ปัญหาในสมาธิ ๘ ข้อ
ปริจเฉทที่ ๓
กัมมัฏฐานคหณนิเทศ
เริ่มเรื่องสมาธิ
ปัญหาในสมาธิ ๘ ข้อ
🙏วิสัชนาปัญหาข้อที่ ๑
บรรดาปัญหาเหล่านั้น มีคำวิสัชนาดังต่อไปนี้ :-
ปัญหาข้อว่า อะไรชื่อว่าสมาธิ
วิสัชนาว่า สมาธินั้นมีหลายอย่างหลายประการด้วยกัน การที่จะยกมาวิสัชนาแสดงให้แจ่มแจ้งทุก ๆ อย่างนั้น เห็นทีจะไม่สำเร็จสมความหมายเฉพาะที่ต้องการ กลับจะทำให้เกิดความฟันเฟือยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงขอวิสัชนาเจาะเอาเฉพาะที่ต้องการในที่นี้ว่า ภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียวฝ่ายกุศลชื่อว่าสมาธิ
ปัญหาข้อว่า อะไรชื่อว่าสมาธิ
วิสัชนาว่า สมาธินั้นมีหลายอย่างหลายประการด้วยกัน การที่จะยกมาวิสัชนาแสดงให้แจ่มแจ้งทุก ๆ อย่างนั้น เห็นทีจะไม่สำเร็จสมความหมายเฉพาะที่ต้องการ กลับจะทำให้เกิดความฟันเฟือยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงขอวิสัชนาเจาะเอาเฉพาะที่ต้องการในที่นี้ว่า ภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียวฝ่ายกุศลชื่อว่าสมาธิ
🙏วิสัชนาปัญหาข้อที่ ๒
ปัญหาข้อว่า ที่ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่ากระไร
วิสัชนาว่า ที่ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่า ความตั้งมั่น ที่ว่า ความตั้งมั่น นี้ได้แก่อะไร ? ได้แก่ความตั้งอยู่หรือความดำรงอยู่ของจิตและเจตสิกทั้งหลายในอารมณ์อันเดียวอย่างสม่ำเสมอ และโดยถูกทางด้วย เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างสม่ำเสมอและโดยถูกทางด้วย ไม่ฟุ้งซ่านและไม่ส่ายไปในอารมณ์อื่น ด้วยอำนาจแห่งธรรมชาติใดธรรมชาตินี้ พึงทราบว่า คือ ความตั้งมั่น
🙏วิสัชนาปัญหาข้อที่ ๓
ปัญหาข้อว่า อะไรเป็นลักษณะ, เป็นรส, เป็นอาการปรากฏ และเป็นปทัฏฐานของสมาธิ
วิสัชนาว่า สมาธินั้นมีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ มีการกำจัดเสียซึ่งความฟุ้งซ่านเป็นรส มีการไม่หวั่นไหวเป็นอาการปรากฏ มีความสุขเป็นปทัฏฐาน เพราะพระบาลีรับรองว่า "สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติ" จิตของบุคคลผู้มีความสุขย่อมตั้งมั่น ฉะนี้
วิสัชนาว่า :-
หมวดที่ ๑ โดยแยกเป็น อุปจารสมาธิ ๑ อัปปนาสมาธิ ๑
หมวดที่ ๒ โดยแยกเป็น โลกิยสมาธิ ๑ โลกุตตรสมาธิ ๑
หมวดที่ ๔ โดยแยกเป็น สุขสหคตสมาธิ สมาธิประกอบด้วยสุขเวทนา ๑ อุเปกขาสหคตสมาธิ สมาธิประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา ๑
หมวดที่ ๑ โดยแยกเป็น หีนสมาธิ ๑ มัชฌิมสมาธิ ๑ ปณีตสมาธิ ๑
หมวดที่ ๒ โดยแยกเป็น สวิตักกสวิจารสมาธิ สมาธิมีทั้งวิตกมีทั้งวิจาร ๑ อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ สมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ๑ อวิตกกาวิจารสมาธิ สมาธิไม่มีทั้งวิตกทั้งวิจาร ๑
หมวดที่ ๓ โดยแยกเป็น ปีติสหคตสมาธิ สมาธิประกอบด้วยปีติ ๑ สุขสหคตสมาธิ สมาธิประกอบด้วยสุขเวทนา ๑ อุเปกขาสหคตสมาธิ สมาธิประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา ๑
หมวดที่ ๔ โดยแยกเป็น ปริตตสมาธิ สมาธิมีประมาณน้อย ๑ มหัคคตสมาธิ สมาธิอันยิ่งใหญ่ ๑ อัปปมาณสมาธิสมาธิอันหาประมาณมิได้ ๑
หมวดที่ ๑ โดยแยกเป็น ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญาสมาธิ สมาธิที่มีปฏิปทาลำบากทั้งรู้ช้า ๑ ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาสมาธิ สมาธิที่มีปฏิปทาลำบากแต่รู้เร็ว ๑ สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาสมาธิ สมาธิ
หมวดที่ ๒ โดยแยกเป็น ปริตตปริตตารัมมณสมาธิ สมาธิที่ไม่คล่องแคล่วและไม่ได้ขยายอารมณ์ ๑ ปริตตอัปปมาณารัมมณสมาธิ สมาธิที่ไม่คล่องแคล่วแต่ขยายอารมณ์ ๑ อัปปมาณปริตตารัมมณสมาธิ สมาธิที่คล่องแคล่วแต่ไม่ได้ขยายอารมณ์ ๑ อัปปมาณอัปปมาณารัมมณสมาธิ สมาธิที่คล่องแคล่วและขยายอารมณ์ ๑
หมวดที่ ๓ โดยแยกเป็นองค์แห่งฌาน ๔ คือ องค์แห่งปฐมฌาน ๑ องค์แห่งทุติยฌาน ๑ องค์แห่งตติยฌาน ๑ องค์แห่งจตุตถฌาน ๑
หมวดที่ ๕ โดยแยกเป็น กามาวจรสมาธิ สมาธิเป็นกามาวจร ๑ รูปาวจรสมาธิ สมาธิเป็นรูปาวจร ๑ อรูปาวจรสมาธิ สมาธิเป็นอรูปาวจร ๑ อปริยาปันนสมาธิ สมาธิเป็นโลกุตตระ ๑
หมวดที่ ๖ โดยแยกเป็น ฉันทาธิปติสมาธิ สมาธิมีฉันทะเป็นอธิบดี ๑ วีริยาธิปติสมาธิ สมาธิมีวีริยะเป็นอธิบดี ๑ จิตตาธิปติสมาธิ สมาธิมีจิตเป็นอธิบดี ๑ วิมังสาธิปติสมาธิ สมาธิมีวิมังสาคือปัญญาเป็นอธิบดี ๑
โดยแยกเป็น องค์แห่งฌาน ๕ ในปัญจกนัยได้แก่ องค์แห่งปฐมฌาน ๑ องค์แห่งทุติยฌาน ๑ องค์แห่งตติยฌาน ๑ องค์แห่งจตุตถฌาน ๑ องค์แห่งปัญจมฌาน ๑สมาธิที่มีส่วนอย่างเดียวมีเนื้อความกระจ่างอยู่แล้ว ไม่ต้องพรรณนาความอีก
หมวดที่ ๑ ที่ว่า สมาธิมี ๒ อย่าง โดยแยกเป็น อุปจารสมาธิ ๑ อัปปนาสมาธิ ๑ นั้น มีอรรถาธิบาย ดังนี้
อุปจารสมาธิ คือ ภาวะที่จิตเป็นเอกัคคตา* ที่โยคีบุคคลได้มาด้วยอำนาจกัมมัฏฐาน ๑๐ เหล่านี้คือ 🔎อนุสสติ ๖ (พุทธานุสสติถึงเทวตานุสสติ) มรณสติ ๑ อุปสมานุสสติ ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ นี้อย่างหนึ่ง กับเอกัคคตาในบุพภาคเบื้องต้นแห่งอัปปนาสมาธิทั้งหลายอย่างหนึ่ง (คำว่า เอกัคคตา* ตามรูปศัพท์แปลว่า ภาวะที่จิตมีอารมณ์อันเดียว โดยความหมาย ได้แก่เอกัคคตาเจตสิกในอัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง ซึ่งโดยปกติย่อมเข้าประกอบกับจิตทุกดวง แต่มีกำลังอ่อน ในที่นี้มีกำลังกล้าสามารถจะทำให้สัมปยุตธรรมตั้งอยู่ในอารมณ์อันเดียวได้นาน ๆ ซึ่งจัดเป็นองค์ฌานองค์หนึ่ง)
อัปปนาสมาธิ คือ เอกัคคตาถัดไปแต่บริกรรมภาวนา เอกัคคตาชนิดนี้ เรียกว่าอัปปนาสมาธิ เพราะมีพระบาลีรับรองว่าบริกรรมภาวนาแห่งปฐมฌาน ย่อมเป็นปัจจัยแก่ปฐมฌานโดยอนันตรปัจจัย ฉะนี้
โลกียสมาธิ คือ เอกัคคตาที่ประกอบด้วยกุศลจิต ในภูมิ ๓ คือ กามภูมิ, รูปภูมิและอรูปภูมิ
โลกุตตรสมาธิ คือ เอกัคคตาที่ประกอบด้วยอริยมัคคจิต
เอกัคคตาในฌาน ๒ ข้างต้นในจตุกกนัย และในข้างต้นในปัญจกนัย เรียกว่า
สัปปีติกสมาธิ คือสมาธิที่ประกอบด้วยปีติ
เอกัคคตาในฌาน ๓ ที่เหลือข้างปลาย เรียกว่า
นิปปีติกสมาธิ คือสมาธิที่ปราศจากปีติ
ส่วนอุปจารสมาธิที่ประกอบด้วยปีติก็มีที่ปราศจากปีติก็มี
สุขสหคตสมาธิ คือสมาธิที่ประกอบด้วยสุขเวทนา
เอกัคคตาในฌานที่เหลือข้างปลาย เรียกว่า
อุเปกขาสหคตสมาธิ คือสมาธิที่ประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา
ส่วนอุปจารสมาธิที่ประกอบด้วยสุขเวทนาก็มีที่ประกอบด้วยอุเบกขาเวทนาก็มี
หมวดที่ ๑ ที่ว่า สมาธิมี ๓ อย่าง โดยแยกเป็น หีนสมาธิ ๑ มัชฌิมสมาธิ ๑ ปณีตสมาธิ ๑ นั้น มีอรรถาธิบาย ดังนี้
หีนสมาธิ คือสมาธิขั้นต่ำ สมาธิที่พอได้บรรลุ ยังไม่ได้ต้องเสพให้หนัก ยังไม่ได้ทำให้มาก ๆ
มัชฌิมสมาธิ คือสมาธิขั้นกลาง สมาธิที่ทำให้เกิดขึ้นยังไม่ได้ที่ คือยังไม่ได้ทำให้ถึงความคล่องแคล่วเป็นอย่างดี
ปณีตสมาธิ คือสมาธิขั้นประณีต สมาธิที่ทำให้เกิดขึ้นได้ที่ดีแล้ว คือถึงความเป็นวสีมีความสามารถอย่างคล่องแคล่วแล้ว
ไขความทั้ง ๓ อย่าง
ที่ชื่อว่า หีนสมาธิ เพราะให้เป็นไปด้วยความปรารถนาผลบุญอันโอฬา
ที่ชื่อว่า มัชฌิมสมาธิ เพราะให้เป็นไปด้วยจะให้สำเร็จอภิญญาโลกีย์
ที่ชื่อว่า ปณีตสมาธิ เพราะท่านผู้ดำรงอยู่ในอริยภาพให้เป็นไปด้วยปรารถนาความสงัดจิต
อีกนัยหนึ่ง
ที่ชื่อว่า มัชฌิมสมาธิ เพราะให้เป็นไปด้วยอัธยาศัยที่ไม่โลภอย่างเดียว
ที่ชื่อว่า ปณีตสมาธิ เพราะให้เป็นไปเพื่อประโยชน์คนอื่น
อีกนัยหนึ่ง
ที่ชื่อว่า หีนสมาธิ เพราะให้เป็นไปด้วยมีอัธยาศัยติดอยู่ในวัฏฏะ
ที่ชื่อว่า มัชฌิมสมาธิ เพราะให้เป็นไปด้วยอัธยาศัยชอบความสงัด
ที่ชื่อว่า ปณีตสมาธิ เพราะให้เป็นไปด้วยอัธยาศัยใคร่ปราศจากวัฏฏะด้วยต้องการให้บรรลุถึงโลกุตตรธรรม
สวิตักกสวิจารสมาธิ คือสมาธิมีทั้งวิตกทั้งวิจาร
อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ คือสมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจาร อธิบายว่า โยคีบุคคลใดเห็นโทษแต่ในวิตกอย่างเดียวไม่เห็นโทษในวิจาร จึงปรารถนาที่จะละวิตกอย่างเดียว ผ่านพ้นปฐมฌานไป โยคีผู้นั้นย่อมได้สมาธิที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ข้อว่า อวิตักกวิจารมัตตสมาธินั้น หมายเอาสมาธิในทุติยฌานในปัญจกนัย
หมวดที่ ๓ ที่ว่า สมาธิมี ๓ อย่าง โดยแยกเป็น ปีติสหคตสมาธิ ๑ สุขสหคตสมาธิ ๑ อุเปกขาสหคตสมาธิ ๑ นั้น มีอรรถาธิบาย ดังนี้
เอกัคคตาในฌาน ๒ เบื้องต้นในจตุกกนัย และในฌาน ๓ เบื้องต้นในปัญจกนัย เรียกว่า
ปีติสหคตสมาธิ คือสมาธิประกอบด้วยปีติ เอกัคคตาในฌานที่ ๓ และฌานที่ ๔
ในจตุกกนัยและปัญจกนัยนั้นนั่นแหละ เรียกว่า
สุขสหคตสมาธิ คือสมาธิประกอบด้วยสุขเวทนา
เอกัคคตาในฌานอันสุดท้ายทั้งในจตุกกนัย และปัญจกนัย คือในจตุตถฌานหรือในปัญจมฌาน เรียกว่า
อุเปกขาสหคตสมาธิ คือสมาธิประกอบด้วยอุเบกขาเวทนา ส่วนอุปจารสมาธิ ประกอบด้วยสุขเวทนาก็มี ประกอบด้วยอุเบกขาเวทนาก็มี
ปริตตสมาธิ สมาธิมีประมาณน้อย (หรือกามาวจรสมาธิ)
เอกัคคตาในรูปาวจรกุศลจิตและอรูปาวจรกุศลจิต เรียกว่า
เอกัคคตาที่ประกอบด้วยอริยมัคคจิต คือที่เกิดร่วมกับอริยมัคคจิต เรียกว่า
อัปปมาณสมาธิ คือสมาธิอันหาประมาณมิได้ หรือสมาธิอันมีธรรมหาประมาณมิได้เป็นอารมณ์
หมวดที่ ๑ ที่ว่า สมาธิมี ๔ อย่าง โดยแยกเป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาสมาธิ เป็นต้นนั้น มีอรรถาธิบายดังนี้ คือ : สมาธิ ๔ อย่าง ได้แก่ ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาสมาธิ ๑ ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาสมาธิ ๑ สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาสมาธิ ๑ สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาสมาธิ ๑ อธิบายว่า ในปฏิปทาและอภิญญา ๒ อย่างนั้น การเจริญภาวนาสมาธิที่ดำเนินไปนับตั้งแต่ลงมือสำรวจจิตเจริญกัมมัฏฐานครั้งแรก จนถึงอุปจารฌานของฌานนั้น ๆ เกิดขึ้น เรียกว่า ปฏิปทา คือการปฏิบัติ ส่วนปัญญาที่ดำเนินไปนับตั้งแต่อุปจารฌานไปจนถึงอัปปนาฌาน เรียกว่า อภิญญา คือการรู้แจ้ง ก็แหละ ปฏิปทาคือการปฏิบัตินี้นั้น ย่อมเป็นทุกข์คือลำบาก ต้องเสพไม่สะดวกสำหรับโยคีบุคคลบางคน เพราะการรบเร้าและยึดครองของธรรมที่เป็นข้าศึกมีนิวรณ์เป็นต้น แต่เป็นความสะดวกสบายสำหรับโยคีบุคคลบางคน เพราะไม่มีการรบเร้าและยึดครองของธรรมที่เป็นข้าศึก แม้อภิญญาคือการรู้แจ้งก็เป็นการเชื่องช้าเฉื่อยชา ไม่เกิดโดยฉับพลันสำหรับโยคีบุคคลบางคน แต่สำหรับโยคีบุคคลบางคนก็รวดเร็วไม่เฉื่อยชาเกิดโดยฉับพลัน ก็แหละ ธรรมอันเป็นที่สบายและไม่เป็นที่สบาย ๑ บุพกิจเบื้องต้นมีการตัดปลิโพธ คือเครื่องกังวลให้สิ้นห่วง ๑ และความฉลาดในอัปปนาทั้งหลาย ๑ เหล่าใดที่ข้าพเจ้าจักยกมาพรรณนาข้างหน้า ในบรรดาธรรมเหล่านั้น
โยคีบุคคลใดเป็นผู้ร้องเสพธรรมอันไม่เป็นที่สบาย โยคีบุคคลผู้นั้นย่อมมีปฏิปทาคือการปฏิบัติลำบากเป็นทุกข์ และมีอภิญญาคือการรู้แจ้งเชื่องช้า โยคีบุคคลผู้ร้องเสพธรรมอันเป็นที่สบาย ย่อมมีปฏิปทาคือการปฏิบัติสะดวกสบาย และมีอภิญญาคือการรู้แจ้งอย่างรวดเร็ว ส่วนโยคีบุคคลใด ในตอนต้นก่อนแต่ได้บรรลุอุปจารสมาธิ ต้องเสพธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ตอนหลังจากที่บรรลุอุปจารสมาธิแล้ว ได้ร้องเสพธรรมอันเป็นที่สบาย หรือในตอนต้นได้ต้องเสพธรรมอันเป็นที่สบาย ตอนหลังได้ร้องเสพธรรมอันไม่เป็นที่สบาย พึงทราบว่า ปฏิปทาและอภิญญาของโยคีบุคคลนั้นคละกัน อธิบายว่า โยคีบุคคลใดในตอนต้นส้องเสพธรรมอันไม่เป็นที่สบาย ตอนหลังได้ร้องเสพธรรมอันเป็นที่สบายโยคีบุคคลนั้นมีปฏิปทาลำบากเป็นทุกข์แต่มีอภิญญาการรู้แจ้งอย่างรวดเร็ว ส่วนโยคีบุคคลใด ในตอนต้นต้องเสพธรรมอันเป็นที่สบาย ตอนหลังได้ร้องเสพธรรมอันไม่เป็นที่สบาย โยคีบุคคลนั้น มีปฏิปทาสะดวกสบายแต่มีอภิญญาการรู้แจ้งเชื่องช้า พึงทราบสมาธิที่ ๒ และที่ ๓ เพราะความคละกันแห่งสมาธิที่ ๑ และที่ ๔ ฉะนี้ สำหรับโยคีบุคคลผู้ไม่ได้จัดแจงทำบุพกิจเบื้องต้น มีการตัดปลิโพธเครื่องกังวล ให้สิ้นห่วงเป็นต้นเสียก่อน แล้วลงมือประกอบการเจริญภาวนาก็เหมือนกัน คือ ย่อมมีปฏิปทาการปฏิบัติลำบากเป็นทุกข์ โดยปริยายตรงกันข้าม สำหรับโยคีบุคคลผู้จัดแจงทำบุพกิจให้เสร็จสิ้นแล้ว จึงลงมือประกอบการเจริญภาวนา ย่อมมีปฏิปทาสะดวกสบาย ส่วนโยคีบุคคลผู้ที่ไม่ได้เรียนอัปปนาโกศล คือความเป็นผู้ฉลาดในอัปปนาให้สำเร็จก่อน ย่อมมีอภิญญาการรู้แจ้งอย่างเชื่องช้า ผู้ที่เรียนอัปปนาโกศลให้สำเร็จก่อน ย่อมมีอภิญญาการรู้แจ้งอย่างรวดเร็ว อีกประการหนึ่ง พึงทราบประเภทของปฏิปทาและอภิญญานี้ด้วยอำนาจแห่งตัณหาและอวิชชา ๑ ด้วยอำนาจแห่งสมถาธิการและวิปัสสนาธิการ ๑ ต่อไป
กล่าวคือ
ผู้ที่ไม่ถูกตัณหาครอบงำ ย่อมมีปฏิปทาสะดวกสบาย
โยคีบุคคลผู้อันอวิชชาครอบงำ ย่อมมีอภิญญาเชื่องช้า
โยคีบุคคลผู้มีอธิการอันไม่ได้ทำไว้ในสมถภาวนา ย่อมมีปฏิปทาลำบากเป็นทุกข์
ผู้มีอธิการอันได้ทำไว้แล้ว ย่อมมีปฏิปทาสะดวกสบาย
ส่วนผู้มีอธิการอันไม่ได้ทำไว้ในวิปัสสนาภาวนา ย่อมมีอภิญญาเชื่องช้า
พึงทราบประเภทของปฏิปทาและอภิญญาเหล่านี้ แม้ด้วยอำนาจแห่งกิเลสและอินทรีย์ ๕ อีก กล่าวคือ
โยคืบุคคลผู้มีกิเลสรุนแรงแต่มีอินทรีย์ย่อหย่อน ย่อมมีปฏิปทาลำบากเป็นทุกข์ และมีอภิญญาเชื่องช้า
ผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า ย่อมมีอภิญญารวดเร็ว
โยคีบุคคลผู้มีกิเลสบางเบามีอินทรีย์ย่อหย่อน ย่อมมีปฏิปทาสะดวกสบาย แต่มีอภิญญาเชื่องช้า
ผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า ย่อมมีอภิญญารวดเร็ว
ปริตตารัมมณสมาธิ คือสมาธิมีอารมณ์มีประมาณน้อย สมาธิใดคล่องแคล่วแล้ว เจริญให้เกิดขึ้นได้ที่แล้วสามารถที่จะเป็นปัจจัยแก่ฌานเบื้องสูงขึ้นไปได้ สมาธินี้ชื่อว่า
อัปปมาณสมาธิ คือสมาธิหาประมาณมิได้ และสมาธิใดเป็นไปในอารมณ์ที่ขยายแล้ว สมาธินี้ชื่อว่า อัปปมาณารมมณสมาธิ คือสมาธิมีอารมณ์หาประมาณมิได้ ส่วนนัยที่คละกันแห่งสมาธิที่ ๑ และที่ ๔ ซึ่งสงเคราะห์เข้าเป็นสมาธิที่ ๒ และที่ ๓ พึงทราบโดยความคละกันแห่งลักษณะที่กล่าวแล้วดังนี้คือ สมาธิใดยังไม่คล่องแคล่ว ไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยแก่ฌานเบื้องสูงขึ้นไปได้ แต่เป็นไปในอารมณ์ที่ขยายแล้ว สมาธินี้ชื่อว่า
ปริตตอัปปมาณารัมมณสมาธิ คือสมาธิมีประมาณน้อย มีอารมณ์หาประมาณมิได้ ส่วนสมาธิใดคล่องแคล่วแล้ว สามารถที่จะเป็นปัจจัยแก่ฌานเบื้องสูงขึ้นไปได้ แต่เป็นไปในอารมณ์ที่ไม่ได้ขยาย สมาธินี้ชื่อว่า อัปปมาณปริตตารัมมณสมาธิคือ สมาธิหาประมาณมิได้ มีอารมณ์มีประมาณน้อย
ทุติยฌาน จึงมีเพียงองค์ ๓ คือ ปีติ ๑ สุข ๑ สมาธิ ๑ เหนือจากทุติยฌานไป ปีติสร่างหายไป
ตติยฌาน จึงมีเพียงองค์ ๒ คือ สุข ๑ สมาธิ ๑ เหนือจากตติยฌานไปละสุขเสีย
จตุตถฌาน คงมีองค์ ๒ คือสมาธิ ๑ อุเบกขาเวทนา ๑
ด้วยประการฉะนี้ องค์แห่งฌาน ๔ เหล่านี้จึงเป็นสมาธิ ๔ อย่าง สมาธิ ๔ อย่างโดยแยกเป็นองค์ฌาน ๔ ยุติเพียงเท่านี้
หานภาคิยสมาธิ สมาธิเป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม ด้วยอำนาจของความรบกวนของธรรมเป็นข้าศึกของฌานนั้น ๆ มีนิวรณ์, วิตกและวิจาร เป็นต้น
วิเสสภาคิยสมาธิ สมาธิเป็นไปในส่วนแห่งคุณวิเศษ ด้วยอำนาจเป็นเหตุบรรลุซึ่งคุณวิเศษเบื้องสูงขึ้นไป และที่ชื่อว่า
นิพเพธภาคิยสมาธิ สมาธิเป็นไปในส่วนแห่งอันแทงทะลุสัจธรรม ด้วยอำนาจความใฝ่ใจในสัญญาอันประกอบด้วยนิพพิทาญาณและความเร่งเร้า เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า :-
ก็แหละ แม้สมาธิที่ประกอบด้วยปัญญานั้น ก็จัดเป็นสมาธิ ๔ อย่าง ฉะนี้สมาธิ ๔ อย่างโดยแยกเป็น หานภาคิยสมาธิ เป็นต้น ยุติเพียงเท่านี้
หมวดที่ ๕ ที่ว่า สมาธิมี ๔ อย่างโดยแยกเป็นกามาวจรสมาธิ เป็นต้นนั้นมีอรรถาธิบายดังนี้ คือ : สมาธิ ๔ อย่างนั้น คือ กามาวจรสมาธิ ๑ รูปาวจรสมาธิ ๑ อรูปาวจรสมาธิ ๑ อปริยาในนสมาธิ ๑ อธิบายว่า ในสมาธิ ๔ อย่างนั้น เอกัคคตาในอุปจารฌานแม้ทั้งสิ้น เรียกว่า กามาวจรสมาธิ จิตเตกัคคตาอันเป็นรูปาวจรกุศล เรียกว่า รูปาวจรสมาธิ จิตเตกัคคตาอันเป็นอรูปาวจรกุศล เรียกว่า อรูปาวจรสมาธิ จิตเตกัคคตาอันเป็นโลกุตตรกุศล เรียกว่า อปริยาปันนสมาธิ สมาธิ ๔ อย่างนี้โดยแยกเป็น กามาวจรสมาธิ เป็นต้น ยุติเพียงเท่านี้