วันพุธ

พระพุทธดำรัส (๑๒)

🙏 พระพุทธดำรัส 🙏




🔅 ทำอย่างไรจึงจะค้าขายมีกำไร
ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนค้าขายจึงขาดทุน บางคนไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์ บางคนได้กำไรตามที่ประสงค์ บางคนกลับได้ยิ่งกว่าที่มุ่งหมายไว้ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้ว ย่อมปวารณาว่า ท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด เขากลับไม่ถวายปัจจัยดังที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใด เขาย่อมขาดทุน

“.... บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วย่อมปวารณาว่าท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด แต่เขาถวายปัจจัยไม่เต็มตามที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมไม่ได้กำไรตามที่ประสงค์

“.... บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วย่อมปวารณาว่าท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด เขาถวายปัจจัยเต็มตามที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรตามที่ประสงค์

“.... บุคคลบางคนในโลกนี้ เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วย่อมปวารณาว่าท่านจงบอกปัจจัยที่ท่านประสงค์มาเถิด แต่เขาถวายปัจจัยยิ่งกว่าที่ได้ปวารณาไว้ ถ้าเขาเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ เขาย่อมได้กำไรยิ่งกว่าที่ประสงค์

วณิชชสูตร


🔅 เหตุที่ทำให้เป็นเทพี
ปัญหา ทำไมสตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้งยังยากจนและต่ำศักดิ์อีกด้วย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคาม (สตรี) บางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ ไม่เป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ยวดยาน ระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือการไหว้ การบูชาของผู้อื่น กีดกันตัดรอนผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนันมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนยากจนขัดสนทรัพย์สมบัติและต่ำศักดิ์”

มหาวรรค


🔅 ทำไมไม่สวยแต่รวยและสูงศักดิ์
ปัญหา ทำไมสตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ แต่มีทรัพย์สมบัติมากและมีศักดิ์สูง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด.... แต่เขาเป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ยวดยาน แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจไม่ริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ไม่กีดกันตัดรอน.... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก มีโภคทรัพย์สมบัติและสูงศักดิ์”

มหาวรรค


🔅 ทำไมจึงสวยแต่ยากจนและต่ำศักดิ์
ปัญหา เพราะเหตุไร สตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปงาม แต่ยากจนขัดสน และต่ำศักดิ์?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ แม้ถูกว่าเล็กน้อยก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว แต่เขาเป็นผู้ไม่ให้ทานคือข้าว น้ำ ผ้า..... แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้..... ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม..... แต่เป็นคนยากจนขัดสนและต่ำศักดิ์”

มหาวรรค


🔅 ทำไมจึงสวย รวยทรัพย์ สูงศักดิ์
ปัญหา เพราะเหตุไร สตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปงาม บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ และสูงศักดิ์อีกด้วย?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนพระนางมัลลิกา....มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง... เป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบ ของหอม..... แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้ไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะ..... ของผู้อื่น ไม่กีดกัน ไม่ตัดรอน... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตตภาพนั้น..... กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม..... ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณดียิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ฯ”

มหาวรรค


🔅 ทำอย่างไรจะได้พบกันอีกในชาติหน้า
ปัญหา ถ้าสามีภรรยารักกันมากๆ ในชาตินี้ และปรารถนาจะพบกันอีก ได้เป็นสามีภรรยากันอีกในชาติหน้า จะมีทางเป็นไปได้ไหม? และควรจะปฏิบัติอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ (ชาติหน้า) ไซร้ทั้งสองคนนั้นแลพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ...”

สมชีวสูตร


🔅 อย่าน้อยใจว่าเราเกิดมามีกรรม
ปัญหา คนที่เกิดมามีกรรม ยากจน อัปลักษณ์ อับปัญญา จะมีวิธีปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น หรือกลับตนกลับตัวได้หรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือในตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูลเข็ญใจ มีข้าวน้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง อนึ่ง เขามีผิวพรรณทรามไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือพิการไปแถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปตามสมควร แต่เขาประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา แลด้วยใจ ครั้นประพฤติสุจริต ด้วยกาย วาจา ใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าพึงสุคติโลกสวรรค์ บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้วมีสว่างไปอย่างนี้แล”

ตามสูตร


🔅 ผู้เสียสละนั้นดีแล้วหรือ
ปัญหา คนบางคนชอบสละเวลาของตนทำประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างเดียว เพิกเฉยละเลยประโยชน์ของตน ชาวโลกสรรเสริญว่าเป็นคนเสียสละ เห็นแก่ส่วนรวมควรได้รับการยกย่อง พระพุทธองค์ทรงยกย่องคนประเภทนี้อย่างไรหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก คือ
บุคคลผู้ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน และไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ๑
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑
บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนด้วย เพื่อประโยชน์ผู้อื่นด้วย ๑

บรรดาบุคคล ๔ จะพวกนี้ บุคคลผู้ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เป็นผู้เลิศ เป็นผู้วิเศษ เป็นประธาน อุดม และเป็นผู้ประเสริฐ....”

ฉลาวาตสูตร


🔅 ควรติคนอื่นหรือไม่
ปัญหา คนบางคนถืออุเบกขา ไม่ยุ่งกับคนอื่น ไม่สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญโดยกาลอันควร ไม่ติเตียนผู้ควรติเตียนโดยกาลอันควร เฉยๆ เสียสบายดีเหมือนกัน พระพุทธองค์ทรงเห็นอย่างไรในคนประเภทนี้?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนโดยกาลอันควร ตามความเป็นจริง (แต่) ไม่กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑ ผู้กล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร (แต่) ไม่ติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ๑ ผู้ไม่กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งไม่กล่าว สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑ ผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร ๑

“ดูก่อนโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และกล่าวสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริงโดยกาลอันควร นี้ เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ ประเภทนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรสรรเสริญและติเตียนนั้น ๆ....”

โปตลิยสูตร


🔅 สตรีจะเท่าเทียมบุรุษหรือไม่
ปัญหา ทำไมสตรีจึงทำงานใหญ่ๆ อย่างผู้ชายไม่ได้ ถึงจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย จะเป็นเพราะว่าถูกผู้ชายกีดกันหรือเพราะความสามารถของสตรีเอง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนอานนท์ มาตุคาม (สตรี) มักโกรธ มักริษยา มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม ดูก่อนอานนท์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาพไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ ๆ ไม่ได้ ไปนอกเมืองไม่ได้”

กัมโมชสูตร


🔅 ถ้าขืนคิดจะเป็นบ้าตาย
ปัญหา ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะสอนเราเสมอว่า ถ้าเราฆ่าวัวในชาตินี้ ชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นวัว ข้าพเจ้ามองไม่เห็นทางเลย ว่าเราจะไปเกิดเป็นวัวได้อย่างไร โปรดอธิบายการทำงานของกรรมที่สามารถติดตามไปให้ผลในชาติต่อ ๆ ไปด้วย?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งไม่ควรคิด ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑
วิบากแห่งกรรม ๑
ความคิดเรื่องโลก ๑

อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน”

อจินติตสูตร


🔅 คาถากันงู
ปัญหา เวลาเราเดินทางในป่า หรือเดินทางในยามค่ำคืน จะทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกงูกัด ?

พุทธดำรัสตอบ (ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดตาย มีคนไปกราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า) “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดกาละ (ตาย) ตระกูลพญางูทั้ง ๔ .... คือตระกูลพญางูชื่อวิรูปักข์ ๑ ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อฉัพยาปุตตะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ ๑ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิตไปยังตระกูลพญางู ทั้ง ๔ จำพวกนี้เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน.....”

อหิสูตร

🔅 ควรศึกษาค้นคว้าอวกาศหรือไม่
ปัญหา ในห้วงอวกาศอันหาที่สุดมิได้นี้ จะมีที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือไม่ ซึ่งสัตว์ทั้งหลายไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ซึ่งเราควรไปถึง ควรรู้ ควรเห็น เพื่อความดับทุกข์ ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนผู้มีอายุ สัตว์ย่อมไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติในที่ใด เราไม่ประกาศว่าที่นั่นเป็นที่สุดแห่งโลกที่ควรรู้ ที่ควรเห็น ที่ควรไปถึงได้ด้วยการเดินทาง อีกทั้งเราก็ไม่ประกาศว่า จักมีการกระทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ โดยไม่ไปถึงที่สุดแห่งโลก

“ผู้มีอายุ... เราย่อมบัญญัติโลก เหตุเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก และทางปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับแห่งโลก ลงที่ร่างกายอันมีความยาวประมาณหนึ่ง มีสัญญาและมีใจครองนี้เท่านั้น.....”

โคหิตัสสสูตร



🔅 วิธีตอบคำถาม
ปัญหา ถ้ามีคนมาถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งกับเรา เราควรจะพิจารณาตอบอย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิธีตอบปัญหามีอยู่ ๔ ประการ ๔ ประการ คืออะไรบ้าง คือ
ปัญหาที่พึงตอบทันที ๑
ปัญหาที่พึงแยกตอบบางประเด็น ๑
ปัญหาที่พึงย้อนถามก่อนแล้วจึงตอบ ๑
ปัญหาที่ควรงดไว้ 
(ไม่ตอบ) 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิธีตอบปัญหามี ๔ อย่างนี้แล....”

ปัญหาสูตร

🔅 รู้มากๆ เพียงพอหรือยัง
ปัญหา ความเป็นพหูสูต คือได้เรียนรู้มาก พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นมงคลประการหนึ่ง แต่ถ้าเราเป็นพหูสูตอย่างเดียวจะเพียงพอหรือไม่? มีอะไรที่มีจะต้องเรียนรู้อีก ?

พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลบางคนในโลกนี้ เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชากด อัพภูตธรรม เวทัลละ เขาไม่รู้ทั่วถึงตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ บุคคลนี้เป็นดุจวลาหก (เมฆ) คำราม แต่ไม่ให้ฝนตก...

“.....การก้าว การถอย การเหลียว การแล การคู้ การเหยียด การทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวรของบุคคลบางคนในโลกนี้ ล้วนน่าเลื่อมใส แต่เขาไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ บุคคล (นี้) เป็นดุจห้วงน้ำตื้นเงาลึก... เป็นดุจหม้อเปล่าที่เขาปิดไว้.... เป็นดุจมะม่วงดิบผิวสุก... เป็นดุจหนูขุดรูแต่ไม่อยู่....”

วลาหกสูตรที่ ๖ กุมภสูตร อุทกหรทสูตร


🔅 ทำไมพระจึงบวชไม่นาน
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงมูลเหตุที่ทำให้พระภิกษุในพระพุทธศาสนาลาสิกขาบทไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา ด้วยคิดว่าเราถูกชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส ครอบงำ ชื่อว่าตกอยู่ในกองทุกข์ มีทุกข์เป็นเบื้องหน้า แม้ไฉน การกระทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึงปรากฏเธอบวชอย่างนั้นแล้วเพื่อนสพรหมจารีตักเตือนสั่งสอนว่า ท่านพึงก้าวไปอย่างนั้น พึงถอยกลับอย่างนี้ พึงแลดูอย่างนี้ พึงเหลียวอย่างนี้ พึงคู้เข้าอย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้ พึงทรงสังฆาฏิบาตรและจีวรอย่างนี้ เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่าเมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ มีแต่จะตักเตือนสั่งสอนผู้อื่น ก็ภิกษุเหล่านี้ คราวลูกคราวหลานของเรา สำคัญเราว่าควรตักเตือนสั่งสอน เธอโกรธเคืองแค้นใจบอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือคลื่นนี้ เป็นชื่อแห่งความโกรธและความแค้นใจ นี้เรียกว่าภัยคือคลื่น

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา.... เธอบวชอย่างนั้นแล้ว เพื่อนสพรหมจารีตักเตือนสั่งสอนว่า สิ่งนี้เธอควรเคี้ยว สิ่งนี้ไม่ควรเคี้ยว สิ่งนี้ควรบริโภค สิ่งนี้ไม่ควรบริโภค สิ่งนี้ควรลิ้ม สิ่งนี้ไม่ควรลิ้ม สิ่งนี้ควรดื่ม สิ่งนี้ไม่ควรดื่ม ของเป็นกัปปิยะเธอควรเคี้ยว ของเป็นอกัปปิยะเธอไม่ควรเคี้ยว.... เธอควรเคี้ยวในกาล.... เธอไม่ควรเคี้ยวในวิกาล... เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาสิ่งใดก็เคี้ยวสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่เคี้ยวสิ่งนั้น.... ย่อมเคี้ยวสิ่งเป็นกัปปิยะบ้าง สิ่งเป็นอกัปปิยะบ้าง... ย่อมเคี้ยวในกาลบ้าง ในวิกาลบ้าง.... คฤหบดีผู้มีศรัทธา ย่อมถวายของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภค แม้ใด อันประณีตในกลางวัน ในเวลาวิกาลแก่เราทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้ ย่อมกระทำเสมือนหนึ่งปิดปากแม้ในของเหล่านั้น เธอโกรธเคืองแค้นใจ บอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือจระเข้นี้แล เป็นชื่อแห่งความเป็นผู้เห็นแก่ท้องนี้เรียกว่าภัยคือจระเข้

“.....กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา.... เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นคฤหบดี ในบ้านหรือนิคมนั้น เพียบพร้อมบำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ เธอคิดอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคฤหัสถ์ เพียบพร้อมบำเรอตนอยู่ด้วยกามคุณ ๕ ก็บริโภคสมบัติในสกุลของเรามีอยู่พร้อม เราอาจเพื่อจะบริโภคโภคะทั้งหลายแลทำบุญได้ ถ้ากระไรเราพึงบอกคืนสิกขาลาเพศ แล้วบริโภคโภคะทั้งหลายและทำบุญเถิดเธอย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ภิกษุนี้เรียกว่ากลัวต่อภัยคือน้ำวน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือน้ำวนนี้ เป็นชื่อของกามคุณ ๕ นี้เรียกภัยคือน้ำวน

“.....กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา.... เธอบวชแล้วอย่างนี้ เวลาเช้านุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านหรือนิคม ไม่รักษากาย วาจา ใจ ไม่ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ เธอเห็นมาตุคาม (หญิง) ในบ้านหรือนิคมนั้น นุ่งไม่เรียบร้อย หรือห่มไม่เรียบร้อย ราคะย่อมรบกวนจิตของเธอ เพราะเห็นมาตุคามนุ่งห่มไม่เรียบร้อย เธอมีจิต อันราคะรบกวน ย่อมบอกคืนสิกขาลาเพศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าภัยคือปลาฉลามนี้เป็นชื่อของมาตุคาม นี้เรียกว่าภัยคือปลาฉลาม

“ภัย ๔ ประการนี้แล กุลบุตรบางคนในโลกนี้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วย ศรัทธา ในธรรมวินัยนี้จะพึงหวังได้”

ภยสูตร ที่ ๒

🔅 ทำไมคนจึงไม่กล้าทำชั่ว
ปัญหา ตามปกติ คนไม่กล้าทำความชั่ว เพราะความกลัวต่อผลบางอย่าง มีเหตุบ้างที่ทำให้คนไม่กล้าทำความชั่ว?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ก็เราแลพึงประพฤติทุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา.... ด้วยใจ ไฉนตัวเราจะไม่พึงติเตียนเราได้ด้วยศีลเล่า ดังนี้ เขากลัวต่อภัยเกิดแต่การติเตียนตัวเอง จึงละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ละมโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริต ย่อมรักษาตนให้บริสุทธิ์

“....บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นเจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้ามาลงกรรมกรณ์ต่าง ๆ คือโบยด้วยแส้บ้าง เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง.... บุคคลนั้นจึงมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า เจ้านายจับโจรผู้ประพฤติชั่วช้ามาลงกรรมกรณ์ต่างๆ ...เพราะเหตุแห่งกรรมอันลามกเห็นปานใด ถ้าเราจะพึงทำกรรมอันลามกเป็นปานนั้นบ้าง เจ้านายจะพึงจับเราไปลงกรรมกรณ์ต่าง ๆ เห็นปานนั้น.... เขากลัวต่อภัย คืออาญา ไม่กล้าฉกชิงทรัพย์ของผู้อื่น

“....บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า วิบากของกายทุจริต.... ของวจีทุจริต... ของมโนทุจริตในภายหน้าชั่วร้าย ก็เราแลพึงประพฤติทุจริตด้วยกาย...ด้วยวาจา ด้วยใจ.. เมื่อกายแตกตายไปเราจะพึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เขากลัวต่อทุคติภัย ย่อมละกายไปเราจะพึงเข้าพึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เขากลัวต่อทุคติภัย ยอมละกายทุจริต .... วจีทุจริต... มโนทุจริต... ย่อมบริหารตนให้หมดจดได้...”

ภยสูตร


🔅 โรคกายโรคใจ
ปัญหา พระพุทธองค์ตรัสถึงโรคทางกาย โรคทางใจไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคด้วยโรคทางกายตลอดปีหนึ่งมีปรากฏ ผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคตลอด ๒ ปีบ้าง ๓ ปีบ้าง ๔ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง ผู้ปฏิญาณความไม่มีโรคแม้ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปีบ้าง มีปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดปฏิญาณความมีโรคทางใจแม้ครู่หนึ่ง สัตว์เหล่านั้นหาได้ยากในโลก เว้นจากพระขีณาสพ....”

อิทริยวรรค ที่ ๑

🔅 กิเลสหนากับการบรรลุมรรคผล
ปัญหา ผู้รู้บางท่านแสดงไว้ว่า คนที่มีอุปนิสัยหยาบ มีราคะ โทสะ โมหะกล้า มีโอกาสจะบรรลุมรรคผลช้า คนที่มีอุปนิสัยละเอียด มี ราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง มีหวังได้บรรลุมรรคผลเร็ว จริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปกติเป็นผู้มีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง.... เป็นผู้มีโทสะกล้าย่อมได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนือง ๆ บ้างเป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนือง ๆ บ้าง (แต่) อินทรีย์ ๕ ประการ.... คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษ เพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า.....

“....บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปกติไม่เป็นคนมีราคะกล้า... ไม่เป็นคนมีโทสะกล้า... ไม่เป็นคนมีโมหะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกขโทมนัสอันเกิดแต่ ราคะ โทสะ โมหะ เนืองๆ
 (แต่) อินทรีย์ ๕ ประการ.... คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาของเขา ปรากฏว่าอ่อน เขาย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน....”

ปฏิปทาวรรค ที่ ๒

🔅 สมถะหรือวิปัสสนาก่อน
ปัญหา การเจริญกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถะ และวิปัสสนา ใน ๒ อย่างนี้ จะเจริญสมถะก่อนหรือวิปัสสนาก่อน? จะเจริญควบคู่กันไปจะได้หรือไม่ ?

พระอานนท์ตอบ ว่า “....ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า (หรือ).... เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป.... มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพเจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญกระทำให้มาก ซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด....”

ปฏิปทาวรรค ที่ ๒

🔅 ศาสนาอื่นมีพระอริยบุคคลหรือไม่
ปัญหา พระอริยบุคคลที่ได้บรรลุมรรคผล เช่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ มีอยู่ในศาสนาอื่นหรือไม่? หรือว่ามีเฉพาะในพระพุทธศาสนา ?

พุทธดำรัสตอบ ว่า “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในธรรมวินัยนี้เท่านั้นสมณะที่ ๑.... สมณะที่ ๒.... สมณะที่ ๓.... สมณะที่ ๔.... มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจงบันลือสีหนาท(ประกาศ) โดยชอบอย่างนี้เถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะเป็นไฉน?

“....ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ 
(สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยวจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า นี้สมณะที่ ๑
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๒ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ และเพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง เป็นพระสกทาคามีมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ นี้สมณะที่ ๒
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๓ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะ 
(เป็นพระอนาคามี) จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา นี้สมณะที่ ๓
“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๔ เป็นไฉนภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญหาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน... นี้สมณะที่ ๔

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่ ๑.... สมณะที่ ๒.... สมณะที่ ๓.... สมณะที่ ๔.... มีในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจงบันลือสีหนาทโดยชอบอย่างนี้เถิด”

กรรมวรรค

🔅 องค์ประกอบชีวิตนักบวช
ปัญหา การออกบวชเป็นภิกษุครองชีวิตบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวด้วยกามนั้น มีองค์ประกอบอะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ อันมีสิกขา (อภิสมาจาร = มารยาทอันดีงาม) เป็นอานิสงส์ มีปัญญาเป็นยอด มีวิมุติเป็นแก่น มีสติเป็นอธิปไตย

อาปัตติภยวรรค 

🔅 วิธีเรียนหนังสือเก่ง
ปัญหา ในการเรียนวิชาต่างๆ ทำไม บางที่จึงเข้าใจง่ายจำได้ดี ทำไมบางทีจึงเข้าใจยาก จำได้ยาก ทั้งๆ ที่เรื่องที่เรียนนั้นมีความยากง่ายพอๆ กัน?

พุทธดำรัสตอบ “....เมื่อใด บุคคลมีจิตอันกามราคะครอบงำแล้ว และไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น.... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้...เหมือนพื้นน้ำที่ระคนด้วยครั่งก็ดี ด้วยขมิ้นก็ดี ด้วยครามก็ดี ด้วยฝางก็ดี บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันพยาบาท (ความมุ่งร้าย) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำที่ร้อนจัดด้วยไฟเดือดพล่านแล้ว บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาเคลิบเคลิ้ม) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำสาหร่ายแลแหนปกคลุม แล้วบุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญ) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดอุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำที่ลมพัดไหวกระเพื่อมเป็นระลอกแล้ว บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันวิจิกิจฉา (ความเคลือบแคลงสงสัย) รุมครอบงำอยู่ แลไม่รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น .... มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาได้ท่องสาธยายไว้แล้วตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้งอยู่ได้เหมือนพื้นน้ำที่ขุ่นมัวเป็นตม อันเขาตั้งไว้แล้วในที่มืด บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

“เมื่อใดบุคคลมีจิตอันกามราคะไม่รุมครอบงำแล้ว แลรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันพยาบาทไม่รุมครอบงำแล้ว แลย่อมรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันถีนมิทธะไม่รุมครอบงำ รู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะไม่รุมครอบงำแล้ว แลรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดอุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว มีจิตอันวิจิกิจฉาไม่รุมครอบงำแล้ว แลรู้ธรรมเป็นเครื่องสลัดวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้น มนต์ทั้งหลายแม้ที่เขาไม่ได้ท่องสาธยายไว้ตลอดกาลนาน ก็แจ่มแจ้งอยู่ได้ จะกล่าวอะไรถึงมนต์ทั้งหลายที่เขาได้ท่องสาธยายไว้เล่า... เหมือนพื้นน้ำที่ไม่ระคนด้วยครั้งก็ดี ด้วยขมิ้นก็ดี ด้วยครามก็ดี ด้วยฝางก็ดี เหมือนพื้นน้ำที่ไม่ร้อนจัดด้วยไฟ ไม่เดือนพล่านแล้ว....เหมือนพื้นน้ำที่ไม่มีสาหร่ายและแหนปกคลุมแล้ว.... เหมือนพื้นน้ำที่ลมพัดไหวกระเพื่อมไม่เป็นระลอกแล้ว..... เหมือนพื้นน้ำที่ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว อันเขาตั้งไว้ในที่ส่งว่า บุรุษผู้มีจักษุพิจารณาดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น ก็พึงรู้พึงเห็นเงาหน้าของตนตามความเป็นจริงได้

สังคารวสูตร


🔅 เหตุให้อายุสั้น
ปัญหา ในจูฬกัมมวิภังคสูตร พระพุทธองค์ตรัสว่า คนเกิดมามีอายุสั้น เพราะในชาติก่อนเป็นผู้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สำหรับในชาติปัจจุบันนี้เล่ามีปฏิปทาใดบ้างที่เป็นเหตุให้บุคคลมีอายุสั้น หรือตายเร็ว?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม (เหล่า) นี้เป็นเหตุให้อายุสั้น... คือ
บุคคลไม่เป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง ๑
ไม่รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย ๑
บริโภคสิ่งที่ย่อยยาก ๑
เป็นผู้เที่ยวไปในกาลไม่สมควร ๑
ไม่ประพฤติเพียงดังพรหม ๑
เป็นคนทุศีล ๑
มีมิตรเลวทราม ๑”

อนายุสสสูตร ที่ ๑-๒


🔅 วิธีแก้ความอาฆาต
ปัญหา ถ้าเกิดความอาฆาตขึ้นในจิตใจเรา ทำให้เราคิดมุ่งร้ายหมายแก้แค้นต่อบุคคลบางคน ซึ่งได้ล่วงเกินเราก่อน ควรจะแก้ไขอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น ๑
พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น ๑
พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑
พึงถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงเกิดขึ้นในบุคคลใดพึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน ให้มั่นในบุคคลนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นดังนี้ ๑

พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้”


อาฆาตวินัยสูตร ที่ ๑

วันอังคาร

พระพุทธดำรัส (๑๑)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏




🔅 คนฟังธรรม ๓ ประเภท
ปัญหา คนที่ไปฟังเทศน์ ฟังธรรมอยู่ตามวัดเป็นประจำนั้น มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก.... คือ บุคคลมีปัญญาคว่ำ ๑ บุคคลมีปัญญาเช่นกับตัก ๑ บุคคลมีปัญญากว้างขวาง ๑

“บุคคลมีปัญญาคว่ำ เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ หมั่นไปวัดเพื่อฟังธรรมในสำนักของภิกษุเสมอ ภิกษุย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิงแก่เขา เขานั่งบนอาสนะนั้น จำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นไม่ได้ เปรียบเหมือนหม้อคว่ำ ถึงจะเอาน้ำรดลงที่หม้อนั้นย่อมราดไปหาขังอยู่ไม่..... นี้เรียกว่าบุคคลมีปัญญาคว่ำ

“บุคคลมีปัญญาเช่นกับตักเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ หมั่นไปวัดเพื่อฟังธรรมในสำนักของภิกษุเสมอ ภิกษุย่อมแสดงธรรม..... แก่เขา เขานั่งบนอาสนะนั้น จำเบื้องต้น ครั้นลุกจากอาสนะนั้นแล้ว ก็ทรงจำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นไม่ได้ เปรียบเหมือนบนตักของบุรุษมีของเคี้ยวนานาชนิด คือ งา ข้าวสาร ขนมต้ม พุทรา เกลื่อนกลาด เขาลุกจากอาสนะนั้น พึ่งทำเรี่ยราดเพราะเผลอสติ..... ที่เรียกว่า บุคคลมีปัญญาเหมือนตัก

“บุคคลมีปัญญากว้างขวางเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ หมั่นไปวัดเพื่อฟังธรรมในสำนักของภิกษุเสมอ ภิกษุย่อมแสดงธรรม..... แก่เขา เขานั่งบนอาสนะนั้น จำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นได้
แม้ลุกจากอาสนะนั้นแล้ว ก็จำเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดของกถานั้นได้ เปรียบเหมือนหม้อหงาย เอาน้ำเทใส่ไปในหม้อนั้น ย่อมขังอยู่ หาไหลไปไม่... นี้เรียกว่า บุคคลมีปัญญากว้างขวาง”

อวกุชชิตาสูตร



🔅 ควรให้ทานแก่คนเช่นไร
ปัญหา มีบางคนกล่าวหาพระพุทธองค์ว่า ทรงสรรเสริญเฉพาะท่านที่เขาถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ทรงส่งเสริมสนับสนุนทานที่เขาให้แก่นักบวชอื่นๆ ดังนี้จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนวัจฉะ ผู้ใดพูดว่าพระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว ไม่ควรให้แก่คนอื่นๆ พึงให้ทานแก่สาวกของเรานี้แหละ ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของคนอื่นๆ .. ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูดทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่ดี ไม่เป็นจริง”

     “... ดูก่อนวัจฉะ ผู้ใดแลห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่ ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง วัตถุ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ย่อมทำอันตรายแก่บุญของทายก ๑ ย่อมทำอันตรายแก่ลาภของปฏิคาหก ๑ ตนของบุคคลนั้นย่อมเป็นอันถูกกำจัดและถูกทำลายก่อนทีเดียวแล ๑...”

     “... ดูก่อนวัจฉะ ก็เราพูดเช่นนี้ว่า ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันไปแม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำคลำ หรือที่บ่อโสโครกข้างประตูบ้าน ด้วยตั้งใจว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิดดังนี้ ดูก่อนวัจฉะ เรากล่าวกรรมซึ่งมีการราดล้างน้ำภาชนะนั้นเป็นเหตุว่า เป็นที่มาแห่งบุญ จะป่วยการกล่าวไปไย ถึงในสัตว์มนุษย์เล่า”

     “... อีกประการหนึ่ง เราย่อมกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ท่านผู้มีศีล มีผลมาก ที่ให้ในคนทุศีลหาเหมือนเช่นนั้นไม่ ทั้งท่านผู้มีศีลนั้น เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้ แล้ว... คือ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ ถีนมิทธะ ๑ อุทธัจจกุกกุจจะ ๑ วิจิกิจฉา ๑... ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ ประกอบด้วยศัลขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยปัญญาขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุติขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัสสนขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑... เรากล่าวว่า ทานที่ให้ในท่านที่ละองค์ ๕ ได้ ประกอบด้วยองค์ ๕ ที่กล่าวมา มีผลมากฯ”

ชัปปสูตร


🔅 ข้อตอบโต้ลัทธิต่างๆ
ปัญหา สมณพราหมณ์บางพวกยืนยันว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี ที่บุคคลได้รับเสวยอยู่นั้น ล้วนแต่มีกรรมที่ทำไว้ก่อนเป็นเหตุ คือ เป็นผลแห่งกรรมเก่านั้นทั้งสิ้น ดังนี้ พระพุทธองค์ทรงแก้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่มีว่าวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรือไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้วถามอย่างนี้ว่า ได้ยินว่าท่านทั้งหลายมีว่าวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้.... จริงหรือ ถ้าสมณพราหมณ์พวกนั้น.... ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนั้น เพราะกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์ จักต้องลักทรัพย์ จักต้องประพฤติกรรมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ จักต้องพูดเท็จ จักต้องพูดคำส่อเสียด จักต้องพูดคำหยาบ จักต้องพูดคำเพ้อเจ้อ จะต้องมากไปด้วยอภิชฌา จักต้องมีจิตพยาบาท จักต้องมีความเห็นผิด
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือ กรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนว่าเป็นสาระสำคัญแล้ว ความพอใจหรือความพยายามว่า กิจนี้ควรทำหรือไม่ว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้.....ฯ”

ติตถสูตร

🔅 พรหมลิขิตมีหรือไม่
ปัญหา สมณพราหมณ์บางพวกยืนยันว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี ที่บุคคลได้รับเสวยอยู่นั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าอยู่ยิ่งใหญ่เป็นเหตุดังนี้ พระพุทธองค์ทรงเห็นอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์..... พวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุข ทุกข์ หรือไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นเหตุจริงหรือ ถ้าสมณพราหมณ์พวกนั้น.... ปฏิญญาว่าจริง เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนั้น เพราะการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นเหตุ ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าสัตว์.... จักต้องลักทรัพย์...... จักต้องประพฤติกรรมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์..... จักต้องพูดเท็จ..... จักต้องพูดคำส่อเสียด.... จักต้องพูดคำหยาบ..... จักต้องพูดคำเพ้อเจ้อ..... จะต้องมากไปด้วยอภิชฌา...... จักต้องมีจิตพยาบาท..... มิจฉาทิฏฐิ.....

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือการสร้างสรรค์ ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นสำคัญ ความพอใจหรือความพยายามว่า กิจนี้ควรทำหรือไม่ว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้.....ฯ”

🔅 เหตุเกิดอกุศลมูล ๓
ปัญหา อะไรเป็นเหตุให้เกิด ราคะ โทสะ โมหะ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราคะ มีโทษน้อยคลายช้า โทสะ มีโทษมากคลายเร็ว โมหะ มีโทษมากคลายช้า.....

“สุภนิมิตคือความกำหนดหมายว่างาม เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคายถึงสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง

“.....อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้โทสะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น.... ปฏิฆนิมิต คือความกำหนดหมายว่ากระทบกระทั่ง (จิต) เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายถึงปฏิฆนิมิต โทสะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง.....” (ในทางตรงกันข้าม ดับราคะได้ด้วย อสุภนิมิต ดับโทสะได้ด้วยเมตตาเจโตวิมุติ ดับโมหะได้ด้วย โยนิโสมนสิการ)

ติตถิยสูตร


🔅 ศีลอุโบสถของศาสนาเชน
ปัญหา ได้ทราบว่าศาสนาเชน ของศาสดามหาวีระ หรือนิครนถนาฏบุตร ศาสนาที่มีอยู่ในช่วงพุทธกาล จนถึงปัจจุบัน ศาสนาเชนมีหลักปฏิบัติอย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนนางวิสาขา มีสมณะนิกายหนึ่งมีนามว่านิครนถ์ นิครนถ์เหล่านั้นชักชวนสาวกอย่างนี้ว่า... ท่านจงวางทัณฑะในหมู่สัตว์ที่อยู่ทางทิศบูรพา.... ทางทิศปัจฉิม... ทางทิศอุดร..... ทางทิศทักษิณ ในที่เลยร้อยโยชน์ไป นิครนถ์เหล่านั้นชักชวนเพื่อเอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่า ไม่ชักชวนเพื่อเอ็นดูกรุณาสัตว์บางเหล่า ด้วยประการฉะนี้

“นิครนถ์เหล่านั้น ชักชวนสาวกในวันอุโบสถเช่นนั้นอย่างนี้ว่า.... ท่านจงทิ้งผ้าเสียทุกชิ้นแล้วพูดอย่างนี้ว่า เราไม่เป็นที่กังวลของใคร ๆ ในที่ไหนๆ และตัวเราก็ไม่มีความกังวลในบุคคลและสิ่งของใด ๆ ในที่ไหนๆ ดังนี้.... แต่ว่า มารดาและบิดาของเขารู้อยู่ว่า ผู้นี้เป็นบุตรของเรา แม้เขาก็รู้อยู่ว่า ท่านเหล่านี้เป็นมารดาบิดาของเรา อนึ่ง บุตรและภรรยาของเขาก็รู้อยู่ว่า นี้เป็นบิดาเป็นสามีของเรา แม้เขาก็รู้อยู่ว่า ผู้นี้เป็นบุตรภรรยาของเรา พวกทาสและคนงานของเขารู้อยู่ว่า ท่านผู้นี้เป็นนายของเรา ถึงตัวเขาก็รู้ว่า คนเหล่านี้เป็นทาสและคนงานของเรา เขาชักชวนในการพูดเท็จ ในสมัยที่ควรชักชวนในคำสัตย์ ด้วยประการฉะนี้.....”

อุโปสกสูตร
(ศาสนาเชน มีหลักคำสอนที่เอียงสุด หรือสุตโต่งไปในข้างที่ทรมารตัวให้เปล่าประโยชน์)


🔅 ชาติหน้ามีจริงหรือไม่
ปัญหา ชาติหน้ามีจริงหรือไม่? ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....อริยสาวกนั้น มีจิตหาว่าเรามิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ เธอย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในชาตินี้

“ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่ ผลแห่งกรรมมีสัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะซึ่งจะเป็นไปได้ คือเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว เราจะได้เข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่หนึ่ง

“ความอุ่นใจที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมมีสัตว์ทำดีทำชั่วไม่มีเราก็จะรักษาตนเป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความลำบาก ไม่มีทุกข์ มีแต่สุขในชาตินี้ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สอง

“ความอุ่นใจที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะนำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราไม่ได้คิดบาปให้แก่ใครๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเรา ผู้ไม่ได้ทำบาป ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม

“ความอุ่นใจที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะนำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราก็ได้พิจารณาเห็นคนเป็นคนบริสุทธิแล้วทั้ง ๒ ส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่

“อริยสาวกมีจิตหาเวรมิได้ หาความเบียดเบียนมิได้ มีจิตไม่เศร้าหมอง มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ ย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แล ในชาตินี้ฯ”

เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) 


🔅 หลักในการนับถือศาสนา
ปัญหา ในโลกนี้ มีคำสอนในศาสนา ในลัทธิ และในปรัชญา เป็นอันมาก แม้คำสอนทางพระพุทธศาสนาเองก็มีมากมาย จนทำให้เกิดความสงสัยลังเลว่า อะไรควรเชื่อถือ อะไรไม่ควรเชื่อถือ อะไรควรปฏิบัติตามอะไร ไม่ควรปฏิบัติตาม ขอได้โปรดแนะแนวในการเชื่อถือและในการปฏิบัติด้วย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา
อย่าได้ถือโดยลำดับสืบๆ กันมา
อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ๆ
อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเนอย่าได้ถือโดย
อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับลัทธิของตน
อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา

“เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั้นแล ว่าธรรมเหล่านี้ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครประพฤติให้เต็มทีแล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสียเมื่อนั้น

เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)

🔅 ผลกรรมและผู้กระทำ
ปัญหา คน ๒ คน ทำกรรมอย่างเดียวกัน แต่ได้รับผลต่างกันมีหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดแลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษนี้ทำกรรมไว้อย่างไร? เขาจะต้องเสวยกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ของผู้นั้นย่อมมีไม่ได้ โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษนี้ทำกรรมที่จะต้องเสวยผลไว้ด้วยอาการใดๆ เขาจะต้องเสวยวิบากของกรรมนั้นด้วยอาการนั้น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของผู้นั้นย่อมมีได้ โอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบย่อมปรากฏ

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคลในโลกนี้ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้านรก ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นแหละ บาปกรรมนั้นย่อมได้ผลทันตาเห็น แต่ส่วนน้อยไม่ปรากฏ ปรากฏเฉพาะส่วนที่มา บุคคลเช่นไร ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้านรก

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา มีคุณน้อย มีอัตตภาพเล็ก มีอัตตภาพอยู่เป็นทุกข์เพราะวิบากเล็กน้อย บุคคลเห็นปานนี้ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้านรก

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเช่นไรเล่า ทำบาปกรรมเล็กน้อยเช่นนั้น เหมือนกัน บาปกรรมนั้นให้ผลทันตาเห็น แต่ส่วนน้อยไม่ปรากฏ ปรากฏเฉพาะส่วนมาก

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณไม่น้อย มีอัตตภาพใหญ่ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่หาประมาณมิได้ บุคคลเช่นนี้ ทำบาปกรรมเช่นนั้นเหมือนกัน บาปกรรมนั้นให้ผลทันตาเห็น แต่ส่วนน้อยไม่ปรากกฎ ปรากฏเฉพาะแต่ส่วนมาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษพึงใส่ก้อนเกลือลงในขันใบน้อย.... น้ำในขันเล็กน้อยนั้น พึงมีรสเค็ม ดื่มกินไม่ได้ (ส่วนบาปกรรมเล็กน้อยของบุคคลผู้อบรมกายเป็นต้นแล้วนั้น) เปรียบเหมือนบุรุษพึงใส่ก้อนเกลือลงในแม่น้ำคงคา (น้ำในแม่น้ำคงคาก็คงไม่เค็ม ดื่มกินได้ เพราะเป็นห้วงน้ำใหญ่....”

โสณกสูตร


🔅 บำเพ็ญสมาธิทำไม
ปัญหา การบำเพ็ญสมาธินั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำลายกิเลส แล้วบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์เท่านั้นหรือ? หรือว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นด้วย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนามีอยู่ ๔ ประการ คือ สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญแล้วเพิ่มพูนแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อให้เกิดจากเป็นแจ้งด้วยญาณ ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อ (ความสมบูรณ์แห่ง) สติสัมปชัญญะ ๑.... ย่อมเป็นไปเพื่อความหมดสิ้นแห่งอาสวะ ๑.....”

สมาธิสูตร

🔅 สมาธิเพื่ออยู่เป็นสุข
ปัญหา การบำเพ็ญสมาธิภาวนาเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันคืออย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (มีจิต) สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม แล้วบรรลุฌานที่หนึ่ง อันประกอบด้วยความตรึก ความครอง ความอิ่มเอิบใจ และความสุขที่เกิดแต่ความสงบดำรงในฌานนั้น

“แล้วบรรลุถึงฌานที่สอง ซึ่งจิตมีความเป็นหนึ่งแน่วแน่ ผ่องใสอยู่ภายใน ไม่มีความตรึกความตรอง เพราะความตรึกความตรองระงับไป มีแต่ความอิ่มเอิบใจ และความสุขที่เกิดแต่สมาธิ ดำรงอยู่ในฌานนั้น

“ต่อจากนั้นก็มีใจสงบนิ่ง เพราความอิ่มเอิบใจระงับไว้ มีความตื่นตัว ความรู้ตัว เสวยสุขด้วยนามกาย แล้วบรรลุฌานที่สาม ที่พระอริยสรรเสริญรู้ได้ฌานนี้ ย่อมมีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุขเป็นประจำ

“ต่อจากนั้นก็บรรลุฌานที่สี่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ และดับโสมนัสโทมนัสเดิมได้ มีแต่อุเบกขาและสติอันบริสุทธิ์ ดำรงอยู่ในฌานนั้น

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุข ในปัจจุบัน”

สมาธิสูตร

🔅 สมาธิเพื่อให้เกิดฌาณ
ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิแบบไหน อย่างไร จึงจะเป็นเหตุให้เกิดการเห็นแจ้งด้วยฌาน ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาให้เกิดความเข้าใจหมายรู้ว่ามีแสงสว่างภายในใจ (อาโลกสัญญา) พยายามสร้างความจำหมายว่าเป็นกลางวัน (ทิวาสัญญา) ให้เกิดขึ้นในใจ คิดว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน มีใจสงบระงับปราศจากเครื่องผูกมัด อบรมจิตให้มีความสว่างไสวอยู่.... “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้.... ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดการเห็นแจ้งด้วยญาณทัศนะ.....”

สมาธิสูตร

🔅 สมาธิเพื่อสติสัมปชัญญะ
ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาแบบไหน อย่างไร จึงจะเป็นเหตุให้สติสัมปชัญญะเจริญไพบูลย์ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้แจ้งเวทนาที่กำลงเกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่กำลังดับไป รู้แจ้งสัญญาที่กำลังเกิดขึ้น รู้แจ้งสัญญาที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งสัญญาที่กำลังดับไป รู้แจ้งวิตกที่กำลังเกิดขึ้น รู้แจ้งวิตกที่กำลังตั้งอยู่ รู้แจ้งวิตกที่กำลังดับไป

“..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้ ที่บุคคลเจริญพัฒนาแล้วย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ”

สมาธิสูตร


🔅 สมาธิเพื่อดับอาสวะ
ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาแบบไหน อย่างไร จึงจะทำให้อาสวะดับได้ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ห้าอยู่เป็นประจำว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้

“เวทนา.... ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา.... ความดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้
“สัญญา.... ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา.... ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้
“สังขาร.... ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร.... ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้
“วิญญาณ.... ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ.... ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้

“..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้..... ย่อมเป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะ....”

สมาธิสูตร

🔅 คนกับสภาพแวดล้อม
ปัญหา ทางพระพุทธศาสนาเชื่อหรือไม่ว่า ความประพฤติดีหรือชั่วของมนุษย์ มีผลกระทบกระเทือนต่อการทำงานของธรรมชาติ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใดพระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรมสมัยนั้น แม้พวกข้าราชการก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อข้าราชการไม่ตั้งอยู่ในธรรมแม้พราหมณ์และคฤหบดีก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีไม่ตั้งอยู่ในธรรม แม้ชาวนิคมและชาวชนบทก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อชาวนิคมและชาวชนบทไม่ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมโคจรไม่สม่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์พระอาทิตย์โคจรไม่สม่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ย่อมหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรโคจรไม่สม่ำเสมอ วันและคืนย่อมหมุนเวียนโคจรไม่สม่ำเสมอ เมื่อวันและคืนหมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ..... ฤดูและปีก็หมุนเวียนไม่สม่ำเสมอ... เทวดาย่อมกำเริบเมื่อเทวดากำเริบ ฝนย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาล... ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกัน

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ผู้บริโภคข้าวที่สุกไม่เสมอกัน ย่อมมีอายุสั้น มีผิวพรรณเศร้าหมอง มีกำลังน้อย มีโรคภัยไข้เจ็บมาก....”

ธรรมิกสูตร

🔅 ใช้ตัณหาปราบตัณหา
ปัญหา มีบางท่านกล่าวว่า ความอยากถึงนิพพานก็จัดเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง และเป็นแรงผลักดันให้คนปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงนิพพาน เข้าทำนอง ใช้ตัณหาดับตัณหา คำกล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานในพระไตรปิฎกยืนยันหรือไม่ ?

พระอานนท์ตอบ “.....ดูก่อนน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่ากายนี้เกิดด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละตัณหาเสียดังนี้ เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร

“ดูก่อนน้องหญิง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้ข่าวว่า ภิกษุชื่ออย่างนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่ง ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ เธอเกิดความปรารถนา (ตัณหา) อย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุต ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ ในปัจจุบันชาตินี้ ดังนี้ ในเวลาต่อมา เธออาศัยตัณหานั้นแล้วละตัณหาเสียได้

“ดูก่อนน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหาอาศัยตัณหาแล้วพึงละเสียดังนี้ เรากล่าวเพราะอาศัยความจริงข้อนี้......”

อินทริยวรรค


🔅 สิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูด
ปัญหา สิ่งใดก็ตามที่เราเห็นมาจริง ได้ฟังมาจริง ประสบมารู้แจ้งมาจริง เราควรพูดสิ่งนั้นออกมาได้ทันทีโดยไม่มีโทษใดๆ ได้หรือไม่ ?

พระอานนท์ตอบ “.....ดูก่อนพราหมณ์ เราไม่กล่าวสิ่งที่เห็นทั้งหมดว่าควรกล่าวและไม่กล่าวสิ่งที่เห็นทั้งหมดว่าไม่ควรกล่าว เราไม่กล่าวสิ่งที่ได้ฟังทั้งหมด ว่าควรกล่าว (หรือ).... ไม่ควรกล่าว เราไม่กล่าวสิ่งที่ได้ประสบมาทั้งหมดว่าควรกล่าว (หรือ).....ไม่ควรกล่าว เราไม่กล่าวสิ่งที่รู้แจ้งมาทั้งหมดว่าควรกล่าว (หรือ).....ไม่ควรกล่าว

“.....ดูก่อนพราหมณ์ แท้จริง เมื่อบุคคลกล่าวสิ่งที่ได้เห็นอันใด...... สิ่งที่ได้ฟังมาอันใด.... สิ่งที่ได้ประสบมาอันใด.... สิ่งที่ได้รู้แจ้งมาอันใด อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป เรากล่าวสิ่งที่ได้เห็นมา.. ได้ฟังมา.... ได้ประสบมา.... ได้รู้แจ้งมาเช่นนั้นว่า ไม่ควรกล่าว แต่เมื่อบุคคลกล่าวสิ่งที่ได้เห็นมา.... ได้ฟังมา... ได้ประสบมา.... ได้รู้แจ้งมาอันใด อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น เรากล่าวสิ่งที่ได้เห็น... ได้ฟัง.... ได้ประสบ... ได้รู้แจ้งมาเช่นนั้น ว่าควรกล่าว”

โยธาชีวสูตร

🔅 เทวดาก็บรรลุมรรคผลได้
ปัญหา มีบางท่านกล่าวว่า มนุษย์เท่านั้นสามารถปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลได้ เทวดาไม่สามารถ เพราะเห็นที่เสวยสุขอันเป็นทิพย์อย่างเดียว จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน.... เวทัลละ ธรรมเหล่านั้นเธอฟังเสมอๆ คล่องปาก เพ่งพิจารณาด้วยใจ และกาย ตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ

"ต่อมา เธอมีสติเหลงลืมถึงแก่มรณะ ย่อมไปบังเกิดในเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง เมื่อเธอมีความสุขอยู่ในภพนั้น บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏแก่เธอ สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน

“อีกประการหนึ่ง... บทแห่งธรรมย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ แต่ภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีความชำนาญทางจิต แสดงธรรมแก่เทพบริษัท เธอตรึกตรองจนเห็นว่า ในกาลก่อน เราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใด นี้คือธรรมวินัยนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน.... ดุจบุรุษผู้ฉลาดในเสียงกลอง เขาเดินทางไกล เมื่อได้ยินเสียงกลอง ไม่มีความสงสัยหรือเคลือบแคลงว่า นั่นเสียงกลองหรือไม่ใช่....

“อีกประการหนึ่ง... บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขอยู่ในภพนั้นเลย ทั้งภิกษุผู้มีฤทธิ์ ก็ไม่ได้แสดงธรรมในเทพบริษัท แต่เทพบุตรย่อมแสดงธรรมในเทพบริษัท เธอคิดได้ดังนี้ว่า นี้คือ นี้คือธรรมวินัยนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมบรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน.... ดุจบุรุษผู้ฉลาดในเสียงสังข์ สติบังเกิดขึ้นช้า เดินทางไกลได้ยินเสียงสังข์เข้า ไม่พึงมีความเคลือบแคลงสงสัย ว่านั่นเสียงสังข์หรือไม่ใช่....

มหาวรรคที่ ๕


🔅 คนดียิ่งกว่าดี
ปัญหา คนดีคือคนอย่างไร และคนดียิ่งกว่าดีคือคนอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีความเห็นชอบ มีความดำริชอบ มีวาจาชอบ มีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ มีความเพียรชอบ มีการระลึกชอบ มีการตั้งมั่นชอบ มีญาณชอบ มีความหลุดพ้นชอบ บุคคลนี้เราเรียกว่าคนดี

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็คนดีเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้

มีความเห็นชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเห็นชอบอีกด้วย
มีความดำริชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นให้ดำริชอบด้วย
มีการงานชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการงานชอบด้วย
มีการเลี้ยงชีพชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นเลี้ยงชีพชอบด้วย
มีความเพียรชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีความเพียรชอบด้วย
มีการระลึกชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีการระลึกชอบด้วย
มีการตั้งจิตมั่นด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นตั้งจิตมั่นด้วย
มีการรู้แจ้งด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นรู้แจ้งด้วย
มีการหลุดพ้นชอบชอบด้วยตนเอง และชักชวนให้ผู้อื่นมีหลุดพ้นชอบด้วย.....

บุคคลนี้เราเรียกว่าคนดีที่ยิ่งกว่าคนดี...”

สัปปุริสวรรค


🔅 ทำไมคนจึงกลัวความตาย
ปัญหา คนเราทุกคนย่อมรู้ว่าความตายเป็นของธรรมดาที่จะหลักเลี่ยงไม่พ้น ถึงกระนั้น ก็ไม่วายที่จะหวาดกลัวความตาย อะไรเป็นเหตุทำให้คนหวาดกลัวความตาย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความกำหนัดยินดี... ชอบใจ.... รักใคร่.... กระหาย.... เร่าร้อน มีตัณหาในกามทั้งหลายยังไม่หมดสิ้น ครั้นโรคาพาธเจ็บไข้หนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า กายทั้งหลายซึ่งเป็นของรักจักละเราไปเสีย แลเราก็จักละกาย ทั้งหลายซึ่งเป็นที่รักไปหนอ ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... บุคคลนี้แล.. ย่อมกลัวต่อความตาย ถึงความสะดุ้งต่อความตาย

“.....บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความกำหนัดยินดี... พอใจรักใคร่....ในกาย ครั้นโรคาพาธหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า กายทั้งหลายซึ่งเป็นของรักจักละเราไปเสีย แลเราก็จักละกาย ทั้งหลายซึ่งเป็นที่รักไปหนอ ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... บุคคลนี้แล.. ย่อมกลัวต่อความตาย ถึงความสะดุ้งต่อความตาย

“.....บุคคลบางคนในโลกนี้ มีกรรมงามดีไม่ได้ทำไว้แล้ว มีกุศลไม่ได้ทำไว้แล้ว มีกรรมซึ่งจะเป็นที่พึ่งของคนขลาดไม่ได้ทำไว้แล้ว มีบาปได้ทำไว้แล้วมีกรรมของคนละโมบได้ทำไว้แล้ว มีกรรมหยาบได้ทำไว้แล้ว ครั้นโรคาพาธหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า

กรรมงามดีไม่ได้ทำไว้แล้ว..... ผู้มีกุศลไม่ได้ทำไว้แล้ว มีกรรมเป็นบาปอันได้ทำไว้แล้ว มีประมาณเพียงใด ตัวเราจะละโลกนี้ไปสู่คติมีประมาณเท่านั้น ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... ถึงความสะดุ้งต่อความตาย

“.....บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความเคลือบแคลง... สงสัย ถึงความแน่ใจในพระสัทธรรม ครั้นโรคาพาธหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องผู้นั้นเข้า ผู้นั้นก็มีความวิตกอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีความเคลือบแคลง... สงสัย ถึงความแน่ใจในพระสัทธรรมแล้ว ดังนี้.... เขาย่อมเศร้าโศกลำบากพิไรตรีอกคร่ำครวญ... บุคคลนี้แล.. กลัวต่อความตาย สะดุ้งต่อความตาย

โยธาชีวรรค

วันพฤหัสบดี

พระพุทธดำรัส (๑๐)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏


🔆 วิญญาณาหารคืออะไร
ปัญหา การที่ท่านจัดวิญญาณว่าเป็นอาหารชนิดหนึ่งนั้น หมายเอาวิญญาณชนิดไหน และวิญญาณาหารมีลักษณะอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหาร จะพึงเห็นได้อย่างไร ? เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้ว แสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะ ด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้น ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า

“ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะเขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน

“ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะเขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งวอย่านี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น

“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกสามร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุเท่านั้นมิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไย ถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอก สามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า พึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดวิญญาณาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว”

ปุตตมังสสูตร 


🔆 อาหาร ๔ และทุกข์
ปัญหา อาหาร ๔ ประการ คือ กวฬึงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เป็นเหตุให้เกิดทุกข์อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก มีอยู่ใน กวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในกวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหาร ในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้นย่อมมีการตั้งลงแห่งนามรูป ในที่ใดมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดมีความเจริญแห่งสังขาร ในที่นั้นย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใดมีการเกิดในภพใหม่ ในที่นั้นย่อมมีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดมีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่ามีความโศก มีธุรี มีความคับแค้น

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีน้ำย้อม ครั่ง ขมิ้น สีเขียวหรือสีบานเย็น ช่างย้อมหรือช่างเขียนพึงเขียนรูปสตรีหรือรูปบุรุษให้มีอวัยวะน้อยใหญ่ได้ครบถ้วน ที่แผ่นหินขาว แผ่นกระดาน ฝาผนัง หรือที่ผืนผ้า แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน....”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ไม่มีอยู่ใน กวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงามในกวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหาร นั้น ในที่ใดวิญญาณไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงาม ในที่นั้นย่อมไม่มีการตั้งลงแห่งนามรูป ในที่ใดไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดไม่มีความเจริญแห่งสังขาร ในที่นั้นย่อมไม่มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใดไม่มีการเกิดในภพใหม่ ในที่นั้นย่อมไม่มีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดไม่มีชาติชรามรณะต่อไป..... เราเรียกที่นั้นว่าไม่มีความโศก ไม่มีธุรี ไม่มีความคับแค้น (เปรียบเหมือนบุคคลเปิดหน้าต่างปราสาทด้วยตะวันออก แสงสว่างย่อมส่องเข้าไปตั้งอยู่ที่ฝาผนังด้านตะวันตก ถ้าฝาผนังด้านตะวันด้านตะวันตกไม่มีแสงย่อมตั้งอยู่บนแผ่นดิน ถ้าแผ่นดินไม่มี ย่อมตั้งอยู่บนแผ่นน้ำ ถ้าแผ่นน้ำไม่มี ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใดเลย)”

อัตถิราคสูตร


🔆
เหตุเกิดอุปธิ

ปัญหา อุปธิ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิด ชรา มรณะนั้น มีอะไรเป็นเหตุ ?

พุทธดำรัสตอบ “......ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณา ซึ่งปัจจัยภายในว่าก็อุปธิอันนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้ง มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อมีอะไร อุปธิจึงมี เมื่อไม่มีอะไร อุปธิจึงไม่มี เมื่อเธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหาเป็นกำเนิด”

👉 เหตุเกิดตัณหา

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณา ซึ่งปัจจัยภายในว่าก็ตัณหานี้เมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน เมื่อเธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า ที่ใดแลเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหาเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น เมื่อตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น ก็อะไรเล่าเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตาเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก.... หูเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก.... จมูก.... ลิ้น.... กาย.... ใจเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้นเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ ตา.... หู.... จมูก.... ลิ้น.... กาย.... ใจนั้น เมื่อตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ที่ตา..... ใจนั้น

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เห็นอารมณ์เป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยง.... เป็นสุข.... เป็นตัวตน... เป็นของไม่มีโรค.... เป็นของเกษม สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น เชื่อว่าทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าทำอุปธิให้เจริญขึ้น .... ทำทุกข์ให้เจริญขึ้น.... ชื่อว่าไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสได้เลย

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันสำริดที่ใส่น้ำที่ถึงพร้อมด้วยสีและกลิ่น แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ทันใดนั้นมีบุรุษเดินฝ่าความร้อนอบอ้าว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากระหายน้ำ คนทั้งหลายจึงพูดกะบุรุษผู้นั้นอย่างนี้ว่า ในขันสำริดใส่น้ำนี้ประกอบด้วย สี กลิ่น และรส แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ถ้าท่านประสงค์ก็จงดื่มเถิด.... บุรุษนั้นผลุนผลันไม่ทันพิจารณา ดื่มน้ำนั้นเข้าไป .... พึงถึงความตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะการดื่มน้ำนั้นเป็นเหตุ แม้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีต... ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล....”

สัมมสสูตร

🔆 ปัจจัยการอาศัยกัน
ปัญหา ปัจจยาการทั้ง ๑๒ ช่วง ตั้งแต่อวิชชาถึงชาติ ชรา มรณะต่างอาศัย ซึ่งกันและกัน จึงดำรงอยู่ได้ หรือว่ามีช่วงใดช่วงหนึ่ง ซึ่งอาจอยู่ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องอาศัยช่วงอื่น?

พระสารีบุตรตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ไม้อ้อ ๒ กำพึงตั้งอยู่ได้ เพราะต่างอาศัยซึ่งกันและกันฉันใด เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฉันนั้นแล

“ถ้าไม้อ้อ ๒ กำนั้น พึงเอาออกเสียกำหนึ่ง อีกกำหนึ่งก็ล้มไป ถ้าดึงอีกกำหนึ่งออก อีกกำหนึ่งก็ล้มไป ฉันใด เพราะนามรูปดับ วิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฉันนั้นแล”

สัมมสสูตร


🔆 ไม่ใช่อรหันต์เสมอไป
ปัญหา ผู้ที่รู้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้งทั้งสายทุกข์ ทั้งสายดับทุกข์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะจัดว่าเป็นพระขีณาสพได้หรือยัง ?

พระนารทะตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผลเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ท่านผู้มีอายุเปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือก โพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้น บุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิวกระหายเดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้นก็รู้ว่ามีน้ำ แต่จะสัมผัสด้วยการไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ฉันนั้นเหมือนกัน”

โกสัมพีสูตร


🔆 เป็นอรหันต์แต่ไม่มีฤทธิ์
ปัญหา ภิกษุที่ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพแล้วจะต้องมีฤทธิ์ สามารถกระทำปาฏิหาริย์ได้ทั้งนั้นหรือ?

คำตอบ ไม่ได้เสมอไป ตามเรื่องสุสิมสูตรว่าเมื่อพระสุสิมะได้ยิน ภิกษุหลายรูป ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์จึงเข้าไปหาแล้วก็ถามว่า ท่านเหล่านั้นแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ไหม มีหูทิพย์ตาทิพย์ไหม เมื่อภิกษุเหล่านั้นตอบว่าแสดงฤทธิ์ก็ไม่ได้ มีหูทิพย์ตาทิพย์ก็ไม่ได้ พระสุสิมะ จึงแสดงความประหลาดใจว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ท่านเหล่านั้นตอบว่า ท่านหลุดพ้นได้ด้วยปัญญา เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสกะ

พระสุสิมะยังไม่หายสงสัย จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและทูลถามเรื่องนี้

พระพุทธองค์ตรัสถามเธอว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ควรถือว่าเป็นเราเป็นของของเรา เป็นตัวตนของเราหรือไม่ พระสุสิมะทูลว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ควรถือว่าเป็นเรา เป็นของของเรา เป็นตนของเรา พระพุทธองค์ทรงสอนต่อไปว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดและหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ

ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถามพระสุสมะในเรื่องปฏิจจสุมปบาทว่าเพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา และภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ฯลฯ เพราอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ในสายดับทุกข์พระองค์ทรงแสดงว่า เพราะชาติดับ ชรา มรณะ จึงดับ ฯลฯ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ในที่สุดทรงถามว่า “ดูก่อนสุสิมะ เธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ....ย่อมได้ยินเสียงสองชนิด... ด้วยทิพย์ โสตธาตุอันบริสุทธิ์..... ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น.... ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก... ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ.... บ้างหรือหนอ?”

พระสุสิมะทูลตอบว่า “ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แสดงว่า พระอรหันต์ผู้ได้บรรลุเพราะอาศัยปัญญา เกิดความรู้จริงเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ย่อมไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆ”

นัยสุสิมสูตร


🔆 พวกเดียวกันคบกัน
ปัญหา ตามปกติ คนที่มีอะไรคล้ายกันย่อมคบหาสมาคมกันใช่หรือไม่ ? พระผู้มีพระภาคตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน โดยธาตุทีเดียว คือสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา สัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ สัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ สัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย สัตว์จำพวกเกียจร้านย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกเกียจคร้าน สัตว์จำพวกมีสติหลงลืม ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกมีสติหลงลืม สัตว์จำพวกมีปัญญาทราม ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกมีปัญญาทราม แม้ในอดีตกาล แม้ในอนาคตกาล แม้ในปัจจุบันกาล”

อสัทธมูลกสูตร


🔆 วัฏสงสารที่ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย
ปัญหา เราอาจจะทราบได้ไหมว่า เราเริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัวทอนหญ้าไม้ กิ่งไม้ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดมัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่าหญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไปข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฏพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้”

ติณกัฏฐสูตร

🔆 กรรมเก่าทั้งนั้นหรือ
ปัญหา ตอบหลักกรรมในทางพระพุทธศาสนานั้นเราจะถือว่าความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ที่เราได้รับอยู่ในบัดนี้ เป็นผลของกรรมเก่าที่เราได้ทำไว้แล้วในชาติก่อน ดังนี้ได้หรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....เวทนาอันบุคคลเสวยในโลกนี้ บางเหล่าเกิดขึ้นมีดีเป็นสมุฏฐานก็มี มีสวนต่างๆ เหล่านั้นรวมกันเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดแต่ความแปรแห่งฤดูก็มี เกิดแต่การบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอก็มี เกิดแต่ความพยายาม (ของตน) ก็มี เกิดแต่วิบากแห่งกรรมก็มี..... ข้อนี้อันเจ้าตัวเองก็รู้เช่นนั้น อันโลกก็สมมติว่าเป็นจริง สมณะพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด มักกล่าวและมีความเห็นในข้อนั้นอย่างนี้ว่า “บุคคล... เสวยเวทนาทั้งปวง (สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์) เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำแล้วในก่อน เขาย่อมเพิกเฉยข้อที่ตนเองก็รู้ดี ย่อมเพิกเฉยต่อข้อที่โลกสมมติว่าเป็นจริง เพราะฉะนั้นเรากล่าวว่า การกล่าวแลความเห็นอย่างนี้ของสมณะพราหมณ์เหล่านั้น เป็นการกล่าวผิดและเห็นผิด” ดังนี้

สิวกสูตร


🔆 วิธีเข้าถึงแก่นพระพุทธศาสนา
ปัญหา ได้ทราบว่าวิมุติคือความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา เราจะปฏิบัติธรรมอะไรโดยลำดับ จึงจะบรรลุถึงวิมุตินั้นสมประสงค์ ?

พุทธดำรัสตอบ “โพชฌงค์ ๗ ประการแล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาแลวิมุติให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ประการให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ประการแล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ประการให้บริบูรณ์ อินทรีย์สังวรแล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสุจริต ๓ ประการให้บริบูรณ์

กุณฺฑลิยสูตร


🔆 ฆราวาสก็มีหวังได้ลิ้มรสนิพพาน
ปัญหา เท่าที่ได้ฟังมานั้น การที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน รู้สึกว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากมาก จะต้องสละโลกออกบวช ไปอยู่ในป่าบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญาอย่างเคร่งครัด ซึ่งน้อยคนจะกระทำได้ สำหรับฆราวาสที่ยังต้องอยู่ครองเรือนมีหน้าที่ในการเลี้ยงครอบครัว จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะมีโอกาสได้ลิ้มรสแห่งนิพพานสุขบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....สาวกของพระอริยเจ้าในศาสนานี้ย่อมพิจารณาเห็นว่า เราปรารถนาชีวิต ไม่คิดอยากตาย ปรารถนาแต่ความสุขสบาย เกลียดหน่ายต่อความทุกข์ บุคคลผู้ใดจะพึงปลงเราเสียจากชีวิต ข้อนั้นจะไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แล ถ้าเราจะพึงปลงผู้อื่นเสียจากชีวิต ถึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้นั้น ธรรมอันใดที่ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราธรรมอันนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของคนอื่น....... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้วตนก็เว้นเสียจากปาณาติบาต แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากปาณาติบาต และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากปาณาติบาต......

“บุคคลใดจะพึงถือเอาสิ่งของที่เราไม่ให้ซึ่งนับว่าเป็นขโมย ข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แล เราจะถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ให้ ถึงขอนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากอทินนาทานและชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากอทินนาทาน และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการอทินนาทาน...

“บุคคลใดจะประพฤติละเมิดในภรยาของเรา ข้อนั้นไม่ถึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะถึงประพฤติละเมิดในภรรยาของผู้อื่น ถึงข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากกาเมสุมิจฉาจาร และชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากกาเมสุมิจฉาจาร และพรรณนาคุณของการเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร....

“บุคคลใดจะพึงทำลายประโยชน์ของเราเสียด้วยการพูดปด ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงทำลายประโยชน์ของผู้อื่นเสียด้วยการพูดปด ถึงข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากการพูดปด แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากการพูดปดแลกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการพูดปด....

“บุคคลใดจะพึงทำให้เราแตกจากมิตรด้วยการกล่าวส่อเสียด ข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงทำผู้อื่นให้แตกจากมิตรด้วยการกล่าวส่อเสียด ถึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากกการกล่าวส่อเสียด และชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าวส่อเสียด และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าวส่อเสียด

“บุคคลใดจะพึงร้องเรียกเราด้วยคำหยาบ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงร้องเรียกคนอื่นด้วยคำหยาบเล่า พึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้วตนก็เว้นเสียจากการกล่าวว่าจากหยาบ และชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าววาจาหยาบ และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าววาจาหยาบ....

“บุคคลใดจะพึงร้องเรียกเราด้วยการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ ข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลจะพึงร้องเรียกผู้อื่นด้วยการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ ข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ และพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์

“สาวกของพระอริยเจ้านั้น ประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระธรรมไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระสงฆ์ ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยศีล ทั้งหลายอันพระอริยเจ้ารักใคร่ไม่ให้ขาด ไม่ให้เป็นท่อน ไม่ให้ด่างพร้อย เป็นไทย (ไม่เป็นทาสแหงตัณหา) อันผู้รู้สรรเสริญอันตัณหาแลทิฐิไม่ครอบงำได้เป็นไปเพื่อสมาธิ

“เมื่อใดอริยสาวกประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นหวังอยู่ ด้วยฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความหวัง ๔ ประการนี้ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.” ดังนี้

เวฬุทวารสูตร


🔆 คุณค่าของการเจริญสมาธิ
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของการเจริญสมาธิไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญปฐวีกสิณแม้ชั่วกาลเพียงลัดมือเดียว ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะป่วยการกล่าวไปไยถึงผู้กระทำให้มาก ซึ่งปฐวีกสิณนั้นเล่า....”

ปสาทกรธัมมาทิปาลี


🔆 คุณค่าของสมถะและวิปัสสนา
ปัญหา การเจริญสมถวิปัสสนามีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมถะที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต จิตที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้ วิปัสสนาที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา ปัญญาที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละอวิชชาได้ปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้จึงชื่อว่าปัญญาวิมุต ฯ”

พาลวรรคปฐมปัณณาสก์


🔆 ศาสนาเชน
ปัญหา ศาสนาเชนซึ่งเกิดช่วงเวลาเดียวกันกับพระพุทธศาสนานั้น มีหลักคำสอนอย่างไรบ้าง?

คำตอบ “.....ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นิครนถนาฏบุตร เป็นคนรู้เห็นธรรมทุกอย่าง ย่อมปฏิญาณญาณทัสสนะไว้อย่างแจ่มแจ้งหมดเปลือกว่า สำหรับเราจะเดินจะยืน จะหลับและตื่นก็ตาม ญาณทัสสนะก็ปรากฏชั่วกาลนิรันดร เขาบัญญัติว่า กรรมเก่าหมดไปเพราะความเพียรเผากิเลส ฆ่าเหตุเสียได้ เพราะไม่ทำกรรมใหม่ ด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นอันว่า เพราะกรรมสิ้นไป ทุกข์จึงหมดไป เพราะทุกข์หมดไป เวทนาจึงสิ้นไป เพราะเวทนาสิ้นไป ทุกข์ทั้งสิ้นจึงจักเสื่อมไปโดยไม่เหลือ การล่วงทุกข์ย่อมมีได้ด้วยความหมดจด ที่ให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ ซึ่งบุคคลจะพึงเห็นเองนี้ ด้วยประการฉะนี้ฯ....”

นิคัณฐสูตร


🔆 ธาต ๔ เปลี่ยนสภาพได้
ปัญหา ในทางวิทยาศาสตร์ คำว่าธาตุ (Element) หมายถึง ปรมาณูซึ่งมีจำนวนอิเล็กตรอนและโปรตอนจำกัด เช่น ธาตุไฮโครเจนมีอิเล็กตรอนและโปรตอนอย่างละหนึ่ง ถ้าเราเปลี่ยนให้มันมีอิเล็กตรอน ๒ และโปรตอน ๒ มันจะกลายเป็น ธาตุฮีเลียม (Helium) ไป ไม่ใช่ไฮโครเจนฉะนั้นธาตุในทางวิทยาศาสตร์ อาจจะเปลี่ยนเป็นธาตุอื่นๆ ได้ ธาตุในทางพระพุทธศาสนาเปลี่ยนได้หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนอานนท์ มหาภูติ ๔ (หมายถึงธาตุใหญ่ทั้ง ๔) คือ ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) วาโยธาตุ (ธาตุลม) พึงเป็นอย่างอื่นได้ แต่พระอริยสาวกผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า... ในพระธรรม... ในพระสงฆ์ ไม่พึงเป็นอย่างอื่นไปได้เลย....”

สมาทปกสูตร


🔆 เหตุให้เกิดในภพ
ปัญหา อะไรเป็นเหตุให้สัตว์เกิดในภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนอานนท์ เมื่อกรรมที่อำนวยผลให้ในกามธาตุ.... ในรูปธาตุ.... ในอรูปธาตุจักไม่มีแล้ว กามภพ... รูปภพ.... อรูปภพ พึงปรากฏบ้างหรือหนอ (เมื่อพระอานนท์ทูลตอบว่า ไม่พึงปรากฏเลย ได้ตรัสต่อไปว่า) ดูก่อนอานนท์ เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยางเหนียว วิญญาณ.... เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้วเพราะธาตุอย่างเลว... อย่างกลาง... อย่างประณีต... ของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วยประการฉะนี้ จึงมีการเกิดใหม่ในภพต่อไปอีก.

นวสูตร


🔆 คุณของโลก
ปัญหา มีคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นลัทธิเทวนิยม มองโลกแต่ในแง่ร้าย มองเห็นแต่ความทุกข์โศกของโลก มีความจริงเพียงใด?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าคุณในในโลกนี้จักไม่มีไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงกำหนัดยินดีในโลก แต่เพราะคุณในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงกำหนัดยินดีในโลก "

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าโทษในโลกนี้ไม่มีไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงเบื่อหน่ายในโลก แต่เพราะโทษในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในโลก"

อัสสาทสูตร


🔆 ดาราศาสตร์ในพุทธศาสนา
ปัญหา พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทรรศนะเกี่ยวกับโลกจักรวาลไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลก คูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์

ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

พระอานนท์ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

พุทธดำรัสตอบ  ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุ อย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า

พระอุทายี : ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้

เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้ง พึงเป็นเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ

จูฬนีสูตร


🔆 ข้อปฏิบัติของภิกษุอย่างแท้จริง
ปัญหา พระภิกษุในพระพุทธศาสนาควรจะศึกษาและปฏิบัติอะไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติถูกต้องแท้ตามพระพุทธโอวาท ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาติดตามไปเบื้องหลังฝูงโค มันร้องว่าแม้เราก็เป็นโค แต่สี เสียง และรอยเท้าของมันหาเหมือนของโคไม่ มันเป็นแต่เดินตามหลังฝูงโคร้องว่า แม้เราก็เป็นโคๆ ดังนี้เท่านั้น แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ ร้องประกาศว่า แม้เราก็เป็นภิกษุๆ แต่ความพอใจในการสมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขาของเขา หากเหมือนของภิกษุทั้งหลายไม่ เขาเป็นแต่ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ร้องประกาศว่าแม้เราก็เป็นภิกษุ ๆ ดังนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทาน อธิศีลสิกขา.... อธิจิตตสิกขา... อธิปัญญาสิกขา... ท่านทั้งหลายพึงศึกษาเช่นนี้แหละฯ”

คัทรภสูตร


🔆 หัวใจศีลของพระ (๑๕๐)
ปัญหา ศีลของภิกษุมี ๒๒๗ ข้อ ถ้าภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง จะเป็นอันตรายแก่มรรคผลหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้มาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน (มีการสวดท่ามกลางสงฆ์ทุกกึ่งเดือน) ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ นั้นเป็นไฉน คืออธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตสิกขา ๑ อธิปัญญสิกขา ๑ สิกขา ๓ นี้แล ที่สิกขาทบ ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด..... ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และเป็นผู้มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระโสดาบัน... เป็นพระสกทาคามี... เป็นพระอนาคามี.... เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน.... ภิกษุทำได้เพียงบางส่วน ย่อมให้สำเร็จบางส่วนผู้ทำให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำเร็จได้บริบูรณ์อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบททั้งหลายว่าไม่เป็นหมันเลยฯ”

เลขสูตรที่ ๒


🔆 โลกก็มีคุณเหมือนกัน

ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนามองโลกในแง่ร้ายประฌามโลก สอนให้หนีจากโลกดังนี้ เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด โลกมีส่วนดีอยู่หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนตรัสรู้เราเป็นพระโพธิสัตว์ได้คิดว่าในโลกนี้อะไรหนอเป็นคุณ อะไรหนอเป็นโทษ อะไรหนอเป็นอุบายเครื่องออกไป.... เรานั้นได้คิดว่า สุขโสมนัสอาศัยสภาพใดเกิดขึ้นในโลก สภาพนี้เป็นคุณในโลก โลกไมเที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดานี้เป็นโทษในโลก การปราบปรามฉันทราคะ การละฉันทราคะในโลกได้เด็ดขาด นี้เป็นอุบายเครื่องออกไปในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่รู้ยิ่งซึ่งคุณของโลกโดยเป็นคุณ ซึ่งโทษของโลกโดยความเป็นโทษ และซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปของโลกโดยความเป็นอุบายเครื่องออกไปตามความจริงเพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้ ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เพียงนั้น...ฯ”

ปุพพสูตร


🔆 ภิกษุควรหัวเราะหรือไม่
ปัญหา ได้ทราบมาว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่มีการหัวเราะมีแต่ยิ้มแย้มเท่านั้น พระภิกษุควรจะหัวเราะหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การขับร้องคือ การร้องไห้ในวินัยของพระอริยเจ้า การฟ้อนรำคือ ความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้าการหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้า เพราะเหตุนั้น และ จงละเสียโดยเด็ดขาดในการขับร้องฟ้อนรำ เมื่อท่านทั้งหลายเบิกบานในธรรม ก็ควรแต่เพียงยิ้มแย้ม”

โรณสูตร


🔆 ของที่กินไม่รู้จักอิ่ม
ปัญหา ของอะไรบ้าง ที่มนุษย์เสพแล้วไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอิ่มในการเสพสิ่ง ๓ อย่าง ไม่มี ๓ อย่างเป็นไฉน คือในการเสพความหลับ ๑ ในการดื่มสุราและเมรัย ๑ ในการเสพเมถุนธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอิ่มในการเสพสิ่ง ๓ อย่างนี้แล ไม่มี ฯ”

อติตตสูตร


🔆 ความสำคัญของจิต
ปัญหา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหนึ่ง ที่ถือว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ พระพุทธองค์ทรงสอนเกี่ยวกับการรักษาจิตไว้อย่างไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนคฤหบดี เมื่อบุคคลรักษาจิตไว้ แม้กายกรรมก็เป็นอันรักษา แม้วจีกรรม... มนโนกรรมก็เป็นอันรักษา เมื่อเขารักษากายกรรม วจีกรรม.... มโนกรรม แม้กายกรรมก็เป็นอันไม่ชุ่ม แม้วจีกรรม.... มโนกรรม... ก็เป็นอันไม่ชุ่ม เมื่อเขามี กายกรรม..... วจีกรรม.... มโนกรรม..... ไม่ชุ่ม แม้กายกรรมก็เป็นอันไม่เสีย แม้วจีกรรม.... มโนกรรมก็เป็นอันไม่เสีย เมื่อเขามีกายกรรม วจีกรรม.... มโนกรรม ไม่เสีย ความตายก็เป็นการตายดี การทำกาละก็งาม ดูก่อนคฤหบดีเปรียบเหมือนเมื่อเรือนซึ่งมุงไว้เรียบร้อย แม้ยอดเรือนก็เป็นอันรักษา แม้ไม้กลอนฝาเรือน.... ก็เป็นอันรักษา แม้ยอดเรือนก็ไม่ถูกฝนรั่วรด แม้ไม้กลอน ฝาเรือนก็ไม่ถูกฝนรั่วรด แม้ยอดเรือนก็เป็นของไม่ผุ แม้ไม้กลอน ฝาเรือนก็เป็นของไม่ผุ....ฯ”

กูฏสูตร ที่ ๑


🔆 ความเห็นผิดคืออย่างไร
ปัญหา ข้อที่ว่าโลภและโกรธเป็นมูลเหตุให้เกิดอกุศลกรรมนั้น พอจะเข้าใจแล้ว แต่ข้อที่ว่าโมหะอันเป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฐิความเห็นผิดนั้นคือเห็นอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”

อยสูตร


🔆 ฤกษ์ยามในพระพุทธศาสนา
ปัญหา ทางพระพุทธศาสนามีการสอนให้ถือฤกษ์ถือยามในการทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี.... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย.... ด้วยวาจา.... ด้วยใจในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย.... ด้วยวาจา.... ด้วยใจในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย..... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น...”

สุปุพพัณหสูตร


🔆 ข้อปฏิบัติของอเจลกะ
ปัญหา พวกอเจลกะซึ่งเป็นนักบวชพวกหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีหลักปฏิบัติอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....อเจลกะบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไร้มารยาท เลียมือเขาเชิญให้มารับภิกษาก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่หยุด ไม่รับภิกษาที่เขาแบ่งไว้ก่อน ไม่รับภิกษาที่เขาทำเฉพาะ ไม่รับภิกษาที่เขานิมนต์ ไม่รับภิกษาปากหม้อ ไม่รับภิกษาจากหม้อข้าว ไม่รับภิกษาที่บุคคลยื่นคร่อมธรณีประตูนำมา ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมท่อนไม้นำมา ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมสากนำมา ไม่รับภิกษาที่คน ๒ คนบริโภคอยู่ ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ไม่รับภิกษาของหญิงที่นัดแนะกันทำไว้ ไม่รับภิกษาในที่ที่สุนัขได้รับการเลี้ยงดู ไม่รับภิกษาในที่มีแมลงวันตอมเป็นกลุ่ม ไม่กินเนื้อ ไม่กินปลา ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มยาดอง รับภิกษาที่เรือนหลังเดียว เยียวยาอัตตภาพด้วยข้าวคำเดียวบ้าง..... รับภิกษาที่เรือน ๗ หลัง เยียวยาอัตตภาพด้วยข้าว ๗ คำบ้าง เยียวยาอัตตภาพด้วยภิกษาในถาดน้อยใบเดียวบ้าง... ๗ ใบบ้าง กินอาหารที่เก็บค้างไว้วันเดียวบ้าง... ๒ วันบ้าง... ๗ วันบ้าง ประกอบความขวนขวายในการบริโภคภัตที่เวียนมาถึงตั้งกึ่งเดือนเช่นนี้บ้าง

อเจลกะนั้นเป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่าง... ลูกเดือย.... กากข้าว... ยาง... สาหร่าย.... ข้าวตัว.... กำยาน หญ้า.... โคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหรบ้าง บริโภคผลไม่หล่นเยียวยาอัตตภาพอเจลกะนั้น ทรงผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกัน.... ผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล... ผ้าเปลือกไม้... หนังเสือ... หนังเสือทั้งเล็บ ผ้าคากรอง.... ผ้าเปลือกปอกรอง... ผ้าผลไม้กรอง... ผ้ากัมพลทำด้วยผมคน.... ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์... ผ้าทำด้วยปีกขนนกเค้าบ้าง เป็นผู้ถอนผมและหนวด เป็นผู้ยืนคือห้ามอาสนะบ้าง... เป็นผู้กระโหย่ง คือประกอบความเพียรในการกระโหย่งบ้าง เป็นผู้นอนบนหนาม.... เป็นผู้อาบน้ำวันละ ๓ ครั้งบ้าง... เป็นผู้ขวนขวายในการทำให้ร่างกายเดือดร้อน กระสับกระส่ายหลายวิธีดังกล่าว....ฯ”

ติ. อํ. (๕๙๖)


🔆 ความรักทำให้คนตาบอด
ปัญหา มีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า คามรักทำให้คนตาบอด ดังนี้ทางพระพุทธศาสนายอมรับคำกล่าวนี้ว่า เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด?

พุทธดำรัสตอบ “.....บุคคลผู้กำหนัด อันความกำหนัดครอบงำรึงรัดจิตใจไว้ ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน ตามความเป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น ตามความเป็นจริงย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ทั้ง ๒ ฝ่ายตามความเป็นจริง.... ความกำหนัดแล ทำให้เป็นคนมืด ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร ทำให้ปัญญาดับ เป็นไปในฝ่ายความคับแค้นไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน.....ฯ”

ฉันนสูตร


🔆 พระพุทธศาสนาก็ส่งเสริมทรัพย์
ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนจะให้คนออกจากโลกท่าเดียว ไม่ส่งเสริมการมีโภคทรัพย์ จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลสองตาเป็นไฉน บุคลบางคนในโลกนี้ มีนัยน์ตาเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ ทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ทั้งมีนัยน์ตาเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล รู้ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ รู้ธรรมที่เลวและประณีต รู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนสองตา.....”

อันธสูตร


🔆 ปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจ
ปัญหา ปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจ ๔ มีความสัมพัน์กันอย่างไรหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นธาตุ ๖ ปถวี อาโป เตโช วาโย อากาศ วิญญาณ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์ เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ ถึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เราบัญญัติว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้ทุกข์เกิด นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือ แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชรา... มรณะ... โสกะ.... ปริเทวะทุกข์... โทมนัส... อุปายาส... การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก...การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก.... ความปรารถนาสิ่งใดมิได้สมหวัง... ก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน คือ

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ..... โสกะ.... ปริเทวะทุกข์... โทมนัส... อุปายาส...

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ”

ติตถสูตร

© 2008. Template by Dicas Blogger.

TOPO