอื่นหรือไม่
ปัญหา คนบางคนถืออุเบกขา ไม่ยุ่งกับคนอื่น ไม่สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญโดยกาลอันควร ไม่ติเตียนผู้ควรติเตียนโดยกาลอันควร เฉยๆ เสียสบายดีเหมือนกัน พระพุทธองค์ทรงเห็นอย่างไรในคนประเภทนี้?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนโดยกาลอันควร ตามความเป็นจริง (แต่) ไม่กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑ ผู้กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร (แต่) ไม่ติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ๑ ผู้ไม่กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งไม่กล่าว สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑ ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

“ดูก่อนโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร นี้ เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ ประเภทนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรสรรเสริญและติเตียนนั้น ๆ....”

โปตลิยสูตร


🔅 สตรีจะเท่าเทียมบุรุษหรือไม่
ปัญหา ทำไมสตรีจึงทำงานใหญ่ๆ อย่างผู้ชายไม่ได้ ถึงจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย จะเป็นเพราะว่าถูกผู้ชายกีดกันหรือเพราะความสามารถของสตรีเอง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนอานนท์ มาตุคาม (สตรี) มักโกรธ มักริษยา มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม ดูก่อนอานนท์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาพไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ ๆ ไม่ได้ ไปนอกเมืองไม่ได้”

กัมโมชสูตร


🔅 ถ้าขืนคิดจะเป็นบ้าตาย
ปัญหา ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะสอนเราเสมอว่า ถ้าเราฆ่าวัวในชาตินี้ ชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นวัว ข้าพเจ้ามองไม่เห็นทางเลย ว่าเราจะไปเกิดเป็นวัวได้อย่างไร โปรดอธิบายการทำงานของกรรมที่สามารถติดตามไปให้ผลในชาติต่อ ๆ ไปด้วย?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งไม่ควรคิด ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑
วิบากแห่งกรรม ๑
ความคิดเรื่องโลก ๑

อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน”

อจินติตสูตร


🔅 คาถากันงู
ปัญหา เวลาเราเดินทางในป่า หรือเดินทางในยามค่ำคืน จะทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกงูกัด ?

พุทธดำรัสตอบ (ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดตาย มีคนไปกราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า) “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดกาละ (ตาย) ตระกูลพญางูทั้ง ๔ .... คือตระกูลพญางูชื่อวิรูปักข์ ๑ ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อฉัพยาปุตตะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ ๑ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิตไปยังตระกูลพญางู ทั้ง ๔ จำพวกนี้เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน.....”

อหิสูตร

🔅 ควรศึกษาค้นคว้าอวกาศหรือไม่
ปัญหา ในห้วงอวกาศอันหาที่สุดมิได้นี้ จะมีที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือไม่ ซึ่งสัตว์ทั้งหลายไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ซึ่งเราควรไปถึง ควรรู้ ควรเห็น เพื่อความดับทุกข์ ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนผู้มีอายุ สัตว์ย่อมไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติในที่ใด เราไม่ประกาศว่าที่นั่นเป็นที่สุดแห่งโลกที่ควรรู้ ที่ควรเห็น ที่ควรไปถึงได้ด้วยการเดินทาง อีกทั้งเราก็ไม่ประกาศว่า จักมีการกระทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ โดยไม่ไปถึงที่สุดแห่งโลก

“ผู้มีอายุ... เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก และทางปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับแห่งโลก ลงที่ร่างกายอันมีความยาวประมาณหนึ่ง มีสัญญาและมีใจครองนี้เท่านั้น.....”

โคหิตัสสสูตร



🔅 วิธีตอบคำถาม
ปัญหา ถ้ามีคนมาถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งกับเรา เราควรจะพิจารณาตอบอย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิธีตอบปัญหามีอยู่ ๔ ประการ ๔ ประการ คืออะไรบ้าง คือ
ปัญหาที่พึงตอบทันที ๑
ปัญหาที่พึงแยกตอบบางประเด็น ๑
ปัญหาที่พึงย้อนถามก่อนแล้วจึงตอบ ๑
ปัญหาที่ควรงดไว้ 
(ไม่ตอบ) 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิธีตอบปัญหามี ๔ อย่างนี้แล....”

ปัญหาสูตร

🔅 รู้มากๆ เพียงพอหรือยัง
ปัญหา ความเป็นพหูสูต คือได้เรียนรู้มาก พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นมงคลประการหนึ่ง แต่ถ้าเราเป็นพหูสูตอย่างเดียวจะเพียงพอหรือไม่? มีอะไรที่มีจะต้องเรียนรู้อีก ?

พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลบางคนในโลกนี้ เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชากด อัพภูตธรรม เวทัลละ เขาไม่รู้ทั่วถึงตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ บุคคลนี้เป็นดุจวลาหก (เมฆ) คำราม แต่ไม่ให้ฝนตก...

“.....การก้าว การถอย การเหลียว การแล การคู้ การเหยียด การทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวรของบุคคลบางคนในโลกนี้ ล้วนน่าเลื่อมใส แต่เขาไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ บุคคล (นี้) เป็นดุจห้วงน้ำตื้นเงาลึก... เป็นดุจหม้อเปล่าที่เขาปิดไว้.... เป็นดุจมะม่วงดิบผิวสุก... เป็นดุจหนูขุดรูแต่ไม่อยู่....”

วลาหกสูตรที่ ๖ กุมภสูตร อุทกหรทสูตร


🔅 ทำไมพระจึงบวชไม่นาน
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงมูลเหตุที่ทำให้พระภิกษุในพระพุทธศาสนาลาสิกขาบทไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่าเราถูกชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏเธอบวชอย่างนั้นแล้วเพื่อนสพรหมจารีตักเตือนสั่งสอนว่า ท่านพึงก้าวไปอย่างนั้น พึงถอยกลับอย่างนี้ พึงแลดูอย่างนี้ พึงเหลียวอย่างนี้ พึงคู้เข้าอย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้ พึงทรงสังฆาฏิบาตรและจีวรอย่างนี้ เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่าเมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ มีแต่จะตักเตือนสั่งสอนผู้อื่น ก็ภิกษุเหล่านี้ คราวลูกคราวหลานของเรา สำคัญเราว่าควรตักเตือนสั่งสอน เธอโกรธเคืองแค้นใจบอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือคลื่นนี้ เป็นชื่อแห่งความโกรธและความแค้นใจ นี้เรียกว่าภัยคือคลื่น

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา.... เธอบวชอย่างนั้นแล้ว เพื่อนสพรหมจารีตักเตือนสั่งสอนว่า สิ่งนี้เธอควรเคี้ยว สิ่งนี้ไม่ควรเคี้ยว สิ่งนี้ควรบริโภค สิ่งนี้ไม่ควรบริโภค สิ่งนี้ควรลิ้ม สิ่งนี้ไม่ควรลิ้ม สิ่งนี้ควรดื่ม สิ่งนี้ไม่ควรดื่ม ของเป็นกัปปิยะเธอควรเคี้ยว ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรเคี้ยว.... เธอควรเคี้ยวในกาล.... เธอไม่ควรเคี้ยวในวิกาล... เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาสิ่งใดก็เคี้ยวสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่เคี้ยวสิ่งนั้น.... ย่อมเคี้ยวสิ่งเป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งเป็นอกัปปิยะบ้าง... ย่อมเคี้ยวในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง.... คฤหบดีผู้มีศรัทธา ย่อมถวายของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภค แม้ใด อันประณีตในกลางวัน ในเวลาวิกาลแก่เราทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้ ย่อมกระทำเสมือนหนึ่งปิดปากแม้ในของเหล่านั้น เธอโกรธเคืองแค้นใจ บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือจระเข้นี้แล เป็นชื่อแห่งความเป็นผู้เห็นแก่ท้องนี้เรียกว่าภัยคือจระเข้

“.....กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา.... เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นคฤหบดี ในบ้านหรือนิคมนั้น เพียบพร้อมบำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ เธอคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ เพียบพร้อมบำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ ก็บริโภคสมบัติในสกุลของเรามีอยู่พร้อม เราอาจเพื่อจะบริโภคโภคะทั้งหลายแลทำบุญได้ ถ้ากระไรเราพึงบอกคืนสิกขาลาเพศ แล้วบริโภคโภคะทั้งหลายและทำบุญเถิดเธอย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่ากลัวต่อภัยคือน้ำวน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือน้ำวนนี้ เป็นชื่อของกามคุณ ๕ นี้เรียกภัยคือน้ำวน

“.....กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา.... เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นมาตุคาม (หญิง) ในบ้านหรือนิคมนั้น นุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่มไม่เรียบร้อย ราคะย่อมรบกวนจิตของเธอ เพราะเห็นมาตุคามนุ่งห่มไม่เรียบร้อย เธอมีจิต อันราคะรบกวน ย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือปลาฉลามนี้เป็นชื่อของมาตุคาม นี้เรียกว่าภัยคือปลาฉลาม

“ภัย ๔ ประการนี้แล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วย ศรัทธา ในธรรมวินัยนี้จะพึงหวังได้”

ภยสูตร ที่ ๒

🔅 ทำไมคนจึงไม่กล้าทำชั่ว
ปัญหา ตามปกติ คนไม่กล้าทำความชั่ว เพราะความกลัวต่อผลบางอย่าง มีเหตุบ้างที่ทำให้คนไม่กล้าทำความชั่ว?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็เราแลพึงประพฤติทุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ ไฉนตัวเราจะไม่พึงติเตียนเราได้ด้วยศีลเล่า ดังนี้ เขากลัวต่อภัยเกิดแต่การติเตียนตัวเอง จึงละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ละมโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมรักษาตนให้บริสุทธิ์

“....บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นเจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้ามาลงกรรมกรณ์ต่าง ๆ คือโบยด้วยแส้บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง.... บุคคลนั้นจึงมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า เจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้ามาลงกรรมกรณ์ต่างๆ ...เพราะเหตุแห่งกรรมอันลามกเห็นปานใด ถ้าเราจะพึงทำกรรมอันลามกเป็นปานนั้นบ้าง เจ้านายจะพึงจับเราไปลงกรรมกรณ์ต่าง ๆ เห็นปานนั้น.... เขากลัวต่อภัย คืออาญา ไม่กล้าฉกชิงทรัพย์ของผู้อื่น

“....บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า วิบากของกายทุจริต.... ของวจีทุจริต... ของมโนทุจริตในภายหน้าชั่วร้าย ก็เราแลพึงประพฤติทุจริตด้วยกาย...ด้วยวาจา ด้วยใจ.. เมื่อกายแตกตายไปเราจะพึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เขากลัวต่อทุคติภัย ย่อมละกายไปเราจะพึงเข้าพึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เขากลัวต่อทุคติภัย ยอมละกายทุจริต .... วจีทุจริต... มโนทุจริต... ย่อมบริหารตนให้หมดจดได้...”

ภยสูตร


🔅 โรคกายโรคใจ
ปัญหา พระพุทธองค์ตรัสถึงโรคทางกาย โรคทางใจไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคด้วยโรคทางกายตลอดปีหนึ่งมีปรากฏ ผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคตลอด ๒ ปีบ้าง ๓ ปีบ้าง ๔ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง ผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคแม้ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปีบ้าง มีปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดปฏิญาณความมีโรคทางใจแม้ครู่หนึ่ง สัตว์เหล่านั้นหาได้ยากในโลก เว้นจากพระขีณาสพ....”

อิทริยวรรค ที่ ๑

🔅 กิเลสหนากับการบรรลุมรรคผล
ปัญหา ผู้รู้บางท่านแสดงไว้ว่า คนที่มีอุปนิสัยหยาบ มีราคะ โทสะ โมหะกล้า มีโอกาสจะบรรลุมรรคผลช้า คนที่มีอุปนิสัยละเอียด มี ราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง มีหวังได้บรรลุมรรคผลเร็ว จริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปกติเป็นผู้มีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง.... เป็นผู้มีโทสะกล้าย่อมได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนือง ๆ บ้างเป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนือง ๆ บ้าง (แต่) อินทรีย์ ๕ ประการ.... คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษ เพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า.....

“....บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปกติไม่เป็นคนมีราคะกล้า... ไม่เป็นคนมีโทสะกล้า... ไม่เป็นคนมีโมหะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่ ราคะ โทสะ โมหะ เนืองๆ
 (แต่) อินทรีย์ ๕ ประการ.... คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาของเขา ปรากฏว่าอ่อน เขาย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน....”

ปฏิปทาวรรค ที่ ๒

🔅 สมถะหรือวิปัสสนาก่อน
ปัญหา การเจริญกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถะ และวิปัสสนา ใน ๒ อย่างนี้ จะเจริญสมถะก่อนหรือวิปัสสนาก่อน? จะเจริญควบคู่กันไปจะได้หรือไม่ ?

พระอานนท์ตอบ ว่า “....ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป.... มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพเจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญกระทำให้มาก ซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด....”

ปฏิปทาวรรค ที่ ๒

🔅 ศาสนาอื่นมีพระอริยบุคคลหรือไม่
ปัญหา พระอริยบุคคลที่ได้บรรลุมรรคผล เช่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ มีอยู่ในศาสนาอื่นหรือไม่? หรือว่ามีเฉพาะในพระพุทธศาสนา ?

พุทธดำรัสตอบ ว่า “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในธรรมวินัยนี้เท่านั้นสมณะที่ ๑.... สมณะที่ ๒.... สมณะที่ ๓.... สมณะที่ ๔.... มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจงบันลือสีหนาท(ประกาศ) โดยชอบอย่างนี้เถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะเป็นไฉน?

“....ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ 
(สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยวจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า นี้สมณะที่ ๑
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๒ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ และเพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง เป็นพระสกทาคามีมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ นี้สมณะที่ ๒
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๓ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะ 
(เป็นพระอนาคามี) จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา นี้สมณะที่ ๓
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๔ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญหาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน... นี้สมณะที่ ๔

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ ๑.... สมณะที่ ๒.... สมณะที่ ๓.... สมณะที่ ๔.... มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจงบันลือสีหนาทโดยชอบอย่างนี้เถิด”

กรรมวรรค

🔅 องค์ประกอบชีวิตนักบวช
ปัญหา การออกบวชเป็นภิกษุครองชีวิตบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวด้วยกามนั้น มีองค์ประกอบอะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ อันมีสิกขา (อภิสมาจาร = มารยาทอันดีงาม) เป็นอานิสงส์ มีปัญญาเป็นยอด มีวิมุติเป็นแก่น มีสติเป็นอธิปไตย

อาปัตติภยวรรค 

🔅 วิธีเรียนหนังสือเก่ง
ปัญหา ในการเรียนวิชาต่างๆ ทำไม บางที่จึงเข้าใจง่ายจำได้ดี ทำไมบางทีจึงเข้าใจยาก จำได้ยาก ทั้งๆ ที่เรื่องที่เรียนนั้นมีความยากง่ายพอๆ กัน?

พุทธดำรัสตอบ “....เมื่อใด บุคคลมีจิตอันกามราคะครอบงำแล้ว และไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น.... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้...เหมือนพื้นน้ำที่ระคนด้วยครั่งก็ดี ด้วยขมิ้นก็ดี ด้วยครามก็ดี ด้วยฝางก็ดี บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันพยาบาท (ความมุ่งร้าย) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำที่ร้อนจัดด้วยไฟเดือดพล่านแล้ว บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาเคลิบเคลิ้ม) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำสาหร่ายแลแหนปกคลุม แล้วบุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญ) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดอุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำที่ลมพัดไหวกระเพื่อมเป็นระลอกแล้ว บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันวิจิกิจฉา (ความเคลือบแคลงสงสัย) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำที่ขุ่นมัวเป็นตม อันเขาตั้งไว้แล้วในที่มืด บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันกามราคะไม่รุมครอบงำแล้ว แลรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันพยาบาทไม่รุมครอบงำแล้ว แลย่อมรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันถีนมิทธะไม่รุมครอบงำ รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะไม่รุมครอบงำแล้ว แลรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดอุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันวิจิกิจฉาไม่รุมครอบงำแล้ว แลรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาไม่ได้ท่องสาธยายไว้ตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้งอยู่ได้ จะกล่าวอะไรถึงมนต์ทั้งหลายที่เขาได้ท่องสาธยายไว้เล่า... เหมือนพื้นน้ำที่ไม่ระคนด้วยครั้งก็ดี ด้วยขมิ้นก็ดี ด้วยครามก็ดี ด้วยฝางก็ดี เหมือนพื้นน้ำที่ไม่ร้อนจัดด้วยไฟ ไม่เดือนพล่านแล้ว....เหมือนพื้นน้ำที่ไม่มีสาหร่ายและแหนปกคลุมแล้ว.... เหมือนพื้นน้ำที่ลมพัดไหวกระเพื่อมไม่เป็นระลอกแล้ว..... เหมือนพื้นน้ำที่ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว อันเขาตั้งไว้ในที่ส่งว่า บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็พึงรู้พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

สังคารวสูตร


🔅 เหตุให้อายุสั้น
ปัญหา ในจูฬกัมมวิภังคสูตร พระพุทธองค์ตรัสว่า คนเกิดมามีอายุสั้น เพราะในชาติก่อนเป็นผู้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สำหรับในชาติปัจจุบันนี้เล่ามีปฏิปทาใดบ้างที่เป็นเหตุให้บุคคลมีอายุสั้น หรือตายเร็ว?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม (เหล่า) นี้เป็นเหตุให้อายุสั้น... คือ
บุคคลไม่เป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง ๑
ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย ๑
บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก ๑
เป็นผู้เที่ยวไปในกาลไม่สมควร ๑
ไม่ประพฤติเพียงดังพรหม ๑
เป็นคนทุศีล ๑
มีมิตรเลวทราม ๑”

อนายุสสสูตร ที่ ๑-๒


🔅 วิธีแก้ความอาฆาต
ปัญหา ถ้าเกิดความอาฆาตขึ้นในจิตใจเรา ทำให้เราคิดมุ่งร้ายหมายแก้แค้นต่อบุคคลบางคน ซึ่งได้ล่วงเกินเราก่อน ควรจะแก้ไขอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น ๑
พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น ๑
พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑
พึงถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใดพึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน ให้มั่นในบุคคลนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นดังนี้ ๑

พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้”


อาฆาตวินัยสูตร ที่ ๑

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระพุทธดำรัส (๑๑)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏




🔅 คนฟังธรรม ๓ ประเภท
ปัญหา คนที่ไปฟังเทศน์ ฟังธรรมอยู่ตามวัดเป็นประจำนั้น มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก.... คือ บุคคลมีปัญญาคว่ำ ๑ บุคคลมีปัญญาเช่นกับตัก ๑ บุคคลมีปัญญากว้างขวาง ๑

“บุคคลมีปัญญาคว่ำ เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ หมั่นไปวัดเพื่อฟังธรรมในสำนักของภิกษุเสมอ ภิกษุย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิงแก่เขา เขานั่งบนอาสนะนั้น จำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นไม่ได้ เปรียบเหมือนหม้อคว่ำ ถึงจะเอาน้ำรดลงที่หม้อนั้นย่อมราดไปหาขังอยู่ไม่..... นี้เรียกว่าบุคคลมีปัญญาคว่ำ

“บุคคลมีปัญญาเช่นกับตักเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ หมั่นไปวัดเพื่อฟังธรรมในสำนักของภิกษุเสมอ ภิกษุย่อมแสดงธรรม..... แก่เขา เขานั่งบนอาสนะนั้น จำเบื้องต้น ครั้นลุกจากอาสนะนั้นแล้ว ก็ทรงจำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นไม่ได้ เปรียบเหมือนบนตักของบุรุษมีของเคี้ยวนานาชนิด คือ งา ข้าวสาร ขนมต้ม พุทรา เกลื่อนกลาด เขาลุกจากอาสนะนั้น พึ่งทำเรี่ยราดเพราะเผลอสติ..... ที่เรียกว่า บุคคลมีปัญญาเหมือนตัก

“บุคคลมีปัญญากว้างขวางเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ หมั่นไปวัดเพื่อฟังธรรมในสำนักของภิกษุเสมอ ภิกษุย่อมแสดงธรรม..... แก่เขา เขานั่งบนอาสนะนั้น จำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นได้
แม้ลุกจากอาสนะนั้นแล้ว ก็จำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นได้ เปรียบเหมือนหม้อหงาย เอาน้ำเทใส่ไปในหม้อนั้น ย่อมขังอยู่ หาไหลไปไม่... นี้เรียกว่า บุคคลมีปัญญากว้างขวาง”

อวกุชชิตาสูตร



🔅 ควรให้ทานแก่คนเช่นไร
ปัญหา มีบางคนกล่าวหาพระพุทธองค์ว่า ทรงสรรเสริญเฉพาะท่านที่เขาถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ทรงส่งเสริมสนับสนุนทานที่เขาให้แก่นักบวชอื่นๆ ดังนี้จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนวัจฉะ ผู้ใดพูดว่าพระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว ไม่ควรให้แก่คนอื่นๆ พึงให้ทานแก่สาวกของเรานี้แหละ ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของคนอื่นๆ .. ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูดทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่ดี ไม่เป็นจริง”

     “... ดูก่อนวัจฉะ ผู้ใดแลห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่ ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง วัตถุ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ย่อมทำอันตรายแก่บุญของทายก ๑ ย่อมทำอันตรายแก่ลาภของปฏิคาหก ๑ ตนของบุคคลนั้นย่อมเป็นอันถูกกำจัดและถูกทำลายก่อนทีเดียวแล ๑...”

     “... ดูก่อนวัจฉะ ก็เราพูดเช่นนี้ว่า ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันไปแม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำคลำ หรือที่บ่อโสโครกข้างประตูบ้าน ด้วยตั้งใจว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิดดังนี้ ดูก่อนวัจฉะ เรากล่าวกรรมซึ่งมีการราดล้างน้ำภาชนะนั้นเป็นเหตุว่า เป็นที่มาแห่งบุญ จะป่วยการกล่าวไปไย ถึงในสัตว์มนุษย์เล่า”

     “... อีกประการหนึ่ง เราย่อมกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ท่านผู้มีศีล มีผลมาก ที่ให้ในคนทุศีลหาเหมือนเช่นนั้นไม่ ทั้งท่านผู้มีศีลนั้น เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้ แล้ว... คือ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ ถีนมิทธะ ๑ อุทธัจจกุกกุจจะ ๑ วิจิกิจฉา ๑... ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ประกอบด้วยศัลขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยปัญญาขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุติขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัสสนขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑... เรากล่าวว่า ทานที่ให้ในท่านที่ละองค์ ๕ ได้ ประกอบด้วยองค์ ๕ ที่กล่าวมา มีผลมากฯ”

ชัปปสูตร


🔅 ข้อตอบโต้ลัทธิต่างๆ
ปัญหา สมณพราหมณ์บางพวกยืนยันว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี ที่บุคคลได้รับเสวยอยู่นั้น ล้วนแต่มีกรรมที่ทำไว้ก่อนเป็นเหตุ คือ เป็นผลแห่งกรรมเก่านั้นทั้งสิ้น ดังนี้ พระพุทธองค์ทรงแก้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่มีว่าวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรือไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้วถามอย่างนี้ว่า ได้ยินว่าท่านทั้งหลายมีว่าวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้.... จริงหรือ ถ้าสมณพราหมณ์พวกนั้น.... ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนั้น เพราะกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์ จักต้องลักทรัพย์ จักต้องประพฤติกรรมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ จักต้องพูดเท็จ จักต้องพูดคำส่อเสียด จักต้องพูดคำหยาบ จักต้องพูดคำเพ้อเจ้อ จะต้องมากไปด้วยอภิชฌา จักต้องมีจิตพยาบาท จักต้องมีความเห็นผิด
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือ กรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนว่าเป็นสาระสำคัญแล้ว ความพอใจหรือความพยายามว่า กิจนี้ควรทำหรือไม่ว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้.....ฯ”

ติตถสูตร

🔅 พรหมลิขิตมีหรือไม่
ปัญหา สมณพราหมณ์บางพวกยืนยันว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี ที่บุคคลได้รับเสวยอยู่นั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าอยู่ยิ่งใหญ่เป็นเหตุดังนี้ พระพุทธองค์ทรงเห็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์..... พวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรือไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นเหตุจริงหรือ ถ้าสมณพราหมณ์พวกนั้น.... ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนั้น เพราะการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นเหตุ ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์.... จักต้องลักทรัพย์...... จักต้องประพฤติกรรมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์..... จักต้องพูดเท็จ..... จักต้องพูดคำส่อเสียด.... จักต้องพูดคำหยาบ..... จักต้องพูดคำเพ้อเจ้อ..... จะต้องมากไปด้วยอภิชฌา...... จักต้องมีจิตพยาบาท..... มิจฉาทิฏฐิ.....

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นสำคัญ ความพอใจหรือความพยายามว่า กิจนี้ควรทำหรือไม่ว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้.....ฯ”

🔅 เหตุเกิดอกุศลมูล ๓
ปัญหา อะไรเป็นเหตุให้เกิด ราคะ โทสะ โมหะ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราคะ มีโทษน้อยคลายช้า โทสะ มีโทษมากคลายเร็ว โมหะ มีโทษมากคลายช้า.....

“สุภนิมิตคือความกำหนดหมายว่างาม เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคายถึงสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง

“.....อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้โทสะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น.... ปฏิฆนิมิต คือความกำหนดหมายว่ากระทบกระทั่ง (จิต) เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายถึงปฏิฆนิมิต โทสะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง.....” (ในทางตรงกันข้าม ดับราคะได้ด้วย อสุภนิมิต ดับโทสะได้ด้วยเมตตาเจโตวิมุติ ดับโมหะได้ด้วย โยนิโสมนสิการ)

ติตถิยสูตร


🔅 ศีลอุโบสถของศาสนาเชน
ปัญหา ได้ทราบว่าศาสนาเชน ของศาสดามหาวีระ หรือนิครนถนาฏบุตร ศาสนาที่มีอยู่ในช่วงพุทธกาล จนถึงปัจจุบัน ศาสนาเชนมีหลักปฏิบัติอย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนนางวิสาขา มีสมณะนิกายหนึ่งมีนามว่านิครนถ์ นิครนถ์เหล่านั้นชักชวนสาวกอย่างนี้ว่า... ท่านจงวางทัณฑะในหมู่สัตว์ที่อยู่ทางทิศบูรพา.... ทางทิศปัจฉิม... ทางทิศอุดร..... ทางทิศทักษิณ ในที่เลยร้อยโยชน์ไป นิครนถ์เหล่านั้นชักชวนเพื่อเอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่า ไม่ชักชวนเพื่อเอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่า ด้วยประการฉะนี้

“นิครนถ์เหล่านั้น ชักชวนสาวกในวันอุโบสถเช่นนั้นอย่างนี้ว่า.... ท่านจงทิ้งผ้าเสียทุกชิ้นแล้วพูดอย่างนี้ว่า เราไม่เป็นที่กังวลของใคร ๆ ในที่ไหนๆ และตัวเราก็ไม่มีความกังวลในบุคคลและสิ่งของใด ๆ ในที่ไหนๆ ดังนี้.... แต่ว่า มารดาและบิดาของเขารู้อยู่ว่า ผู้นี้เป็นบุตรของเรา แม้เขาก็รู้อยู่ว่า ท่านเหล่านี้เป็นมารดาบิดาของเรา อนึ่ง บุตรและภรรยาของเขาก็รู้อยู่ว่า นี้เป็นบิดาเป็นสามีของเรา แม้เขาก็รู้อยู่ว่า ผู้นี้เป็นบุตรภรรยาของเรา พวกทาสและคนงานของเขารู้อยู่ว่า ท่านผู้นี้เป็นนายของเรา ถึงตัวเขาก็รู้ว่า คนเหล่านี้เป็นทาสและคนงานของเรา เขาชักชวนในการพูดเท็จ ในสมัยที่ควรชักชวนในคำสัตย์ ด้วยประการฉะนี้.....”

อุโปสกสูตร
(ศาสนาเชน มีหลักคำสอนที่เอียงสุด หรือสุตโต่งไปในข้างที่ทรมารตัวให้เปล่าประโยชน์)


🔅 ชาติหน้ามีจริงหรือไม่
ปัญหา ชาติหน้ามีจริงหรือไม่? ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....อริยสาวกนั้น มีจิตหาว่าเรามิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ เธอย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในชาตินี้

“ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่ ผลแห่งกรรมมีสัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะซึ่งจะเป็นไปได้ คือเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว เราจะได้เข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่หนึ่ง

“ความอุ่นใจที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมมีสัตว์ทำดีทำชั่วไม่มีเราก็จะรักษาตนเป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความลำบาก ไม่มีทุกข์ มีแต่สุขในชาตินี้ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สอง

“ความอุ่นใจที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะนำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราไม่ได้คิดบาปให้แก่ใครๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเรา ผู้ไม่ได้ทำบาป ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม

“ความอุ่นใจที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะนำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราก็ได้พิจารณาเห็นคนเป็นคนบริสุทธิแล้วทั้ง ๒ ส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่

“อริยสาวกมีจิตหาเวรมิได้ หาความเบียดเบียนมิได้ มีจิตไม่เศร้าหมอง มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ ย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แล ในชาตินี้ฯ”

เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) 


🔅 หลักในการนับถือศาสนา
ปัญหา ในโลกนี้ มีคำสอนในศาสนา ในลัทธิ และในปรัชญา เป็นอันมาก แม้คำสอนทางพระพุทธศาสนาเองก็มีมากมาย จนทำให้เกิดความสงสัยลังเลว่า อะไรควรเชื่อถือ อะไรไม่ควรเชื่อถือ อะไรควรปฏิบัติตามอะไร ไม่ควรปฏิบัติตาม ขอได้โปรดแนะแนวในการเชื่อถือและในการปฏิบัติด้วย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา
อย่าได้ถือโดยลำดับสืบๆ กันมา
อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ๆ
อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเนอย่าได้ถือโดย
อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับลัทธิของตน
อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา

“เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั้นแล ว่าธรรมเหล่านี้ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครประพฤติให้เต็มทีแล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสียเมื่อนั้น

เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)

🔅 ผลกรรมและผู้กระทำ
ปัญหา คน ๒ คน ทำกรรมอย่างเดียวกัน แต่ได้รับผลต่างกันมีหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดแลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษนี้ทำกรรมไว้อย่างไร? เขาจะต้องเสวยกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ของผู้นั้นย่อมมีไม่ได้ โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษนี้ทำกรรมที่จะต้องเสวยผลไว้ด้วยอาการใดๆ เขาจะต้องเสวยวิบากของกรรมนั้นด้วยอาการนั้น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของผู้นั้นย่อมมีได้ โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมปรากฏ

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคลในโลกนี้ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้านรก ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแหละ บาปกรรมนั้นย่อมได้ผลทันตาเห็น แต่ส่วนน้อยไม่ปรากฏ ปรากฏเฉพาะส่วนที่มา บุคคลเช่นไร ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้านรก

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา มีคุณน้อย มีอัตตภาพเล็ก มีอัตตภาพอยู่เป็นทุกข์เพราะวิบากเล็กน้อย บุคคลเห็นปานนี้ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้านรก

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเช่นไรเล่า ทำบาปกรรมเล็กน้อยเช่นนั้น เหมือนกัน บาปกรรมนั้นให้ผลทันตาเห็น แต่ส่วนน้อยไม่ปรากฏ ปรากฏเฉพาะส่วนมาก

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณไม่น้อย มีอัตตภาพใหญ่ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่หาประมาณมิได้ บุคคลเช่นนี้ ทำบาปกรรมเช่นนั้นเหมือนกัน บาปกรรมนั้นให้ผลทันตาเห็น แต่ส่วนน้อยไม่ปรากกฎ ปรากฏเฉพาะแต่ส่วนมาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษพึงใส่ก้อนเกลือลงในขันใบน้อย.... น้ำในขันเล็กน้อยนั้น พึงมีรสเค็ม ดื่มกินไม่ได้ (ส่วนบาปกรรมเล็กน้อยของบุคคลผู้อบรมกายเป็นต้นแล้วนั้น) เปรียบเหมือนบุรุษพึงใส่ก้อนเกลือลงในแม่น้ำคงคา (น้ำในแม่น้ำคงคาก็คงไม่เค็ม ดื่มกินได้ เพราะเป็นห้วงน้ำใหญ่....”

โสณกสูตร


🔅 บำเพ็ญสมาธิทำไม
ปัญหา การบำเพ็ญสมาธินั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำลายกิเลส แล้วบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์เท่านั้นหรือ? หรือว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นด้วย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนามีอยู่ ๔ ประการ คือ สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญแล้วเพิ่มพูนแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อให้เกิดจากเป็นแจ้งด้วยญาณ ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อ (ความสมบูรณ์แห่ง) สติสัมปชัญญะ ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อความหมดสิ้นแห่งอาสวะ ๑.....”

สมาธิสูตร

🔅 สมาธิเพื่ออยู่เป็นสุข
ปัญหา การบำเพ็ญสมาธิภาวนาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันคืออย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (มีจิต) สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม แล้วบรรลุฌานที่หนึ่ง อันประกอบด้วยความตรึก ความครอง ความอิ่มเอิบใจ และความสุขที่เกิดแต่ความสงบดำรงในฌานนั้น

“แล้วบรรลุถึงฌานที่สอง ซึ่งจิตมีความเป็นหนึ่งแน่วแน่ ผ่องใสอยู่ภายใน ไม่มีความตรึกความตรอง เพราะความตรึกความตรองระงับไป มีแต่ความอิ่มเอิบใจ และความสุขที่เกิดแต่สมาธิ ดำรงอยู่ในฌานนั้น

“ต่อจากนั้นก็มีใจสงบนิ่ง เพราความอิ่มเอิบใจระงับไว้ มีความตื่นตัว ความรู้ตัว เสวยสุขด้วยนามกาย แล้วบรรลุฌานที่สาม ที่พระอริยสรรเสริญรู้ได้ฌานนี้ ย่อมมีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุขเป็นประจำ

“ต่อจากนั้นก็บรรลุฌานที่สี่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ และดับโสมนัสโทมนัสเดิมได้ มีแต่อุเบกขาและสติอันบริสุทธิ์ ดำรงอยู่ในฌานนั้น

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุข ในปัจจุบัน”

สมาธิสูตร

🔅 สมาธิเพื่อให้เกิดฌาณ
ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิแบบไหน อย่างไร จึงจะเป็นเหตุให้เกิดการเห็นแจ้งด้วยฌาน ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาให้เกิดความเข้าใจหมายรู้ว่ามีแสงสว่างภายในใจ (อาโลกสัญญา) พยายามสร้างความจำหมายว่าเป็นกลางวัน (ทิวาสัญญา) ให้เกิดขึ้นในใจ คิดว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน มีใจสงบระงับปราศจากเครื่องผูกมัด อบรมจิตให้มีความสว่างไสวอยู่.... “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้.... ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดการเห็นแจ้งด้วยญาณทัศนะ.....”

สมาธิสูตร

🔅 สมาธิเพื่อสติสัมปชัญญะ
ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาแบบไหน อย่างไร จึงจะเป็นเหตุให้สติสัมปชัญญะเจริญไพบูลย์ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้แจ้งเวทนาที่กำลงเกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่กำลังดับไป รู้แจ้งสัญญาที่กำลังเกิดขึ้น รู้แจ้งสัญญาที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งสัญญาที่กำลังดับไป รู้แจ้งวิตกที่กำลังเกิดขึ้น รู้แจ้งวิตกที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งวิตกที่กำลังดับไป

“..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้ ที่บุคคลเจริญพัฒนาแล้วย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ”

สมาธิสูตร


🔅 สมาธิเพื่อดับอาสวะ
ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาแบบไหน อย่างไร จึงจะทำให้อาสวะดับได้ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ห้าอยู่เป็นประจำว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้

“เวทนา.... ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา.... ความดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้
“สัญญา.... ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา.... ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้
“สังขาร.... ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร.... ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้
“วิญญาณ.... ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ.... ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้

“..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้..... ย่อมเป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะ....”

สมาธิสูตร

🔅 คนกับสภาพแวดล้อม
ปัญหา ทางพระพุทธศาสนาเชื่อหรือไม่ว่า ความประพฤติดีหรือชั่วของมนุษย์ มีผลกระทบกระเทือนต่อการทำงานของธรรมชาติ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใดพระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรมสมัยนั้น แม้พวกข้าราชการก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อข้าราชการไม่ตั้งอยู่ในธรรมแม้พราหมณ์และคฤหบดีก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้ชาวนิคมและชาวชนบทก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทไม่ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมโคจรไม่สม่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์พระอาทิตย์โคจรไม่สม่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรโคจรไม่สม่ำเสมอ วันและคืนย่อมหมุนเวียนโคจรไม่สม่ำเสมอ เมื่อวันและคืนหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ..... ฤดูและปีก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ... เทวดาย่อมกำเริบเมื่อเทวดากำเริบ ฝนย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาล... ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกัน

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ผู้บริโภคข้าวที่สุกไม่เสมอกัน ย่อมมีอายุสั้น มีผิวพรรณเศร้าหมอง มีกำลังน้อย มีโรคภัยไข้เจ็บมาก....”

ธรรมิกสูตร

🔅 ใช้ตัณหาปราบตัณหา
ปัญหา มีบางท่านกล่าวว่า ความอยากถึงนิพพานก็จัดเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง และเป็นแรงผลักดันให้คนปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงนิพพาน เข้าทำนอง ใช้ตัณหาดับตัณหา คำกล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานในพระไตรปิฎกยืนยันหรือไม่ ?

พระอานนท์ตอบ “.....ดูก่อนน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่ากายนี้เกิดด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละตัณหาเสียดังนี้ เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร

“ดูก่อนน้องหญิง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้ข่าวว่า ภิกษุชื่ออย่างนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่ง ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ เธอเกิดความปรารถนา (ตัณหา) อย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุต ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ในปัจจุบันชาตินี้ ดังนี้ ในเวลาต่อมา เธออาศัยตัณหานั้นแล้วละตัณหาเสียได้

“ดูก่อนน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหาอาศัยตัณหาแล้วพึงละเสียดังนี้ เรากล่าวเพราะอาศัยความจริงข้อนี้......”

อินทริยวรรค


🔅 สิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูด
ปัญหา สิ่งใดก็ตามที่เราเห็นมาจริง ได้ฟังมาจริง ประสบมารู้แจ้งมาจริง เราควรพูดสิ่งนั้นออกมาได้ทันทีโดยไม่มีโทษใดๆ ได้หรือไม่ ?

พระอานนท์ตอบ “.....ดูก่อนพราหมณ์ เราไม่กล่าวสิ่งที่เห็นทั้งหมดว่าควรกล่าวและไม่กล่าวสิ่งที่เห็นทั้งหมดว่าไม่ควรกล่าว เราไม่กล่าวสิ่งที่ได้ฟังทั้งหมด ว่าควรกล่าว (หรือ).... ไม่ควรกล่าว เราไม่กล่าวสิ่งที่ได้ประสบมาทั้งหมดว่าควรกล่าว (หรือ).....ไม่ควรกล่าว เราไม่กล่าวสิ่งที่รู้แจ้งมาทั้งหมดว่าควรกล่าว (หรือ).....ไม่ควรกล่าว

“.....ดูก่อนพราหมณ์ แท้จริง เมื่อบุคคลกล่าวสิ่งที่ได้เห็นอันใด...... สิ่งที่ได้ฟังมาอันใด.... สิ่งที่ได้ประสบมาอันใด.... สิ่งที่ได้รู้แจ้งมาอันใด อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป เรากล่าวสิ่งที่ได้เห็นมา.. ได้ฟังมา.... ได้ประสบมา.... ได้รู้แจ้งมาเช่นนั้นว่า ไม่ควรกล่าว แต่เมื่อบุคคลกล่าวสิ่งที่ได้เห็นมา.... ได้ฟังมา... ได้ประสบมา.... ได้รู้แจ้งมาอันใด อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น เรากล่าวสิ่งที่ได้เห็น... ได้ฟัง.... ได้ประสบ... ได้รู้แจ้งมาเช่นนั้น ว่าควรกล่าว”

โยธาชีวสูตร

🔅 เทวดาก็บรรลุมรรคผลได้
ปัญหา มีบางท่านกล่าวว่า มนุษย์เท่านั้นสามารถปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลได้ เทวดาไม่สามารถ เพราะเห็นที่เสวยสุขอันเป็นทิพย์อย่างเดียว จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน.... เวทัลละ ธรรมเหล่านั้นเธอฟังเสมอๆ คล่องปาก เพ่งพิจารณาด้วยใจ และกาย ตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ

"ต่อมา เธอมีสติเหลงลืมถึงแก่มรณะ ย่อมไปบังเกิดในเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง เมื่อเธอมีความสุขอยู่ในภพนั้น บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏแก่เธอ สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน

“อีกประการหนึ่ง... บทแห่งธรรมย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ แต่ภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีความชำนาญทางจิต แสดงธรรมแก่เทพบริษัท เธอตรึกตรองจนเห็นว่า ในกาลก่อน เราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใด นี้คือธรรมวินัยนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน.... ดุจบุรุษผู้ฉลาดในเสียงกลอง เขาเดินทางไกล เมื่อได้ยินเสียงกลอง ไม่มีความสงสัยหรือเคลือบแคลงว่า นั่นเสียงกลองหรือไม่ใช่....

“อีกประการหนึ่ง... บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขอยู่ในภพนั้นเลย ทั้งภิกษุผู้มีฤทธิ์ ก็ไม่ได้แสดงธรรมในเทพบริษัท แต่เทพบุตรย่อมแสดงธรรมในเทพบริษัท เธอคิดได้ดังนี้ว่า นี้คือ นี้คือธรรมวินัยนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน.... ดุจบุรุษผู้ฉลาดในเสียงสังข์ สติบังเกิดขึ้นช้า เดินทางไกลได้ยินเสียงสังข์เข้า ไม่พึงมีความเคลือบแคลงสงสัย ว่านั่นเสียงสังข์หรือไม่ใช่....

มหาวรรคที่ ๕


🔅 คนดียิ่งกว่าดี
ปัญหา คนดีคือคนอย่างไร และคนดียิ่งกว่าดีคือคนอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีความเห็นชอบ มีความดำริชอบ มีวาจาชอบ มีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มีความเพียรชอบ มีการระลึกชอบ มีการตั้งมั่นชอบ มีญาณชอบ มีความหลุดพ้นชอบ บุคคลนี้เราเรียกว่าคนดี

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้

มีความเห็นชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเห็นชอบอีกด้วย
มีความดำริชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นให้ดำริชอบด้วย
มีการงานชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการงานชอบด้วย
มีการเลี้ยงชีพชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นเลี้ยงชีพชอบด้วย
มีความเพียรชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเพียรชอบด้วย
มีการระลึกชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการระลึกชอบด้วย
มีการตั้งจิตมั่นด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นตั้งจิตมั่นด้วย
มีการรู้แจ้งด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นรู้แจ้งด้วย
มีการหลุดพ้นชอบชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีหลุดพ้นชอบด้วย.....

บุคคลนี้เราเรียกว่าคนดีที่ยิ่งกว่าคนดี...”

สัปปุริสวรรค


🔅 ทำไมคนจึงกลัวความตาย
ปัญหา คนเราทุกคนย่อมรู้ว่าความตายเป็นของธรรมดาที่จะหลักเลี่ยงไม่พ้น ถึงกระนั้น ก็ไม่วายที่จะหวาดกลัวความตาย อะไรเป็นเหตุทำให้คนหวาดกลัวความตาย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความกำหนัดยินดี... ชอบใจ.... รักใคร่.... กระหาย.... เร่าร้อน มีตัณหาในกามทั้งหลายยังไม่หมดสิ้น ครั้นโรคาพาธเจ็บไข้หนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า กายทั้งหลายซึ่งเป็นของรักจักละเราไปเสีย แลเราก็จักละกาย ทั้งหลายซึ่งเป็นที่รักไปหนอ ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... บุคคลนี้แล.. ย่อมกลัวต่อความตาย ถึงความสะดุ้งต่อความตาย

“.....บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความกำหนัดยินดี... พอใจรักใคร่....ในกาย ครั้นโรคาพาธหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า กายทั้งหลายซึ่งเป็นของรักจักละเราไปเสีย แลเราก็จักละกาย ทั้งหลายซึ่งเป็นที่รักไปหนอ ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... บุคคลนี้แล.. ย่อมกลัวต่อความตาย ถึงความสะดุ้งต่อความตาย

“.....บุคคลบางคนในโลกนี้ มีกรรมงามดีไม่ได้ทำไว้แล้ว มีกุศลไม่ได้ทำไว้แล้ว มีกรรมซึ่งจะเป็นที่พึ่งของคนขลาดไม่ได้ทำไว้แล้ว มีบาปได้ทำไว้แล้วมีกรรมของคนละโมบได้ทำไว้แล้ว มีกรรมหยาบได้ทำไว้แล้ว ครั้นโรคาพาธหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า

กรรมงามดีไม่ได้ทำไว้แล้ว..... ผู้มีกุศลไม่ได้ทำไว้แล้ว มีกรรมเป็นบาปอันได้ทำไว้แล้ว มีประมาณเพียงใด ตัวเราจะละโลกนี้ไปสู่คติมีประมาณเท่านั้น ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... ถึงความสะดุ้งต่อความตาย

“.....บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความเคลือบแคลง... สงสัย ถึงความแน่ใจในพระสัทธรรม ครั้นโรคาพาธหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีความเคลือบแคลง... สงสัย ถึงความแน่ใจในพระสัทธรรมแล้ว ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... บุคคลนี้แล.. กลัวต่อความตาย สะดุ้งต่อความตาย

โยธาชีวรรค

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS