RSS

๒.๓ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ

ในการปฏิบัติธรรม จะต้องเข้าใจความหมาย ความมุ่งหมาย ขอบเขตและตำแหน่งเชื่อมโยงกับหลักธรรมอื่น ของธรรมหรือหลักการนั้นๆ ความเข้าใจถูกต้องนี้ นำไปสู่การปฏิบัติถูกต้องที่เรียกว่า ธรรมานุธรรมปฏิบัติ ซึ่งแปลว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม, ปฏิบัติธรรมถูกหลัก, ปฏิบัติธรรมย่อยคล้อยตามธรรมใหญ่ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ เป็นหลักการสำคัญมากของการศึกษาและปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา อาจเรียกได้ว่า เป็นตัวตัดสินว่า การปฏิบัติธรรม หรือการกระทำนั้นๆ จะสำเร็จผลบรรลุจุดมุ่งหมายได้หรือไม่ ถ้าไม่มีธรรมานุธรรมปฏิบัติ ก็อาจคลาดเคลื่อน ผิดพลาด เลื่อนลอย งมงาย ไร้ผล หรืออาจเกิดโทษขึ้นได้ ธรรมทุกข้อมีความมุ่งหมาย จะปฏิบัติอะไร ต้องถามได้ตอบได้ ว่าเพื่ออะไร

ในขั้นศีล ผู้ถือศีลโดยเข้าใจความมุ่งหมาย ก็ย่อมตระหนักถึงความหมาย และความมุ่งหมายของศีลนั้น และเข้าใจว่าสัมพันธ์กับส่วนอื่นในกระบวนการปฏิบัติอย่างไร รู้จักแยกว่า นี้เป็นศีล (ระเบียบกลาง) นี้เป็นวัตร (ธรรมเนียมปฏิบัติ) เป็นพรต (ข้อปฏิบัติเสริม) ท่านผู้นี้ควรถือข้อปฏิบัติเข้มงวดมากข้อนี้ด้วยเหตุผลดังนี้ๆ ท่านผู้นี้ไม่ควรถือข้อนี้ด้วยเหตุผลดังนี้



เมื่อมองในแง่ปรมัตถ์ ศีล สมาธิ และปัญญา ต่างก็มีจุดหมายสุดท้ายเพื่อนิพพานเหมือนกัน แต่เมื่อมองจำกัดเฉพาะตัว แต่ละอย่างมีขีดขั้นขอบเขตของตน ที่จะต้องไปเชื่อมต่อกับอย่างอื่นๆ จึงจะให้บรรลุจุดหมายสุดท้ายได้ ลำพังอย่างหนึ่งอย่างเดียวหาสำเร็จผลล่วงตลอดไม่ แต่จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดเสียทีเดียว ก็ไม่ได้ จึงมีหลักว่า ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติ

ดังพุทธพจน์ “ผู้ปฏิบัติธรรมถูกหลัก (ธรรมานุธรรมปฏิบัติ) เป็นบุคคลหาได้ยาก (พวกหนึ่ง) ในโลก” (สารันททสูตร)

“คนที่สมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤติ เป็นผู้ประเสริฐสุดทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา” (อัคคัญสูตร)

“ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ประพฤติตามธรรม ผู้นั้นชื่อว่าสักการะ เคารพนับถือ บูชา พระตถาคต ด้วยบูชาอย่างยิ่ง” (มหาปรินิพพานสูตร)



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๒.๒ บุพนิมิตแห่งมรรค

บุพนิมิตแห่งมรรค ปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นของสัมมาทิฏฐิ รุ่งอรุณแห่งการศึกษาและปัญญา

สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์ประกอบสำคัญของมรรค ในฐานะที่เป็นขั้นเริ่มแรกและเป็นแกนกลางในระบบการศึกษาตามหลักการของพระพุทธศาสนา และเป็นธรรมที่ต้องพัฒนาให้บริสุทธิ์ ชัดเจน เป็นอิสระมากขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นการตรัสรู้ในที่สุด ถ้าไม่เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าไม่ดำเนินตามมัชฌิมาปฏิปทา ก็แก้ปัญหาดับทุกข์ไม่สำเร็จ ดังพุทธพจน์ “ธรรมรถ ประกอบด้วยล้อ คือ ธรรม, หิริ เป็น ฝา, สติ เป็นเกราะกั้น, สัมมาทิฏฐิ นำหน้าเป็นสารถี บุคคลใดมียานเช่นนี้ เขาย่อมใช้ยานนั้น ขับไปถึงในสำนักแห่งนิพพาน” (อัจฉราสูตร)

ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ หรือ เรียกว่า บุพนิมิตแห่งมรรค มี ๒ ประการ คือ
ประการที่ ๑ ปรโตโฆสะ (องค์ประกอบภายนอก) : ที่สำคัญที่สุดคือกัลยาณมิตร ในระดับสูงสุดคือพระบรมศาสดา ครูอาจารย์ มิตรสหาย ตลอดจน หนังสือ สื่อการสอนต่างๆ เป็นฝ่ายศรัทธา ปัจจัยทางสังคมที่ดีงามนั้น เป็นทั้งเครื่องจุดชนวนความรู้จักคิดที่เรียกว่าโยนิโสมนสิการ และเป็นเครื่องประคับประคองคอยเสริมเติม และกระตุ้นโยนิโสมนสิการนั้นในระหว่างก้าวเดินคืบหน้าต่อๆไป
ประการที่ ๒ โยนิโสมนสิการ (องค์ประกอบภายใน) : ความคิดชนิดที่ทำให้เกิดการใช้ปัญญา ความคิดที่ทำให้ปัญญานั้นเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป แปลให้ง่ายคือ ความฉลาดคิด เป็นฝ่ายปัญญา เป็นตัวชี้ขาดในการบรรลุสัจธรรม

เมื่อธรรม ๒ ข้อนี้ เป็นปัจจัยให้สัมมาทิฏฐิเจริญขึ้น จึงจัดว่าธรรม ๒ ข้อนี้เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเจริญขึ้นในกุศลธรรม ข้อตัดสินว่า ทำหน้าที่กัลยาณมิตรได้สำเร็จ คือ ทำให้ผู้เสวนาเกิดมีสัมมาทิฏฐิ ถ้าตรงกันข้ามจากนี้ คือ ได้ผู้ไม่เป็นกัลยาณมิตร ทำให้ประสบปรโตโฆสะที่ผิดพลาด และใช้ความคิดผิดวิธี ไม่ฉลาดคิด เป็นอโยนิโสมนสิการ ก็จะได้รับผลตรงข้าม คือเป็นมิจฉาทิฏฐิไปได้

อย่างไรก็ตาม กัลยาณมิตรล้วนๆ ส่งผลได้ถึง โลกิยสัมมาทิฏฐิ (ขั้นศรัทธา) เท่านั้น ผู้ปฏิบัติต้องมี โยนิโสมนสิการ มารับช่วงทำงานต่อไป จึงจะสามารถนำไปสู่โลกุตรสัมมาทิฏฐิได้ กัลยาณมิตรที่ดี พึงช่วยจุดชนวนโยนิโสมนสิการในตัวผู้เรียนขึ้นด้วย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดฉันทะ และการศึกษาของเขาก็ก้าวหน้าต่อไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ด้วยตัวเขาเอง พึงสังเกตว่า แม้แต่ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ถูกถือว่าเป็นบาปหรือความชั่ว ถือว่าเป็นเพียงสิ่งที่จะต้องแก้ไขให้รู้แน่ชัดลงไปจนหมดสงสัย ด้วยวิธีการแห่งปัญญา และยังส่งเสริมให้ใช้ความคิดสอบสวนพิจารณาตรวจสอบอีกด้วย (เอหิปัสสิโก : ควรเรียกให้มาดู เชิญชวนให้มาชม ท้าทายต่อการตรวจสอบ)

พุทธพจน์ที่กล่าวถึงความสำคัญของปัญญา “เพราะเจริญ เพราะกระทำให้มาก ซึ่งอินทรีย์อย่างเดียว ภิกษุผู้ขีณาสพ ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลได้ อินทรีย์อย่างเดียวนั้น ก็คือ ปัญญินทรีย์, สำหรับอริยสาวกผู้มีปัญญา ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ อันเป็นของคล้อยตามปัญญานั้น ย่อมทรงตัวอยู่ได้” (ปุพพารามสูตร) (ถึงมีอินทรีย์อื่นๆ ถ้าขาดปัญญาเสียเพียงอย่างเดียว ก็ไม่อาจให้บรรลุผลสำเร็จนี้ได้ อีกทั้งอินทรีย์อื่น เมื่อไม่มีปัญญาเป็นแกนก็อาจเสื่อมไปได้)

“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใดก็ตาม ที่เป็นกุศล อยู่ในภาคกุศล อยู่ในฝ่ายกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีโยนิโสมนสิการเป็นมูลราก ประชุมลงในโยนิโสมนสิการ, โยนิโสมนสิการ เรียกว่า เป็นยอดของธรรมเหล่านั้น” (กุสลสูตร)

“สำหรับภิกษุผู้เสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะ อันยอดเยี่ยม เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายในอย่างอื่นแม้สักอย่าง ที่มีประโยชน์มาก เหมือนโยนิโสมนสิการเลย ภิกษุผู้ใช้โยนิโสมนสิการ ย่อมกำจัดอกุศลได้ และบำเพ็ญกุศลให้เกิดขึ้น” (เสขสูตร) (องค์ประกอบภายในที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ โยนิโสมนสิการ ส่วนองค์ประกอบภายนอกที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ กัลยาณมิตร)

“การฟังด้วยดี การสอบถามค้นคว้า เป็นอาหารของปัญญา” (อิฏฐสูตร)



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๒.๑ มัชฌิมาปฏิปทา (มรรค ๘)

มัชฌิมาปฏิปทา : ข้อปฏิบัติที่เป็นกลางตามธรรมชาติ หรือ ทางสายกลาง

    เมื่อเรียนรู้เรื่องมัชเฌนธรรมเทศนามาตามลำดับ จนถึงรู้จักกระบวนการดับทุกข์ในข้อว่าด้วยนิโรธ (นิพพาน) เป็นอันได้เข้าใจหลักการดับทุกข์ หรือหลักการแก้ปัญหาแล้ว ต่อมาเป็นภาคปฏิบัติ อันกล่าวถึงวิธีการที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จตามหลักการหรือกระบวนการนั้นได้อย่างไร มัชฌิมาปฏิปทา หรืออริยสัจข้อสุดท้าย คือ มรรค เป็นประมวลหลักความประพฤติปฏิบัติ หรือระบบจริยธรรมทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนภาคปฏิบัติที่จะช่วยให้การดำเนินสู่จุดหมายตามแนวทางที่ได้พิจารณาไว้แล้วนั้น เป็นผลสำเร็จขึ้นมาในชีวิตจริง พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ผ่านจากขั้นรู้ความจริงเกี่ยวกับกฎธรรมชาติ มาสู่ขั้นประยุกต์ความรู้นั้นจัดวางเป็นระบบวิธีประพฤติปฏิบัติของมนุษย์

ทางสายกลางนั้น มิใช่หมายถึงอยู่กึ่งกลางระหว่าง ที่สุดทั้ง ๒ ทาง หรือกึ่งกลางของทางหลายๆทาง แต่หมายถึง ความมีเป้าหมายที่แน่ชัด แล้วกระทำตรงจุด ตรงกลางเป้าหมาย พอเหมาะพอดีจะให้ผลสำเร็จตามเป้าหมายนั้น ไม่เขวออกไปเสีย การเพียรพยายามไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป บางคราวก็นิยมพูดกันว่า เป็นทางสายกลาง คำพูดนี้เข้าลักษณะทางสายกลางได้ในบางแง่ แต่ไม่ถูกแท้ทีเดียว บางคราวถ้าชัดเจนว่าเดินถูกทาง มั่นใจและพร้อมทุกอย่างแล้ว ท่านให้ระดมความเพียรสุดกำลังก็มี เรื่องนี้จึงไม่ควรสับสนกับทางสายกลาง

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา สมควรแท้เพื่อปรารภความเพียรในธรรมอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ทำให้ตื้น เปิดเผย ประกาศ เป็นดุจผืนผ้าเก่าที่ตัดไว้แล้ว ด้วยความตั้งใจว่า หนัง เอ็น และกระดูกจงเหลืออยู่ เนื้อเลือดในสรีระของเราจงเหือดแห้งไปก็ตามที อิฐผลใดที่จะพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ ยังไม่บรรลุอิฐผลนั้น จักไม่หยุดความเพียร ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้เกียจคร้านเกลื่อนกล่นด้วยธรรมอันเป็นบาปอกุศล ย่อมอยู่เป็นทุกข์ และย่อมยังประโยชน์ของตนอันใหญ่ให้เสื่อมเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลผู้ปรารภความเพียร ผู้สงัดจาธรรมอันเป็นบาปอกุศล ย่อมอยู่เป็นสุข และยังประโยชน์ของตนอันใหญ่ให้บริบูรณ์ได้” (ทศพลสูตรที่ ๒)

อนึ่ง โดยเหตุที่ทางสายกลางเป็นทางที่มีจุดหมายแน่ชัด ผู้ปฏิบัติจึงต้องรู้จุดหมาย จึงจะเดินทางได้ เปรียบเหมือนเมื่อจะเดินทางก็ต้องรู้ว่าชัดตนจะไปไหนจึงจะไม่เขวออกนอกทิศทาง ด้วยเหตุนี้ ทางสายกลางจึงเริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ คือเริ่มต้นด้วยความเข้าใจปัญหาของตน และรู้จุดหมายที่จะเดินทางไป ทางสายกลางเป็นทางแห่ง ปัญญา ความรู้ ความมีเหตุผล และกล้าเผชิญหน้ากับความจริง

“ภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคา ไหลหลั่ง ลาดเอน เบนไปสู่มหาสมุทร ฉันใด ภิกษุเมื่อเจริญอยู่ ทำให้มากอยู่ ซึ่งมรรคามีองค์ ๘ ประการ อันประเสริฐ ย่อมเป็นผู้โน้มน้อม ลาดเอน เบนไปสู่นิพพาน ฉันนั้น” (คังคาสมุทนินนสูตร)

อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนามิได้มองข้ามประโยชน์หรือจุดหมายขั้นรองลดหลั่นกันลงมา ที่มนุษย์จะพึงถึงตามระดับความพร้อมของตน โดยจัดแบ่งจุดหมายไว้เป็น ๓ ระดับ

ระดับที่ ๑ ทิฏฐธัมมิกัตถะ : ประโยชน์ปัจจุบัน เป็นจุดหมายขั้นต้น หมายถึงประโยชน์อย่างที่มองเห็นๆกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ทรัพย์สิน ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น อันจะสำเร็จด้วยธรรม ๔ ประการ คือ ความเพียร การดูแลรักษา กัลยาณมิตร และการเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้
ระดับที่ ๒ สัมปรายิกัตถะ : ประโยชน์เบื้องหน้า ประโยชน์ที่ลึกล้ำยิ่งกว่าที่จะมองเห็นกันอย่างผิวเผินภายนอก เกี่ยวด้วยชีวิตด้านใน เป็นจุดหมายขั้นสูงขึ้นไป ซึ่งเป็นหลักประกันชีวิตเมื่อละโลกนี้ไป หรือเป็นเครื่องประกันการได้คุณค่าที่สูงล้ำเลิศยิ่งขึ้นไป ได้แก่ ความเจริญงอกงามแห่งชีวิตจิตใจอันประกอบด้วยคุณธรรม ๕ ประการคือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา
ระดับที่ ๓ ปรมัตถะ : ประโยชน์อย่างยิ่ง หรือประโยชน์ที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิต ได้แก่ การรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จึงไม่ตกเป็นทาสของชีวิตและโลก มีจิตใจเป็นอิสระ โปร่งโล่ง ผ่องใส เบิกบาน สะอาดบริสุทธิ์สิ้นเชิง คือ นิพพาน

ตามคติของพระพุทธศาสนา บุคคลทุกคนควรดำเนินชีวิตให้บรรลุจุดหมายอย่างน้อยถึงขั้นที่ ๒ จึงได้ชื่อว่าเป็น บัณฑิต เป็นผู้มีชีวิตไม่ว่างเปล่าไร้ค่า ถือเอาสาระในโลกนี้ไว้ได้



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๑.๓๑ ประเด็นเรื่องจิตเดิมแท้

ส่วนแทรกเสริม : ประเด็นเรื่องจิตเดิมแท้ (จดบันทึกโดยย่อความจากเทปปาฐกกถาธรรมของ อ.เสถียร โพธินันทะ)

“ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ปภัสสร แต่จิตนั้นแล เศร้าหมองด้วยอุปกิเลสที่จรมา , ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส และจิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา” (อัจฉราสังฆาตวรรค)

“… แต่ไม่ใช่ว่าทำให้จิตกลับไปสะอาดดังจิตเดิมแท้ในอดีต พุทธพจน์นี้ไม่ได้มีคำว่า จิตเดิมแท้ คำสอนทำนองว่าจิตเดิมแท้นั้นเป็นการปรุงแทรกขึ้นในนิกายมหาสังฆิกะ และนิกายเซนฝ่ายใต้ จากพุทธพจน์ จิตนี้ผ่องใส หมายความว่า จิตยังมีอวิชชาอยู่ (หรือมีอนุสัยนอนก้นอยู่) เมื่อกิเลสอย่างกลาง กับอย่างหยาบ (อุปกิเลส ๑๖) ยังไม่ถูกกระตุ้นให้ฟุ้งขึ้น ท่านก็ยังถือว่าผ่องใสในระดับหนึ่งเหมือนจิตของเด็กทารก แต่ไม่ใช่บริสุทธิ์จากกิเลสโดยสิ้นเชิง ยังมีกิเลสอย่างละเอียดนั้นตกตะกอนนอนก้นอยู่”

พิจารณาได้จาก ถ้าจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ไม่มีอวิชชาอยู่แล้วโดยสิ้นเชิง กิเลสใดๆก็จะฟุ้งขึ้นมาอีกไม่ได้ การบรรลุธรรมจึงไม่ได้เป็นการละกิเลสเพื่อให้จิตกลับไปสู่จิตเดิมแท้ ความเห็นในทำนองที่ยังมีตัวผู้เสพเสวยนิพพานนั้นอยู่ ในลักษณะของจิตเดิมแท้ จัดเป็นสัสสตทิฏฐิ

ส่วนประเด็นที่ว่าเมื่อตายลง ขันธ์ ๕ ในชาตินี้ดับหมดตั้งแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วอะไรเป็นตัวไปเกิดชาติหน้า อธิบายว่า จุติจิต คือ จิตที่ดับไปในตอนสุดท้ายนั้น ส่งไปในลักษณะเหมือนพลังงาน ไปที่จิตดวงใหม่ คือ อุบัติจิต, ปฏิสนธิวิญญาณ เป็นการเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่มีระหว่างคั่น เปรียบเทียบได้กับ การนำเทียนมาต่อไฟกัน เทียนเล่มแรกไส้เทียนจวนหมดแล้วต่อไฟเข้ากับเทียนเล่มที่สองแล้วเทียนเล่มแรกก็ดับไป ไฟของเทียนเล่มที่สองนั้นไม่ใช่ไฟของเทียนเล่มแรก แต่ก็มีปฐมเหตุมาจากเทียนเล่มแรกนั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าการสืบต่อของเหตุปัจจัยนั้นไม่มีลักษณะของความเป็นอัตตาที่เที่ยงแท้แต่อย่างใด



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๑.๓๐ ตัวอย่างกระบวนการของจิตแบบ “อติมหันตารมณ์”

ขณะจิตหนึ่งๆ ประกอบด้วยขณะเล็ก ๓ ขณะ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรไป ขณะจิตเล็ก ๓ ขณะนี้รวมเป็นขณะจิตใหญ่ขณะ ๑ ขณะจิตใหญ่เกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปธรรมจึงดับหน ๑ กล่าวคือ จิต เกิดดับเร็วกว่า รูป ๑๗ เท่า

ในที่นี้จะกล่าวถึงกระบวนการของจิตแบบที่เรียกว่า “อติมหันตารมณ์” ซึ่งเป็นจิตที่รับรู้ทางทวาร ๕ (ปัญจทวารวิถี) ประกอบด้วย ๑๗ ขณะจิตเล็ก ดังนี้

ขณะที่ ๑ อตีตภวังคจิต ภวังคจิตที่สืบต่อมา
ขณะที่ ๒ ภวังคจลนจิต ภวังคจิตเริ่มไหวตัวจากอารมณ์ใหม่ที่กระทบ
ขณะที่ ๓ ภวังคุปัจเฉทจิต จิตขาดจากกระแสภวังค์ของอารมณ์เก่า
ขณะที่ ๔ ปัญจทวาราวัชชนจิต จิตขึ้นสู่ปัญจทวาร, คำนึงถึงอารมณ์ใหม่ทางทวารนั้นๆ (ถ้าเป็นมโนทวารวิถี ก็เป็นมโนทวาราวัชชนจิต)
ขณะที่ ๕ ปัญจวิญญาณจิต จิตรับรู้อารมณ์ในปัญจทวาร คือ เป็นจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ขณะที่ ๖ สัมปฏิจฉันนจิต จิตรับเอาอารมณ์จากปัญจวิญญาณ
ขณะที่ ๗ สันตีรณจิต จิตพิจารณาไต่สวนเปรียบเทียบอารมณ์
ขณะที่ ๘ โวฏฐัพพนจิต จิตตัดสินอารมณ์, กำหนดอารมณ์
ขณะที่ ๙-๑๕ ชวนจิต การแล่นไปในอารมณ์ เกิดดับอยู่อย่างนี้ติดต่อกัน ๗ ขณะ คือ รับรู้เสพทำต่ออารมณ์ เป็นช่วงที่ทำกรรม โดยจะเป็นกุศล อกุศล หรือกิริยา (เฉพาะพระอรหันต์) อยู่ใน ๗ ขณะนี้
ขณะที่ ๑๖-๑๗ ตทาลัมพนจิต จิตยึดหน่วงเอาอารมณ์ตามชวนะ เป็นการเกิดวิบากจิตที่ได้รับอารมณ์ต่อจากชวนะ เหมือนได้รับผลประมวลจากชวนะมาบันทึกเก็บไว้ก่อนตกภวังค์

ในรายละเอียด วิถีจิตมีความเป็นไปแตกต่างกันหลายแบบ เช่น ในปัญจทวารวิถีดังข้างต้นนั้น เป็นกรณีที่รับอารมณ์ซึ่งมีกำลังเด่นชัดมาก (เรียกว่า อติมหันตารมณ์) แต่ถ้าอารมณ์ที่ปรากฏเข้ามามีกำลังไม่มากนัก (มหันตารมณ์) ภวังค์จะยังไม่ไหวตัวจนถึงภวังคจิตขณะที่ ๓ หรือขณะที่ ๔ จึงจะไหวตัวเป็นภวังคจลนะ ในกรณีอย่างนี้ ก็จะมีอตีตภวังค์ ๒ หรือ ๓ ขณะ และเมื่อขึ้นสู่วิถี ก็จะไปจบแค่ชวนะที่ ๗ ดับ แล้วก็ตกภวังค์ โดยไม่มีตทารมณ์เกิดขึ้น, ยิ่งกว่านั้น ถ้าอารมณ์ที่ปรากฏมีกำลังน้อย (ปริตตารมณ์) ก็จะผ่านอดีตภวังค์ไปหลายขณะ (ตั้งแต่ ๔ ถึง ๙ ขณะ) จึงเป็นภวังคจลนะ และเมื่อขึ้นสู่วิถีแล้ว วิถีนั้นก็ไปสิ้นสุดลงแค่โวฏฐัพพนะไม่ทันเกิดชวนจิต ก็ตกภวังค์ไปเลย, และถ้าอารมณ์ที่ปรากฏนั้นอ่อนกำลังเกินไป (อติปริตตารมณ์) ก็จะผ่านอดีตภวังค์ไปมากหลายขณะ จนในที่สุดเกิดภวังคจลนะขึ้นมาได้ ๒ ขณะ ก็กลับเป็นภวังค์ตามเดิม คือภวังค์ไม่ขาด ไม่มีวิถีจิตเกิดขึ้นเลย เรียกว่าเป็นโมฆวาระ

ส่วนในมโนทวารวิถี เมื่อภวังค์ไหวตัว (ภวังคจลนะ) และภวังค์ขาด (ภวังคุปัจเฉท) ขึ้นสู่วิถี จะมีเพียงมโนทวาราวัชชนะ แล้วเกิดเป็นวิถีจิต ๗ ขณะต่อไปเลย ในกรณีที่อารมณ์ที่ปรากฏเด่นชัด (วิภูตารมณ์) ก็จะเกิดตทารมณ์ ๒ ขณะ แล้วตกภวังค์ แต่ถ้าอารมณ์อ่อนแรงไม่เด่นชัด (อวิภูตารมณ์) พอครบ ๗ ชวนะแล้ว ก็ตกภวังค์ไปเลย

กรณีอื่นๆยังมีอีก เช่น เมื่ออ่อนกำลังชวนจิตเกิดแค่ ๖ ขณะก็มี, ในเวลาจะสิ้นชีวิต ชวนจิตเกิดเพียง ๕ ขณะ, ในเวลาเป็นลม สลบ ง่วงจัด เมาสุรา หรือกรณีมีปสาทวัตถุอ่อนกำลังยิ่ง อย่างทารกในครรภ์หรือเพิ่งเกิด ชวนจิตเกิดเพียง ๔-๕ ขณะ เป็นต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นวิถีจิตในกามภูมิทั้งสิ้น ยังมีวิถีจิตในภูมิที่สูงขึ้นไปอีก ในฝ่ายมโนทวารวิถี ซึ่งเป็นจิตที่เป็นสมาธิขั้นอัปปนา และมีความเป็นไปที่แตกต่างจากวิถีจิตในกามภูมิ เช่น ชวนะ ไม่จำกัดเพียงแค่ ๗ ขณะ เมื่อเข้าฌานแล้ว ตราบใดยังอยู่ในฌาน ก็มีชวนจิตเกิดดับสืบต่อกันไปตลอด นับจำนวนไม่ได้ โดยไม่ตกภวังค์เลย ถ้าเกิดเป็นภวังคจิตขึ้นเมื่อใด ก็คือออกจากฌาน ดังนี้เป็นต้น



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๑.๒๙ ความเข้าใจเรื่องจิตตามหลักพระพุทธศาสนา

จิต หมายถึง ธรรมชาติที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, วิญญาณขันธ์ (ศัพท์คำว่า “อารมณ์” ในภาษาบาลีหมายถึง สิ่งที่จิตยึดหน่วง, สิ่งที่ถูกรู้ ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์) ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นมีการแบ่งจิตเป็น ๒ ระดับ คือ จิตระดับวิถี กับ จิตระดับภวังค์

วิถีจิต คือ จิตในวิถีแห่งการรับรู้เสพอารมณ์, จิตซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปในวิถี คือพ้นจากภวังค์ วิถีจิตเป็นจิตภาคปฏิบัติการ จะเป็นกุศลกรรม อกุศลกรรม หรือกิริยา (เฉพาะพระอรหันต์) ปรุงแต่งในวิถีจิตนี้เอง

ภวังคจิต คือ จิตระดับภวังค์เป็นจิตที่เป็นองค์แห่งภพ (ภพ+องค์) เป็นระดับที่เราไม่รู้ตัว เรียกได้ว่าไร้สำนึก ภวังคจิตเป็นจิตส่วนวิบาก (คือส่วนที่เป็นผล)

ตามแนวพระอภิธรรมเรียกวิญญาณขันธ์ว่าจิต ซึ่งจะเกิดขึ้นลำพังโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าจิตแล้วไม่ว่างจากอารมณ์ (คือเมื่อมีจิตแล้วต้องมีสิ่งที่จิตเข้าไปรู้ หรืองานของจิตเกิดขึ้นมาด้วยเสมอ) ถ้าจิตไม่จับยึดอารมณ์ในปัจจุบันก็ต้องจับยึดเอาอารมณ์ในอดีต แม้แต่ขณะหลับสนิท จิตไม่ขึ้นสู่วิถี ภวังคจิตก็ยึดธรรมารมณ์ในอดีตเป็นอารมณ์ และถือว่าสรรพสังขารธรรมของจิตเกิดดับทุกขณะ สืบสันตติเรื่อยไปดุจดังสายน้ำในแม่น้ำซึ่งไหลไม่ขาดสาย จนกว่าจะถึงภาวะอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภวังคจิตจึงดับสนิท

ประเด็นที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับภวังคจิต คือ
ประสบการณ์ต่างๆ ที่เรารับรู้เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะถูกบันทึกไว้ในภวังคจิตทั้งหมด

กรรมของเราสั่งสมสืบมาในภวังคจิตนี้ จึงเป็นจิตที่เป็นองค์แห่งภพ (ทั้งนี้เป็นการ สั่งสม เคลื่อนย้าย เกิดดับ ไปในลักษณะของสังขตธรรม ไม่ได้เป็นอัตตา ยืนโรง ฝืนกระแสอยู่)

ภวังคจิต คือ มโน เป็นอายตนะที่ ๖ (มโนทวาร) อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต (ไม่ใช่กุศล หรืออกุศล) ซึ่งเป็นจิตตามสภาพหรือตามปกติของมัน ยังไม่ขึ้นสู่วิถีรับรู้อารมณ์ภายนอก

ภวังคจิตเป็นจิตส่วนหลักหรือส่วนใหญ่ของชีวิตเรา จะเรียกว่าเป็นจิตยืนพื้น จิตตสันดาน หรือปกติจิตก็ได้

ภวังคจิตทำงานเกิดดับอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย และนำพาชีวิตไป (แม้แต่ช่วงที่จิตวิถีดับไป เช่น หลับสนิท หรือ หมดสติ ภวังคจิตก็ยังทำงานอยู่)

ส่วนแทรกเสริม : ประเด็นที่ว่า เมื่อพระอรหันต์อนุปาทิเสสนิพพานแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ประจักษ์แก่ตนเองก็ไม่สามารถรู้ชัดได้ กล่าวตามตำราคือ เป็นนิพพานธาตุ ซึ่งนิพพานธาตุนี้อาจมีข้อสงสัยว่า คือ จิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ หรือ ไม่มีจิตซึ่งเสวยอารมณ์ใดๆเลย ปัญหาข้อนี้ในพระอภิธรรมแสดงไว้ชัดเจน

“ธรรมมีอารมณ์ เป็นไฉน? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์

“ธรรมไม่มีอารมณ์ เป็นไฉน? รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ (นิพพาน) สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีอารมณ์

“ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน? จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต

“ธรรมไม่เป็นจิต เป็นไฉน? เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ (นิพพาน) สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นจิต” (มหันตรทุกะ)

    ในบทเดียวกันนี้ยังแสดงอีกว่า อสังขตธาตุ ไม่เป็นเจตสิก, วิปยุตจากจิต, ไม่เจือกับจิต, ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน, ไม่เกิดร่วมกับจิต, ไม่เกิดคล้อยตามจิต (แต่จิตเอานิพพานเป็นอารมณ์ได้ เช่น การเข้าผลสมาบัติของพระอริยะบุคคล) เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับภาวะของนิโรธสมาบัติ ซึ่งเป็นภาวะที่เข้าใกล้นิพพานที่สุด ท่านก็ว่านอกจาก เวทนา สัญญา ดับแล้ว ขันธ์ส่วนที่เป็นนามธรรมที่เหลืออย่าง สังขาร วิญญาณ ก็เกิดน้อยเต็มที (ในวิสุทธิมรรคท่านใช้คำว่า “ไม่มีจิต” เลยทีเดียว)

อย่างไรก็ตาม ส่วนนี้เป็นเรื่องรายละเอียด ซึ่งการจะทำเข้าใจให้กระจ่าง สิ้นสงสัย ก็ต้องเกิดจากการได้ประจักษ์แจ้งแก่ตนเองไปตามลำดับ ท่าทีที่เหมาะสมของผู้ศึกษาอาจจะเพียงแต่พิจารณาลักษณะและภาวะของนิพพานตามตำราให้เข้าใจในหลักการสำคัญๆให้ชัดไว้ก็น่าจะเพียงพอในเบื้องต้น เมื่อคราวที่พระทัพพมัลลบุตรปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า “กายก็แตกทำลายแล้ว สัญญาก็ดับแล้ว เวทนาก็เย็นหมดแล้ว สังขารก็สงบแล้ว วิญญาณก็ถึงอัสดง

“เมื่อช่างตีโลหะด้วยฆ้อนเหล็ก ไฟติดโพลง ก็ดับหายๆ ไม่มีใครรู้ที่ไปฉันใด พระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้หลุดพ้นชอบแล้ว ข้ามห้วงน้ำที่มีกามเป็นเครื่องผูกพันไปได้ บรรลุถึงความสุขอันไม่หวั่นไหว ย่อมไม่มีคติที่จะบัญญัติได้ ฉันนั้น” (ทัพพะสูตร)



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๑.๒๘ วิสุทธิ ๗

พุทธพจน์ที่แสดงหลักการปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน มักเป็นไปในรูปของคำสอนให้พิจารณาสภาวธรรม อย่างที่ได้ยกมาอ้างไว้แล้วข้างต้น หากจะแสดงลำดับขั้นตอนของการปฏิบัติ ที่จะเรียกได้ว่าเป็นระบบ ก็เป็นเพียงการแสดงขั้นตอนอย่างกว้างๆ จนถึงยุคของพระอรรถกถาจารย์ ท่านจึงได้นำเอาแบบแผนและรายละเอียดบางส่วนของขั้นตอนการปฏิบัติเหล่านั้น มาเรียบเรียงบันทึกไว้ในคัมภีร์ ดังตัวอย่างที่เด่นคือ ใน🔎วิสุทธิมัคค์ ซึ่งได้แสดงลำดับขั้นตอนและแบบแผนการฝึกทั้งด้านภายนอกและความเจริญก้าวหน้าภายใน โดยเค้าโครงทั่วไปท่านถือตามหลักการของไตรสิกขา แล้วขยายออกตามแนววิสุทธิ ๗ ซึ่งในชั้นเดิมมีแสดงเพียงลำดับหัวข้อ

วิสุทธิ ๗ คือ ธรรมที่ชำระสัตว์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นขั้นๆไปโดยลำดับ จนบรรลุจุดมุ่งหมาย คือ นิพพาน จำแนกเป็น ๗ ชั้น (วิสุทธิ แปลว่า ความบริสุทธิ์หมดจด)


ระดับศีล

๑. สีลวิสุทธิ : ความหมดจดแห่งศีล คือ รักษาศีลตามภูมิขั้นของตนให้บริสุทธิ์และให้เป็นไปเพื่อสมาธิ

 ระดับสมาธิ

๒. จิตตวิสุทธิ : ความหมดจดแห่งจิต คือ ฝึกอบรมจิตจนบังเกิดสมาธิพอเป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนา ตามคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ว่าได้แก่อุปจารสมาธิขึ้นไป (ในหนังสือพุทธธรรมฯ ท่านว่าวิปัสสนาสมาธิ คือ สมาธิระดับขนิกสมาธิถึงอุปจารสมาธิ การเจริญวิปัสสนาถ้าไม่ได้ใช้ฌานเป็นบาท โดยปกติจะมีสมาธิอยู่ในระดับนี้, ขนิกสมาธิ แปลว่า สมาธิชั่วขณะหรือสมาธิขั้นต้น ซึ่งการเล่าเรียนหรือทำงานทั่วไปก็สามารถเกิดขึ้นได้เอง ใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้)

ระดับปัญญา

🔅 ญาตปริญญา

๓. ทิฏฐิวิสุทธิ : ความหมดจดแห่งทิฏฐิ คือ ความรู้เข้าใจมองเห็นนามรูปตามสภาวะที่เป็นจริง เป็นเหตุข่มความเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์บุคคลเสียได้ เริ่มดำรงในภูมิแห่งความไม่หลงผิด กล่าวคือ กำหนดได้ว่า อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม เช่น รูป แสง สี เป็นรูปธรรม จักขุวิญญาณหรือการเห็น เป็นนามธรรม เป็นต้น (รูปธรรม หมายถึง สิ่งที่มีรูป สิ่งที่เป็นรูป, นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ) (จัดเป็นขั้น🔎กำหนดทุกขสัจจ์)

๔. กังขาวิตรณวิสุทธิ : ความบริสุทธิ์ขั้นที่ทำให้กำจัดความสงสัยได้ คือ กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูปได้ (ว่านามธรรมและรูปธรรมล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย และเป็นปัจจัยแก่กันและกัน อาศัยกัน) จึงสิ้นสงสัยในกาลทั้ง ๓ (อดีต ปัจจุบัน อนาคต) (จัดเป็นขั้น🔎กำหนดสมุทัยสัจจ์)

🔅 ตีรณปริญญา 

๕. มัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธิ : ความหมดจดแห่งญาณที่รู้เห็นว่าเป็นทางหรือมิใช่ทาง คือ ยกเอารูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายขึ้นมาพิจารณาเป็นหมวดๆ ตามแนวไตรลักษณ์ทีละอย่างๆ เช่น พิจารณารูป โดยอนิจจลักษณะ โดยทุกขลักษณะ โดยอนัตตลักษณะ แล้วพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (โดยอนิจจลักษณะ โดยทุกขลักษณะ โดย🔎อนัตตลักษณะ) ตามลำดับ จนพบว่าความหลุดพ้นคือทางประเสริฐสุด

ญาณข้อนี้เรียกว่า ดรุณวิปัสสนา (วิปัสสนาญาณอ่อนๆ) แสดงถึงการเป็นผู้เริ่มเห็นแจ้ง ในช่วงนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า 🔎วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ประการ ขึ้นมา ชวนให้หลงผิดว่าบรรลุมรรคผลแล้ว ถ้าหลงไปตามนั้นก็เป็นอันพลาดจากทาง เป็นอันปฏิบัติผิดไป แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ก็จะกำหนดแยกได้ว่า วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ นั้นไม่ใช่ทาง แล้วกำหนด วิปัสสนาญาณที่ดำเนินถูกทางพ้นไปจากอุปกิเลสแล้วว่า นั่นแหละเป็นทางแท้จริง เมื่อความรู้นี้เกิดขึ้น ก็เรียกว่า เป็นมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ (จัดเป็นขั้น🔎กำหนดมรรคสัจจ์)

🔅 ปหานปริญญา

๖. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ : ความหมดจดแห่งญาณอันรู้เห็นทางดำเนิน ได้แก่ วิปัสสนาญาณ ๙ คือพ้นจากวิปัสสนูปกิเลสเป็นต้นไปจนสุดทางแห่งความเป็นปุถุชน

วิปัสสนาญาณ ๙ มีดังนี้

    ๑. ญาณเห็นความเกิดดับแห่งขันธ์ ๕
    ๒. ญาณเห็นความดับสลาย คือ เมื่อเห็นความเกิดดับชัดเจนถี่เข้า ก็จะคำนึงเห็นเด่นชัดในส่วนความดับที่เป็นจุดจบสิ้นของสิ่งทั้งหลาย
    ๓. ญาณมองเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว ไม่ปลอดภัย
    ๔. ญาณอันคำนึงเห็นโทษของสังขาร
    ๕. ญาณคำนึงเห็นด้วยความหน่าย (นิพพิทาญาณ)
    ๖. ญาณหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการจะพ้นไปเสีย
    ๗. ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อให้เห็นทาง คือ เมื่อต้องการจะพ้นไปเสีย จึงกลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลายขึ้นมาพิจารณากำหนดด้วยไตรลักษณ์ เพื่อมองหาอุบายที่จะปลดเปลื้องออกไป
    ๘. ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ เมื่อพิจารณาสังขารทั้งหลายต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามเป็นจริงว่า เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงวางใจเป็นกลาง ไม่ขัดใจติดใจ ในสังขารทั้งหลาย แต่นั้นก็มองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงโน้มน้อมที่จะมุ่งแล่นไปยังนิพพาน เลิกละความเกี่ยวเกาะกับสังขารทั้งหลาย
    ๙. ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้อริยสัจ คือ เมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลาย ไม่พะวง และญาณก็โน้มน้อมแล่นมุ่งตรงสู่นิพพานแล้ว ญาณอันคล้อยตามต่อการตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับถัดไป เป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ (วิปัสสนาญาณ ๙ นี้ตรงกับข้อ ๔-๑๒ ใน 
🔎ญาณ ๑๖)

เมื่อสำเร็จญาณข้อ ๙ แล้ว ก็จะเกิด โคตรภูญาณ ทำนิพพานอันปราศจากสังขารให้เป็นอารมณ์ เป็นการคำนึงถึงครั้งแรก (ปฐมทัศน์) ในอารมณ์พระนิพพาน แล้วจึงเกิดมรรคญาณ ก้าวขึ้นจากภูมิของปุถุชนสำเร็จความเป็นอริยบุคคล

๗. ญาณทัสสนวิสุทธิ (มรรคญาณ) : ความหมดจดแห่งญาณทัศนะตามลำดับขั้นของความเป็นอริยบุคคล ความเป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นโดยวิสุทธิข้อนี้ เป็นอันจบกระบวนการบรรลุมรรคผลนิพพานในขั้นหนึ่งๆ



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS