RSS

พระพุทธดำรัส (๑๖)

🙏 พระพุทธดำรัส 🙏

🔅 พระอรหันต์กับพระพุทธเจ้า
ปัญหา พระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกเหมือนกันและแตกต่างกันในแง่ไหนบ้าง

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นเพราะเบื่อหน่าย... คลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะความถือมั่นในรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ คนจึงเรียกว่า สัมมาสัมพุทธะ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา หลุดพ้นแล้วเพราะเบื่อหน่าย... คลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะความไม่ถือมั่นในรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ คนจึงเรียกว่า ปัญญาวิมุต

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในข้อนี้ จะมีอะไรเป็นข้อแปลกกัน มีอะไรเป็นลักษณะเฉพาะ มีอะไรเป็นเหตุแตกต่างกัน ระหว่างพระตถาคตผู้อรหันต์สัมมาสัมพุทธะกับภิกษุผู้เป็นปัญญาวิมุต “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้นำทางที่ยังไม่เกิดให้เกิด ทำทางที่ยังไม่มีใครรู้ให้รู้ บอกทางที่ยังไม่มีใครบอกเป็นผู้รู้แจ้งหนทาง เข้าใจทางฉลาดในทาง “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสาวกทั้งหลายในบัดนี้เป็นผู้เดินตามทาง เป็นผู้มาภายหลัง อันนี้แลเป็นข้อแปลกกัน.....”

พุพธสูตร




🔅 ความหมายของอนัตตา
ปัญหา คำว่า “อนัตตา” มีความหมายว่าอย่างไร

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนอันเป็นอมตภาพตามทัศนะของฮินดู) ถ้าหากว่า... จักเป็นอัตตาไซร้ รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ นี้คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่า ขอรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นอนัตตา ฉะนั้น.... จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนา....”

ปัญจวัคคิยสูตร


🔅 เหตุมีปัจจัยมี
ปัญหา เจ้าลิจฉวี นามว่ามหาลี เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลว่า ท่านปูรณกัสสปะสอนว่า สัตว์ทั้งหลายเศร้าหมองหรือบริสุทธิ์เอง โดยไม่มีเหตุปัจจัย พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนมหาลี เหตุมีปัจจัยมี เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัยจึงเศร้าหมอง เหตุมีปัจจัยมีเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัยจึงบริสุทธิ์
“.....ดูก่อนมหาลี หากรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ นี้เป็นทุกข์ถ่ายเดียว รับแต่ทุกข์ตามสนอง หยั่งลงสู่ความทุกข์มิได้ประกอบด้วยสุขบ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงกำหนัดใน รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ก็เพราะ รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณเป็นสุข สุขตามสนองหยั่งลงสู่ความสุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์เสมอไป ฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงกำหนัดในรูป เพราะกำหนัดจึงเกาะเกี่ยวผูกพัน เพราะเกาะเกี่ยวผูกพันจึงเศร้าหมอง....ดูก่อนมหาลี สัตว์ทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัยจึงเศร้าหมองด้วยอาการอย่างนี้.....
“.....ดูก่อนมหาลี หากว่ารูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ นี้จักเป็นสุขถ่ายเดียว ตกลงสู่สุขก้าวลงสู่สุข มิได้ประกอบด้วยทุกข์บ้างแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่พึงเบื่อหน่ายใน รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ก็เพราะ รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณตกลงสู่ทุกข์ หยั่งลงสู่ทุกข์ มิได้ประกอบด้วยสุขเสมอไป ฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงบริสุทธิ์..... สัตว์ทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัยจึงบริสุทธิ์ด้วยอาการอย่างนี้.....

มหาลิสูตร


🔅 ติดขันธ์ ก็ติดบ่วงมาร
ปัญหา เพราะเหตุไรคนจึงติดบ่วงมาร จะพ้นจากบ่วงมารได้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุ บุคคลผู้ยังยึด รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ มั่นอยู่ ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่ยึดมั่น จึงหลุดพ้นจากมาร.... “.....ดูก่อนภิกษุ เมื่อบุคคล คิดสร้างภาพ (ศัพท์บาลีใช้คำว่า “มญฺญมาโน”ภาษาไทยแปลว่า “สำคัญ” ฉบับอังกฤษใช้คำว่า imagining แปรว่า “คิดสร้างภาพ” ซึ่งชัดกว่า) รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ อยู่ก็ต้องถูกมารมักไว้ เมื่อไม่คิดสร้าง จึงหลุดพ้นจากบ่วงมาร “.....ดูก่อนภิกษุ เมื่อบุคคลเพลิดเพลินรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ อยู่ ก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่เพลิดเพลิน จึงพ้นจากมาร....

อุปาทิยสูตร มัญญมานสูตร อภินันทมานสูตร


🔅 วิธีคิดเกี่ยวกับขันธ์ ๕
ปัญหา บุคคลควรคิดและปฏิบัติเกี่ยวกับขันธ์ ๕ อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุ รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มิใช่ของตน ล้วนจูงใจให้กำหนัด ควรละความพอใจในสิ่งนั้น ๆ เสีย....”

อนิจจสูตร ฯลฯ ขันธ


🔅 วิธีกำจัดอหังการ มมังการ
ปัญหา บุคคลรู้เห็นอย่างไร จึงจะไม่มีความยึดถือว่ามีเรา (อหังการ) ความยึดถือว่าเป็นของเรา (มมังการ) และอนุสัยคือความถือตัว (มานานุสัย) ในกายที่มีวิญญาณนี้ และสรรพนิมิตภายนอก?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนราธะ รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ใกล้หรือไกล อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ทั้งหมดนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ดูก่อน ราธะ บุคคลรู้เห็นอย่างนี้แล จึงไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก...”

ราธสูตร ขันธ


🔅 เทพเจ้าอมตะมีหรือไม่
ปัญหา ศาสนาบางศาสนาเชื่อว่ามีเทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนามีทัศนะอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พญาสีหมฤคราชออกจากที่อาศัยในเวลาเย็นแล้วเหยียดกาย แล้วเหลียวแลดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ แล้วบันลือสีหนาท ๔ ครั้งแล้วออกเดินไปเพื่อหากิน.... พวกสัตว์ดิรัจฉานทุกหมู่เหล่าได้ยินเสียงพญาสีหมฤคราชบันลือสีหนาท อยู่ โดยมากย่อมถึงความกลัว... พญาสีหมฤคราชมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายเช่นนี้แล
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อพระตถาคตอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลกพระองค์ทรงแสดงธรรมว่า รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นดังนี้ เหตุเกิดขึ้นแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นดังนี้ ความดับแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นดังนี้ แม้เทวดาทั้งหลายที่มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุข ซึ่งดำรงอยู่ได้นานในวิมานสูง ได้สดับธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว โดยมากต่างก็ถึงความกลัว ความสังเวช ความสะดุ้ง ว่าผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง แต่เข้าใจว่าแน่นอน... ได้ยินว่า ถึงพวกเราก็เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ติดยู่ในกายตน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล”

สีหสูตร ขันธ


🔅 จำชาติก่อนได้ คือจำขันธ์ ๕ ได้
ปัญหา การที่บุคคลบางคนสามารถระลึกชาติก่อนได้นั้น เขาระลึกอะไรได้ และระลึกอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่ง.... ย่อมตามระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ก็ย่อมตามระลึกถึงอุปาทานขันธ์ ทั้ง ๕ หรือ ขันธ์ ใดขันธ์หนึ่ง... คือ ย่อมตามระลึกถึง รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ดังนี้วาในอดีตกาลเราเป็นผู้มี รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ อย่างนี้....”

ขัชชนิสูตร


🔅 ความหมายของขันธ์แต่ละอย่าง
ปัญหา คำว่า รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ แต่ละอย่างมีความหมายอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่ารูป เพราะกระทบกระทั่ง (คำบาลีว่า รุปฺปติ อรรถกถาแปลไว้หลายอย่าง เช่น เบียดเบียน กระทบ กดขี่ ทำลาย หรือแตกสลาย ใน ตท. แปลไว้ว่า สลายไป) จึงเรียกว่ารูป กระทบกระทั่งกับอะไร กระทบกระทั่งกับหนาวบ้าง ร้อนบ้าง หิวบ้าง กระหายบ้าง เพราะสัมผัสแหงเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง

“เพราะอะไรจึงเรียกว่า เวทนา เพราะรู้สึกอะไร รู้สึกเป็นสุขบ้าง รู้สึกเป็นทุกข์บ้าง รู้สึกกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง

“เพราะอะไรจึงเรียกว่า สัญญา เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่าสัญญา จำได้หมายรู้อะไร จำได้หมายรู้สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง

“เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร เพราะปรุงแต่ง สังขตธรรม จึงเรียกว่าสังขาร ปรุงแต่งสังขตธรรมคืออะไร ปรุงแต่งสังขตธรรมคือ รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ

“เพราะอะไรจึงเรียกว่า วิญญาณ เพราะรับรู้ (ตท. แปลว่า รู้แจ้ง) จึงเรียกว่าวิญญาณ รับรู้อะไร รับรู้รสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง”

ขัชชนิสูตร


🔅 วิธีสร้างความหน่ายในขันธ์
ปัญหา เราควรจะพิจารณาขันธ์ ๕ อย่างไร จึงจะเกิดความเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราถูก รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เคี้ยวกินอยู่ แม้ในอดีตกาลเราก็ถูกรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ กินแล้วถ้าเราชื่นชมรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ในอนาคต.... เราก็ถึงถูกรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ กิน เหมือนกับที่ถูกกินอยู่ในปัจจุบันนี้ เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ที่เป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ที่เป็นอนาคต ย่อมปฏิบัติเพ่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ปัจจุบัน”

ขัชชนิสูตร


🔅 วิธีรุนแรงในการสอน
ปัญหา พระพุทธเจ้าได้ทรงใช้วิธีรุนแรงในการอบรมพระภิกษุสงฆ์ จนบางครั้งต้องทรงแก้ไขใหม่หรือไม่?

คำตอบ “.....สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงขับไล่ภิกษุสงฆ์ เพราะเหตุเรื่องหนึ่ง.... ในเวลาหลังภัตตาหาร..... เสด็จไปยังป่ามหาวัน เพื่อประทับพักในกลางวัน.... ณ โคนต้นมะตูมหนุ่ม... ได้เกิดพระปริวิตกขึ้นว่า เราแลได้ขับไล่ภิกษุสงฆ์ให้ไปแล้ว ในภิกษุสงฆ์เหล่านั้น พวกภิกษุใหม่บวชยังไม่นานเพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้มีอยู่ ก็เมื่อภิกษุเหล่านั้นไม่เห็นเรา พึงคลางแคลงใจ พึงมีใจแปรปรวนไปเหมือนลูกโคน้อยๆ เมื่อไม่เห็นแม่ พึงคลางแคลงใจ พึงมีใจแปรปรวนไปเหมือนลูกโคน้อยๆ เหมือนกับพืชที่ยังอ่อน ๆ ไม่ได้น้ำ พึงผันแปรไปเปลี่ยนแปรไป ถ้ากระไร เราพึงอนุเคราะห์ภิกษุสงฆ์ในบัดนี้ เหมือนกับที่ได้อนุเคราะห์มาแล้วเมื่อก่อนฉะนั้นเถิด....”

ปิณโฑลยสูตร


🔅 โลกประณามการบิณฑบาต
ปัญหา คนทั้งหลายมีทัศนคติต่อการออกบิณฑบาตของพระภิกษุอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในบรรดาวิธีการเลี้ยงชีพทั้งหลาย การออกบิณฑบาตเป็นอาชีพต่ำทราม ภิกษุทั้งหลายย่อมได้รับคำแช่งด่าในโลกว่า “ท่านดีแต่อุ้มบาตรเที่ยวขอก้อนข้าว !”

ปิณโฑลยสูตร


🔅 ผู้บิณฑบาตควรคิดอย่างไร
ปัญหา ในการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ พระภิกษุควรจะคิดอย่างไร และควรปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะถูกต้อง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรทั้งหลายมุ่งต่อประโยชน์ อาศัยอำนาจแห่งประโยชน์ จึงเข้าสู่ภาวะแห่งการเลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาตนี้แล ไม่ใช่เป็นคนหนีราชทัณฑ์ หนีโจร ไม่ใช่มีหนี้ ไม่ใช้ผู้มีภัย ไม่ใช่ไม่มีอาชีพ....
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรนี้บวชแล้วเพราะคิดว่า เราทั้งหลายถูก ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปยาส ครอบงำแล้ว ถูกทุกข์ครอบงำแล้ว เป็นผู้มีทุกข์ประจำแล้ว ไฉนหนอ พึงทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ปรากฏได้ .... แต่ว่ากุลบุตรนั้นมากไปด้วยความโลภจัด มีราคะแรงกล้าในกามทั้งหลาย มิจิตพยาบาท มีความดำริที่ถูกทำให้เสียหายแล้ว มีสติหลงลืมไม่มีสัมปชัญญะ มีใจไม่เป็นสมาธิ มีจิตผันแปร ไม่สำรวมอินทรีย์ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเช่นนี้เสื่อมแล้วจากโภคะแห่งคฤหัสถ์ด้วยไม่ทำประโยชน์ คือความเป็นสมณะให้บริบูรณ์ด้วย เรากล่าวว่าเขาเปรียบด้วยดุ้นฟืน ในที่เผาศพซึ่งติดไฟทั้งสองข้าง ตรงกลางเปื้อนด้วยคูถ จะใช้เป็นฟืนในบ้านก็ไมได้ จะใช้เป็นฟืนในป่าก็ไม่ได้”

ปิณโฑลยสูตร


🔅 อุปาทานคือยึดถืออะไร
ปัญหา ในปฏิจจสมุปบาท มีอุปาทานคือความยึดถือเป็นช่วงสำคัญช่วงหนึ่ง ความยึดถือนั้นหมายถึงยึดถืออะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว.... ย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า เรายึดถือสิ่งใดในโลกอยู่ พึงเป็นผู้ไม่มีโทษ สิ่งนั้นไม่มีเลย เธอย่อมทราบชัดอย่างนี้ ก็เราเมื่อยึดถือ พึงยึดถือ รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณนั้นเอง เพราะความยึดถือเป็นปัจจัย ภพพึงมีแก่เรา เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติพึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะโสกะ ปริเทวะทุกข์ โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ พึงมีได้ด้วยประการอย่างนี้

ปิณโฑลยสูตร


🔅 รู้อย่างไร อาสวะจึงจะสิ้น
ปัญหา ทางพุทธศาสนาถือว่า ความรู้เห็นแจ้งจะทำให้อาสวะ ทั้งหลายสิ้นไปได้ รู้อย่างไร เห็นอย่างไร อาสวะทั้งหลายจึงจะสิ้นไป?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกนี้ผู้มิได้รับรู้แล้ว....ย่อมพิจารณาเห็น รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตน.... ก็การพิจารณาเห็นดังนั้นและเป็นสังขาร... สังขาร... สังขารนั้นเกิดจากตัณหา ตัณหานั้นเกิดจากเวทนา เวทนานั้นเกิดจากการถูกต้องแห่งอวิชชา...
“ปุถุชน ย่อมไม่พิจารณาเห็น รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตน.... แต่พิจารณาเห็นว่าตนมีรูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ การพิจารณาเห็นดังนั้นก็เป็นสังขาร
“ปุถุชน ย่อมไม่พิจารณาเห็น รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตน.... ย่อมไม่พิจารณาเห็นว่าตนมีรูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ แต่พิจารณาเห็นรูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ก็การพิจารณาเห็นดังนั้นก็เป็นสังขาร
“ปุถุชน ย่อมไม่พิจารณาเห็น รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตน.... ย่อมไม่พิจารณาเห็นว่าตนมีรูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ย่อมไม่พิจารณาเห็นรูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ แต่ว่าพิจารณาเห็นตนในรูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ก็การตามเห็นดังนั้นแลเป็นสังขาร
“ปุถุชน ย่อมไม่พิจารณาเห็น รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตน.... แต่มีความเห็นอย่างนี้ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกนี้ไปแล้วจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา... ก็มีความเห็นว่าเที่ยงแท้เช่นนั้นก็เป็นสังขาร...
“ปุถุชน ย่อมไม่พิจารณาเห็น รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตน.... เป็นผู้ไม่มีความเห็นเช่นนี้ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น แต่ว่าเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าเราพึงมีของ ของเราก็ไม่พึงมี เราจักไม่มีของ ของเราก็จักไม่มี.... ก็ความเห็นว่าขาดสูญเช่นนั้นก็เป็นสังขาร...
“ปุถุชน... เป็นผู้ไม่มีความเห็นว่า ถ้าเราไม่พึงมีของของเราก็ไม่พึงเรา
เราจักไม่มีของ ของเราก็จักไม่มี.... แต่ว่ายังเป็นผู้มีความสงสัยเคลือบแคลง ไม่แน่ใจสัทธรรม.... ก็ความเห็นผู้มีความสงสัยเคลือบแคลง...เช่นนั้นก็เป็นสังขาร....
“ก็สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ? สังขารนั้นเกิดจากตัณหา ตัณหาเกิดจากเวทนา เวทนาเกิดจากการถูกต้องแห่งอวิชชา ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้นแม้ ตัณหา เวทนา ผัสสะ อวิชชา นั้นไม่เที่ยง มีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไปโดยลำดับ”

ปาลิเลยยสูตร


🔅 อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕
ปัญหา อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกันหรือต่างกัน ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทานก็อันนั้น และ อุปาทานขันธ์ ๕ ก็อันนั้น หามิได้ และอุปาทานเป็นอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ก็หามิได้ แต่ความยินดีและความกำหนัดในอุปาทานขันธ์ ๕ นั้นแลเป็นอุปาทาน”

ปุณณมสูตร


🔅 พระอรหันต์สิ้นชีพแล้วไปไหน
ปัญหา พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสอาสวะแล้ว เมื่อสิ้นชีพดับขันธ์ ย่อมขาดสูญหมดสิ้นไป ไม่เกิดอีกใช่หรือไม่?

พระสารีบุตรตอบ “.....ดูก่อนท่านยมกะ รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระยมกะ “ไม่เที่ยง ท่านสารีบุตร”

พระสารีบุตร “.....ดูก่อนท่านยมกะท่านเห็นว่า รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
พระยมกะ “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านสารีบุตร”

พระสารีบุตร “.....ดูก่อนท่านยมกะท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีใน รูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ หรือไม่?
พระยมกะ “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านสารีบุตร”

พระสารีบุตร “.....ดูก่อนท่านยมกะท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลนี้นั้นไม่มีมี รูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ หรือ?
พระยมกะ “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านสารีบุตร”

พระสารีบุตร “.....ดูก่อนท่านยมกะ โดยที่จริง โดยที่แท้ ท่านจะค้นหาสัตว์ บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ในปัจจุบันชาตินี้ก็ยังไม่ได้ ควรแลหรือที่ท่านจะยืนยันว่า.... พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมหายสูญ ย่อมหมดสิ้นไป ย่อมไม่เกิดอีก.... ดูก่อนท่านยมกะ ถ้าชนเหล่าพึงถามท่านว่า ภิกษุผู้เป็นอรหันต์ขีณาสพ เมื่อตายไปแล้วเป็นอย่างไร ท่าน.... จะพึงกล่าวแก้ว่าอย่างไร?”
พระยมกะ “ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมฟังกล่าวแก้อย่างนี้ว่ารูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว”

พระสารีบุตร “.....ดูก่อนท่านยมกะ พระอริยสาวกผู้ใดเรียนรู้แล้ว ฉลาดในอริยธรรม ย่อมไม่เห็น รูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีรูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ย่อมไม่เห็นรูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ในตน ย่อมไม่เห็นตนในรูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณอันไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง อันเป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ อันเป็นอนัตตาว่าเป็นอนัตตา อันปัจจัยปรุงแต่งว่าปัจจัยปรุงแต่ง อันเป็นผู้ฆ่าว่าเป็นผู้ฆ่า เขาย่อมเข้าไปยึดมั่นถือมั่นซึ่ง รูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ว่าเป็นตัวตนของเรา อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านั้นอันอริยสาวกไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน”

ยมกสูตร


🔅 พระพุทธเป็นหนึ่งกับพระธรรม
ปัญหา มีผู้กล่าวว่าพระพุทธเจ้ากับพระธรรม (โลกุตรธรรม) เป็นอันเดียวกัน ถ้าเห็นอย่างหนึ่ง ก็เห็นอีกอย่างหนึ่ง จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนวิกกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม วิกกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม....”

วิกกลิสูตร


🔅 วิธีคิดเมื่อเสวยสุข-ทุกข์
ปัญหา เมื่อได้เสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์) ควรจะกระทำจิตใจอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอัสสชิ อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ได้เสวยสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่า สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่าเสวยทุขเวทนาก็ทราบชัดว่า ทุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่าเสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่าทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน

“หากว่าเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุขมสุขเวทนาก็ปราศจากความยินดียินร้าย หากว่าเสวยเวทนา อันเป็นที่สุดแห่งกำลังกาย ก็ทราบชัดว่าเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดแห่งกำลังกาย ถ้าเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดแห่งชีวิต ก็ทราบชัดว่าเสวยเวทนาอันเป็นที่สุดแห่งชีวิต ก่อนแต่จะสิ้นชีวิตเพราะกายแตกทำลาย ความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดีจักเป็นของเย็น.... อุปมาเหมือนประทีปน้ำมันจะพึงติดอยู่ได้ เพราะอาศัยน้ำมันและไส้ ประทีปน้ำมันไม่มีเชื้อเพราะหมดน้ำมันและไส้ ก็พึงดับไป....”

อัสสชิสูตร


🔅 อุปาทานขันธ์กับ "เรา"
ปัญหา “เรา” กับอุปาทานขันธ์ ๕ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

พระเขมกะตอบ “.....ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ผมไม่กล่าว รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณว่าเป็นเรา ทั้งไม่กล่าวว่า เรามีนอกจาก รูป....เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ แต่ผมเข้าใจว่า เรามีในอุปาทานขันธ์ ๕ แต่ผมไม่ได้ถือว่าเราเป็น (ขันธ์ ๕ ) นี้ เปรียบเหมือนกลิ่นดอกอุบลก็ดี กลิ่นดอกปทุมก็ดี กลิ่นดอกบุณฑริกก็ดี ผู้ใดหนอจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่ากลิ่นกลิ่น กลิ่นสีหรือว่ากลิ่นเกสร...
“ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สังโยชน์ส่วนเบื้องต่ำ ๕ พระอริยสาวกละได้แล้วก็จริง แต่ท่านก็ยังถอนมานะ ฉันทะ อนุสัยอย่างละเอียดในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า “เรามีอยู่” ไม่ได้ ในสมัยต่อมา ท่านพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ มานะ ฉันทะ อนุสัยที่ว่า “เรามีอยู่” นั้น ที่ยังถอนไม่ได้ ก็ย่อมถึงการเพิกถอนได้ ... เปรียบเหมือนผ้าเปื้อนเปรอะด้วยมลทินเจ้าของมอบผ้านั้นให้แก่ช่างซักฟอก ช่างซักฟอกขยี้ผ้านั้นในน้ำด่างขี้เถ้า ในน้ำต่างเกลือหรือในโคมัย แล้วเอาซักในน้ำใสสะอาด ผ้านั้นเป็นของสะอาด ขาวผ่องก็จริง แต่ยังไม่หมดกลิ่นน้ำด่างขี้เถ้า กลิ่นน้ำด่างเกลือหรือกลิ่นโคมัยที่ละเอียด ช่างซักฟอกมอบผ้านั้นให้แก่เจ้าของ เจ้าของเก็บผ้านั้นใส่ไว้ในหีบอบกลิ่น แม้กลิ่นนันก็หายไป”

เขมกสูตร


🔅 แนวคิดเรื่องทวินิยม
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับ “ความมีอยู่” และ ความไม่มีอยู่” อันเป็นปัญหาทางปรัชญาที่ลึกซึ้ง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัจจานะ ชาวโลกโดยมากติดอยู่ในทวินิยม ยึดถือความมีอยู่ ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดขึ้นแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ความไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ความมีในโลกย่อมไม่มี ชาวโลกส่วนมากยึดมั่นถือมั่นในระบบและลัทธิต่าง ๆ แต่อริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งการยึดถือในระบบ ซึ่งอนุสัยคือจุดยืน และลัทธิว่า “นั่นคืออัตตาของเรา” ย่อมไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ในข้อที่ว่า “ทุกข์เหล่านั้นเมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อจะดับไปย่อมดับไป” อริยสาวกย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย

“ดูก่อนกัจจานะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล จึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ ดูก่อนกัจจานะ มีความเห็นสุดโต่งอยู่ ๒ อย่าง คือ ความเห็นสุดต่างอันหนึ่งที่ว่า “สิ่งทั้งปวงมีอยู่” และความเห็นสุดโต่งที่สองว่า “สิ่งทั้งปวงย่อมไม่มี” ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล นี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยสิ้นราคะโดยไม่มีอะไรเหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้....”

ฉันนสูตร


🔅 ผู้ไม่วิวาทกับใคร
ปัญหา มีผู้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงขัดแย้งกับโลกในการสั่งสอน จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกับโลกแต่โลกย่อมวิวาทกับเรา บุคคลผู้สอนแต่ธรรมอยู่ไม่วิวาทกับใครๆ ในโลก สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี สิ่งในที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เรากล่าวสิ่งนั้นว่ามี..””
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี คืออะไร? คือ รูปที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่าไม่มี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เที่ยง ยั่งยืน โลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวว่าไม่มี....
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี คืออะไร? คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวว่า มี....

ปุปผสูตร


🔅 อุปมาของขันธ์ ๕
ปัญหา เราจะอธิบายขันธ์ ๕ โดยเปรียบเทียบกับอะไร จึงจะเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้พึงนำลุ่มฟองน้ำใหญ่มา บุรุษผู้มีจักษุ พึงพิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นพิจารณาอยู่ กลุ่มฟองน้ำนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย แม้ฉันใดรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกลงในฤดูใบไม้ร่วง (สารทสมัย) ฟองน้ำในน้ำย่อมบังเกิดขึ้นและดับไป บุรุษผู้มีจักษุ พึงพิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นพิจารณาอยู่ กลุ่มฟองน้ำนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย แม้ฉันใดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันนั้น
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย พยับแดดนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันนั้น สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อภิกษุพิจารณาอยู่โดยแยบคายรูปนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฉันนั้นเหมือนกันแล
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม่แก่น ถือเอาจอบอันคมพึงเข้าไปสู่ป่า พึงเห็นต้นกล้วยขนาดใหญ่ ลำต้นตรง ยังอ่อน ยังไม่เกิดแกน พึงตัดโคน ตัดปลาย ปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้แต่กระพี้ในต้นกล้วยนั้น เมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย ต้นกล้วยนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันใด สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกล พึงเล่นกลที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่งเมื่อบุรุษพิจารณาโดยแยบคาย กลนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า แม้ฉันใด วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏเป็นของว่างฉันนั้นเหมือนกันแล”

เผณปิณฑสูตร


🔅 จิตสร้างความวิจิตร
ปัญหา เพราะเหตุใดขันธ์ ๕ ของคนและของดิรัจฉานจึงมีความวิจิตรแตกต่างกันออกไป ใครเป็นผู้สร้างความวิจิตรเหล่านั้น?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภาพวิจิตรที่ชื่อว่าจรณะ เธอทั้งหลายเห็นแล้วหรือ? ภาพวิจิตรชื่อจรณะแม้นั้นแล จิตเป็นผู้คิดขึ้นเพราะเหตุนั้น จิตนั้นแหละจึงวิจิตรกว่าภาพวิจิตรชื่อจรณะนั้น....
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่พิจารณาเห็นหมู่สัตว์อื่นแม้หมู่หนึ่ง ซึ่งวิจิตรเหมือนสัตว์ในกำเนิดดิรัจฉาน... แม้สัตว์ในกำเนิดดิรัจฉานเหล่านั้นก็เป็นผู้ถูกจิตคิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย จิตนั้นเองจึงวิจิตรกว่าสัตว์ในกำเนิดดิรัจฉาน...
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช่างย้อมหรือช่างเขียนเมื่อมีเครื่องย้อมก็ดี ครั่งก็ดี ขมิ้นก็ดี สีเขียวก็ดี สีแดงก็ดี ทั้งเขียนรูปสตรีหรือรูปบุรุษ มีอวัยวะใหญ่น้อยครบทุกส่วน ลงที่ผ่านกระดาษเกลี้ยงเกลา หรือที่ฝาหรือที่แผ่นผ้า แม้ฉันใด ปุถุชนผู้ไม่ได้เรียนรู้ ย่อมสร้างรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นแหละ ให้เกิดขึ้น”


คัททูลสูตร


🔅 หวังแต่ไม่ทำก็หมดหวัง
ปัญหา การตั้งความปรารถนาด้วยใจเฉยๆ จะทำให้คนสามารถบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ? ควรปฏิบัติอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไข่ไก่ ๙ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง อันแม่ไก่ไม่นอนทับด้วยดี ไม่กกด้วยดี ไม่ฟักด้วยดี แม่ไก่นั้นถึงจะเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอลูกของเราพึงทำลายเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปากออกมาโดยสวัสดี ถึงอย่างนั้น ลูกไก่เหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำลายเปลือกไข่ ออกมาโดยสวัสดีได้ แม้ฉันใด
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่ประกอบความเพียรในภาวนา ถึงจะเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นจิตของเธอย่อมไม่พ้นไปจากอาสวะ ได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเธอไม่อบรม เพราะไม่อบรมอะไร เพราะไม่อบรมสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบความเพียรในภาวนาอยู่ ถึงจะไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้ จิตย่อมพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น (เหมือน) ไข่ไก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง ๑๒ ฟอง อันแม่ไก่นอนทับด้วยดี ฟักด้วยดี แม่ไก่นั้นถึงจะไม่เกิดความปรารถนาว่า ขอลูกของเราพึงทำลายเปลือกไข่ออกมา โดยสวัสดี ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถทำลายเปลือกไข่ออกมาได้โดยสวัสดี”

นาวาสูตร 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระพุทธดำรัส (๑๕)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏


🔅 ทุกข์เกิดจากยึดถือขันธ์ ๕ เป็นต้น
ปัญหา ความยึดถือขันธ์ ๕ เป็นอัตตา ก่อให้เกิดทุกข์อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ในโลกนี้มิได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ย่อมเห็นรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ว่าเป็นตน ย่อมเห็นตนมีรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ย่อมเห็นรูป (เป็นต้น) ในตน ย่อมเห็นตนในรูป (เป็นต้น) รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณของเขานั้นย่อมแปรปรวนไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป เพราะเหตุที่รูป (เป็นต้น) ของเขาแปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป วิญญาณ(จิต) ของเขาจึงพลอยผันแปรไปตามความผันแปรแห่งรูป (เป็นต้นนั้น) ความสะดุ้งและความทุกข์อันเกิดแต่ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปรแห่งรูป (เป็นต้น) ย่อมเข้าครอบงำจิตของปุถุชนนั้น เพราะจิตถูกครอบงำ ปุถุชนนั้นย่อมมีความหวาดเสียว มีความลำบากใจ มีความห่วงใย และความสะดุ้งอยู่ เพราะความถือมั่น... ความสะดุ้งและความถือมั่นย่อมมีอย่างนี้แล....”

อุปาทานปริตัสสนาสูตร ที่ ๑


🔅 สุขเกิดเพราะไม่ยึดขันธ์ ๕ เป็นต้น
ปัญหา ความไม่ยึดถือขันธ์ ๕ เป็นอัตตา ก่อให้เกิดสุขอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมไม่เห็นรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ว่าเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีรูป (เป็นต้น) ย่อมไม่เห็นรูป ในตน ย่อมไม่เห็นตนในรูป  รูป ของอริยสาวกนั้นย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไปเพราะรูป แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป วิญญาณ (จิต) ของเขาจึงไม่ผันแปรไปตามความผันแปรแห่งรูป (เป็นต้นนั้น) ความสะดุ้ง และความทุกข์อันเกิดแต่ความหมุนเวียนแปรปรวนแห่งรูป ย่อมไม่เข้าครอบงำจิตของอริยสาวกนั้น เพราะจิตไม่ถูกครอบงำ อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีความหวาดเสียว ไม่มีความลำบากใจ ไม่มีความห่วงใย และไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สะดุ้งเพราะความไม่ถือมั่นย่อมมีอย่างนี้แล”

อุปาทานปริตัสสนาสูตร ที่ ๑


🔅 อัตตา-อนัตตา ในขันธ์ ๕
ปัญหา การเห็นหลัก อัตตา และ อนัตตา คือเห็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ยังมิได้เรียนรู้ในโลกนี้ ย่อมเห็นรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ส่วน อริยสาวกในพระพุทธศาสนา ผู้ได้เรียนรู้แล้วย่อมพิจารณาเห็นว่า รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.....”

อุปาทานปริตัสสนาสูตร ที่ ๒ 


🔅 ขันธ์ ๕ ในกาลทั้ง ๓ กับไตรลักษณ์
ปัญหา พุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติตนอย่างไร คิดอย่างไร เกี่ยวกับขันธ์ ๕ ในกาลทั้ง ๓?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ที่เป็นอดีตและอนาคตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ส่วนรูป (เป็นต้น) ที่เป็นปัจจุบันนั้นไม่ต้องพูดถึง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่มีความอาลัยในรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินในรูป (เป็นต้น) ที่เป็นอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ที่เป็นปัจจุบัน”

อตีตานาคตปัจจุปันนสูตร ที่ ๑-๓


🔅 ไตรลักษณ์เกี่ยวข้องกัน
ปัญหา ไตรลักษณ์ทั้ง ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวกพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง....”

อนิจจาสูตร ที่ ๒


🔅 เหตุให้ขันธ์ ๕ เป็นไตรลักษณ์
ปัญหา ทำไมขันธ์ ๕ จึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แม้ปัจจัยที่ให้รูป (เป็นต้นนั้น) เกิดขึ้นก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รูป (เป็นต้น) ที่เกิดจากสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ที่ไหนจักเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาเล่า?”

อนิจจเหตุสูตรฯ


🔅 นิโรธดับอะไร
ปัญหา อริยสัจจ์ที่ ๓ คือ นิโรธ ที่แปลว่าความดับนั้น คือ ดับอะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอานนท์ รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา... มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา... มีความดับไปเป็นธรรมดา ความดับแห่ง รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นั้นเรียกว่า นิโรธ... ความดับแห่งธรรมเหล่านี้แลเรียกว่า นิโรธ...

อานันทสูตร


🔅 ภาระหนักของมนุษย์
ปัญหา ภาระอันหนักของมนุษย์คืออะไร? จะปลงลงได้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ คือ ภาระ อุปาทานขันธ์ ๕ คืออะไร? คือ รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นี้เรียกว่า ภาระ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้แบกภาระคือใคร? ผู้แบกภาระ คือ บุคคล... ที่มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ นี่เรียกว่า ผู้แบกภาระ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปกรณ์สำหรับแบกภาระคืออะไร ? ตัณหาที่นำไปเกิดในภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดยินดี ทำให้หลงเพลิดเพลินในภพนั้น ๆ กล่าวคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหานี้ เรียกว่า อุปกรณ์ เครื่องแบกภาระ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การปลงภาระคืออย่างไร? คือการดับตัณหา สิ้นความกำหนัดอย่างสิ้นเชิง การสละทอดทิ้งหลุดพ้นจากตัณหาอย่างไม่มีเยื่อใยนี้ เรียกว่า การปลงภาระลง...”

ภารสูตร


🔅 ขันธ์ ๕ ควรเรียนรู้
ปัญหา ตามหลักพระพุทธศาสนา อะไรคือสิ่งที่ควรเรียนรู้ และ ปริญญา ที่แท้จริงนั้นคืออะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ควรเรียนรู้นั้นคืออะไร ? รูป เป็นธรรมที่ควรเรียนรู้ เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เป็นธรรมที่ควรเรียนรู้ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริญญาคือใคร? คือความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ นี้เรียกว่า ปริญญา "

ปริญญาสูตร


🔅 คนที่เหมาะสมต่อการสิ้นทุกข์
ปัญหา บุคคลควรปฏิบัติต่อขันธ์ ๕ อย่างไร จึงจะสิ้นทุกข์ได้ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่ไม่รู้จริง ไม่รู้ทั่วถึง ไม่เบื่อหน่าย ไม่สละเสียซึ่ง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ จัดเป็นคนอาภัพต่อการสิ้นทุกข์
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่รู้จริง รู้ทั่วถึง เบื่อหน่าย และสละเสียซึ่ง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ จึงเป็นผู้เหมาะสมต่อการสิ้นทุกข์

ปริชานสูต


🔅 วิธีดับขันธ์ ๕
ปัญหา บุคคลจะดับขันธ์ ๕ ได้อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละความใคร่ ความพอใจ ในรูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เสีย เมื่อเป็นเช่นนี้รูป (เป็นต้นนั้น) ก็จะเป็นอันถูกละ ถูกตัดราก เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ถูกทำให้เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเป็นธรรมดา....”

ฉันทราคสูตร


🔅 แง่ดีและเสียของขันธ์ ๕
ปัญหา ขันธ์ ๕ มีแต่แง่ทุกข์อย่างเดียว หรือว่ามีแง่สุขอยู่บ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ เราเคยรำพึงว่า อะไรหนอเป็นคุณของรูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นการสละคืน? เรารำพึงต่อไปว่า ความสุข ความเบิกบานใจเกิดขึ้นเพราะอาศัยรูป (เป็นต้น) มีอยู่ นี้เป็นคุณของรูป รูป ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษ.... การกำจัดเสีย การประหารเสียซึ่งความใคร่ ความพอใจในรูป (เป็นต้นนั้น) นี้เป็นการสละคืนขันธ์ ๕
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เรายังไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริง ซึ่งคุณโดยความเป็นคุณ ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งการสละคืนว่าเป็นการสละคืนแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ตราบนั้น เราก็ไม่ปฏิญาณว่าตนได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก...
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดเรารู้แจ้งตามความเป็นจริง.... เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณ... ญาณคือความเห็นแจ้งได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ความพ้นทุกข์ของเราไม่มีผันแปร ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ไม่มีภพใหม่อีก....”

อัสสาทสูตรที่ ๑ 

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเคยท่องเที่ยวแสวงหาคุณแห่ง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ รูป (เป็นต้นนั้น) มีคุณอย่างใด เราก็ได้พบคุณอย่างนั้น .... มีคุณเท่าใด เราก็ได้เห็นแจ้งด้วยปัญญาเท่านั้น .... เราเคยท่องเที่ยว แสวงหาโทษของ รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เราก็ได้พบโทษ.... ได้เห็นโทษด้วยปัญญา..... เราเคยท่องเที่ยวแสวงหาการสลัดออกซึ่งขันธ์ ๕ เราก็ได้พบการสลัดออก...”

อัสสาทสูตรที่ ๒ 

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าคุณแห่ง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ จักไม่มีไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่ยินดีเพลิดเพลินในรูป (เป็นต้นนั้น) แต่เพราะคุณแห่งรูปมีอยู่ สัตว์ทั้งหลายจึงยินดีเพลินเพลิด....
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าโทษแห่ง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ จักไม่มีไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่เบื่อหน่ายในรูป (เป็นต้นนั้น) แต่เพราะโทษแห่งรูป มีอยู่ สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่าย...
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าการสลัดออกซึ่ง รูป (เป็นต้นนั้น) จักไม่มีไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่แล่นออกไปจากรูป แต่เพราะการสลัดออกมีอยู่ สัตว์ทั้งหลายจึงออกไป.....ได้

อัสสาทสูตรที่ ๓ 


🔅 เพลิดเพลินขันธ์ ๕ เพลิดเพลินทุกข์
ปัญหา คนเช่นใด มีโอกาสที่จะพ้นทุกข์มากกว่าคนอื่น?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเพลิดเพลิน รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ผู้นั้นชื่อว่าเพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดเพลิดเพลินทุกข์เรายืนยันว่าผู้นั้นไม่พ้นไปจากทุกข์ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดแลไม่เพลิดเพลินรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ผู้นั้นไม่เพลิดเพลินทุกข์ ผู้ใดไม่เพลิดเพลินทุกข์เรายืนยันว่าผู้นั้นพ้นไปจากทุกข์

อภินันทนสูตร


🔅 มีขันธ์ ๕ ก็มีทุกข์
ปัญหา ขันธ์ ๕ กับทุกข์เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่ง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรคทั้งหลาย เป็นความปรากฏแห่งชรา มรณะ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความดับ ความสงบระงับความตั้งอยู่ไม่ได้ แห่ง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นสงบระงับแห่งโรคทั้งหลาย เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชรา มรณะ

อุปปาทสูตร


🔅 ขันธ์ ๕ เหมือนใบไม้นอกตัวเรา
ปัญหา การถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นของตน เป็นการถูกต้องหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย เพื่อละได้แล้วจักเป็นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุข.... ก็อะไรเล่าไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย? รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนชนพึงเก็บเอาไป หรือเผาไฟ หรือกระทำตามที่เห็นเหมาะสมซึ่งหญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในพระเชตวันนั้น ท่านควรคิดว่า ฝูงชนเอาไปหรือเผา หรือกระทำตามที่เห็นเหมาะสม ซึ่งเราทั้งหลายกระนั้นหรือ?
“ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า หามิได้พระเจ้าข้า
“พระพุทธองค์ตรัสถามว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร
“ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่เราหรือ นับเนื่องด้วยเรา
“อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ไม่ใช่ของท่าน จงละเสีย เมื่อละได้แล้วจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุข”

นตุมหากสูตร ที่ ๑


🔅 คิดถึงอะไร เป็นสิ่งนั้น
ปัญหา ภิกษุรูปหนึ่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดแต่โดยย่อ เพื่อจักได้นำไปปฏิบัติต่อไป พระโอวาทย่อว่าอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลย่อมครุ่นคิดในสิ่งใด ย่อมเข้าไปมีส่วนเป็นสิ่งนั้น บุคคลย่อมไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมไม่เข้าไปมีส่วนในสิ่งนั้น.... ถ้าบุคคลครุ่นคิดถึง รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ย่อมเข้าไปมีสวน เป็น รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นั้น ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงรูป (เป็นต้น) นั้น ก็ไม่เข้าไปมีส่วนเป็นรูป (เป็นต้นนั้น)

ภิกขุสูตร ที่ ๑


🔅 เพราะหน่ายจึงรู้ เพราะรู้จึงพ้น
ปัญหา ชาวพุทธควรมีทัศนคติต่อขันธ์ ๕ อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมย่อมมีธรรมอันเหมาะสม คืออยู่ด้วยความเบื่อหน่ายอย่างมากใน รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เมื่อเป็นผู้อยู่ด้วยความเบื่อหน่ายอย่างมากในรูป (เป็นต้น) ย่อมรอบรู้ รูป (เป็นต้นนั้น) เมื่อรอบรู้... ย่อมหลุดพ้นจากรูป ย่อมหลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความระทม ความแค้นใจ ความแห้งใจ เรากล่าวว่าย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมีธรรมอันเหมาะสม คือพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง.... เห็นความทุกข์... เห็นความเป็นอนัตตาในรูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความเป็นอนัตตาในรูป ย่อมรอบรู้ในรูป เมื่อรอบรู้ .... ย่อมหลุดพ้นจากชาติ ชรา มรณะ... เรากล่าวว่าย่อมหลุดพ้นจากทุกข์


อนุธรรมสูตร ที่ ๑-๔


🔅 ที่พึ่งของชาวพุทธ
ปัญหา อะไรคือที่พึ่งอันแท้จริงของชาวพุทธ และจะพึ่งได้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอจะมีตนเป็นที่พึ่ง.... มีธรรมเป็นที่พึ่ง....จะต้องพิจารณาโดยรอบคอบว่า ความโศก ความคร่ำครวญ ความระทม ความแค้นใจ ความแห่งใจ มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ย่อมพิจารณาเห็น รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ว่าเป็นต้น เห็นตนว่ามีรูป (เป็นต้น) เห็นรูป ในตน ย่อมเห็นตนในรูป รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ นั้นของเขาย่อมแปรไป.....ความโศก ความคร่ำครวญ ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุรู้ว่า รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ไม่เที่ยง แปรปรวนไป.... ดับไป เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบดังนี้ว่ารูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ในกาลก่อนและในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดาดังนี้ ย่อมละความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ได้ เพราะละความโศกได้จึงไม่เดือดร้อน เพราะไม่เดือดร้อนจึงอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า เป็นผู้ดับเย็นแล้วอย่างครบถ้วน”

อัตตทีปสูตร 


🔅 เกิดมีตน ก็เกิดมีทุกข์
ปัญหา ความเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน เกิดขึ้นได้อย่างไร ? และจะดับได้อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้แล้ว ในโลกนี้ ย่อมเข้าในรูป....เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ว่าเป็นต้น ย่อมเห็นตนว่ามีรูป (เป็นต้น) ย่อมเห็นรูป (เป็นต้น) ในตน ย่อมเห็นตนในรูป (เป็นต้น).... นี้เรียกว่าทางดำเนินอันจะให้เกิดความเห็นว่ามีตัวตน... อันจะยังสัตว์ให้ถึงความเกิดขึ้นแห่งทุกข์
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในโลกนี้ ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมไม่เข้าใจ
รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ว่าเป็นต้น ย่อมไม่เข้าใจว่าตนมีรูป ย่อมไม่เข้าใจว่ารูป มีในตน ย่อมไม่เข้าใจว่าตนในรูป (เป็นต้น).....นี้เรียกว่าทางดำเนินอันจะยังสัตว์ให้เกิดความดับตัวตน... เรียกว่าการพิจารณาเห็นอันจะยังสัตว์ให้ถึงความดับทุกข์

ปฏิปทาสูตร


🔅 อุปาทานขันธ์ คืออะไร
ปัญหา สิ่งที่เรียกว่า อุปาทานขันธ์ นั้น คืออะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีตอยู่ในที่ไกลหรือใกล้ มีอาสวะ ในตัว เป็นปัจจัยแก่อุปาทาน นี้เรียกว่าอุปาทาน ขันธ์คือ รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าอุปาทานขันธ์ ๕

ปัญจักขันธสูตร


🔅 ขันธ์ตนกับขันธ์คนอื่น
ปัญหา บุคคลควรพิจารณาเปรียบเทียบขันธ์ ๕ ของตนกับ ขันธ์ ๕ ของคนอื่นหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนโสณะ ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งย่อมพิจารณาเห็นว่า เราประเสริฐกว่าเขา... เราเท่าเทียมกับเขา.. เราเลวกว่าเขาโดย รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ อันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่เป็นดังนี้มิใช่อื่นไกล นอกจากการไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง “..... ดูก่อนโสณะ ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่พิจารณาเห็นว่า เราประเสริฐกว่าเขา... เราเท่าเทียมกับเขา.. เราเลวกว่าเขาโดย รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ อันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่เป็นดังนี้มิใช่อื่นไกล นอกจากการเห็นธรรมตามความเป็นจริง....”

โสณสูตร ที่ ๑


🔅 วิญญาณอาศัยขันธ์ ๕
ปัญหา วิญญาณจะมีอยู่โดยไม่ต้องอาศัยขันธ์ ๕ ได้หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้ายึดรูป พึงดำรงอยู่ได้ วิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง เข้าไปซ่องเสพด้วยความยินดี พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์... วิญญาณที่เข้ายึดเวทนา... สัญญา.... สังขาร...พึงดำรงคงอยู่ได้ วิญญาณที่มี รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร...เป็นอารมณ์ มี รูป.... เวทนา...สัญญา... สังขาร... เป็นที่ตั้ง เข้าไปซ่องเสพ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร ) ด้วยความยินดี พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราจักบัญญัติการมา การไป การจุติ การอุปบัติ หรือความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ โดยไม่ต้องอาศัยรูป เวทนา สัญญา สังขารดังนี้ ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุละราคะในรูปธาตุ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญาณธาตุได้แล้ว อารมณ์ (แห่งวิญญาณ) ก็เป็นอันตัดขาดเพราะละราคะนั้นได้ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณที่ไม่มีที่ตั้งย่อมไม่งอกงาม ไม่สร้างต่อ (อนภิสงฺขจฺจ) ย่อมหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงตั้งมั่นเพราะตั้งมั่นจึงอิ่มเอิบ (สนฺตุสิตํ) เพราะอิ่มเอิบจึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้งจึงดับเย็นสนิทเฉพาะตน ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ครบถ้วนแล้ว กิจที่ควรทำได้เสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อให้เกิดผลเช่นนี้ไม่มีอีกแล้ว”

อุปายสูตร


🔅 วิญญาณอาศัยรูป
ปัญหา วิญญาณธาตุ ต้องอาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขารอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุพืช ๕ อย่างนี้... คือ พืชงอกจากเหง้า ๑ พืชงอกจากลำต้น ๑ พืชงอกจากข้อ ๑ พืชงอกจากยอด ๑ พืชงอกจากเมล็ด ๑ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็พืช ๕ อย่างนี้ มิได้ถูกทำลาย ไม่เน่า ไม่ถูกลม แดด ทำให้เสีย ยังเพาะขึ้น ที่เขาเก็บไว้อย่างดี แต่ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ พืช ๕ อย่างนี้พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้หรือ ? ไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็พืช ๕ อย่างนี้.... ที่เขาเก็บไว้อย่างดี และมีดิน มีน้ำ พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้หรือ? ....ได้ พระพุทธเจ้าข้า “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเห็นที่ตั้งทั้ง ๔ ของวิญญาณ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร) เหมือนธาตุดิน พึงเห็นความยินดีเพลิดเพลินเหมือนธาตุน้ำ พึงเห็นวิญญาณพร้อมด้วยอาหารเหมือนพืช ๕ อย่าง...ฯ”

พืชสูตร


🔅 ขันธ์ ๕ ความเกิดและความดับขันธ์ ๕
ปัญหา ขันธ์ ๕ เหตุให้เกิดขันธ์ ๕ ความดับขันธ์ ๕ และทางปฏิบัติเพื่อดับขันธ์ ๕ คืออะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็รูปคืออะไร คือ มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป ความเกิดขึ้นแห่งรูปก่อนมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งอาหาร อริยมรรคประกอบด้วยองค์แปด.... เป็นปฏิปทา อันให้ถึงความดับแห่งรูป...

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาคืออะไร เวทนา ๖ หมวดนี้ คือ เวทนา เกิดแต่จักษุสัมผัส (ตากระทบกับรูป) โสตสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าเวทนา ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมมีเพราะเกิดแห่งผัสสะ ความดับแห่งเวทนาย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ.... เป็นปฏิปทา ให้ถึงความดับแห่งเวทนา

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัญญาคืออะไร สัญญา ๖ หมวดนี้ คือ ความจำหมายในรูป ความจำหมายในเสียง ความจำหมายในกลิ่น ความจำหมายในรส ความจำหมายในโผฏฐัพพะ ความจำหมายในธรรมารมณ์.... นี้เรียกว่าสัญญา ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความดับแห่งสัญญาย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ.... เป็นปฏิปทา ให้ถึงความดับแห่งสัญญา

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารคืออะไร เจตนา ๖ หมวดนี้ คือ สัญเจตนา (ความจงใจมุ่งหวังอย่างแรง) ในรูป สัญเจตนาในเสียง สัญเจตนาในกลิ่น สัญเจตนาในรส สัญเจตนาในโผฏฐัพพะ สัญเจตนาในธรรมารมณ์.... นี้เรียกว่าสังขาร ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ ความดับแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ.... เป็นปฏิปทา ให้ถึงความดับแห่งสังขาร

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณคืออะไร วิญญาณ ๖ หมวดนี้ คือ ความรับรู้อารมณ์ทางตา...ทางหู...ทางจมูก...ทางลิ้น..ทางกาย...ทางมโน...นี้เรียกว่าวิญญาณ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป ความดับแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความดับแห่งนามรูป อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ.... เป็นปฏิปทา ให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ”

ปริวัฏฏสูตร


🔅 วิธีพิจารณา ขันธ์ ๕
ปัญหา พุทธศาสนิกชนควรจะรู้จักขันธ์ ๕ ในด้านไหนบ้างและควรเพ่งพินิจขันธ์ ๕ คืออะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เราเรียกว่ายอดบุรุษผู้เสร็จกิจ.... ฐานะ ๗ ประการเป็นอย่างไร
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

รู้ชัดซึ่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ
เหตุเกิดแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ
ความดับแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ
ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ
คุณแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ
โทษแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ
อุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณฯ

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการเป็นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ย่อมเพ่งพินิจโดยความเป็นธาตุประการหนึ่ง
โดยความเป็นอายตนะประการหนึ่ง
โดยเป็นปฏิจจสมุปบาทประการหนึ่ง

อย่างนี้แล ภิกษุย่อมเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ”

สัตตัฏฐานสูตร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระพุทธดำรัส (๑๔)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏


🔅 เตือนใจพระทุศีล
ปัญหา กุลบุตรที่บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ประพฤติล่วงละเมิดพุทธบัญญัติมีธรรมอันลามก หลอกลวงชาวบ้าน จะมีโทษอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะขอบอกเธอทั้งหลาย จะขอเตือนเธอทั้งหลาย การที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติสกปรก น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้าเป็นดังหยากเยื่อ บริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธา ของกษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาลหรือคฤหบดีมหาศาลจะดีอย่างไร การที่บุรุษมีกำลังเอาขอเหล็กแดงไฟกำลังลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงเกี่ยวปากอ้าไว้ แล้วกรอกก้อนเหล็กแดง ไฟกำลังลุกโชติช่วงเข้าในปาก ก้อนเหล็กแดงนั้นจะพึงไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก ไหม้ลิ้น ไหม้คอ ไหม้อก ไหม้เรื่อยไปถึงไส้ใหญ่ไส้น้อย แล้วออกทางทวารเบื้องต่ำ นี้ดีกว่าข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้นั้นพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตาย มีข้อนั้นเห็นเหตุ แต่ผู้นั้นเมื่อตายไปไม่พึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัย

“ส่วนการที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก..... เป็นดังหยากเยื่อ บริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธา ของกษัตริย์ มหาศาล... ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน แก่บุคคลผู้ทุศีลนั้น และบุคคลผู้ทุศีลนั้น เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก....ฯ”

อัคคิขันธูปมสูตร


🔅 พระธรรมวินัยแท้และของปลอม
ปัญหา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายเหลือหลาย อาจจะมีคำสอนของศาสนาอื่นหรือคนอื่นแทรกแซงอยู่บ้าง เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอันไหนเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อันไหนไม่ใช่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอุบาลี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า ธรรมเหล่านี้ไม่เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว เธอพึงทรงธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่เป็นคำสั่งสอนของพระศาสนา ส่วนธรรมเหล่าใด.... เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว.... นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา”

วินัยวรรค


🔅 วิธีสร้างปัญญา
ปัญหา วิธีปฏิบัติในหลักศีลและสมาธิปรากฏว่า มีแจ่มแจ้งอยู่แล้ว แต่วิธีเจริญหลักที่ ๓ คือ ปัญญา ยังไม่แจ่มแจ้งพอ ขอได้โปรดแนะวิธีเจริญปัญญาด้วย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

“ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดาหรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครูซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑

“เธออาศัยพระศาสดาหรือเพื่อนพรหมจรรย์..... ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู.... นั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถามเป็นครั้งคราวว่า.... ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผยทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันน่าสงสัยแก่เธอ.... นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๒

“เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ ๒ อย่าง คือความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อมนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๓

“เธอเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาฏิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย.... นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๔

“เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมากทรงจำไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น... ท่ามกลาง... ที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง... นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๕

“เธอย่อมปรารถนาความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อมมูลแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระกุศลธรรม นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๖

"เธอย่อมเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่มีประโยชน์ ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญให้ผู้อื่นแสดงบ้าง ไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างอริยเจ้า นี้เป็นเหตุปัจจัยข้อที่ ๗"

“เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่ารูป.... ความเกิดขึ้นแห่งรูป ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนา... สัญญา.... สังขาร... วิญญาณ.... ความดับแห่งวิญญาณดังนี้.... นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๘ เพื่อได้ปัญญา...ฯ”

ปัญญาสูตร


🔅 พุทธศาสนาเป็นคำสอนแบบลบจริงหรือ
ปัญหา ชาวยุโรปบางคนเห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนแบบลบ (Negative) ประกาศการไม่กระทำ (อกริยวาท) ไม่ส่งเสริมการสร้างสรรค์ไม่สู้กับโลก มีแต่สอนให้หนีจากโลก เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวการไม่กระทำดังนี้ เชื่อว่ากล่าวชอบนั้นมีอยู่ เพราะเรากล่าวการไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการไม่ทำซึ่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่างนี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวการไม่กระทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

“.....ดูก่อนพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวความขาดสูญ ดังนี้ เชื่อว่ากล่าวชอบนั้นมีอยู่ เพราะเรากล่าวความขาดสูญ แห่ง ราคะ โทสะ โมหะ เรากล่าวความขาดสูญ แห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่างนี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าวฯ”

เวรัญชสูตร

🔅 การตรัสรู้โดยฉับพลันมีได้หรือไม่
ปัญหา มีพระพุทธศาสนาบางนิกายถือว่า การบรรลุมรรคผล อาจเกิดขึ้นได้โดยแบพลัน เช่นเดียวกับแสงสว่างวาบขึ้นทันทีทันใด ขับไล่ความมืดให้หมดสิ้นไป การบรรลุมรรคผลโดยฉับพลันดังกล่าวจะมีได้หรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปโดยลำดับไม่โกรกชันเหนือเหวฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง...ฯ”

มหาปราทสูตร


🔅 การกำหนดรู้จิตใจของคนอื่น
ปัญหา มีตามตำรากล่าวว่า ถ้าเราสามารถฝึกฝนจิตจนได้เจโตปริยญาณแล้ว เราจะสามารถรู้ความคิดของคนอื่นดังนี้ มีเรื่องใดหรือไม่ในพระไตรปิฎกที่แสดงให้เห็นตัวอย่างการรู้จิตใจคนอื่น ?

ตอบ “.....มี ในอุโบสถสูตร มีเรื่องเล่าไว้ว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ อยู่ ณ บุพพาราม ใกล้พระนครสาวัตถี ขณะนั้นพระพุทธองค์ประทับนั่งแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เตรียมจะทรงแสดงปาติโมกข์ ในอุโบสถสังฆกรรมคราวหนึ่ง เมื่อปฐมยามผ่านไป พระอานนท์พุทธอุปัฆฐากได้กราบทูลให้ทรงแสดงปาติโมกข์ แต่พระพุทธองค์ก็ทรงนั่งอยู่ แม้เมื่อมัชฌิชยามล่วงไป พระอานนท์กราบทูลอีก พระองค์ก็ทรงนิ่ง เมื่อปัจฉิมยามล่วงไป แสงเงินแสงทองขึ้นแล้ว พระอานนท์ได้กราบทูลอีก พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ บริษัทคือหมู่ภิกษุที่ประชุมกันอยู่ไมบริสุทธิ์ (เมื่อบริษัทไม่บริสุทธิ์ก็แสดงปาติโมกข์ไม่ได้)

“ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้มีความดำริอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ทรงหมายเอาบุคคลไหนหนอ ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะกำหนดใจด้วยใจ กระทำจิตภิกษุสงฆ์ทั้งหมดไว้ในใจแล้ว ได้เห็นบุคคลทุศีลมีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว.... นั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วลุกจากอาสนะเข้าไปหาบุคคลนั้น กล่าวกะบุคคลนั้นว่า อาวุโส จงลุกไป พระผู้มีพระภาคทรงเห็นเธอแล้ว เธอไม่มีสังวาส (ฐานะที่จะอยู่ร่วม) กับภิกษุทั้งหลาย เมื่อท่านพระโมคคัลลานะกล่าวอย่างนี้แล้ว บุคคลนั้นนิ่งเฉยเสีย แม้พระมหาโมคคัลลานะ ได้บอกอีกเป็นครั้งที่ ๒ ที่ ๓ บุคคลนั้นก็นิ่งเฉยเสีย ลำดับนั้นพระมหาโมคคัลลานะจับแขนบุคคลนั้นฉุดออกมาให้พ้นซุ้มประตูด้านนอกแล้วใส่ดาล กลับไปกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงแสดงปาติโมกข์ต่อไปฯ”

อุโปสถสูตร


🔅 จะรู้ได้อย่างไรว่าอาสวะสิ้นแล้ว
ปัญหา สมมติว่าบุคคลปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นพระขีฌาสพ หมดสิ้นกิเลสอาสวะทั้งปวง ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านสิ้นอาสวะ มีอะไรเป็นนิมิตเป็นเครื่องหมายให้ทราบบ้าง?

พระสารีบุตรตอบ “.....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ๘ ประการ ที่เป็นเหตุให้ท่านผู้ประกอบแล้วปฏิญาณความสิ้นไปแห่งอาสวะ ทั้งหลายได้ว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้ว (มีดังต่อไปนี้)

๑. ภิกษุผู้ขีณาสพ ในธรรมวินัยนี้ เห็นสังขารทั้งปวงแจ่มแจ้ง โดยความเป็นของไม่เที่ยง ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง....
๒. ภิกษุผู้ขีณาสพ เห็นกามทั้งหลายว่าเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง แจ่มแจ้งด้วยปัญญา อันชอบตามความเป็นจริง....
๓. ภิกษุผู้ขีณาสพ มีจิตน้อมไป โน้มไปโอนไปในวิเวก ตั้งอยู่ในวิเวกยินดีแล้วในเนกขัมมะ ปราศจากธรรมอันจะเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง.....
๔. ภิกษุผู้ขีณาสพ เจริญสติปัฏฐาน ๔ อบรมบริบูรณ์ดีแล้ว
๕. ภิกษุผู้ขีณาสพ เจริญอิทธิบาท ๔ อบรมดีแล้ว
๖. ภิกษุผู้ขีณาสพ เจริญอินทรีย์ ๕ อบรมดีแล้ว
๗. ภิกษุผู้ขีณาสพ เจริญโพชฌงค์ ๗ อบรมดีแล้ว
๘. ภิกษุผู้ขีณาสพ เจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อบรมดีแล้ว..

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กำลังของภิกษุผู้ขีณาสพ ๘ ประการนี้แล ที่เป็นเหตุให้ท่านผู้ประกอบแล้ว ปฏิญาณความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายได้ว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้วฯ”

พลสูตร ที่ ๒


🔅 ผู้ไม่มีโชคได้พบพระพุทธศาสนา
ปัญหา มีคนประเภทไหนบ้าง ที่ไม่มีโชคได้พบพระพุทธศาสนา ได้ประพฤติพรหมจรรย์ และได้ลิ้มรสความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม.... และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้.... แต่บุคคลผู้นี้เขาถึงนรกเสีย...

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงเปตติวิสัยเสีย....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรมและธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมแสดง นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม..... นำความสงบมาให้ .... แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบท และอยู่ในพวกมิลักขะไม่รู้ดีรู้ชอบ.... อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปมา....

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้น (โอปปาติก) ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิต และทุภาษิต

“อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้.... เป็นผู้จำแนกธรรม.... แต่พระตถาคตมิได้แสดง ถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌมิชนบท และมีปัญญาไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุภาษิต....”

อักขณสูตร


🔅 ทำไมสตรีจึงไม่ควรบวช
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีก็จริงแต่ทรงบัญญัติข้อปฏิบัต ิอันยิ่งยวดไว้ให้ภิกษุณีปฏิบัติ จนในที่สุดก็ปรากฏว่าภิกษุณีได้หายสาบสูญไปจากวงการพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุผลแสดงว่าพระพุทธองค์ไม่ประสงค์จะให้สตรีได้บวชในพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงมีเหตุผลอย่างไรจึงไม่ประสงค์ให้สตรีบวช?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอานนท์ หากมาตุคาม (สตรี) จักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี

“.....ดูก่อนอานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีหญิงมากชายน้อย ตระกูลนั้นถูกพวกโจรกำจัดง่าย แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้น จักไม่ตั้งอยู่นานฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง ขยอกลงในนาข้าวที่สมบูรณ์ นาข้าวนั้นย่อมตั้งอยู่นาน เพลี้ยลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นย่อมตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน

“อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลออกแม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘ ประการ ไม่ให้ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ”

โคตมีสูตร


🔅 ก้าวแรกในการปฏิบัติธรรม
ปัญหา ธรรมข้อไหนจำเป็นในการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ หิริและโอตตัปปะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์.. เมื่อหิริและโอตตัปปะมีอยู่ อินทรีย์สังวรชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์ เมื่ออินทรีย์สังวรมีอยู่ ศีลชื่อว่ามีเหตุอันสมบูรณ์... เมื่อศีลมีอยู่ สัมมาสมาธิชื่อว่ามีเหตุอันสมบูรณ์ .... เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อวามีเหตุสมบูรณ์.... เมื่อยถาภูตญาณทัสสนะมีอยู่ นิพพิทาวิราคะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์.... เมื่อนิพพิทาวิราคะมีอยู่ วิมุติญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุอันสมบูรณ์ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบสมบูรณ์ แม้กะเทาะของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ แม้เปลือก แม้กระพี้ แม้แก่นของต้นไม้นั้นก็ย่อมบริบูรณ์ฉะนั้น ฯ”

สติสูตร


🔅 แม้โจรก็ต้องมีธรรมะ
ปัญหา มีผู้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้สำหรับคนทุกจำพวก แม้กระทั่งโจร จริงหรือไม่? ถ้าจริง พระองค์ทรงแดสงธรรม ของโจรไว้อย่างไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรประกอบด้วยองค์ ๘ ประการย่อมพลันเสื่อม ตั้งอยู่ไม่นาน องค์ ๘ ประการเป็นไฉน คือประหารคนที่ไม่ประหารตอบ ๑ ถือเอาสิ่งของไม่เหลือ ๑ ลักพาสตรี ๑ ประทุษร้ายกุมารี ๑ ปล้นบรรพชิต ๑ ปล้นราชทรัพย์ ๑ ทำงานใกล้ถิ่นเกินไป ๑ ไม่ฉลาดในการเก็บ ๑....

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรประกอบด้วยองค์ ๘ ประการย่อมไม่เสื่อมเร็ว ตั้งอยู่ได้นาน องค์ ๘ ประการเป็นไฉน คือไม่ประหารคนที่ไม่ประหารตอบ ๑ ไม่ถือเอาสิ่งของจนไม่เหลือ ๑ ไม่ลักพาสตรี ๑ ไม่ประทุษร้ายกุมารี ๑ ไม่ปล้นบรรพชิต ๑ ไม่ปล้นราชทรัพย์ ๑ ไม่ทำงานใกล้ถิ่นเกินไป ๑ ฉลาดในการเก็บ ๑....”

โจรสูตร ที่ ๑-๒


🔅 สมาธิกับฌาน
ปัญหา การบำเพ็ญสมาธิจนได้ฌาน จะเป็นเหตุละอาสวะได้หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยแนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง....

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาหร เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้วเธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุ นั้นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละ คือ อุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้นย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย....”

ฌานสูตร


🔅 พระพุทธเจ้าในฐานะคนธรรมดา
ปัญหา เท่าที่ศึกษาจากพุทธประวัติ รู้สึกว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นบุคคลพิเศษ เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ผิดสามัญมนุษย์ มีลักษณะอะไรบ้างที่แสดงว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา?

คำตอบ “.....ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นเสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลา (ซึ่งพระนันทกะกำลังแสดงธรรมอยู่) ประทับยืนรอจนจบการแสดง ณ ซุ้มประตุด้านอก ครั้นทรงทราบว่าการแสดงจบแล้วทรงกระแอมไอและทรงเคาะที่ลิ่มประตู ภิกษุเหล่านั้นเปิดประตูให้พระผู้มีพระภาคลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้ ครั้นแล้วตรัสกะพระนันทกะว่า ดูก่อนนัทกะ ธรรมบรรยายของเธอที่ยาวมาก แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ เรายืนฟังจนจบ การแสดงที่ซุ้มประตูด้านนอก หลังของเราย่อมเมื่อย ....”

นันทกสูตร


🔅 ศีลกับอรหัตตผล
ปัญหา การรักษาศีล จะสามารถนำไปสู่การบรรลุมรรคผลได้หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อน) เป็นผล.... อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล.... ปราโมทย์มีปีติเป็นผล.... ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล.... ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล... สุขมีสมาธิเป็นผล.... สมาธิมียถาภูฌาณทัสสนะเป็นผล... ยถาภูฌานทัสสนะมีนิพพิทาวิราคะเป็นผล.. นิพพิทาวิราคะมีวิมุตฌาณทัสสนะเป็นผล ด้วยประการดังนี้ ดูก่อนอานนท์ ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตตผลโดยลำดับด้วยประการดังนี้แล ฯ”

กิมัตถิยสูตร 


🔅 เหตุแห่งสังฆเภท
ปัญหา ได้ทราบว่า การทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง อยากทราบว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมว่าเป็นธรรม ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่ใช่ธรรม ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่วินัยว่าเป็นวินัย ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่าไม่ใช่วินัย ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ (แต่)ได้บอกไว้ว่าตถาคตกล่าวไว้บอกไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตกล่าวไว้ บอกไว้ว่าตถาคตไม่ได้กล่าวไว้บอกไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่เคยประพฤติมาว่า ตถาคตเคยประพฤติมา ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตประพฤติมา ว่าตถาคตไม่เคยประพฤติมา ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ว่าตถาคตเคยบัญญัติไว้ ๑ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ ว่าตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ๑ ภิกษุเหล่านั้นย่อมทอดทิ้งกันแยกจากกัน ทำสังฆกรรมแยกกัน สวดปาติโมกข์แยกจากกันด้วยสัตถุ ๑๐ ประการนี้ ดูก่อนอุบาลี สงฆ์ จะเป็นผู้แตกกันด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ”

อุปาลิสังฆเภทสูตร


🔅 เหตุแห่งความชั่ว
ปัญหา อะไรบ้างเป็นเหตุให้คนกระทำความชั่ว?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนมหาลี โลภะแล... โทสะแล... โมหะแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรมแห่งความเป็นไปแห่งบาปกรรม อโยนิโสมนสิการแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรม... จิตอันบุคคลตั้งไว้ผิดแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการทำบาปกรรม....ฯ”

มหาลิสูตร


🔅 อวิชชาก็มีเหตุ
ปัญหา ตามหลักปฏิจจสมุปบาทนั้น ทุกข์ทั้งหลายเมื่อไล่เลียงไปถึงที่สุดแล้วก็ไปหยุดแค่อวิชชา อยากทราบว่าอวิชชาเองมีอะไรเป็นเหตุหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวอวิชชาว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของอวิชชา ควรจะกล่าวว่านิวรณ์ ๕ ก็อะไรเป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ ควรจะกล่าวว่าทุจริต ๓ ก็อะไรเป็นอาหารของทุจริต ๓ ควรจะกล่าวว่าการไม่สำรวมอินทรีย์ ก็อะไรเป็นอาหารแห่งการไม่สำรวมอินทรีย์ ควรจะกล่าวว่าความไม่มีสติสัมปชัญญะ ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีสติสัมปชัญญะ ควรกล่าวว่า การกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย อะไรเป็นอาหารของการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ควรจะกล่าวว่าความไม่มีศรัทธา ก็อะไรเป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา ควรจะกล่าวว่าการไม่ฟังธรรม ก็อะไรเป็นอาหารของการไม่ฟังธรรม ควรกล่าวว่าการไม่คบสัตบุรุษ การไม่คบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการไม่ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ .......ฯ”

อวิชชาสูตร


🔅 เหตุให้พระพุทธเจ้าอุบัติ
ปัญหา อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ ไม่พึงมีในโลก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พึงบังเกิดในโลก ธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศไว้แล้ว ไม่พึงรุ่งเรืองในโลก ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน คือ ชาติ ๑ ชรา๑ มรณะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้แลไม่พึงมีในโลก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พึงบังเกิดในโลก...ฯ”

อภัพพสูตร


🔅 ความหลุดพ้นผิด
ปัญหา ความหลุดพ้นหรือทางรอด ย่อมมีเฉพาะความหลุดพ้นที่ถูกต้องอย่างเดียว หรือความหลุดพ้นผิดก็มี?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะ (การตั้งตนไว้ผิด) จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล เพราะอาศัยมิจฉัตตะอย่างไร... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิด ย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อมมีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการเลี้ยงชีพผิด ผู้มีการเลี้ยงชีพผิด ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิด ย่อมมีความระลึกผิด ผู้มีความระลึกผิด ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้งใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะ อย่างนี้แล จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล.....”

มิจฉัตตสูตร


🔅 เหตุให้เกิดภวตัณหา
ปัญหา ภวตัณหา คือ ความอยากเกิดในภพ มีอะไรเป็นเหตุ หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งภวตัณหาย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่นี้ ภวตัณหาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี เพราะเหตุนั้นเราจึงกล่าวคำอย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ภวตัณหามีข้อนี้เป็นปัจจัย จึงปรากฏ

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวภวตัณหาว่ามีอาหารมิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของภวตัณหา ควรกล่าวว่าอวิชชา....ฯ”

ตัณหาสูตร


🔅 ปฏิปักษ์ของธรรมต่าง
ปัญหา ธรรมต่างๆ ย่อมจะมีธรรมเป็นคู่กัน โปรดแสดงให้เห็นว่าธรรมอะไรมีอะไรเป็นปฏิปักษ์บ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นผู้ยินดีในที่สงัด ๑ การประกอบสุภนิมิต เป็นปฏิปักษ์ต่ออสุภนิมิต ๑ การดูมหรสพที่เป็นข้าศึก เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คุ้มครองอินทรีย์ในทวารทั้งหลาย ๑ การติดต่อกับมาตุคาม เป็นปฏิปักษ์ต่อพรหมจรรย์ ๑ เสียงเป็นปฏิปักษ์ต่อปฐมฌาน ๑ วิตกวิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อทุติยฌาน ๑ ปีติเป็นปฏิปักษ์ต่อตติยฌาน ๑ ลมอัสสาสะปัสสาสะเป็นปฏิปักษ์ต่อ จตุตถฌาน ๑ สัญญาและเวทนาเป็นปฏิปักษ์ต่อสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ๑ ราคะเป็นปฏิปักษ์ โทสะเป็นปฏิปักษ์ ๑....”

กัณฏกสูตร


🔅 ความเจริญ ๑๐ ประการ
ปัญหา มีหลักฐานอะไรบ้างที่แสดงว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงปฏิเสธโลกอย่างสิ้นเชิง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเมื่อเจริญด้วยความเจริญ ๑๐ ประการ ย่อมเจริญด้วยความเจริญอันประเสริฐ และเป็นผู้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ... ความเจริญ ๑๐ ประการเป็นไฉน คืออริยสาวก

ย่อมเจริญด้วยนาและสวน ๑
ย่อมเจริญด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก๑
ย่อมเจริญด้วยบุตรและภรรยา ๑
ย่อมเจริญด้วยทาส กรรมการ และคนใช้ ๑
ย่อมเจริญด้วยสัตว์ ๔ เท้า ๑
ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ๑
ย่อมเจริญด้วยศีล ๑
ย่อมเจริญด้วยสุตะ ๑
ย่อมเจริญด้วยจาคะ ๑
ย่อมเจริญด้วยปัญญา ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกเมื่อเจริญด้วยความเจริญ ๑๐ ประการนี้ ย่อมเจริญด้วยความเจริญอันประเสริฐ....ฯ”

วัฑฒิสูตร 


🔅 คนใจไม่เป็นทุกข์และทุกข์ไปตามกาย
ปัญหา คนประเภทไหน เมื่อร่างกายเป็นทุกข์ จิตใจก็พลอยทุกข์ไปด้วย คนประเภทไหน แม้ร่างกายเป็นทุกข์ แต่จิตใจไม่พลอยทุกข์ไปด้วย ?

พระสารีบุตรตอบ “.....ดูก่อนคฤหบดี ปุถุชนในโลกนี้ ผู้มิได้เรียนรู้ มิได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ย่อมเห็นรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณว่าเป็นตน เห็นตนมี รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ ย่อมเห็นรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณในตน ย่อมเห็นตนในรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เป็นผู้อยู่ด้วยความถือมั่นว่าเราเป็นรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณเป็นของเรา รูป (เป็นต้นนั้น) ย่อมแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่นเมื่อรูป (เป็นต้นนั้น) แปรปรวนไปเป็นอย่างอื่นความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความขัดเคือง และความตรอมใจย่อมเกิดขึ้น... ดูก่อนคฤหบดี ด้วยเหตุอย่างนี้แล บุคคลจึงชื่อว่า มีกายกระสับกระส่าย และมีจิตกระสับกระส่าย

“.....ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ ได้เรียนรู้แล้ว ได้เห็นพระอริยเจ้า ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ย่อมไม่เห็นรูปในตน ว่าเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ย่อมไม่เห็นรูปในตน

ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ไม่อยู่ด้วยความถือมั่นว่า เราเป็นรูป  รูปเป็นของเรา.... เมื่อรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป ความโศก ..... ย่อมไม่เกิดขึ้น ดูก่อนคฤหบดี อย่างนี้แล บุคคลแม้จะมีกายกระสับกระส่าย แต่หามีจิตกระสับกระส่ายไม่....”

นกุลปิตาสูตร


🔅 สาระของพระพุทธโอวาท
ปัญหา ถ้ามีคนถามเราว่าพระศาสดาของท่านมีวาทะอย่างไร ตรัสสอนอย่างไร จะตอบว่าอย่างไรจึงจะถูกต้อง?

พระสารีบุตรตอบ “.....ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า... พระศาสดาของเราตรัสสอนให้กำจัดความยินดีและความใคร่... ความยินดีและความใคร่ในอะไร ? ความยินดีและความใคร่ในรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ.... ทรงเห็นโทษอะไรจึงตรัสสอนให้กำจัดความยินดีและความใคร่...เพราะว่า เมื่อบุคคลมีความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในรูป (เป็นต้น) ยังไม่หายขาด ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความขัดเคือง และความตรอมใจย่อมเกิดขึ้น... ในเมื่อรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ.... แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป”

เทวทหสูตร


🔅 เหตุเกิดและดับแห่งขันธ์ ๕
ปัญหา พระพุทธพจน์ที่ว่า ภิกษุมีจิตเป็นสมาธิแล้วย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง หมายความว่ารู้อะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่ง รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความจริงแห่งรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ? “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ย่อมเพลิดเพลินหลงใหล ดื่มด่ำอยู่ในรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เมื่อเพลิดเพลินหลงใหล ดื่มด่ำอยู่ในรูป ความยินดีพอใจก็เกิดขึ้น ความยินดีพอใจในรูป เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพระภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความขัดเคือง ความตรอมตรมใจ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ?
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่หลงใหล ไม่ดื่มด่ำใน รูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่หลงใหล....... ความยินดีในรูปย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ... จึงดับไป ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการฉะนี้”

สมาธิสูต

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS