🪷 ธรรมสุตตะ
เสียงธรรม... นำทางใจ

เถรวาท-มหายาน ต่างกันอย่างไร

 คำถามที่คนจำนวนมากมักถามกัน: พุทธมหายานกับเถรวาทต่างกันอย่างไร ? หากต้องการเห็นสิ่งต่าง ๆ ใน ๒ นิกาย เราต้องย้อนกลับไปที่ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาและพิจารณาการเกิดขึ้นและการพัฒนาของนิกายทั้ง ๒ นี้

หลังจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์มีพระชันษา ๓๕ ชันษาจนถึงพระมหาปรินิพพานเมื่อชันษา ๘๐ ท่านใช้ชีวิตในการเทศนาสั่งสอนด้วยความทุ่มเททั้งกลางวันและกลางคืน พระพุทธองค์จะใช้เวลาในการนอนเพียงแค่วันละ ๒ ชั่วโมง การนอนของพุทธองค์ก็เพียงเพื่อให้กายดำรงอยู่ได้โดยปกติเท่านั้น ไม่ใช่การนอนเพราะความอยากนอน

พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนธรรมะกับคนทุกประเภท กษัตริย์, เจ้าชาย, พราหมณ์, ชาวนา, ขอทาน ฯ โดยพระพุทธเจ้าจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าจะใช้วิธีการใด คุณลักษณะใดในการสอน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอนของพุทธองค์




คำสอนของพุทธองค์ทั้งหมดเรียกว่าพุทธวจนะ มี ๒ ส่วนคือ
ส่วนแรก คือการวางกฏระเบียบต่างๆเรียกว่าพระวินัย
ส่วนสอง คือคำเทศนาหรือวาทกรรมต่างๆเรียกว่าพระธรรม

การประชุมสงฆ์หรือการสังคายนาครั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจให้ตรงกันเกี่ยวกับหลักคำสอนและมีแนวทางปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

การสังคายนาครั้งที่ ๑

สามเดือนหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ได้มีการประชุมคณะสงฆ์เพื่อทำการสังคายนาที่กรุงราชคฤห์ โดยมีพระมหากัสสปะซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุดและเป็นประธานในการประชุม โดยคัดเลือกพระอรหันต์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านที่แตกต่างกันคือด้านของพระธรรมและด้านของพระวินัย ตัวอย่างท่านหนึ่งคือพระอานนท์ซึ่งเป็นพระสหายและอัครสาวกของพระพุทธเจ้าที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดพุทธองค์ที่สุดเป็นเวลานานถึง ๒๕ ปี พระอานนท์สามารถท่องสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสได้ด้วยความทรงจำได้ทั้งหมด อีกท่านหนึ่งคือพระอุบาลี อัครสาวกที่ทรงจำพระวินัยได้ทั้งหมด ในการสังคายนาครั้งแรกมีเพียงธรรมสองส่วนนี้เท่านั้นคือ พระธรรมและพระวินัย ยังไม่ไม่มีการจัดหมวดหมู่พระอภิธรรมร่วมอยู่ด้วย ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ มีการอภิปรายเกี่ยวกับพระวินัยกฎ โดยก่อนที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พุทธองค์ได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า ในกาลต่อไปหากหมู่คณะสงฆ์ต้องการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนธรรมวินัยที่พุทธองค์บัญญัติกฏข้อเล็กน้อยก็สามารถทำได้ แต่ในครั้งนั้นพระอานนท์ท่านก็ยังไม่บรรลุอรหันต์ จิตใจยังมีแต่ความเศร้าโศกเพราะพระพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพานจึงไม่ได้คิดถามพระพุทธเจ้าว่ากฎวินัยเล็กน้อยคืออะไร 

ในขณะที่หมู่สงฆ์ในการสังคายนานั้นก็ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าการกำหนดหรือจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เล็กน้อย จะเปลี่ยนอะไรหรืออย่างไรได้บ้าง ในที่สุดพระมหากัสสปะจึงวินิจฉัยว่าไม่ควรเปลี่ยนแปลงกฎวินัยที่พระพุทธเจ้าวางไว้และไม่ควรเพิ่มกฎขึ้นมาใหม่ ให้ดำรงค์ไว้ตามเดิมทั้งหมดที่พุทธองค์ได้บัญญัติไว้ดีแล้ว ในการสังคายนาครั้งนี้พระธรรมถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆและแต่ละส่วนได้รับมอบหมายให้ภิกษุผู้อาวุโสเป็นผู้ถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ของตนด้วยการท่องจำ และเมื่อมีการตรวจสอบความถูกต้องก็จะมาสวดสาธยายธรรมหรือต่อคำกัน ซึ่งหากท่องจำได้ครบถ้วนถูกต้องก็จะสวดหรือสาธยายออกมาได้เหมือนกัน หากพบความไม่เหมือนกันก็จะทำการแก้ไขตรวจสอบว่าของใครถูก ของใครไม่ถูก (นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีบทสวดมนต์)

การสังคายนาครั้งที่ ๒

เกิดขึ้นหลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๑ ราวหนึ่งร้อยปี การสังคายนาครั้งนี้นี้จัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับพระวินัยบางข้อ โดยถือว่าการสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังมหาปรินิพพานของพระพุทธเจ้า สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ทางสังคมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ในช่วง ๑๐๐ ปีต่อมา มีการเปลี่ยนแปลงไปมากจึงสมควรเปลี่ยนแปลงกฏวินัยเล็กๆน้อยได้ แต่ก็มีภิกษุอีกจำนวนหนึ่งเห็นว่าพระวินัยที่พุทธองค์บัญญัติไว้ดีแล้ว ไม่สมควรมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ในขณะที่ภิกษุอีกกลุ่มก็ยืนยันที่จะเปลี่ยนกฏในพระวินัยบางข้อ ในที่สุดภิกษุกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ขอแยกตัวออกมาตั้งคณะสงฆ์ใหม่เป็น มหาสังฆิกะ โดยแยกตัวออกไปทำสังคายนาต่างหาก ในระยะแรกนิกายนี้ไม่ได้รุ่งเรืองอะไรมาก เนื่องจากมีความขัดแย้งกับฝ่ายเถรวาทอย่างรุนแรง แต่ต่อมากลับมีการแพร่หลายมีผู้นับถือมากขึ้นที่เมืองปาฏลีบุตร เวสาลี แคว้นมคธ ไปจนถึงอินเดียใต้ และยังมีนิกายที่แยกแตกตัวออกไปอีก ๕ นิกาย คือ นิกายโคกุลิกวาท นิกายเอกัพโยหาริกวาท นิกายปัญญตติกวาท นิกายพหุสสุติกวาท และนิกายเจติยวาท และถือเป็นต้นกำเนิดของมหายานในปัจจุบัน

การสังคายนาครั้งที่ ๓ 

หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ๒๓๔ ปี ในช่วงเวลาของจักรพรรดิอโศก การสังคายนาครั้งที่สามถูกจัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับความแตกต่างของความคิดเห็นในหมู่ภิกษุสงฆ์ของนิกายที่แตกต่างกัน ความแตกต่างนี้ไม่ได้ต่างกันในเฉพาะพระวินัยแต่ยังรวมถึงความแตกต่างในพระธรรมด้วย ในตอนท้ายของสภานี้พระโมคคัลลีบุตรติสสะ ประธานสังคายนาได้รวบรวมหนังสือชื่อกถาวัตถุเพื่อหักล้างมุมมองและทฤษฎีที่ผิด ๆ ที่เป็นเท็จซึ่งมีอยู่ในบางนิกาย (พระอภิธรรมปิฎกรวมอยู่ในกถาวัตถุของสภานี้)

หลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๓ ลูกชายของพระเจ้าอโศกที่บวชเป็นภิกษุนามว่าพระมหินทะได้นำ พระธรรมที่ถูกรวบรวมไปยังศรีลังกาพร้อมกับข้อคิดที่อ่านจากการสังคายนาครั้งที่ ๓ นี้ไปเก็บรักษาไว้ที่ลังกาจนถึงทุกวันนี้โดยสมบูรณ์ครบถ้วนทุกหน้า ด้วยภาษาบาลีซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาษามคธที่พระพุทธเจ้าตรัส

ที่มาของมหายาน

ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐-๖๐๐ นิกายมหายานและหินยานทั้งสองนิกายปรากฏอยู่ใน สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นพระสูตรที่สำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนิกชนมหายานโดยเฉพาะในประเทศเอเชียตะวันออก พระสูตรนี้มีสาระสำคัญกล่าวถึงยาน ๓ อย่าง อันจะพาสรรพสัตว์ข้ามพ้นห้วงวัฏสงสารได้ ประกอบด้วย
๑. สาวกยาน (ศฺราวกยาน)
๒. ปัจเจกพุทธยาน (ปฺรตฺเยกพุทฺธยาน)
๓. โพธิสัตวยาน (โพธิสตฺตฺวยาน)

ยานทั้งสามนี้มิใช่หนทาง ๓ สายที่แตกต่างกัน อันจะนำไปสู่เป้าหมาย ๓ อย่างต่างกันแต่ทว่าทั้ง ๓ ยานนี้เป็นหนทางหนึ่งเดียวที่จะนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

ประมาณ พ.ศ. ๖๐๐-๗๐๐ มหายานได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในนาคารชุนะ เป็นตำราปรัชญาของมหายานเกี่ยวกับปรัชญาศูนยตวาท ที่กล่าวถึงทางสายกลางของทั้งสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีอยู่อย่างเที่ยงแท้) และอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) และปรัชญานี้พิสูจน์ถึงทุกสิ่งเป็นโมฆะ เป็นสูญยตา

ประมาณ พ.ศ. ๘๐๐-๙๐๐ มีนิกายโยคาจาร หรือนิกายวิชญานวาท นำโดยพระอสังคะและพระวสุพันธุ ภิกษุทั้ง ๒ เป็นผู้เผยแผ่คำสอนแนวอภิธรรม มีจารึกจากบันทึกของพระถังซำจั๋ง ระบุว่า แรกเริ่มนั้น ท่านอสังคะเป็นพระในนิกายมหีศาสกะ ต่อมาเกิดความซาบซึ้งในคำสอนของฝ่ายมหายาน ขณะที่น้องชายต่างบิดาของท่านคือ ท่านวสุพันธุ แรกเริ่มนั้นเป็นพระในสังกัดนิกายวรวาทสตวาท แต่ต่อมาท่านแปลงเป็นฝ่ายมหายาน หลังได้พบกับ พระอสังคะพี่ชายของท่าน

พุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้าสู่ศรีลังกาในช่วงประมาณ พ.ศ. ๗๐๐-๘๐๐ นิกายหินยานยังถูกเผยแผ่ในอินเดียและมีการดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ โดยปราศจากรูปแบบของพุทธศาสนาดั้งเดิมที่มีอยู่ในศรีลังกา (ปัจจุบันนิกายหินยานได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว) ดังนั้นในปีพ.ศ ๒๔๙๓ สมาคมโลกของชาวพุทธเปิดตัวในโคลัมโบตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่านิกายหินยานควรถูกยกเลิกไป นี่คือประวัติโดยย่อของเถรวาทมหายานและหินยาน

มหายานและเถรวาท

ทีนี้มหายานกับเถรวาทต่างกันอย่างไร?
จากการศึกษาพบว่าเถรวาทกับมหายานแทบจะไม่แตกต่างกันเลยในเรื่องของคำสอนพื้นฐาน

- ทั้งสองยอมรับพระโคดมพุทธเจ้าเป็นบรมครู
- อริยสัจสี่เหมือนกันทุกประการในทั้งสองนิกาย
- ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ เหมือนกันทุกประการ
- ปฎิจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา เหมือนกันทั้งสองนิกาย
- ทั้งสองปฏิเสธความเชื่อว่าเอกภพนี้มีพระผู้สร้าง
- ทั้งสองยอมรับกฏไตรลักษณ์ 
- ทั้งสองยอมรับศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางสู่นิพพาน

นี่คือคำสอนที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้าและเป็นที่ยอมรับของทั้งสองโนิกายโดยไม่มีการขัดแย้งกัน

มีเฉพาะบางจุดที่แตกต่างกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ อุดมคติของพระโพธิสัตว์ หลายคนกล่าวว่ามหายาน มีไว้เพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งนำไปสู่ความเป็นพุทธะในขณะที่เถรวาทนั้นมีไว้สำหรับสาวกผู้ต้องการการหลุดพ้นจากวัฎสงสารเฉพาะตัวเอง

เถรวาทพิจารณาพระโพธิสัตว์ในฐานะมนุษย์ แต่มหายานให้ความสำคัญและยกย่องกับการบำเพ็ญเยี่ยงพระโพธิสัตว์ การอุทิศทั้งชีวิตเพื่อสร้างสมบารมีให้เต็ม เพื่ออุบัติเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่เพื่อนำความผาสุกมาสู่โลกอีกครั้ง

พระโพธิสัตว์ ๕๔๗ ชาติ



พุทธประวัติ

พุทธประวัติ คือ ประวัติเรื่องราวต่าง ๆ ของพระโคตมพุทธเจ้า ตลอดถึงเรื่องราวต่างของบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ จนถึงดับขันธปรินิพพาน

สารบัญหน้าเว็บย่อย
๐๑.ศากยวงศ์
๐๒.พระโพธิสัตว์จุติ
๐๓.ประสูติ
๐๔.คำทำนายโหราจารย์
๐๕.เสด็จออกบรรพชา
๐๖.ตรัสรู้
๐๗.เสวยวิมุติสุข
๐๘.ปฐมเทศนา
๐๙.พุทธกิจ ๔๕ พรรษา
 - ๐๙.๑ พรรษาที่ ๑   🔊
 - ๐๙.๒ พรรษาที่ ๒-๔   🔊
 - ๐๙.๓ พรรษาที่ ๕   🔊
 - ๐๙.๔ พรรษาที่ ๖   🔊
 - ๐๙.๕ พรรษาที่ ๗   🔊
 - ๐๙.๖ พรรษาที่ ๘    🔊
 - ๐๙.๗ พรรษาที่ ๙   🔊
 - ๐๙.๘ พรรษาที่ ๑๐   🔊 
 - ๐๙.๙ พรรษาที่ ๑๑-๔๕ 
๑๐.ปรินิพพาน

สถานที่หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์๔ สังเวชนียสถาน
แห่งที่๑ เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช ปักไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังทราบว่าตรงจุดนี้ เป็นที่ที่พระบรมศาสดาออกจากพระครรภ์ของพระมารดา ปัจจุบันสถานที่นี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย และสถานที่ประสูตินี้ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนอินเดีย-เนปาลประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ปัจจุบันสังเวชนียสถานแห่งนี้ ภาษาทางราชการเรียกว่า "ลุมมินเด" แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังเรียกว่า "ลุมพินี"



แห่งที่ ๒ วิหารตรัสรู้ สถานที่ตรัสรู้นี้ แต่เดิมทีเดียวในสมัยพุทธกาลนั้น คือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ ซึ่งมีเมืองราชคฤห์ เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้นี้เรียก ตำบลพุทธคยา ขึ้นอยู่กับจังหวัดคยา (ห่างจากจังหวัดคยา ๑๒ กิโลเมตร) รัฐพิหาร มีเมืองหลวงชื่อ ปัฎนะ หรือ ปัฎนา (หรือชื่อเดิมว่า ปาฎลีบุตร) ;

แห่งที่ ๓ ธัมเมกขสถูป คือสถานที่แสดงปฐมเทศนา หรือสถานที่พระตถาคตเจ้าทรงยังพระอนุตรธัมจักให้เป็นไป สถานที่นี้อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียกสารนาถ ห่างจากเมืองประมาณ ๘ กิโลเมตร ซึ่งเมืองพาราณสีนี้อยู่ห่างจากเมืองพุทธคยา สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร

แห่งที่ ๔ สถูปและวิหารปรินิพพานที่เมืองกุสินารา คือ สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุาทิเสสนิพพานธาตุดับไม่มีส่วนเหลือ คือทั้งกิเลส ทั้งเบญจขันธ์ดับหมด ตามปกติพระอรหันต์ทั่วไปๆไปจะนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกนั้นเป็นการดับกิเลส ส่วนเบญจขันธ์ยังอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพาน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่จิตเข้าสู่แดนพระนิพพานเท่านั้น เป็นจิตที่สะอาด ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์แล้ว ดังเช่นพระพุทธเจ้า นิพพานครั้งแรกนี้เมื่อวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ส่วนนิพพานครั้งที่ ๒ ก็คือ อนุปาทิเสสนิพาน ดังได้กล่าวแล้วนั้นเอง สถานที่นิพพานที่พุทธประวัติระบุว่า สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันมีสถูปและวิหารเป็นสัญลักษณ์ เป็นอุทยานที่ได้รับการรักษาจากทางการอินเดียเป็นอย่างดี มีต้นสาละและไม้อื่นปลูกอยู่ทั่วไป ให้ความร่มรื่นพอสมควร

๔. ดิรัจฉานภูมิ

ดิรัจฉาน หมายความว่า ไปขวาง คือเดินไปตามขวาง หรือขวางจากมรรคผลนิพพาน
ดิรัจฉาน มี ๒ ชนิด คือ ดิรัจฉานที่ไม่เห็นได้ด้วยตาเป็นปกติ เช่น พญานาค กินนรา พญาครุฑ เป็นต้น และที่เห็นได้ด้วยตาเป็นปกติ เช่น สุนัข แมว ช้าง ปลา เป็นต้น

ดิรัจฉาน จำแนกโดยขา มี ๔ จำพวก คือ
๑. อปทติรัจฉาน ได้แก่ ดิรัจฉานที่ไม่มีขา เช่น ปลา งู เป็นต้น
๒. ทวิปทติรัจฉาน ได้แก่ ดิรัจฉานที่มี ๒ ขา เช่น นก เป็นต้น
๓. จตุปปทติรัจฉาน (อ่านว่า จะ-ตุป-ปะ-ทะ-ติ-รัด-ฉาน) ได้แก่ ดิรัจฉานที่มี ๔ ขา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น
๔. พหุปปทติรัจฉาน (อ่านว่า พะ-หุป-ปะ-ทะ-ติ-รัด-ฉาน) ได้แก่ดิรัจฉานที่มีขามากกว่า ๔ ขา เช่น ปู แมงมุม ตะขาบ เป็นต้น

ดิรัจฉานโดยทั่วไป มีทั้งอดอยาก อ้วนพี มีความเดือดร้อน ที่มีสุขมากก็มีเหมือนกันแต่มีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จะมีความเดือดร้อนมาก มีความสุขน้อย 
ดิรัจฉานมีสัญชาตญาณ หรือสัญญา ๓ อย่าง คือ
๑. กามสัญญา คือ รู้จักเสวยกามคุณ
๒. โคจรสัญญา คือ รู้จักกินนอน
๓. มรณสัญญา คือ รู้จักกลัวตาย



สัญญาทั้ง ๓ นี้มีแก่สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย คือสัตว์รู้จักสืบพันธุ์ รู้จักกิน รู้จักนอน และกลัวตายแต่มนุษย์นั้นมีสัญญาต่างกันกับสัตว์ดิรัจฉาน คือ มนุษย์มีธรรมสัญญา มนุษย์จึงรู้ดี รู้ชอบ รู้ผิด รู้ถูก รู้จักบุญ รู้จักบาป สัตว์ดิรัจฉานทั่วไปไม่มีธรรมสัญญาอย่างมนุษย์ แต่ดิรัจฉานที่เป็นพระโพธิสัตว์จะมีธรรมสัญญา พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จะไม่เกิดเป็นดิรัจฉานที่มีขนาดเล็กกว่านกกระจาบ และมีขนาดไม่ใหญ่กว่าช้าง

นาคและครุฑ เรื่องนาคและครุฑ ได้มีกล่าวไว้ใน นาคสังคยุต ว่า กำเนิดนาคมี ๔ คือ นาคเกิดจากฟองไข่ นาคเกิดจากครรภ์ นาคเกิดจากเถ้าไคล นาคเกิดผุดขึ้น (อย่างเทพหรือสัตว์นรก) นาคเหล่านี้ประณีตกว่ากันขึ้นไปโดยลำดับ นาคโดยมากกลัวหมองูและครุฑ ต้องคอยซ่อนกายซ่อนตัวอยู่เสมอ แต่นาคบางพวกคิดว่าตนมาเกิดเป็นนาคก็เพราะเมื่อชาติก่อนมีความประพฤติดีบ้างชั่วบ้างทั้งสองอย่าง ถ้าบัดนี้ประพฤติสุจริตก็จะพึงไปเกิดในสวรรค์ได้ในชาติต่อไป จึงตั้งใจประพฤติสุจริตกายวาจาใจ รักษาอุโบสถศีล นาคผู้รักษาอุโบสถนี้ ย่อมปล่อยกายตามสบาย ไม่กลัวหมองูหรือครุฑจะจับ 
เหตุที่ให้ไปเกิดเป็นนาค เพราะกรรมสองอย่าง ดีบ้างชั่วบ้าง และเพราะปรารถนาไปเกิดในกำเนิดเช่นนั้นด้วยชอบใจว่า นาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีสุขมาก บางทีชอบใจ ตั้งปรารถนาไว้ดังนั้นแล้วก็ให้ทานต่างๆ เพื่อให้ไปเกิดเป็นนาคสมความปรารถนา

ครุฑ
หรือ สุบรรณ ที่กล่าวไว้ใน สุปัณณสังยุต ว่ามีกำเนิดสี่ และประณีตกว่ากันโดยลำดับเช่นเดียวกัน เหตุที่จะให้ไปเกิดเป็นครุฑก็เช่นเดียวกัน ข้อที่กล่าวไว้เป็นพิเศษ ก็คือ อำนาจในการจับนาค ครุฑย่อมจับนาคที่มีกำเนิดเดียวกับตน และที่มีกำเนิดต่ากว่าได้ จะจับนาคที่มีกำเนิดสูงกว่าไม่ได้
เรื่องนาคเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหลายแห่ง ในคัมภีร์พระวินัย มหาวรรค ได้กล่าวถึงพญานาคมาแผ่พังพานเป็นร่มกันฝนถวายพระพุทธเจ้า ในปฐมโพธิกาลกล่าวถึงนาค มีใจความโดยย่อว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจลินท์ (ไม้จิก) ๗ วัน ในสมัยนั้นมหาเมฆที่ไม่ใช่กาลตั้งขึ้น ฝนตกพร่ำเจือด้วยลมหนาว ๗ วัน นาคราช ชื่อว่า มุจลินท์ ออกจากภพของตนเข้ามาวงพระกายของพระองค์ด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พังพานปกเบื้องบนเพื่อป้องกันฝนและลมมิให้ถูกพระกาย ครั้นฝนหายแล้ว คลายขนดออก จำแลงเพศเป็นมาณพหนุ่มมายืนเฝ้า ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ พระองค์ทรงทราบแล้วได้ทรงเปล่งอุทานมีความว่า “ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้พอใจแล้ว ได้ประสบธรรมแล้วเห็นแจ้งอยู่ ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัดคือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้เป็นสุข ความกำจัดอัสมิมานะ คือความถือว่าตัวตนให้หมดได้เป็นสุขอย่างยิ่ง” จากคัมภีร์พระวินัยปิฎก กล่าวถึงเรื่องนาคจำแลงมาบวช มีใจความโดยย่อว่า

นาคตนหนึ่งอึดอัดรังเกียจในชาติกาเนิดนาคของตน คิดว่าทำไฉนจะพ้นไปเกิดเป็นมนุษย์โดยเร็วได้ เห็นว่าพระสมณะศากยบุตรเหล่านี้ประพฤติธรรมอันสมควรสม่ำเสมอ เป็นพรหมจารี มีวาจาสัจ มีศีลมีธรรม ถ้าได้บวชในพระเหล่านี้ ก็จะมีผลานิสงส์ให้พ้นชาติกำเนิดนาคไปเกิดเป็นมนุษย์เร็วดั่งปรารถนาเป็นแน่แท้ ครั้นคิดเห็นดั่งนี้แล้วจึงจำแลงเพศเป็นมาณพคือชายหนุ่มน้อย เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบวช ภิกษุทั้งหลายก็ให้มาณพจำแลงนั้นบรรพชาอุปสมบท นาคนั้นอยู่ในกุฏิท้ายวัดกับภิกษุรูปหนึ่ง ตกถึงเวลาใกล้รุ่ง ภิกษุรูปนั้นลงจากกุฏิไปเดินจงกรมในที่แจ้ง ฝุายนาคเมื่อภิกษุออกไปแล้วก็ปล่อยใจม่อยหลับไป ร่างจำแลงก็กลับเป็นงูใหญ่เต็มกุฏิขนาดล้นออกไปทางหน้าต่าง ภิกษุร่วมกุฏิเดินจงกรมพอแล้วกลับขึ้นกุฏิ ผลักบานประตูจะเข้าไปมองเห็นงูใหญ่นอนขดอยู่เต็มห้องขนดล้นออกไปทางหน้าต่าง ก็ตกใจร้องลั่นขึ้น ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ใกล้เคียงก็พากันวิ่งมาไต่ถามว่ามีเหตุอะไร ภิกษุนั้นได้เล่าให้ฟัง ขณะนั้นนาคตื่นขึ้นเพราะเสียงเอะอะ ก็จำแลงเพศเป็นคนครองผ้ากาสาวพัสตร์นั่งอยู่บนอาสนะของตน พวกภิกษุถามว่าเป็นใคร ก็ตอบตามจริงว่าเป็นนาค พระองค์ตรัสให้ประชุมภิกษุสงฆ์แล้วตรัสแก่นาคว่า “เกิดเป็นนาคไม่มีโอกาสที่จะงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ได้แล้ว จงไปรักษาอุโบสถในวัน ๑๔-๑๕ ค่ำ และในวัน ๘ ค่ำ แห่งปักษ์นั้นเถิด ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ก็จักพ้นจากชาติกำเนิดนาคและจะได้เป็นมนุษย์โดยเร็ว” นาคได้ฟังดั่งนั้นมีทุกข์เสียใจว่าตนหมดโอกาสที่จะงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ น้ำตาไหลร้องไห้หลีกออกไป พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า มีเหตุปัจจัย ๒ ประการที่ทำให้นาคปรากฏภาวะของตน คือ อยู่ร่วมกับนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน และปล่อยใจสู่ความหลับ พระองค์ทรงถือเรื่องนี้เป็นเหตุ ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามอุปสมบทสัตว์ดิรัจฉานแต่เมื่อกล่าวถึงกาลเวลาทั้งหมดที่นาคจะต้องปรากฏตัว ก็มีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑.เวลาปฏิสนธิ
๒.เวลาลอกคราบ
๓.เวลาอยู่กับนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน
๔.เวลาปล่อยใจเข้าสู่ความหลับ
๕.เวลาตาย



โลกันตนรก

โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่พิเศษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ระหว่างช่องว่างของขอบจักรวาลทั้ง ๓ ที่เชื่อมต่อกัน มีแต่ความมืดสนิท สัตว์ที่อุบัติในโลกันตนรกนี้จะมีร่างกายใหญ่โตมหึมามีเล็บเท้ายาวเกาะอยู่ตามขอบเชิงจักรวาลห้อยโหนตัวอยู่ตลอดกาล เมื่อไปพบพวกเดียวกันต่างก็คิดว่าเป็นอาหารจึงไล่ตะปบกัน จนตกลงมาในน้ำกรดที่เย็นยะเยือก สัตว์นั้นก็จะละลายเป็นจุณหายไป แล้วอุบัติเกิดขึ้นใหม่ที่ขอบจักรวาลนั้น ห้อยโหนตัวอยู่ไปมาและเมื่อ พบกันก็ตะปบกัน ต่อสู้กัน พลาดพลั้งก็ตกลงไปในน้ากรด ร่างก็ละลาย เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล (นรกขุมนี้เป็นขุมพิเศษ เป็นที่อยู่ของพวกอสุรกายประเภท นิรยอสุรา)

ทำบาปกรรมอะไรจึงเกิดในโลกันตนรก
๑. เป็นผู้ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา ปราศจากความกตัญญูกตเวที
๒. เป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล คือ ไม่เชื่อบุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์ แล้วทำบาปอยู่เป็นนิจ
๓. ประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีล ทรงธรรม หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำทุกวัน

ด้วยอำนาจของกรรมหนักเหล่านี้ จึงส่งผลให้เกิดในโลกันตนรกซึ่งมืดมิดอยู่เป็นนิตย์ตลอดกาลนาน ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงมีโอกาสเห็นแสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแล่บ หรือชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น

อัธยาศัยจิตใจของบุคคลทั้งหลาย สรุปได้ ๔ คือ
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบบำเพ็ญกุศลมาก
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในการกุศลและอกุศลเท่าๆกัน
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลมากกว่ากุศล
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลฝุายเดียว

บุคคลประเภทที่ ๑ ในขณะใกล้ตายย่อมระลึกนึกถึงกุศลได้มาก ฉะนั้น บุคคลจำพวกนี้ย่อมพ้นจากการไปบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๒ ในขณะใกล้ตายถ้าตัวเองพยายามระลึกถึงกุศลให้มากหรือญาติ บุคคลใกล้ชิดช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศล ก็สามารถช่วยให้พ้นจากการบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๓ ในขณะใกล้ตายชีวิตที่ผ่านมาทำอกุศลมากกว่ากุศล ลำพังตัวเองจะนึกถึงกุศลนั้นย่อมนึกถึงไม่ได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นการช่วยเหลืออย่างพิเศษจึงจะช่วยได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษแล้วบุคคลจำพวกนี้ย่อมจะต้องไปสู่อบายแน่นอน
บุคคลประเภทที่ ๔ ในขณะใกล้ตายชีวิตย่อมไม่พ้นจากการไปสู่อบายได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ และการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ได้บุคคลผู้นั้นก็จะต้องมี กุศลอปราปริยเวทนียกรรม(กุศลในชาติก่อนๆ)ที่มีกำลังมาก(ตัวอย่าง"โจรเคราแดง"จะอยู่ในเรื่อง กฎแห่งกรรม) ฉะนั้นถ้าบุคคลจำพวกนี้ต้องไปสู่นรกแล้ว ก็ไปสู่นรกโดยตรง ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับพระยายมราช เฉพาะบุคคลประเภทที่ ๒ และ ๓ ถ้าต้องไปสู่นรกแล้วก็มีโอกาสได้พบกับพระยายมราชเพื่อทำการสอบถาม ๕ เรื่อง หรือเรียกว่า เทวทูต ๕ เสียก่อน แล้วจึงไปเสวยทุกข์ในนรกนั้นๆ ภายหลัง

คำถามของพระยายมราช มี ๕ เรื่อง คือ
๑. ความเกิด ได้แก่ ทารกที่แรกเกิด
๒. ความแก่ ได้แก่ คนชรา
๓. พยาธิ ได้แก่ ผู้ป่วยไข้
๔. คนต้องราชทัณฑ์ ได้แก่ ผู้ที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย
๕. มรณะ ได้แก่ คนตาย

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะไต่ถามว่า “นี่แน่ะเจ้า! เราจะถามเจ้าว่า เมื่อเจ้ายังอยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้เคยเห็นเด็กแรกเกิดนอนเปื้อนมูตรคูถของตนเองบ้างไหม” ถ้าสัตว์นรกตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็น” พระยายมราชจะถามต่อไปว่า “ในขณะที่เจ้าเห็นเด็กแรกเกิดนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเกิดอีกเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเกิดอันเป็นชาติทุกข์ บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นเด็กแรกเกิดก็จริง แต่ก็ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่ความยินดี พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไป ตามวิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้มีความประมาท ไม่ทำความดี ทางกายวาจาใจ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ความประมาท เพลิดเพลินสนุกสนานของเจ้าที่ได้กระทำไปแล้วล้วนแต่เป็นความประมาทที่เกิดขึ้นจากตัวของเจ้าทั้งนั้น ไม่ใช่บิดามารดา บุตร ภรรยา มิตรสหาย หรือ เทวดาทั้งหลายมากระทำให้เจ้า ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วย ตนเองไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๒ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนแก่หลังโก่งงอ ผมหงอก หนังเหี่ยว ตกกระ บ้างไหม ในขณะที่เจ้าเห็นนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องแก่เช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทาง ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความแก่อันเป็นชราทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นคนแก่ก็จริงแต่ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่การใช้ชีวิตที่พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไปตาม วิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้ กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะ ถามปัญหาที่ ๓ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนป่วยไข้ที่กำลังได้รับความทุกข์เวทนาบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเจ็บป่วยอันเป็นพยาธิทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้า เป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหา ที่ ๔ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ถูกจองจำ เช่น โจร ผู้ร้าย ผู้กระทำผิด ซึ่งถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบยด้วยแส้ หวาย ตีด้วยกระบอง ถูกตัดมือ เท้า หู จมูก ยิงเป้า แขวนคอบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเพียรเร่งสร้างความดี เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความทุกข์บ้างไหม? สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้ ” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๕ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนตายบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นคนตายเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้ จะต้องตายเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความตายอันเป็นมรณทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้”

เมื่อเป็นเช่นนี้ พระยายมราชก็พยายามช่วยระลึกให้ว่าสัตว์นรกผู้นี้ได้สร้างกุศลอะไรไว้บ้าง เพราะบุคคลบางคนเมื่อทำกุศลแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่ พระยายมราช พระยายมราชผู้เคยได้รับส่วนกุศลก็จะพยายามช่วยให้สัตว์นรกนึกถึงกุศลที่เคยทำไว้ เมื่อระลึกถึงกุศลกรรมของตนได้เช่นนี้ ในขณะนั้น ก็พ้นไปจากนรกแต่ถ้าพระยายมราชช่วยแล้วก็ยังระลึกไม่ได้ก็จะนิ่งเสีย แล้ว นายนิรยบาลก็จะนำตัวไปลงโทษในนรกต่างๆ เสวยกรรมในนรกไปจนกว่าจะหมดกรรม พระยายมราชเป็นราชาแห่งเปรตที่มีวิมาน ในคราวหนึ่งเสวยทิพยสมบัติ ในคราวหนึ่งเป็นธรรมิกราชเสวยวิบากกรรม พระยายมราชเองก็ปรารถนาความเป็นมนุษย์และได้พบได้ฟังธรรม ได้รู้ธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าที่ของพระยายมราช คือเป็นผู้ซักถามผู้ทำบาปที่ถูกนำตัวเข้าไปหลักซักถาม ๕ อย่างข้างต้น ถ้าพิจารณาดูตรงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจว่าจะใช้ เป็นกฎเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยได้อย่างไร แต่เมื่อพิจารณาโดยหลักธรรม ก็อาจจะเห็นความมุ่งหมายว่า คนที่ทำบาปทุจริตต่างๆ นั้น ก็เพราะมีความประมาท ไม่ได้คิดพิจารณาว่าเกิดมาแล้วจะต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา


๓. นรกภูมิ

อบายภูมิ ๔ แดนเกิดของกรรมฝุายชั่ว อบายภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ที่มีเจตนาฝ่ายอกุศลกรรมนำเกิด เป็นภูมิที่ขวางต่อนิพพาน มี ๔ ภูมิ ได้แก่
๑. นิรยะ แปลตามศัพท์ว่า ที่ที่ไร้ความเจริญ หรือเรียกว่า นรกภูมิ
๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ได้แก่ สัตว์ดิรัจฉานทุกประเภท หรือเรียกว่า ดิรัจฉานภูมิ
๓. เปตวิสย วิสัยเปรต ได้แก่ ภูมิภพของเปรต หมายถึง สัตว์จำพวกหนึ่งที่เกิดมาเพื่อรับผลกรรมที่เป็นเศษของกรรม เช่นเมื่อไปนรกแล้ว พ้นจากนรก แต่กรรมนั้นยังไม่หมด ยังมีเศษของกรรมเหลืออยู่ ก็ต้องไปเกิดเป็นเปรต ใช้เศษของกรรมไปจนหมดก่อน
๔. อสุรกายะ แปลว่า สัตว์ที่ได้รับทุกข์


นรกภูมิ

นรกภูมิ เป็นสถานที่เกิดของผู้ที่ทำบาปอกุศลไว้ เมื่อบุคคลผู้ทำบาปตายลง ถ้าบาปอกุศลนั้นส่งผลจะส่งผลนำเกิดในนรก ต้องเสวยผลของบาปที่ทำไว้ ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แบ่งเป็นขุมได้ ๘ ขุม เรียกว่า “มหานรก ๘ ขุม” มหานรก มี ๘ ขุม
    ๑. สัญชีวนรก แปลว่า คืนชีวิตขึ้นเอง หมายถึงสัตว์นรกในขุมนี้ถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่แล้วก็กลับคืนชีวิตขึ้นมาเองอีก ได้รับการทรมานอยู่ร่่ำไป
    ๒. กาฬสุตตนรก แปลว่า เส้นด้ายดำ หมายถึงสัตว์นรกขุมนี้ที่ร่างกายถูกตีเส้นด้วยเส้นด้ายสีดำ เหมือนอย่างตีเส้นที่ต้นซุงเพื่อที่จะเลื่อย แล้วถูกผ่าด้วยขวานเป็น ๘ เสี่ยง ๑๖ เสี่ยง ได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส
    ๓. สังฆาตนรก แปลว่า กระทบกัน หมายถึงมีภูเขาเหล็กคราวละ ๒ ลูก จากทิศที่ตรงกันข้ามเลื่อนเข้ามากระทบกันเอง บดสัตว์นรกในระหว่างให้แหลกละเอียด จาก ๔ ทิศก็เป็นภูเขา ๔ ลูกเลื่อนเข้ามากระทบกันตลอดเวลา
    ๔. โรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญคราง คือ มีเปลวไฟเข้าไปทางทวารทั้งเก้า เผาไหม้ในสรีระจึงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ บางพวกถูกหมอกควันด่าง(เป็นกรด) เข้าไปละลายสรีระจนละเอียดเหมือนแป้ง จึงร้องครวญครางเจ็บปวดเพราะหมอกควัน
    ๕. มหาโรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญครางมาก คือเป็นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๔
    ๖. ตาปนนรก แปลว่า ร้อน คือถูกให้นั่งเสียบตรึงไว้ด้วยหลาวเหล็กบนพื้นแผ่นดินเหล็กแดงลุกเป็นไฟร้อนแรง บ้างก็ถูกต้อนขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่มีไฟลุกโชน ถูกลมพัดตกลงมาถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นแผ่นดินเหล็กแดงที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
    ๗. มหาตาปนนรก แปลว่า ร้อนสูงมาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๖
    ๘. อวีจินรก แปลว่า ไม่มีระหว่าง คือไม่เว้นว่างจากทุกข์ บางทีเรียกว่า มหาอวีจิ แปลว่า อเวจีใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า นรกอเวจี นรกขุมนี้มีไฟลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุสิ่งของ เพราะสัตว์นรกต่างถูกไฟเผาหม้อยู่ในที่เฉพาะตนๆ ความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกในขุมนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น พระเทวทัตบังเกิดในอวีจินรก ยืนถูกทรมานอยู่บนพื้นเหล็กที่มีไฟลุกโชน เท้าทั้ง ๒ จมพื้นลงไปถึงข้อเท้า มือทั้ง ๒ จมฝาเหล็กถึงข้อมือ ศีรษะเข้าไปในเพดานโลหะถึงคิ้ว หลาวโลหะอันหนึ่งออกจากพื้นเบื้องล่างแทงร่างกายทะลุขึ้นไปในเพดาน หอกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศตะวันออกแทงทะลุหัวใจไปเข้าฝาทิศตะวันตก หอกอีกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศเหนือแทงทะลุซี่โครงไปเข้าฝาทิศใต้ ถูกตรึงแน่นขยับไม่ได้ ถูกเผาไหม้อยู่ในอวีจินรก เครื่องทรมานสัตว์นรก ในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็ก เครื่องอาวุธเหล็กต่างๆ มีไฟ คือ เหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรดหรือด่าง เป็นเครื่องทรมานสัตว์นรกทั้งหลาย

ในนรกขุมที่ ๑ และที่ ๒ มีนายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก ไทยนิยมเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรก แต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสังกิจจชาดกไม่ได้กล่าวถึงนายนิรยบาล มีแต่ไฟ เหล็ก เครื่องอาวุธต่างๆเป็นต้น บังเกิดขึ้นเองเพื่อทรมานสัตว์นรกเอง

อุสสทนรก มี ๔ ขุม อายุของสัตว์นรกบางพวกมีอายุยืนยาวมาก แต่เมื่อสิ้นเวรจากนรกทั้ง ๘ ขุมแล้ว ถ้ายังไม่หมดกรรมก็จะต้องไปเกิดในนรกบริวารขุมเล็กๆ ที่อยู่รายรอบมหานรกอีก เพื่อรับทุกข์โทษจากเศษกรรมอีก ต่อไปจะศึกษาเรื่องนรกบริวารที่มีชื่อว่า อุสสทนรก

อุสสทนรก คือ นรกขุมเล็กนอกจากนรกขุมใหญ่ ๘ ขุมแล้ว ยังมีนรกขุมเล็กเป็นบริวารทั้ง ๔ ด้านๆ ละ ๔ ขุม รวมเป็น ๑๖ ขุม รวมนรกขุมเล็กที่เป็นบริวารของนรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุม ได้ ๑๒๘ ขุม รวมนรกใหญ่อีก ๘ ขุม เป็น ๑๓๖ ขุม ต่อไปเป็นรายละเอียดของอุสสทนรก ๔ ขุม
    ๑. คูถนรก นรกอุจจาระเน่า นรกขุมนี้จะเต็มไปด้วยอุจจาระที่เน่าเหม็น ตั้งอยู่ติดกับมหานรก สัตว์นรกจะมีปากแหลมเหมือนอย่างเข็มพากันเจาะไชผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก เจ็บปวด รวดร้าวยิ่งนัก แต่ก็ไม่ตาย สัตว์นรกเมื่อตายจากนรกขุมใหญ่แล้วก็มาเสวยกรรมในนรกขุมย่อยๆ นี้อีก
    ๒. กุกกุลรก นรกหลุมขี้เถ้าร้อน เมื่อสัตว์นรกพ้นจากนรกอุจจาระเน่าแล้ว และยังไม่หมดกรรมจะต้องมาเสวยทุกขเวทนาต่อที่นรกขุมนี้อีก ทุกข์ทรมานอยู่ในขี้เถ้าที่ร้อนระอุ แต่ก็ไม่ตาย
    ๓. สิมปลิวนนรก นรกป่างิ้ว เมื่อสัตว์นรกพ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้ว และยังไม่หมดกรรมจะต้องไปเสวยทุกขเวทนาในนรกป่างิ้วอีก งิ้วใหญ่แต่ละต้นสูงตั้งโยชน์ มีหนามยาว ๑๖ นิ้ว ร้อนโชน สัตว์นรกต้องปีนขึ้นปีนลงต้นงิ้ว ถูกหนามทิ่มแทงเจ็บปวด ร้อนแรง แต่ก็ไม่ตาย ในนรกขุมนี้ยังมีปุาใบไม้ดาบด้วย เรียกว่า อสิปัตตวนนรก เป็นนรกขุมเดียวกัน มีใบไม้คมดุจดาบ เมื่อลมพัดก็บาดร่างกายสัตว์นรกให้ได้รับทุกขเวทนา แต่ก็ไม่ตาย
    ๔. เวตตรณีนรก นรกน้ำเค็มน้ำกรด เป็นนรกที่เต็มไปด้วยหนามหวายอยู่ในน้ำเค็ม เมื่อสัตว์นรกพ้นจากนรกขุมต้นๆ แล้ว และยังไม่หมดกรรม จะต้องเสวยทุกข์ในนรกขุมนี้ต่อไปอีก สัตว์นรกตกลงไปลอยไปตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง รีๆ ขวางๆ บ้าง เสวยทุกขเวทนา แต่ก็ไม่ตาย นายนิรยบาลเอาเบ็ดเกี่ยวขึ้นมาบนบก ถามว่าอยากอะไร เขาบอกว่าหิว นายนิรยบาลเอาขอเหล็กแดงงัดปาก ยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไป ไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก คอ อก พาเอาไส้ใหญ่ไส้น้อยออกมาทางเบื้องล่าง แต่ถ้าเขาบอกว่ากระหาย นายนิรยบาลจะงัดปากเอาทองแดงละลายกรอกเข้าปาก เผาอวัยวะที่กล่าวแล้วนำออกมาเบื้องล่าง เสวยทุกขเวทนาเผ็ดร้อน แต่ก็ไม่ตายต้องเสวยผลกรรมต่อไป

นรกภูมิ ที่มีมาในเนมิราชชาดก คัมภีร์ขุททกนิกาย ยังมีกล่าวไว้อีก สรุปดังนี้
เวตตรณีนรกสัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้มีกำลังได้เบียดเบียน ด่า กระทบผู้หากำลังมิได้ ถ้ากรรมนี้ส่งผลเขาต้องไปตกแม่น้ำเวตตรณีนรกที่มีน้ำกรดทำให้แสบเผ็ดร้อนเดือดพล่าน เปรียบดั่งเปลวไฟ
นรกสุนัขด่าง สัตว์เหล่าใดเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น มักด่าบริภาษ ด่ากระทบสมณพราหมณ์ สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้าจึงถูกฝูงสุนัข ฝูงกา ฝูงแร้ง เคี้ยวกิน
นรกพื้นแผ่นดินเหล็ก สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้เบียดเบียน ด่ากระทบชายหญิงผู้มีธรรม สัตว์เหล่านั้น มีกรรมหยาบช้า จึงมีร่างกายถูกเผาลุกโพลงด้วยไฟ เดินเหยียบแผ่นดินเหล็กลุกเป็นไฟ ถูกนายนิรยบาลโบยด้วยท่อนเหล็กแดง(ด้วยไฟ)
นรกหลุมถ่านเพลิง สัตว์นรกเหล่านี้ได้ใช้จ่ายทรัพย์ตามชอบจ่าย โกงทรัพย์ของประชุมชน คือทำการเรี่ยไรทรัพย์ เพื่อนำไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ก็เอาทรัพย์ หรือใช้จ่ายทรัพย์ในโดยส่วนตัว กล่าวเท็จเพื่อเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตน เข้าในทำนองทำการหลอกลวงประชุมชม เพราะกรรมนี้จึงมาร้องไห้ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง
โลหกุมภีนรกที่ ๑ สัตว์เหล่าใดเป็นผู้มีบาปธรรม เบียดเบียนด่ากระทบสมณพราหมณ์ผู้มีศีล สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า จึงตกในหม้อโลหะใหญ่มีไฟติดทั่วลุกโพลงโชติช่วง
โลหกุมภีนรกที่ ๒ สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก จับนกมาฆ่า สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า จึงถูกนายนิรยบาลผูกคอด้วยเชือกเหล็กลุกโพลงแล้วตัดศีรษะโยนลงไปในน้ำร้อน
นรกแม่น้ำกลายเป็นแกลบไฟ สัตว์เหล่าใดมีการงานไม่บริสุทธิ์ ขายข้าวเปลือกแท้เจือด้วยข้าวลีบและแกลบแก่ผู้ซื้อ เขาจึงมาอยู่ในนรกนี้ นรกนี้มีน้ำมาก ไหลอยู่เสมอ มีตลิ่งไม่สูง มีท่าน้ำ สัตว์นรกเหล่านั้นเร่าร้อน เพราะความร้อนแห่งไฟ จะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็นแกลบถูกไฟเผา
นรกอาวุธต่างๆ สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ คือ ธัญชาติ ทรัพย์ เงิน ทอง เป็นต้น มาเลี้ยงชีพ นายนิรยบาลใช้ลูกศร หอก โตมร(อาวุธสำหรับซัด,หอกซัด,สามง่ามที่มีปลอกรูปเป็นใบโพสวมอยู่) แทงทะลุข้างตัวให้ได้รับตวามทุกข์ทรมาน
นรกกองเนื้อ สัตว์นรกเคยเป็นผู้ฆ่าแพะ แกะ ไก่ สุกร วัว ควาย เป็นต้น แล้ววางไว้ในร้านที่ขายเนื้อ สัตว์นรกจึงถูกนายนิรยบาลผูกคอบ้าง ตัดทำให้เป็นชิ้นๆบ้าง
นรกอุจจารปัสสาวะ สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ได้เบียดเบียนผู้อื่นทุกเมื่อ สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า เป็นพาล ประทุษร้ายมิตร จึงต้องตกลงในห้วงน้ำที่เต็มไปด้วยมูตรและคูถ มีกลิ่นเหม็นเน่า ฟุูงไป สัตว์นรกมีความหิวกระหายจึงกินมูตรและคูถนั้น
นรกเลือดหนอง สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ฆ่ามารดา บิดา และพระอรหันต์ชื่อว่าปาราชิกในคฤหัสถ์ สัตว์นรกเหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า จึงมาตกอยู่ในนรกนี้ มีห้วงน้ำเต็มไปด้วยเลือดและหนอง มีกลิ่น เหม็นคลุ้งตลบ สัตว์นรกถูกความร้อนแผดเผา หิวกระหาย ก็กินเลือดและหนองนั้น
นรกเบ็ดเหล็ก สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก อยู่ในตำแหน่งผู้ตีราคา ยังราคาซื้อให้เสื่อมเพราะเหตุโลภทรัพย์ ดุจคนเข้าไปใกล้ปลาเพื่อจะฆ่าเอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดปิดเบ็ดนั้นไว้ ฉะนั้น ด้วยกรรมนี้ จึงถูกนายนิรยบาลทรมานด้วยการเอาเบ็ดเกี่ยวลิ้น เกี่ยวหนัง
นรกภูเขาเหล็ก สัตว์นรกเหล่าใดเป็นกุลธิดา เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกมีงานอันไม่บริสุทธิ์ เป็นหญิงนักเลงละสามีไปคบชายอื่น ยังจิตของตนให้ยินดีในบุรุษอื่น ตายแล้วมาเกิดในนรกนี้ จึงถูกภูเขาเหล็กลุกเป็นเพลิงมาจาก ๔ ทิศ ผลัดกันบดร่างกายให้แตก มีแมลงวันตอม เปรอะเปื้อนด้วยเลือดและหนอง มีศีรษะขาดเหมือนฝูงโคที่ศีรษะขาด บนที่ฆ่าหญิงนรกเหล่านี้จมอยู่ในพื้นแค่สะเอวตลอดเวลา
นรกที่มีศีรษะทิ่มลง สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้ล่วงภรรยาแห่งบุรุษอื่นและลักขโมย จึงมาตกนรกนี้ มีศีรษะทิ่มลงเบื้องล่าง เพราะนายนิรยบาลได้จับสัตว์เหล่านั้นพุ่งให้มีศีรษะทิ่มลงไปในนรก
นรกป่าไม้งิ้ว สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีความเห็นผิดหลงทำกรรมจนเคยชินด้วยมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ และชักชวนผู้อื่นในทิฏฐินั้นคือกล่าวว่า ทานที่ให้ไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลของความดีความชั่วไม่มี มารดาบิดาไม่มี สมณพราหมณ์ไม่มี สัตว์ลอยมาเกิดไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี สัตว์เหล่านั้นมีทิฏฐิลามกจึงต้องเสวยทุกเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนใน นรกนี้

พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นผู้ที่คบคนผิด คือทรงคบกับพระเทวทัต เหตุนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงมีอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ เกิดขึ้นจนถึงกับทำการปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา ตามธรรมดาบุคคลผู้ฆ่าบิดามารดาต้องไปสู่นรกอเวจี แต่พระองค์ไม่ต้อง เพราะในสมัยที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นได้ทรงเลิกคบกับพระเทวทัต หันมาประพฤติดีมีพระพุทธเจ้าพร้อมพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทรงเป็นผู้มีความเลื่อมใสสละจตุปัจจัยให้เป็นทาน จนถึงเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงการสังคายนา ฉะนั้นเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงไม่ต้องไปสู่นรกอเวจี แต่ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในโลหกุมภี ที่เป็นบริวารของอวีจิมหานรกแทน การเสวยทุกข์ในโลหกุมภี คือค่อยๆจมลงไปทีละน้อยๆ จนถึงพื้นล่างของหม้อโลหะ นับเป็นเวลานานถึงสามหมื่นปีของนรกนี้ เมื่อจะโผล่ขึ้นมาจากพื้นล่างก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมาทีละน้อยๆ นับเป็นเวลานานถึงสามหมื่นปีแห่งนรกนี้อีกเช่นกัน รวมเวลาเสวยทุกข์ของพระเจ้าอชาตศัตรูในโลหกุมภีกำหนดหกหมื่นปีจึงจะพ้นออกจากนรกนี้ ในอนาคตต่อไปได้สองอสงไขยแสนมหากัป จักได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่าวิชิตาวี 
โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่พิเศษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ระหว่างช่องว่างของขอบจักรวาลทั้ง ๓ ที่เชื่อมต่อกัน มีแต่ความมืดสนิท สัตว์ที่อุบัติในโลกันตนรกนี้จะมีร่างกายใหญ่โตมหึมามีเล็บเท้ายาวเกาะอยู่ตามขอบเชิงจักรวาลห้อยโหนตัวอยู่ตลอดกาล เมื่อไปพบพวกเดียวกันต่างก็คิดว่าเป็นอาหารจึงไล่ตะปบกัน จนตกลงมาในน้ำกรดที่เย็นยะเยือก สัตว์นั้นก็จะละลายเป็นจุณหายไป แล้วอุบัติเกิดขึ้นใหม่ที่ขอบจักรวาลนั้น ห้อยโหนตัวอยู่ไปมาและเมื่อ พบกันก็ตะปบกัน ต่อสู้กัน พลาดพลั้งก็ตกลงไปในน้ำกรด ร่างก็ละลาย เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล (นรกขุมนี้เป็นขุมพิเศษ เป็นที่อยู่ของพวกอสุรกายประเภท นิรยอสุรา) 

ทำบาปกรรมอะไรจึงเกิดในโลกันตนรก
๑. เป็นผู้ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา ปราศจากความกตัญญูกตเวที
๒. เป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล คือ ไม่เชื่อบุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์ แล้วทำบาปอยู่เป็นนิจ
๓. ประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีล ทรงธรรม หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำทุกวัน

ด้วยอำนาจของกรรมหนักเหล่านี้ จึงส่งผลให้เกิดในโลกันตนรกซึ่งมืดมิดอยู่เป็นนิตย์ตลอดกาลนาน ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงมีโอกาสเห็นแสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแล่บ หรือชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น

อัธยาศัยจิตใจของบุคคลทั้งหลาย สรุปได้ ๔ คือ
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบบำเพ็ญกุศลมาก
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในการกุศลและอกุศลเท่าๆกัน
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลมากกว่ากุศล
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลฝุายเดียว

บุคคลประเภทที่ ๑ ในขณะใกล้ตายย่อมระลึกนึกถึงกุศลได้มาก ฉะนั้น บุคคลจำพวกนี้ย่อมพ้นจากการไปบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๒ ในขณะใกล้ตายถ้าตัวเองพยายามระลึกถึงกุศลให้มากหรือญาติ บุคคลใกล้ชิดช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศล ก็สามารถช่วยให้พ้นจากการบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๓ ในขณะใกล้ตายชีวิตที่ผ่านมาทำอกุศลมากกว่ากุศล ลำพังตัวเองจะนึกถึงกุศลนั้นย่อมนึกถึงไม่ได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นการช่วยเหลืออย่างพิเศษจึงจะช่วยได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษแล้วบุคคลจำพวกนี้ย่อมจะต้องไปสู่อบายแน่นอน
บุคคลประเภทที่ ๔ ในขณะใกล้ตายชีวิตย่อมไม่พ้นจากการไปสู่อบายได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ และการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ได้บุคคลผู้นั้นก็จะต้องมี กุศลอปราปริยเวทนียกรรม(กุศลในชาติก่อนๆ)ที่มีกำลังมาก(ตัวอย่าง"โจรเคราแดง"จะอยู่ในเรื่อง กฎแห่งกรรมหมวดที่ ๗) ฉะนั้นถ้าบุคคลจำพวกนี้ต้องไปสู่นรกแล้ว ก็ไปสู่นรกโดยตรง ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับพระยายมราช เฉพาะบุคคลประเภทที่ ๒ และ ๓ ถ้าต้องไปสู่นรกแล้วก็มีโอกาสได้พบกับพระยายมราชเพื่อทำการสอบถาม ๕ เรื่อง หรือเรียกว่า เทวทูต ๕ เสียก่อน แล้วจึงไปเสวยทุกข์ในนรกนั้นๆ ภายหลัง

คำถามของพระยายมราช มี ๕ เรื่อง 
๑. ความเกิด ได้แก่ ทารกที่แรกเกิด
๒. ความแก่ ได้แก่ คนชรา 
๓. พยาธิ ได้แก่ ผู้ป่วยไข้ 
๔. คนต้องราชทัณฑ์ ได้แก่ ผู้ที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย 
๕. มรณะ ได้แก่ คนตาย 

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะไต่ถามว่า “นี่แน่ะเจ้า! เราจะถามเจ้าว่า เมื่อเจ้ายังอยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้เคยเห็นเด็กแรกเกิดนอนเปื้อนมูตรคูถของตนเองบ้างไหม” ถ้าสัตว์นรกตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็น” พระยายมราชจะถามต่อไปว่า “ในขณะที่เจ้าเห็นเด็กแรกเกิดนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเกิดอีกเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเกิดอันเป็นชาติทุกข์ บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นเด็กแรกเกิดก็จริง แต่ก็ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่ความยินดี พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไป ตามวิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้มีความประมาท ไม่ทำความดี ทางกายวาจาใจ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ความประมาท เพลิดเพลินสนุกสนานของเจ้าที่ได้กระทำไปแล้วล้วนแต่เป็นความประมาทที่เกิดขึ้นจากตัวของเจ้าทั้งนั้น ไม่ใช่บิดามารดา บุตร ภรรยา มิตรสหาย หรือ เทวดาทั้งหลายมากระทำให้เจ้า ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วย ตนเองไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๒ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนแก่หลังโก่งงอ ผมหงอก หนังเหี่ยว ตกกระ บ้างไหม ในขณะที่เจ้าเห็นนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องแก่เช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทาง ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความแก่อันเป็นชราทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นคนแก่ก็จริงแต่ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่การใช้ชีวิตที่พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไปตาม วิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้ กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะ ถามปัญหาที่ ๓ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนป่วยไข้ที่กำลังได้รับความทุกข์เวทนาบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเจ็บป่วยอันเป็นพยาธิทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้า เป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหา ที่ ๔ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ถูกจองจำ เช่น โจร ผู้ร้าย ผู้กระทำผิด ซึ่งถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบยด้วยแส้ หวาย ตีด้วยกระบอง ถูกตัดมือ เท้า หู จมูก ยิงเป้า แขวนคอบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเพียรเร่งสร้างความดี เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความทุกข์บ้างไหม? สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้ ” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๕ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนตายบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นคนตายเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้ จะต้องตายเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความตายอันเป็นมรณทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้”

เมื่อเป็นเช่นนี้ พระยายมราชก็พยายามช่วยระลึกให้ว่าสัตว์นรกผู้นี้ได้สร้างกุศลอะไรไว้บ้าง เพราะบุคคลบางคนเมื่อทำกุศลแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่ พระยายมราช พระยายมราชผู้เคยได้รับส่วนกุศลก็จะพยายามช่วยให้สัตว์นรกนึกถึงกุศลที่เคยทำไว้ เมื่อระลึกถึงกุศลกรรมของตนได้เช่นนี้ ในขณะนั้น ก็พ้นไปจากนรกแต่ถ้าพระยายมราชช่วยแล้วก็ยังระลึกไม่ได้ก็จะนิ่งเสีย แล้ว นายนิรยบาลก็จะนำตัวไปลงโทษในนรกต่างๆ เสวยกรรมในนรกไปจนกว่าจะหมดกรรม พระยายมราชเป็นราชาแห่งเปรตที่มีวิมาน ในคราวหนึ่งเสวยทิพยสมบัติ ในคราวหนึ่งเป็นธรรมิกราชเสวยวิบากกรรม พระยายมราชเองก็ปรารถนาความเป็นมนุษย์และได้พบได้ฟังธรรม ได้รู้ธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าที่ของพระยายมราช คือเป็นผู้ซักถามผู้ทำบาปที่ถูกนำตัวเข้าไปหลักซักถาม ๕ อย่างข้างต้น ถ้าพิจารณาดูตรงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจว่าจะใช้ เป็นกฎเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยได้อย่างไร แต่เมื่อพิจารณาโดยหลักธรรม ก็อาจจะเห็นความมุ่งหมายว่า คนที่ทำบาปทุจริตต่างๆ นั้น ก็เพราะมีความประมาท ไม่ได้คิดพิจารณาว่าเกิดมาแล้วจะต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา


๒. ภพภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิ

เมื่อยังมีกิเลส กรรม วิบากอยู่ การเวียนว่ายตายเกิดก็ยังเป็นไปอยู่ การเกิดขึ้นของรูปนามอันเป็นวิบากของกรรมและกิเลส จึงเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นกรรมชั่ว รูปนามอันเป็นวิบากก็เป็นรูปนามของกรรมชั่ว ถ้าเป็นกรรมดีรูปนามอันเป็นวิบากก็เป็นรูปนามของกรรมดี สถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของกรรม มี ๓๑ สถานที่ หรือ ที่เรียกว่า ๓๑ ภูมิ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ

อบายภูมิ ๔ ภูมิอันเป็นที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่มาจากผลของอกุศลกรรมได้แก่
นรกภูมิ ๑
ดิรัจฉานภูมิ ๑
เปรตภูมิ ๑
อสุรกายภูมิ ๑

สุคติภูมิ ๒๗ ภูมิอันที่เป็นที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่มาจากผลของกรรมดีได้แก่
มนุษยภูมิ ๑
เทวภูมิ ๖
รูปภูมิ ๑๖
อรูปภูมิ ๔

ภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิ ยังมีวิธีการเรียกชื่อแตกต่างกันไปได้อีกดังนี้
เรียกว่ากามภูมิ ๑๑ หรือ กามาวจรภูมิ คือ รวมเอาอบายภูมิ ๔ มนุษยภูมิ ๑ และเทวภูมิ ๖ รวมเรียกว่า กามภูมิ ๑๑ เพราะเหตุว่าเป็นภูมิที่อาศัยเกิดของจิตที่ท่องเที่ยวไปในการรับกามคุณ อารมณ์ และกามภูมิ ๑๑ นี้ ยังแยกออกได้ ๒ กลุ่ม คือ มนุษยภูมิ ๑ และเทวภูมิ ๖ รวมเฉพาะ ๗ ภูมินี้เรียกว่า กามสุคติภูมิ ๗ อีกด้วย เพราะเหตุว่าทั้ง ๗ ภูมินี้เป็นที่อยู่ที่มีความสุข เฉพาะอบายภูมิ ๔ เท่านั้นเรียกว่า ทุคติภูมิเพราะเป็นภูมิที่มีแต่ความทุกข์

ส่วนภูมิที่ไม่ประกอบด้วยกามคุณเรียกว่า รูปภูมิ ๑๖ หรือ รูปาวจรภูมิ แบ่งเป็นรูปภูมิที่เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของนามและรูป มี ๑๕ ภูมิ ส่วนที่เหลืออีก ๑ ภูมิ คือ อสัญญสัตตภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดเฉพาะแต่รูปเท่านั้นไม่มีนาม ในรูปภูมิ ๑๖ นอกจากจะมีชื่อเรียกภูมิโดยเฉพาะๆแล้วยังเรียกชื่อภูมิที่เป็นที่อยู่ของพรหมที่เป็นพระอริยบุคคลโดยเฉพาะได้อีก ๕ ภูมิ คือ สุทธาวาสภูมิ ๕

ส่วนภูมิที่ไม่ประกอบด้วยกามคุณและนามรูปรูปเรียกว่า อรูปภูมิ ๔ หรือ อรูปาวจรภูมิ คืออรูปภูมิทั้งหมดมี ๔ ภูมิ

อธิบายภูมิทั้ง ๓๑ ดังนี้
อบายภูมิ มี ๔ ภูมิ ได้แก่ นรกภูมิ เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของอกุศลกรรมได้แก่อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
ทางกาย มี ๓ คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด ทางกาม
ทางวาจา มี ๔ คือ พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
ทางใจ มี ๓ คือ การเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ

มนุษยภูมิ มี ๑ ภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของกุศลกรรม คือ
การประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐
ทางกายมี ๓ คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดทางกาม
ทางวาจา มี ๔ คือ งดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
ทางใจ มี ๓ คือ อนภิชฌา อพยาบาท สัมมาทิฏฐิ
และกุศลกรรมในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญ ภาวนา เป็นต้น

เทวภูมิ มี ๖ ภูมิ ได้แก่ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของกุศลกรรม

รูปภูมิ มี ๑๖ ภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปและนาม มี ๑๕ ภูมิ และ อุบัติเกิดเฉพาะรูปอย่างเดียวไม่มีนาม มี ๑ ภูมิ คือ อสัญญสัตตภูมิ เป็นภูมิที่มีความสุขจากผลของกุศลขั้นรูปฌาน ผู้ที่เกิดในภูมินี้อาศัยภาวนากุศลในด้านการเจริญสมถกรรมฐานจนสำเร็จรูปฌานและรูปฌานนั้นยังไม่เสื่อมจึงนำไปเกิดในภูมินี้

รูปภูมิ ๑๖ แบ่งตามระดับการเข้าถึงฌานมีดังนี้
• ปฐมฌานภูมิ ๓ ได้แก่ ปาริสัชชา ปุโรหิตา มหาพรหมา
• ทุติยฌานภูมิ ๓ ได้แก่ ปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา
• ตติยฌานภูมิ ๓ ได้แก่ ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา
• จตุตถฌานภูมิ ๗ ได้แก่ เวหัปผลา อสัญญสัตตา และสุทธาวาสภูมิ ๕ ได้แก่ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา

อรูปภูมิ มี ๔ ภูมิ ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

อรูปภูมิ ๔ เป็นสถานที่อุบัติเกิดได้เฉพาะนามอย่างเดียวไม่มีรูป เป็นภูมิที่มีความสุขจากผลของการเจริญกุศลขั้นอรูปฌาน ผู้ที่เกิดในภูมินี้อาศัยอรูปฌานกุศลที่ยังไม่เสื่อมนำไปเกิด การเวียนว่ายตายเกิดในภูมิทั้งหลายก็ด้วยเจตนาในการทำกรรมทั้งกุศลและอกุศล จึงเป็นกำลังผลักดันให้ต้องโคจรไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ


ท่านพระสารีบุตรได้ตอบคำถามที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด สรุปได้ดังนี้

ถาม ภพมีเท่าไร
ตอบ มี ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

ถาม การเกิดในภพใหม่มีได้เพราะเหตุใด
ตอบ เพราะความยินดียิ่งของเหล่าสัตว์ทีมีอวิชชา มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพันไว้ หรือตัณหาเป็นเครื่องผูกพันอารมณ์ ๖ ไว้ การเกิดในภพใหม่มีได้ต่อไปเพราะเหตุนี้

ถาม การไม่เกิดในภพใหม่มีได้อย่างไร
ตอบ เพราะอวิชชาสิ้นไป มีวิชชาเกิดขึ้นและเพราะตัณหาดับไป การเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไปไม่มีเพราะอย่างนี้


แสงธรรมนำทาง...

ธรรมสุตตะ | ศึกษาพระธรรมคำสอนตามพระไตรปิฎก © 2008. Template by Dicas Blogger.

กลับขึ้นด้านบน