ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ (หน้า๔)
เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาปฏิจจสมุปบาทด้วยสายนิโรธวารแล้ว ก็ทำลายสัสสตทิฏฐิได้ อวิชชาดับ สังขารดับ, สังขารดับ วิญญาณดับ, เป็นลำดับ แล้วสัสสตทิฏฐิก็หายไป สัสสตทิฏฐิเกิดเพราะความหลงผิดว่าเกิดแล้วเป็นเที่ยง เกิดแล้วไม่มีดับอีก เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ อย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเราถือว่ามีเกิดขึ้น แต่ไม่ยอมให้ดับ เกิดแล้วเที่ยงไม่ได้ มันขัดกับหลักเหตุผล อันใดเกิด อันนั้นก็ต้องดับ เพราะฉะนั้นถ้าเราถือหลักปฏิจจสมุปบาทในสายนิโรธวารว่า อวิชชาดับ สังขารดับ เพราะฉะนั้นอันนี้มันก็ต้องดับ เมื่อรู้อย่างนี้ สัสสตทิฏฐิก็ดับ อุจเฉททิฏฐิหรือเรียกว่านัตถิกทิฏฐิ เพราะเห็นแต่ข้างดับ ไม่เห็นข้างเกิด สัสสตทิฏฐิเห็นแต่ข้างเกิด ไม่เห็นข้างดับ อุจเฉททิฏฐิเห็นแต่ข้างดับไม่เห็นข้างเกิด เห็นว่าดับหมด เอ ! ร่างกาย
มัชฌิมาปฏิปทาโดยประการฉันใด ปฏิจจสมุปบาทโดยประการฉันนั้น ธรรมะในปฏิจจาสมุปบาทนั้น พิจารณาไปแล้วก็สำเร็จเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาคืออะไร ? ถ้ามาจับยกมรรคแปดออกเป็นมัชฌิมาปฏิปทาตัวมรรคแปดนั้นเป็นธรรมข้อปฏิบัติ ธรรมข้อปฏิบัติเพื่อถึงอะไร ? เพื่อถึงญาณทัสสนะที่แทงทะลุในปฏิจจสมุปบาททั้งสายเกิดสายดับ เมื่อแทงทะลุปฏิจจสมุปบาททั้งสายเกิดสายดับเช่นนี้ได้แล้ว นิพพานก็หนีไม่พ้น นิพพานเราก็ได้ทันที เพราะเหตุนั้นพระศาสดาจึงได้ตรัสกับท่านมหากัจจายนะว่า "ดูก่อนกัจจายนะ เพราะเหตุที่พิจารณาปฏิจจสมุปบาทว่า ธรรมทั้งปวงย่อมเกิดขึ้นเป็นลำดับ ความคิดในส่วนสุดอีกข้างหนึ่งของเราก็ไม่มี เพราะพิจารณาปฏิจจสมุปบาทว่าดับไปเป็นลำดับ ความคิดในส่วน
อัตถิตาความมีอยู่คืออะไร ? คือสัสสตทิฏฐถือว่าทุกสิ่งมี ผิด! มีอันนั้นไม่ใช่ มีเที่ยง ขึ้นชื่อว่ามี มีอันนั้น มีอย่างปฏิจจสมุปบาท แต่มีอย่างสมบูรณภาพนียม ผิด!
ถือว่าทุกสิ่งเป็นนัตถิตา ไม่มีก็ผิด ตถาคตย่อมแสดงธรรมเป็นท่ามกลาง ไม่ติดตั้งอัตถตาความมีอยู่ ไม่ติดทั้งในนัตถตา ความไม่มีอยู่ คือได้แก่การพิจารณาปฏิจจสมุปบาทดังได้ว่ามานี่แหละ อันเข้าหลักอย่างพุทธพจน์ย่อที่ยกมาให้ฟังว่า อิมัสมิง สติ อิทังโหติ อิมัสสุปาทา อิทะมุปัชชติ อิมัสมิง อัสสติ อิทั้ง นโหติ อิมัชนิโรธา อิทั้งนิรุชชตีติ ดังได้ยกมา สิ่งอันนี้มี อันนั้นจึงมี อันนี้เกิดขึ้น อันนั้นจึงเกิด เพราะสิ่งอันนั้นไม่มี อันนี้ก็ไม่มี สิ่งอันนั้นดับ อันนี้จึงดับ และภาษิตพระอัสสชิเถรเจ้ายกขึ้นแสดงแก่พระสารีบุตรว่า เยธมฺมา เหตุปพฺพวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต คือแสดงปฏิจจสมุปบาทนี่เอง จึงได้กล่าวว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นหัวใจของพุทธศาสน์ ว่า “ธรรมทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าย่อมทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น และความดับสิ้นไปแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้นด้วย นี่พระมหาสมณะองค์นั้นมีปรกติวาทะอย่างนี้
ธรรมทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด คำว่าธรรมทั้งปวงในที่นี้ก็ได้แก่ปฏิจจสมุปปัณณธรรม มีเหตุเป็นแดนเกิด ส่วนปฏิจจสมุปปาณธรรมหมายถึงว่า ธรรมที่อาศัยกันเกิดพร้อมกัน คำว่า "ปฏิจจะ" มีอรรถว่าอาศัยหรือความประชุมพร้อมแห่งเหตุ อาศัยอะไร ? อาศัยความประชุมกันเกิดขึ้นพร้อมแห่งเหตุ อุปปาณะ คือความเกิดขึ้น เมื่อเข้าสนธิแล้วก็เป็น ปฏิจจะ+สัง+ปาณ เป็นปฏิจจสมุปปาณะ แปลว่าธรรมที่อาศัยการประชุมพร้อมกันเกิดขึ้น ปฏิจจสมุปปาณธรรม จึงแปลว่า ธรรมที่อาศัยการประชุมพร้อมกันเกิดขึ้น
เมื่อเกิดสุขเวทนากต้องการให้ได้สุขยิ่งขึ้น เกิดนันทิราคะ เกิดเป็นตัณหา เวทนาเป็นปัจจยาตัณหา
ถ้าหากว่าได้รับทุกขเวทนาก็อยากจะดิ้นรนให้พ้นไปเสีย อาการที่ดิ้นรนอยากจะให้พ้นไปเสีย พ้นไปเพื่ออะไร ? เพื่อไปรองรับอารมณ์ที่สบายที่ตัวสำคัญนึกหมายว่าเป็นสุขเข้ามาแทน เพราะฉะนั้นอาการที่ต้องการดินรนเพื่อพ้นไปจากทุกขเวทนา เพื่อแลกกับอารมณ์ที่ตนนึกว่าดีกว่ามาแทนที่ อาการอย่างนี้ก็ยังเป็นอาการที่เรียกว่าตัณหา เป็นอาการของนันทิราคะอีกรูปหนึ่ง อันนี้ต่างกว่าอาการนิพพิทา นิพพิทาคือความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายเพื่อต้องการความดับ ไม่ต้องการที่จะเอาอารมณ์ที่เป็นสุขเข้ามาเพิ่ม ส่วนทุกขเวทนาที่ต้องการพ้นไปในวิสัยที่สัตว์ยังมีนันทิราคะ ต้องการสลัดเอาอารมณ์ที่เป็นทุกข์นี้ออกไป เพื่อเอาอารมณ์ที่ชอบใจเข้ามาแทนที่ นี้ต่างกับอาการนิพพิทา เราอย่าไปสับสนกันกับอาการนิพพิทา
ประการที่ ๓ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตั้งแต่ที่สุดถึงเบื้องต้น อันนี้เรียกว่าปฏิโลมเทศนานัย คือจับความตั้งแต่ว่าทุกขโทมนัสอุปายาสของเรานี้หนอ มีอะไรเป็นเหตุ ? มีอะไรเป็นปัจจัย ? ครั้นใช้โยนิโสมนสิการใคร่ครวญพิจารณาดอย่างนี้แล้วประจักษ์ว่าเพราะชาตินี่แล้วเป็นเหตุ เราจึงมีชรามีทุกข์โสกะปริเทวะต่าง ๆ ครั้น พิจารณาไปอีกว่าชาตินี้ หนอมีอะไรเป็นเหตุ ? มีอะไรเป็นปัจจัย ? ด้วยโยนิโสมนสิการใคร่ครวญโดยดีแล้วที่ประจักษ์ว่า
เพราะภวะคือภพนี้เอง เป็นเหตุเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ใคร่ครวญปฏิโลมขึ้นไปอีก
มีอุปาทานเป็นปัจจัย อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย ?
มีเวทนาเป็นปัจจัย เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย ?
มีสฬายตนะเป็นปัจจัย สฬายตนะมีอะไรเป็นปัจจัย ?
ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย ๆ ก็ประจักษ์ว่าภพ
ภพมีอะไรเป็นปัจจัย? ก็เพราะมีอุปาทาน
อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะตัณหา ตัณหามี
เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะผัสสะ
ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะสฬายตนะ
สฬายตนะมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะนามรูป
นามรูป มีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะเป็นวิญญาณ
วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะสังขาร
สังขารมีอะไรเป็นปัจจัย ? ก็เพราะอวิชชา
มาสุดแค่อวิชชา อันนี้เป็นปฏิโลมเทศนานัยเป็น ๔ นัยด้วยกัน นี่เป็นมติของท่านพุทธโฆษะที่ท่านแสดงไว้อย่างพิศดารในสัมโมหะวิโมทนีปกรณ์ ในที่นี้เราก็อธิบายถึงลักษณะปฏิจจสมุปปาณธรรมตามมติใน นิกายเถรวาทก่อน (อ่านต่อหน้าต่อไป)