แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมวดที่ ๗ กฏแห่งกรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมวดที่ ๗ กฏแห่งกรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์

๔.๑ อกุศลกรรม

อกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่อยู่ในอกุศลจิต ๑๒ กรรมจะสำเร็ได้ ๓ ทวาร คือ 
  • กายทวาร 
  • วจีทวาร 
  • มโนทวาร 
เจตนาเจตสิกที่ประกอบใน อกุศลจิต ๑๒ เป็นเจตนาตั้งใจในการทำความชั่ว หนทางแห่งความชั่วได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คำว่า “ อกุศลกรรมบถ” หมายความว่าเป็นกรรมด้วย เป็นหนทางไปสู่อบายด้วย ฉะนั้น กรรมทั้งหลายมีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น เป็นหนทางไปสู่ทุคติ จึงเรียกว่าอกุศลกรรมบถ ในกรรมบถ ๒ ฝ่าย คือกุศลและอกุศล อกุศลเป็นของ หยาบเห็นได้ง่าย และเมื่อเข้าใจฝ่ายอกุศลได้ดีแล้วก็จะเข้าใจฝ่ายกุศลได้ดีตามไปด้วย จึงแสดงฝ่ายอกุศลกรรมบถก่อนกุศลกรรมบถ

อกุศลกรรมบถ ๑๐

กายทุจริต ๓ ได้แก่ 

๑. ปาณาติบาต คือ การ ฆ่าสัตว์
๒. อทินนาทาน คือ การลักทรัพย์
๓. กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกาม

วจีทุจริต ๔ ได้แก่
๔. มุสาวาท คือ การพูดเท็จ
๕. ปิสุณวาจา คือ การพูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา คือ การพูดคำหยาบ
๗. สัมผัปปลาปะ คือ การพูดเพ้อเจ้อ

มโนทุจริต ๓ ได้แก่
๘. อภิชฌา คือ การเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่น
๙. พยาบาท คือ การปองร้าย
๑๐. มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด



วันอาทิตย์

๓.๔ อโหสิกรรม

อโหสิกรรมนี้ไม่มีองค์ธรรมโดยเฉพาะ แต่จะหมายเอาเจตนาที่เกิดขึ้นกับจิตทุกดวงใน ชวน จิตทั้ง ๗ ดวง เมื่อล่วงเลยเวลาที่จะส่งผลไปแล้วและยังไม่ได้ส่งผลเลย ก็แสดงว่ากรรมนั้นไม่มีโอกาสส่งผลอีก ต่อไป จึงเรียกว่า อโหสิกรรม

ตัวอย่างเช่น นายทองแก้วระหว่างที่มีชีวิตอยู่ได้สร้างกรรม ๓ อย่าง คือ ให้ทานแก่ผู้มีศีล รักษา อุโบสถศีลทุกวันพระ และในตอนเป็นเด็กเคยฆ่าปลา ในชาตินี้กรรมที่เคยรักษาอุโบสถศีลได้มีโอกาสส่งผลทำหน้าที่ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมอีกสองอย่าง คือ การให้ทานและการฆ่าปลานั้นไม่มีโอกาสส่งผลในชาตินี้ กรรมทั้งสองอย่างนี้แหละที่ไม่มีโอกาสส่งผลเป็น🔎ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมในชาตินี้และหมดโอกาสส่งผลแล้ว จัดเป็นอโหสิกรรม ชีวิตของบุคคลที่เกิดมา หนีกรรมไม่พ้น ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ กรรมใหม่ก็ทำตลอดเวลาทั้งทางกาย วาจาและใจ โดยเฉพาะกรรมใหม่ที่ทำนั้นถ้าเป็นอกุศลจะแก้ไขอย่างไรที่จะให้อกุศลกรรมนั้นเป็นอโหสิกรรม หรือทำกุศลมากมายแต่กุศลนั้นไม่ให้ผล แล้วจะทำอย่างไรกุศลนั้นจึงจะส่งผลได้ เรื่องนี้ต้องพิจารณาว่ากรรมจะสำเร็จได้ด้วยเจตนาของผู้ทำ บางครั้งทำกุศลอย่างที่เห็นเขาทำก็ทำบ้าง ทำด้วยความไม่ ตั้งใจ กุศลอย่างนี้ไม่มีกำลัง อินทรีย์ไม่เข้มแข็ง ถ้าจะให้กุศลที่ทำมีกำลัง ผู้ทำจะต้องประกอบด้วยอินทรีย์ทั้ง ๕ ที่มีกำลัง


อินทรีย์ ๕ อย่าง คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เมื่อพิจารณาแล้วก็เหมือนไม่ยาก แต่ในทางปฏิบัติต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงทำได้สำเร็จ อินทรีย์คือ กำลัง การประกอบกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ ถ้าจะให้สำเร็จได้โดยไม่ย่อท้อ ทำได้อย่างต่อเนื่อง ทำอย่างไม่ขาดสาย บุคคลผู้นั้นต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยว ความมีกำลังในการเพียรสร้างกุศลความดี เพราะว่าถ้าขาดกำลังในการกระทำแล้วกุศลนั้นๆ อาจอ่อนกำลังลง อาจสำเร็จไม่สมดังที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก หรือไม่สามารถจะกระทำกุศลนั้นได้อีกต่อไป เพราะขาดกำลังคือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ไปเสียแล้ว

เมื่ออินทรีย์ ๕ คือ ความเป็นใหญ่ในแต่ละทางเกิดขึ้นได้ ก็จะเกิดเป็นกำลังในการขับเคลื่อนให้การทำกุศลนั้นเป็นไปได้อย่างเต็มกำลัง กำลังหรือพลังนี้ก็คือ พละ โดยเฉพาะพลังใจต้องทำให้เกิดขึ้น และ ที่สำคัญ คือจะต้องเพิ่มพูนอยู่เสมอ ในพละทั้ง ๕ คือ

  • ๑. สัทธาพละ คือ ความเชื่อ บุคคลควรจะต้องปลูกความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคง ความมั่นคงจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัญญาความรู้ เช่น มีความเชื่อในปัญญาตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อกรรม เชื่อโลกนี้ โลกหน้า เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อผลของกรรมดีกรรมชั่ว
  • ๒. วิริยพละ คือ ความเพียร ความบากบั่น เพราะว่าการทำความดีถ้าไม่มีความเพียร ก็ทำไม่สำเร็จ และความเพียรที่ทำความดีให้สำเร็จนั้นต้องเป็นชนิด “ทำความดีเพื่อความดี” ไม่ใช่ทำความดีเพื่อลาภสักการะ สรรเสริญ หรือความสุข ต้องมุ่งมั่นทำความดีเพื่อผลของความดี 
  • ๓ . สติพละ คือ ความระลึกได้อยู่เสมอ สติจะต้องระลึกในสติปัฏฐาน ถ้านอกจากสติปัฏฐานแล้ว ก็ ควรระลึกคือพิจารณาปัญหาต่างๆ อย่างรอบคอบ อย่างคนมีสติไม่ใช่มองอย่างคนมีโมหะ สติจะสกัดกั้นความยินดีความยินร้ายไม่ให้เข้าครอบงำใจได้ เช่น โดยปกติของปุถุชนเมื่อพบหรือได้รับอารมณ์ที่ดี ก็จะเกิดความรู้สึกพอใจ มีความรักในสิ่งนั้น แต่ถ้ามีสติกำกับอยู่ในขณะรับอารมณ์แล้ว ความชอบใจก็จะไม่มีในขณะนั้น ทำให้ลดละความเพลิดเพลินยินดีลงไปได้ ความเพลิดเพลินยินดีในอารมณ์ก็เป็นสาเหตุให้บุคคลหลงลืมสติ 
  • ๔. สมาธิพละ คือ ความตั้งใจที่มั่นคง ความมั่นคงในการทำกิจการทั้งปวง การทำความดีต้องมีสมาธิ คือมีความมั่นใจใน ตัวเองว่าจะทำความดีต่อไปโดยไม่หวั่นไหว 
  • ๕. ปัญญาพละ คือ ความรอบรู้ ความรู้เท่าทัน ความเข้าใจในสิ่งที่กระทำ ไม่ใช่ทำด้วยความไม่รู้ แต่ทำด้วยความรู้คือทำด้วยปัญญา 
เมื่อผู้ใดทำให้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่างดังที่กล่าวมานี้ ทำได้อย่างครบถ้วน อย่างแก่กล้า แล้ว ก็อาจทำให้ผู้นั้นได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วคุณสมบัติ ๕ อย่าง ในภพต่อ ๆ ไปได้ทุกชาติ จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนี้อกุศล🔎อปราปริยเวทนียกรรมนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะส่งผลได้ กลายเป็นอโหสิกรรมไป ส่วนอกุศลกรรมนั้น บางคนทำอกุศลตามๆ แบบเขาชวนทำก็ทำ ชวนไปกินสุรายาเมา ชวนไปเที่ยวรื่นเริง ก็ทำตามๆ เขาไป เพราะมีโมหะ ไม่มีปัญญา มีแต่ความหลง ทำโดยไม่ได้ตั้งใจทำ อกุศลกรรมเหล่านี้ก็มีกำลังอ่อน การจะแก้ไขเพื่อให้เป็นอโหสิกรรม ก็ต้องแก้ไขด้วยการสร้างกุศล เช่น ศึกษาธรรมะ เรียนให้รู้เรื่อง พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และไม่นึกถึงอกุศลกรรมเก่าๆ นั้น เพียรสร้างความดีละความชั่วคือบาปอกุศลทั้งมวล

🔎อกุศลอปราปริยเวทนียกรรม จะเป็นอโหสิกรรมได้นั้น เราต้องพร้อมด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่าง คือ 
  • ๑. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ที่ได้ทำบุญกุศลไว้ในกาลก่อน จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ และจะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้น ต่อไปอีกด้วย หมายความว่าชาตินี้ก็ต้องทำบุญ สั่งสมบุญ
  • ๒. ปฏิรูปเทสวาสะ การอยู่ในถิ่นฐานหรือประเทศที่สมควร อยู่ในถิ่นฐานที่มีพุทธศาสนา มีคนเป็น นักปราชญ์ มีศีลธรรม
  • ๓. สัปปุริสูปัสสยะ ต้องสมาคมกับสัตบุรุษ คบคนดี สัตบุรุษคือคนดี คนดีคือคนที่มีศีลธรรม อย่าไปคบค้า สมาคมกับคนอันธพาล คนเลว
  • ๔. สัทธัมมัสสวนะ ต้องหมั่นฟังธรรม ศึกษาธรรมอยู่เสมอ เพื่อจะได้เข้าใจหลักธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้า แล้วก็นำคำสอนนั้นมาใช้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต
  • ๕. อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ ตั้งตนของเราไว้ในทางที่ชอบ ไม่ตั้งตนไว้ในทางที่ผิด
คุณธรรมทั้ง ๕ ประการนี้ ควรปลูกฝังไว้ในชาตินี้ อกุศลกรรมที่เคยทำไว้ก็อาจจะไม่มีโอกาสที่จะส่งผล และคุณธรรมทั้ง ๕ นี้ ย่อมทำให้มีเสบียงบุญหนุนนำสัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ในอัตภาพ สมบูรณ์ในภพชาติ และเสบียงนี้จะเป็นประโยชน์นำส่งไปจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน


๓.๓ อปราปริยเวทนียกรรม

อปราปริยเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ส่งผลในภพอื่นๆ คำว่า ภพอื่นๆ คือภพที่นอกจากภพนี้ และภพหน้า ฉะนั้นภพอื่นๆ จึงหมายถึงตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไป การทำกุศลหรืออกุศลเมื่อสำเร็จแล้ว ถ้าไม่ส่งผลในภพที่ ๒ ที่เป็นอุปปัชชเวทนียกรรม ก็จะส่งผลเป็น อปราปริยเวทนียกรรม คือจะต้องได้รับผลในภพต่อๆ ไปอาจจะเป็นภพที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๑๐ ถึงจะได้รับก็ได้ไม่จำกัด จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน

ในนิบาตชาดกได้แสดงไว้หลายเรื่องที่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตายตัวหนึ่ง เมื่อตายจากโลกนี้ ไปแล้วก็ไปเกิดในนรก และเมื่อพ้นกรรมจากนรกไปเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ถูกฆ่าตายเรื่อยๆไป ด้วย อำนาจแห่งอปราปริยเวทนียกรรม คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ มีเรื่องโดยสรุปดังนี้

เรื่องที่ ๑
ภิกษุหลายรูปเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาที่เชตวัน เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านเลื่อมใสนิมนต์ให้ฉัน ก่อนฉันภิกษุผู้เป็นหัวหน้าได้แสดงธรรมให้ฟังก่อนเพื่อเพิ่มพูนศรัทธาของทายกผู้ถวาย ขณะที่ชาวบ้านนั่งฟังธรรมอยู่นั่นเอง ไฟจากเตาไฟลุกขึ้นติดชายคาทำให้เสวียนหญ้า(ขดหญ้าที่ทำไว้เพื่อรอง หม้อที่เพิ่งยกขึ้นจากเตา) อันหนึ่งถูกไฟไหม้และลมพัดปลิวขึ้นจากชายคาลอยอยู่ในอากาศ ขณะนั้น กาตัวหนึ่งบินมาสอดคอเข้าไปในเสวียนหญ้า เกลียวหญ้าพันคอไหม้ กาตกลงมาตายกลางบ้าน ภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นนั้นแล้วคิดว่า “กรรมนี้หนักหนอ เว้นพระศาสดาเสียใครเล่าจักรู้กรรมที่กาได้กระทำแล้ว เราจักทูลถามพระศาสดา” เมื่อลาชาวบ้านจึงมุ่งหน้าเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา

เรื่องที่ ๒
ภิกษุอีกพวกหนึ่งต้องการไปเฝ้าพระศาสดาที่เชตวันเหมือนกัน โดยสารเรือไป เรือหยุดนิ่งในมหาสมุทร คนในเรือปรึกษากันว่าคงจะมีคนกาลกิณี (คนชั่ว) อยู่ในเรือนี้จึงจับสลากกัน สลากไปตกอยู่ที่ภรรยา นายเรือซึ่งยังสาวสวยและอายุยังน้อย คนทั้งหลายต้องการเอาใจนายเรือจึงให้จับสลากใหม่ สลากไปตกแก่ภรรยาในเรือถึง ๓ ครั้ง พวกลูกเรือและคนโดยสารมองหน้านายเรือเหมือนจะถามว่า “จะทำอย่างไรกัน? ” นายเรือตรองแล้ว จึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจให้คนทั้งปวงพินาศลงเพราะคนๆ เดียว ข้าพเจ้าจะสละหญิงนี้ ขอท่านทั้งหลายจงทิ้งเธอลงในมหาสมุทรเสียเถิด” คนทั้งหลายจับหญิงนั้นเพื่อโยนลงน้ำ หญิงนั้นก็ร้องขอความช่วยเหลือ นายเรือจึงสั่งลูกเรือว่า “จงเปลื้องอาภรณ์ของเธอออกเสียก่อน ใส่ไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เอาผ้าเก่าๆ ให้เธอนุ่ง และที่สำคัญคือเราไม่อาจเห็น ความทรมานของเธอบนผิวน้ำได้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเอาหม้อบรรจุทรายผู้เชือกแล้วผูกติดกับคอของเธอ เพื่อให้จมลงไปเร็วๆ” ลูกเรือก็จัดการตามนั้น นางนั้นได้กลายเป็นเหยื่อของปลา แล้วเรือก็แล่นไปได้อย่างปกติ ภิกษุทั้งหลายเห็นเรื่องนี้แล้วคิดว่ายกเว้นพระศาสดาเสียใครเล่าจักรู้อดีตกรรมของหญิงนี้ เราจักทูลถามเรื่องนี้กับพระศาสดา

เรื่องที่ ๓
ภิกษุอีก ๗ รูปเดินทางจากชนบทมุ่งหน้าไปเฝ้าพระศาสดาที่เชตวัน ระหว่างเดินทางมาค่ำลง ณ ที่แห่งหนึ่ง เข้าไปขออาศัยวัดแห่งหนึ่งพักนอน ใกล้วัดมีถ้ำ ในถ้ำมีเตียง ๗ เตียง ภิกษุเจ้าของถิ่นจึงจัดให้ภิกษุพักในถ้ำนั้น ตอนกลางคืนหินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาปิดปากถ้ำ ภิกษุเหล่านั้นออกไม่ได้ พวกภิกษุเจ้าของ ถิ่นช่วยกันผลักก็ไม่ออก ประกาศให้ชาวบ้านถึง ๗ ตำบลรอบๆ นั้นมาช่วยกันผลักก็ไม่ออก ภิกษุ ๗ รูปนั้นติดอยู่ในถ้ำ ๗ วัน อดข้าวอดน้ำได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าเกือบจะสิ้นชีวิต พอถึงวันที่ ๗ หินก้อนนั้นก็เคลื่อนออกไปพ้นจากปากถ้ำ พวกภิกษุออกจากถ้ำได้ คิดว่า “บาปกรรมของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้ว ใครเล่าจักรู้ พวกเราจักทูลถามพระศาสดา” แล้วมุ่งหน้าไปเมืองสาวัตถี

ภิกษุเหล่านั้นทั้ง ๓ พวก มาพบกันในระหว่างทาง รู้ว่ามีความประสงค์เหมือนกัน จึงเข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลถามถึงข้อข้องใจของตนตามลำดับดังต่อไปนี้
  


๑. กรรมเก่าของกา พระศาสดาตรัสอดีตกรรมของกา มีเรื่องโดยสรุปดังนี้ ในอดีตกาลชาวนาผู้หนึ่งฝึกโคของตนในเมืองพาราณสี แต่ไม่อาจฝึกได้ เพราะโคนั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็หยุด เมื่อเขาตีให้ลุกขึ้น มันเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็หยุดอีก เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด เขาโกรธมาก กล่าวว่า “ต่อไปนี้มึงจงนอนให้สบายเถอะ ” เขาได้เผาโคตัวนั้นทั้งเป็นโดยการนำหญ้ามาพันเป็นพวงมาลัยจุดไฟแล้วคล้องคอโค เขาตายจากชาตินั้นไปเกิดในนรกนาน พ้นจากนรกมาเกิดเป็นกา ถูกไฟคลอกตายมา ๗ ครั้งแล้ว ด้วยเศษกรรมที่เหลือ

๒. กรรมเก่าของภรรยานายเรือ พระศาสดาตรัสอดีตกรรมของภรรยานายเรือ มีเรื่องโดยสรุปดังนี้ ในอดีตกาล ภรรยานายเรือเป็นบุตรีของคหบดีคนหนึ่งในเมืองพาราณสี นางทำงานทุกอย่างด้วยตนเอง เช่น ตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหาร เป็นต้น นางเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง มันรักนางมาก นั่งดูนางทำงานต่างๆ อยู่ตลอดเวลาไม่เคยห่าง เมื่อนางนำอาหารไปให้สามีที่นา หรือไปเก็บผัก สุนัขนั้นจะตามไปด้วยทุกหนแห่ง จนพวกหนุ่มๆล้อกันว่า “แน่ะ พรานสุนัขออกแล้ว วันนี้พวกเราต้องได้กินข้าวกับเนื้อเป็นแน่” เป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า นางก็เกิดความอายเพราะคำพูดนั้น จึงเอาก้อนดินบ้าง ก้อนหินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ไล่ตี เพื่อต้องการให้สุนัขนั้นจากไปให้ได้ มันไปได้หน่อยหนึ่งก็หวนกลับมาหานางอีก นับถอยหลังจากชาติปัจจุบันไป ๓ ชาติ สุนัขนั้นเคยเป็นสามีของนาง มันจึงมีความรักในตัวนางมาก วันหนึ่งนางเอาอาหารไปให้สามีแล้วก็เอาเชือกไปด้วย เมื่อให้อาหารแก่สามีแล้ว เอากระออมเปล่าไปยังท่าน้ำแห่งหนึ่ง เอาทรายใส่จนเต็มแล้วเอาปลายเชือกผูกเข้ากับปากหม้อ แล้วเรียกสุนัขเข้ามาใกล้ มันดีใจว่านานเหลือเกินแล้วที่ไม่เคยได้ยินเสียงอันแสดงความปรานีอย่างนี้จากนายของมันเลย จึงกระดิกหางเข้าไปหาอย่างดีใจล้นเหลือ นางเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกคอสุนัขแล้วผลักกระออมลงน้ำ สุนัขนั้นตายเพราะถูกถ่วงจมลงน้ำ ด้วยกรรมนี้นางตกนรกหมกไหม้ในนรกนาน ด้วยเศษกรรมที่เหลือจึงถูกถ่วงน้ำด้วยหม้อทรายมาถึง ร้อยชาติแล้ว

๓. กรรมเก่าของภิกษุ ๗ รูป ในอดีตกาลเด็กเลี้ยงโค ๗ คนในเมืองพาราณสี จะต้อนฝูงโคไปเลี้ยงในที่ต่างๆ ที่ละ ๗ วัน วันหนึ่งพวกเขาได้พบเหี้ยตัวหนึ่งจึงช่วยกันไล่เหี้ยวิ่งหนีเข้ารูในจอมปลวก ตอนนั้นเย็นมากแล้วต้องนำโคกลับ จึงปรึกษากันว่าพรุ่งนี้ค่อยมาจับ แล้วช่วยกันเอาใบไม้อุดรูทั้ง ๗ รู ของจอมปลวก วันรุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดที่จะต้องย้ายโคไปเลี้ยงที่อื่น พวกเด็กๆ ลืมเสียสนิทว่าได้ขังเหี้ยไว้ ตลอดเจ็ดวันพวกเด็กๆ ก็เลี้ยงโคในที่ใหม่ เมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงตอนฝูงโคย้อนไปที่เก่าอีก เพราะหญ้าที่เป็นอาหารโคในที่เก่านั้นก็งอกใหม่แล้ว เมื่อไปถึงจึงนึกได้ช่วยกันเอาใบไม้ออก เหี้ยอดอาหาร อดน้ำ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกคลานออกมา เด็กๆ รู้สึกสงสาร จึงไม่ได้ทำร้ายมัน ปล่อยมันไป เด็กพวกนั้นไม่ได้ไปตกในนรก เพราะมิได้ฆ่าเหี้ย แต่ได้ถูกขัง ครั้งละ ๗ วัน อดข้าวอดน้ำมา ๑๔ ชาติแล้ว เด็กเลี้ยงโค ๗ คนนั้น คือภิกษุ ๗ รูปที่มาติดอยู่ในถ้ำนั่นเอง ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามพระศาสดาว่า “สถานที่ๆพ้นจากกรรมไม่มีหรือ ” พระศาสดาตรัสเป็นพุทธภาษิตมีคำแปลว่า

"ไม่ว่าในกลางหาว หรือท่ามกลางมหาสมุทร 
หรือระหว่างภูเขา แผ่นดินที่มัจจุราชเอื้อมมือไปไม่ถึงนั้นมิได้มี"



วันเสาร์

๓.๒ อุปปัชชเวทนียกรรม

อุปปัชชเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ส่งผล คือ นำไปเกิดในภพที่ ๒ เป็นภพที่ต่อจากปัจจุบันที่สิ้นชีวิตลง กรรมที่ทำให้สำเร็จประโยชน์ในภพที่ ๒ มีทั้งฝ่ายอกุศลและกุศล 



ฝ่ายอกุศลนั้นก็คือผู้ประกอบ
อนันตริยกรรมทั้ง ๕ ประการ ซึ่งเป็นกรรมหนักย่อมจะส่งผลในภพที่ ๒ คือเมื่อสิ้นชีวิตจากภพนี้ไป ย่อมส่งผลนำเกิดในอบายภูมิทันที

ฝ่ายกุศลก็ได้แก่
มหากุศล ๘ ที่จะทำหน้าที่ส่งผล คือนำไปเกิดในมนุษย์และเทวดา รูปาวจรกุศล และ อรูปาวจรกุศล จะทำหน้าที่ส่งผล คือนำไปเกิดในรูปภูมิ อรูปภูมิ



วันอาทิตย์

๓.๑ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม

ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ได้นั้นต้องเป็นกรรมที่มีกำลังแรง ในการกระทำกรรมครั้งหนึ่งๆ วิถีจิตคือลำดับจิตที่เกิดขึ้นดับไปสืบต่อกัน ย่อมเกิดขึ้นมากมายหลายวิถี และในวิถีจิตหนึ่งๆ ก็มีชวนะจิตคือจิตที่เสพอารมณ์แล่นไปในอารมณ์ที่ปรารภจะทำกรรม

ชวนะมี ๗ ขณะ เจตนาในชวนะทั้ง ๗ นั้นเองส่งผล กล่าวคือ
ชวนะดวงที่ ๑ ส่งผลในชาตินี้ ชื่อว่า ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมที่ส่งผลในชาตินี้ แบ่งออกได้ ๒ คือ 
๑. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ ภายใน ๗ วัน
ตัวอย่างฝ่ายกุศล เช่น นายมหาทุคตะได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง เป็นกุศลที่มีกำลังมากจึงส่งผลทำให้เป็นเศรษฐี ภายใน ๗ วัน หรือ นายปุณณะกับภรรยา ซึ่งเป็นคนยากจนได้ถวายภัตตาหารแก่พระสารีบุตรที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ก็ทำให้เป็นเศรษฐีภายใน ๗ วัน 

ตัวอย่างฝ่ายอกุศล เช่น พระเทวทัตกระทำโลหิตุปบาทและทำสังฆเภท, นายนันทมานพ ที่ทำลายพระอุบลวรรณาเถรีผู้เป็นพระอรหันต์ อกุศลกรรมหนักเช่นนี้ก็ส่งผลทำให้ถูกธรณีสูบลงไปสู่อเวจีมหานรก
๒. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้แต่หลัง ๗ วันไปแล้ว มี ๓ ประการ คือ 
๒.๑ กุศล อกุศล ที่ทำในวัยเด็ก ส่งผลในวัยเด็ก วัยกลางคน หรือ วัยชรา
๒.๒ กุศล อกุศล ที่ทำในวัยกลางคน ส่ง ผลในวัยกลางคน หรือ วัยชรา
๒.๓ กุศล อกุศล ที่ทำในวัยชรา ส่งผลในวัยชรา 

เหตุที่จะทำให้ผลของทานกุศลปรากฏได้ในชาตินี้ มี ๔ คือ 
๑. วัตถุสัมปทา คือ ผู้รับต้องเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ 
๒. ปัจจยสัมปทา คือ ปัจจัยที่ทำกุศลได้มาด้วยความบริสุทธิ์ 
๓. เจตนาสัมปทา คือ มีเจตนาตั้งใจในการทำกุศลอย่างแรงกล้า 
๔. คุณาติเรกสัมปทา คือ พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้รับทานนั้นได้พร้อมด้วยคุณพิเศษ กล่าวคือ พึ่งออกจากนิโรธสมาบัติเมื่อครบด้วยองค์ทั้ง ๔ แล้ว ทานของผู้นั้นก็สำเร็จเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรมและให้ได้รับผลในชาติปัจจุบันทันที 

ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมจะส่งผลในชาตินี้ จะต้องมีลักษณะ ๔ อย่างๆ ใดอย่างหนึ่ง คือ 
๑. ไม่ถูกเบียดเบียนจากกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ ถ้าเป็นกุศลก็ต้องไม่ถูกเบียดเบียนจากอกุศล 
๒. ได้รับการเกื้อหนุนเป็นพิเศษทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ต้องได้รับการ เกื้อหนุนเป็นพิเศษ คือ

ก. ฝ่ายกุศลทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คติสัมปัตติ ๔ คือ เกิดในสุคติภูมิ มนุษย์, เทวดา
ก. ฝ่ายอกุศลทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คติวิปัตติ ๔ คือ เกิดในทุคติภูมิ

ข. กาลสัมปัตติ คือ เกิดในสมัยที่มีพระพุทธศาสนา พระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นสัมมาทิฏฐิ 
ข. กาลวิปัตติ คือ เกิดในสมัยที่ไม่มีพระพุทธศาสนา พระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ค. อุปธิสัมปัตติ คือ เกิดมาร่างกาย อวัยวะครบสมบรูณ์ 
ค. อุปธิวิปัตติ คือ เกิดมาร่างกาย อวัยวะไม่ครบหรือบกพร่อง 

ง. ปโยคสัมปัตติ คือ เพียรประกอบแต่สุจริตกรรม 
ง. ปโยควิปัตติ คือเพียรประกอบในทางทุจริตกรรม
 
๓. มีเจตนาตั้งใจอย่างแรงกล้า การกระทำกรรมใดๆก่อนที่จะกระทำสำเร็จล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา ต้องมีการพิจารณา ไตร่ตรองก่อน ถ้ามีเจตนาที่มีกำลังแรงกล้าอย่างมาก กุศลหรืออกุศลที่สำเร็จด้วยเจตนาที่แรงกล้านี้ ก็จะส่งผลเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ ให้ผลในปัจจุบันได้

๔. กระทำต่อผู้มีคุณพิเศษ การกระทำกรรมใดๆ เมื่อกระทำต่อบุคคลที่ประกอบด้วยคุณพิเศษ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือพระอนาคามี เป็นต้น ฉะนั้นการบริจาคทานจึงต้อง ทำความเข้าใจว่าเราควรมีเจตนาตั้งใจในการทำทาน แต่ปฏิคาหก คือ ผู้รับทานนั้นอย่าได้ปรารภเลย ขอให้น้อมระลึกบูชาพระรัตนตรัย บูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระอริยสงฆ์ น้อมระลึกอย่างนี้แล้วจึงให้ทาน ผลแห่งทานนั้นย่อมมีผลอย่างมากหรืออย่างสูงได้

ชวนะดวงที่ ๗ ส่งผลในชาติที่ ๒ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม 
ชวนะดวง ที่ ๒-๖ ส่งผลกรรมในชาติที่ ๓ จนกว่าจะถึงพระนิพพาน ชื่อว่า อปราปริยเวทนียกรรม 



วันพฤหัสบดี

๒.๔ กฏัตตากรรม

กฏัตตากรรม หมายถึง กรรมที่ทำไว้พอประมาณ พอประมาณในที่นี้หมายถึงไม่เท่าถึงกรรมทั้ง ๓ ข้อ ที่กล่าวมาแล้ว หรือหมายถึงกรรมในอดีตภพ ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ทำกุศลหรืออกุศลโดยไม่มีความตั้งใจ คล้ายกับว่าไม่เต็มใจทำ ทำบุญกฐินผ้าป่าก็ ทำอย่างจำใจ บุญอย่างนี้เมื่อพิจารณาแล้วก็ไม่เข้าข่ายครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม จึงกลายเป็นบุญ ชนิดกฏัตตากรรมไป

สรุป กรรมทั้ง ๔ อย่าง คือ ครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม และกฏัตตากรรม จะส่งผลเรียงไปตามลำดับดังนี้ 
ลำดับที่ ๑ คือ ครุกกรรมจะส่งผลนำไปเกิด 
ลำดับที่ ๒ คือ ถ้าไม่มีครุกกรรม อาสันนกรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในชาติต่อไป 
ลำดับที่ ๓ คือ ถ้าไม่มีครุกกรรมและอาสันนกรรม อาจิณณกรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในชาติต่อไป
ลำดับที่ ๔ คือ ถ้าไม่มีกรรมทั้ง ๓ อย่างข้างต้น กฏัตตากรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในชาติต่อไปได้เป็นลำดับสุดท้าย



๒.๓ อาจิณณกรรม

อาจิณณกรรม หมายถึง กรรมที่เคยทำไว้เสมอๆ เป็นกรรมที่บุคคลสั่งสมไว้บ่อยๆ ได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และมหากุศลกรรม ๘ อาจิณณกรรม ในบางแห่งเรียกว่า พาหุลกรรม แปลว่า กรรมที่ทำไว้มาก



กรรมที่เคยทำไว้เสมอๆ บ่อย ๆ คำว่าทำบ่อยๆ ไม่ใช่หมายถึงเพียงจะต้องทำทางกายตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นกรรมที่ทำครั้งเดียว แต่นึกถึงบ่อยๆ ก็เป็นอาจิณณกรรมแล้ว เช่นเคยสร้างโบสถ์ ตลอดชีวิตอาจทำได้ครั้งเดียว แต่ว่านึกถึงบ่อยๆ ก็จัดเป็น อาจิณณกรรมฝ่ายกุศล เพราะนึกถึงครั้งใดจิตใจก็เป็นบุญ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นอกุศลถึงแม้ทำครั้งเดียวแต่ ถ้ามีการนึกถึงบ่อยๆ ก็เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศลตัวอย่างเช่น ในสมัยพุทธกาลมีคนฆ่าหมูชื่อนายจุนทะ ฆ่าหมูทุกวัน เมื่อนายจุนทะใกล้ตาย เขาร้องเป็นเสียงหมูเมื่อตอนถูกเชือด กรรมที่เขาทำอยู่เสมอๆ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่กรรมนั้นไม่มีโอกาสส่งผล แต่เมื่อ ใกล้ตายก็มาส่งผล ฉะนั้นกรรมใดที่บุคคลได้ทำไว้บ่อยๆ ตลอดช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นแหละเป็นอาจิณณกรรม ในขณะใกล้ตายถ้าไม่มีกรรมอื่นๆมาให้ผล กรรมที่เป็นอาจิณณกรรมก็จะให้ผลนำไปเกิด



๒.๒ อาสันนกรรม

อาสันนกรรม หมายถึง กรรมที่ทำไว้เมื่อใกล้จะตาย เป็นการระลึกถึงสิ่งที่ดีหรือไม่ดีในเวลาใกล้ตาย หรือการกระทำที่ดีหรือไม่ดีในเวลาใกล้จะตาย องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และมหากุศลกรรม ๘

ในการให้วิบากปฏิสนธิ ถ้าหากว่าครุกกรรมไม่มี อาสันนกรรมนั้นแหละจะให้ผลก่อน เพราะอยู่ใกล้ปาก ทาง คือ ความตาย อุปมาดังนี้ ในตอนเย็นก็ต้องต้อนฝูงโคกลับเข้าคอก โคที่แข็งแรงทั้งหมดก็เดินเข้าคอกไปได้ก่อนโคแก่ที่อ่อนกำลัง โคแก่เดินเข้าคอกได้เป็นลำดับสุดท้าย ก็ปิดประตูคอกได้ เมื่อถึงเวลาเช้าเปิดประตูคอกแล้ว ถึงแม้โคที่มีกำลังมีอยู่มากหลายตัวแต่ทั้งหมดก็ออกจากคอกไม่ได้ มีแต่โคแก่เท่านั้นที่จะได้โอกาสออกจากคอกก่อนเพราะว่าอยู่ตรงใกล้ปากประตูคอก ฉันใด ก็ฉันนั้น กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมทั้งหลาย เมื่อครุกกรรมไม่มี อาสันนกรรมนั่นแหละย่อมให้ผลก่อน เพราะเหตุว่าอยู่ใกล้ปากทางแห่งความตายนั่นเอง 



ตัวอย่างเช่น พระนางมัลลิกาทำกุศลไว้มาก แต่ในเวลาใกล้ตายนางนึกถึงอกุศลที่เคยทำไว้แล้วอกุศลที่นึกถึงในขณะใกล้ตายนั้นเอง เป็นอาสันนกรรมนำให้นางไปเกิดในนรก กุศลที่ทำไว้ไม่มีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในกามสุคติภูมิ หรือบางคนกำลังมีความสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ ดูหนังดูละคร รับประทานอาหารอย่างเฮฮากับเพื่อนฝูง หรือบางคนกำลังทำมิจฉาอาชีพมีการลักทรัพย์เป็นต้น เหล่านี้จัดเป็นอกุศลทั้งสิ้น ถ้าในขณะนั้นมีเหตุที่ต้องเสียชีวิตลง อกุศลเหล่านั้นก็เป็นอกุศลอาสันนกรรม สามารถนำไปเกิดในอบายภูมิ หรือ บุคคลเมื่อตอนใกล้ตายมีอดีตกรรมที่เคยทำไว้มาเป็นเครื่องให้ระลึกถึงว่าเคยฆ่าสัตว์ ฯลฯ หรือ บางบุคคลเมื่อตอนใกล้ตายมีลูกหลานทะเลาะกันอาจจะแย่งสมบัติกัน หรือตัวเองห่วงทรัพย์สมบัติ อกุศลกรรมที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย นั้นคือกรรมที่เป็นอาสันนกรรม ย่อมนำไปสู่ทุคติได้ อาสันนกรรมจึงเป็นกรรมที่สำคัญ จะให้ผลก่อนกรรมอื่นๆเว้นไว้แต่กรรมที่เป็นครุกกรรม



๒.๑ ครุกกรรม

ครุกกรรม หมายถึง กรรมที่หนักแน่นจนกรรมอื่นๆ ไม่สามารถห้ามการให้ผลได้ องค์ธรรมได้แก่ 

มหัคคตกุศลกรรม ๙ ทิฏฐิคตสัมปยุตจิต ๔ (เฉพาะที่เกี่ยวกับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ๓) และโทสมูลจิต ๒ (เฉพาะที่เกี่ยวกับปัญจานันตริยกรรม ๕) รวมทั้งสิ้นเป็น ๑๕ ครุกกรรมเป็นกรรมหนัก เมื่อจัดลำดับการส่งผลของกรรมแล้ว ครุกกรรมจึงเป็นกรรมลำดับแรกที่จะส่งผลนำไปเกิดในภพที่สองก่อนกรรมอื่นๆ คือ ส่งผลก่อนอาสันนกรรม อาจิณณกรรม และกฏัตตากรรม 

ครุกกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ครุกกรรมฝ่ายบาป และครุกกรรมฝ่ายบุญ

๑. ครุกกรรมฝ่ายบาป เป็นกรรมหนักฝ่ายบาป เมื่อตายลงผลของบาปจะส่งผลนำไปเกิดในอบายภูมิ ๔ ในชาติต่อไปทันที ครุกกรรมฝ่ายบาป มี ๒ อย่าง คือ 
๑.๑ นิยตมิจฉาทิฏฐิ มี ๓ คือ
ก. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีผลแห่งกรรมที่ทำไว้ เป็นการปฏิเสธผล ผู้ที่มีความเห็น ชนิดนัตถิกทิฏฐิย่อมมีอุจเฉททิฏฐิด้วย คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญไม่มีการเกิดอีก มีความเห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า สมมติสัจจะ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคติธรรมดา หรือคลองธรรมตามเหตุและผล ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสมมติสัจจะ เช่น ไม่มีมารดาบิดา สัตว์บุคคลเกิดสืบเชื้อสายกัน มาตามเรื่องตามราวเท่านั้น จึงไม่มีใครที่จะต้องนับถือว่าเป็นบิดามารดา แม้ที่นับถือว่าเป็นสมณะ พราหมณ์ ภิกษุ สามเณร ก็ไม่มีเป็นต้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคติธรรมดา หรือที่เป็นไปตามคลองธรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว อย่างนี้ก็ไม่มี
ข. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีเหตุ เป็นการปฏิเสธเหตุ คือ เมื่อได้รับผลดีผลร้ายต่างๆ ก็เห็นว่าเป็นไปตามคราว คราวที่มีโชคดีก็ได้รับผลดี คราวที่มีโชคร้ายก็ได้รับผลไม่ดี ไม่มีเหตุอะไรที่จะมาทำให้ได้ผลดีผลร้าย ปฏิเสธเหตุในการทำดี ทำชั่ว ของบุคคลทั้งหลายที่กระทำกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่เชื่อว่าเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดผลได้ ฉะนั้นการปฏิเสธเหตุนี้ก็เท่ากับว่าปฏิเสธผลไปด้วย
ค. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าการทำบุญทำบาปก็เท่ากับไม่ได้ทำ เป็นการปฏิเสธทั้งเหตุ และผลแห่งกรรม คือ มีความเห็นว่าบุคคลทั้งหลายที่ทำดีก็ตามทำชั่วก็ตามไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญ แสดงโทษของมิจฉาทิฏฐิ นิยตมิจฉาทิฏฐิเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรง ซึ่งเมื่อมีความยึดถืออยู่ในมิจฉาทิฏฐินี้มากจนดิ่งลงไปแล้ว หรือแนบแน่นแล้ว เพราะมีอุปาทานความยึดถืออยู่อย่างแรงกล้า ผลก็จะส่งให้นำไปเกิดในนรก เมื่อพ้นจากนรกถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะเป็นผู้มีความเห็นผิดเช่นนั้นๆ ต่อๆไปอีก นับภพ ชาติไม่ถ้วน พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถทรงโปรดให้บุคคลที่มีความเห็นผิดนั้นกลับมาเห็นถูกได้ 

๑.๒ อนันตริยกรรม มี ๕ คือ
๑. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
๒. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
๕. สังฆเภท ทำให้สงฆ์เกิดความแตกแยกไม่ทำสังฆกรรมร่วมกัน 

ในบรรดาอนันตริยกรรม ๕ นี้ เป็นอกุศลกรรมอย่างหนักทั้งสิ้น แต่สามารถจัดลำดับการส่งผลจากมากไปหาน้อย คือ สังฆเภทกกรรมหนักที่สุด รองลงมาคือ โลหิตุปบาท รองลงมาคือ อรหันตฆาต ส่วนมาตุฆาตและ ปิตุฆาตทั้งสองนี้ต้องแล้วแต่คุณสมบัติ ท่านใดมีศีลธรรมมากกว่า กรรมนั้นย่อมหนักกว่า ถ้ามารดามีศีลธรรม บิดาไม่มีศีลธรรม มาตุฆาตย่อมหนักกว่า ถ้าทั้งบิดามารดามีศีลธรรมด้วยกันหรือไม่มีศีลธรรมเหมือนกันแล้ว มาตุฆาตกรรมย่อมหนักกว่า ถ้าลูกที่มีพ่อแม่ป่วยไข้มีความทุกข์ทรมาน ก็อย่าไปสั่งหมอให้ฉีดยาให้ตายไปจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน หรือสั่งให้หมอเอาสายออกซิเจนออก เพราะการทำอย่างนี้เป็นอนันตริยกรรม บางครั้งลูกคิดไม่ถึง ไม่เข้าใจในเหตุและผลแห่งความทุกข์ของบิดามารดาว่าท่านต้องได้รับเช่นนั้นเป็นเพราะผลกรรมของท่านเอง เมื่อคิดไม่เป็นหรือเพราะมุ่งแต่สงสารจึงอาจพลาดพลั้งทำอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว เรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะต้องระมัดระวัง การทำกรรมใดๆก็ตาม จะต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “นิสมฺม กรณ เสยฺโย” ใคร่ครวญเสียก่อนจึงทำ

อนันตริยกรรม ๕ นี้ จัดเป็นกรรมหนัก แต่ก็ยังหนักไม่เท่ากับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมเป็นกรรมที่ให้ผลไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนอนันตริยกรรมเมื่อส่งผลให้ไปเสวยกรรมครบ ตามกำหนดก็พ้นจากกรรมนั้นๆ ได้ แต่นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมจะจมปลักอยู่ในกรรมเช่นนี้ตลอดกาล 
 
๒. ครุกกรรมฝ่ายบุญ กรรมหนักฝ่ายกุศล คือ มหัคคตกุศลกรรม ๙ ได้แก่ รูปาวจรกุศล ๕ อรูปาวจรกุศล ๔ ผู้ที่บำเพ็ญฌานบรรลุถึงปฐมฌาน ถึงฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔ และฌานที่ ๕ การได้ฌานที่เป็นรูปฌาน ทั้ง ๕ นี้จัดว่า เป็นครุกกรรมฝ่ายกุศล และเมื่อได้ถึงปัญจมฌานแล้วไปเจริญอรูปฌานต่ออีก ๔ นั้นก็เป็น ครุกกรรมฝ่ายกุศล ครุกกรรมฝ่ายกุศลกรรมทั้ง ๙ ประการนี้ เมื่อเจริญสำเร็จแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าตายจากโลกมนุษย์จะต้องได้รับผลกรรมนั้นในชาติที่สองทันที คือนำไปเกิดในรูปภูมิ อรูปภูมิ 

ส่วนโลกุตตรกุศลกรรม คือ มรรคจิต ๔ จัดว่าเป็น กรรมหนักคือครุกกรรมฝ่ายบุญเหมือนกัน แต่ไม่เป็นกรรมที่จะนำไปเกิดได้ มีแต่จะทำลายการเกิด จึงไม่ถือว่าเป็นกรรมที่จะส่งผลให้เกิดในชาติหน้า จึงไม่จัดเข้าเป็นกรรมในหมวดนี้ 



วันอาทิตย์

๑.๔ อุปฆาตกกรรม

อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมที่ทำหน้าที่เข้าไปตัดรอนกรรมอื่นๆและการสืบต่อของขันธ์ ๕ ที่เกิดจากกรรมอื่นๆ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และกุศลกรรม ๒๑ 

กรรมที่ชื่อว่า อุปฆาตกกรรม เพราะมีความหมายว่า เข้าไปตัดรอนกุศลหรืออกุศลก็ตาม ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็จะตัดรอนกรรมอื่นๆ ให้มีกำลังน้อยลง หรือขัดขวางวิบากของกรรมที่มีกำลังน้อย ให้สิ้นลงอย่างเด็ดขาด แตกต่างไปจากอุปปีฬกกรรม ตรงที่อุปปีฬกกรรมเพียงไปเบียดเบียนให้อ่อนกำลังลงแต่ยังไม่หมดไป แต่อุปฆาตกกรรมนี้ทำให้ตัดขาดไปเลย 

อุปฆาตกกรรม มี ๓ คือ 
๑. ตัดชนกกรรมอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป 
๒. ตัดรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมนั้นๆให้เสียไป
๓. ตัดรูปนามที่เป็นวิบากกรรมของกรรมอื่นๆ

๑. ตัดชนกกรรมอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป มี ๓ คือ 
๑.๑ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดอกุศลชนกกรรมไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป ตัวอย่างเช่น ท่านองคุลิมาลได้ศึกษาในสำนักทิศาปาโมกข์ แล้วอาจารย์สอนให้ไปฆ่าคน เพื่อจะให้สำเร็จวิชาที่ตนศึกษา แต่พระพุทธองค์ได้ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณแล้วว่า องคุลิมาลเป็นผู้ที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ จึงเสด็จไปโปรดเมื่อพบพระพุทธองค์แล้วองคุลิมาลก็ออกบวชทำความ เพียรจนสำเร็จมรรคผล กรรมที่ฆ่าคนเป็นจำนวนมากนั้นก็กลายเป็นอโหสิกรรมไป เพราะอรหัตมรรคอรหัตผลไปตัดอกุศลกรรมต่างๆ ไม่ให้มีโอกาสส่งผลต่อไป 

 ๑.๒ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดกุศลชนกกรรมไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป ตัวอย่างเช่น ผู้ที่สร้างกุศลบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ซึ่งเป็นกามาวจรกุศล ต่อมาบำเพ็ญ กุศลสูงขึ้นถึงขั้นภาวนากุศล คือ เจริญสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา เมื่อเจริญสมถะได้ถึงรูปปัญจม ฌาน เมื่อตายลงจะต้องไปเกิดในจตุตถฌานภูมิ ส่วนฌานขั้นต้นๆ คือปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน ก็ไม่ส่งผล เพราะรูปกุศลปัญจมฌานเป็นกุศลอุปฆาตกกรรมตัดรูปกุศลขั้นต้นๆ นั้น ไม่ให้มีโอกาสส่งผล หรือผู้ทำฌานจนกระทั่งถึงอรูปฌาน เมื่อตายจะต้องไปเกิดในอรูปพรหม จึงเป็นผลให้รูปาวจรกุศลทั้งหมดไม่ส่งผล เพราะกุศลในอรูปฌานเป็นกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปาวจรกุศลทั้งหมด และกุศล อรูปฌานขั้นที่ ๔ ก็เป็นอุปฆาตกกรรมตัดการส่งผลของอรูปฌานขั้นต้นๆ ทั้งหมดเช่นกัน หรือเจริญวิปัสสนาจนถึงโลกุตตรกุศลในขั้นอรหัตมรรค อรหัตผล ก็ไปตัดรูปาวจรกุศล และ อรูปาวจรกุศลไม่ให้ส่งผลนำไปเกิดในรูปภูมิ อรูปภูมิ เพราะอรหัตมรรค อรหัตผลไม่ส่งผลนำไปเกิดในภูมิใดๆ

 ๑.๓ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดกุศลชนกกรรมไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป ตัวอย่างเช่น พระเทวทัตบำเพ็ญฌานจนสำเร็จรูปฌาน มีฤทธิ์มาก อยู่ต่อมาพระเทวทัตคิดทำร้าย พระพุทธเจ้า โดยการกลิ้งก้อนหินลงมาจากภูเขาให้ทับพระพุทธเจ้าแต่มีเพียงสะเก็ดหินไปถูกที่พระบาทของพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท คือ ทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน ใน ๒ กรณีนี้ เป็นอนันตริยกรรม ฌานที่เคยได้ก็เสื่อมลงเพราะอกุศลมีอำนาจแรงกว่าก็ไปตัดรอนกุศลให้เสื่อมลง จนพระเทวทัตต้องตกอเวจีมหานรกในที่สุด ด้วยอำนาจของอกุศล เรียกว่า อกุศลอุปฆาตกกรรมไปตัดรอนกุศลชนกกรรมอื่นๆ ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป

 ๒. อุปฆาตกกรรมตัดนามรูป ที่เกิดจากชนกกรรมนั้นๆให้เสียไป มี ๔ คือ
๒.๑ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นอกุศลวิบาก
ให้เสียไป ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ตายจากมนุษย์นี้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก รับทุกข์ทรมานอยู่ในนรก อยู่ต่อมาเห็นเปลวไฟนรกลุกเป็นสีเหลือง ก็ระลึกได้ว่าเคยสร้างกุศลไว้ เคยบวชพระ ถวายจีวร เคยปิดทองพระพุทธรูป อำนาจของกุศลที่ระลึกได้ ก็มาเป็นอุปฆาตกกรรมมาตัดรอนอกุศล คือรูปนามในนรกนี้ให้สิ้นสุดลง ตายจากนรกไปเกิดในมนุษย์หรือเทวดาก็ด้วยอำนาจของกุศล

๒.๒ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นกุศลวิบาก
ให้เสียไป ตัวอย่างเช่น รูปนามที่บุคคลได้มาในปัจจุบันจัดเป็นกุศลวิบาก อยู่ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในขณะที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ อรหัตมรรค อรหัตผล นี้ จัดเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบวชภายในวันนั้น ถ้าไม่บวชก็ต้องตาย ที่ตายก็เพราะอำนากุศลนั้นเป็นอุปฆาตกกรรม ไปตัดกุศลนามรูปให้สิ้นสุดลง เพราะว่าอรหัตมรรค อรหัตผลนี้ เพศฆราวาสไม่สามารถจะ รองรับได้ เพศฆราวาสจะรองรับกุศลได้เพียง แค่ศีล ๕ ศีล ๘ เท่านั้น อรรถกถาจารย์ ยกตัวอย่างน้ำมันของราชสีห์ ภาชนะที่จะรองรับน้ำมันของราชสีห์ได้นั้น ต้องเป็นทองคำ ถ้าใช้ภาชนะอื่นไปรองรับน้ำมันจะระเหยแห้งไปหมด ฉันใดก็ดี คุณธรรมคืออรหัตมรรค อรหัตผลนี้ เพศฆราวาสไม่สามารถจะรองรับได้ ถ้าหากว่าสำเร็จแล้วไม่บวชก็จะต้องสิ้นอายุขัย

๒.๓ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นกุศลวิบาก
ให้เสียไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นี้เกิดมามีนามรูปที่เกิดมาจากกุศลวิบาก บางคนเกิดมามีอวัยวะทุกอย่าง สมบูรณ์ ต่อมาอกุศลกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตมาตัดรอน ทำให้ถูกรถชน ทำให้พิการ ก็เพราะอำนาจ ของอกุศลอุปฆาตกกรรมมาตัดรอน ทำให้รูปนามที่เป็นกุศลวิบากนี้เสียไป

๒.๔ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นอกุศลวิบาก
ให้เสียไป ตัวอย่างเช่น สัตว์เดรัจฉาน ร่างกายของสัตว์เดรัจฉานจัดเป็นอกุศลวิบาก ถึงแม้จะมีสีสวย ขนปุกปุย สวยงาม ก็เป็นรูปนามที่เป็นอกุศลวิบาก ต่อมาถูกยิง ถูกทำร้าย ถูกฆ่า ก็เพราะอกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปนามที่เป็นอกุศลวิบากให้เสียไป

๓. ตัดรูปนาม ที่เป็นวิบากกรรมของกรรมอื่นๆ มี ๓ คือ
๓.๑ ตัดวิบากของกรรมอื่นๆแล้วตัวเองก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิดและก็ไม่ให้มีโอกาสแก่ชนกกรรมอื่นๆ ได้ส่งผล ตัวอย่างเช่น พระจักขุปาลเถระ เมื่ออดีตชาติเคยเป็นหมอรักษาตา และเคยมีเจตนาทำลายดวงตาของผู้ป่วย เพราะความโกรธที่ผู้ป่วยไม่จ่ายค่ารักษา จึงใส่ยาทำให้เขาตาบอด อำนาจของอกุศลกรรมที่พระจักขุปาลเถระได้กระทำในครั้งนั้น จึงทำให้ตาทั้งสองของท่านเสียไปจนตลอดชีวิต ก็เป็นเพราะอกุศลอุปฆาตกกรรม มาตัดวิบากของกุศลชนกกรรม คือ ทำให้ตาบอด แต่อกุศลอุปฆาตกกรรมนี้ไม่ได้ส่งผลให้เกิดอีกต่อไป เพราะพระจักขุปาลเถระได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไม่มีการเกิดอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นอกุศลอุปฆาตกกรรมนี้จึงเป็นแต่เพียงตัดวิบากของกรรมอื่นๆเท่านั้นเอง หรือ พระโมคคัลลานเถระที่ถูกโจร ๕๐๐ ทุบตี ก็ด้วยอำนาจอกุศลกรรมที่เคยตีบิดา มารดาโดยมุ่งหมายที่จะให้ตายเช่นเดียวกัน อกุศลนี้ก็เป็นอุปฆาตกกรรมมาตัดวิบากของกรรมอื่นๆเท่านั้น ตัวเองก็ไม่มีโอกาสส่งผลอีกต่อไป เพราะว่าพระโมคคัลลานะท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว

๓.๒ 
ตัดวิบากกรรมของกรรมอื่นๆแล้วและตัวเองส่งผลให้เกิด  ตัวอย่างเช่น นันทยักษ์เอากระบองตีศีรษะพระสารีบุตรในขณะที่กำลังเข้านิโรธสมาบัติ ก็ได้รับผลของการกระทำในปัจจุบันคือถูกธรณีสูบทั้งเป็น เมื่อตายไปแล้วไปเกิดในอเวจีมหานรก เพราะอำนาจของอกุศลอุปฆาตกกรรมส่งผลตัดวิบากกรรมของกรรมอื่นๆ คือทำให้ธรณีสูบและตัวเองก็ส่งผลนำให้ไปเกิดในอเวจีมหานรก

๓.๓ 
ตัดวิบากของกรรมอื่นๆแล้วและให้โอกาสแก่ชนกกรรมอื่นๆได้ส่งผล ตัวอย่างเช่น พระเจ้าพิมพิสารในอดีตชาติเคยสวมรองเท้าเข้าไปในบริเวณพุทธเจดีย์ ด้วยอำนาจแห่งอกุศลนั้น เมื่อเกิดมาในชาตินี้จึงถูกพระเจ้าอชาตศัตรูจับขังคุก ถูกกรีดฝ่าเท้า ทำให้ถึงแก่ความตาย แต่เมื่อตายแล้วกุศลชนกกรรมอื่นๆ ได้มีโอกาสส่งผลให้ไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา นี้คืออกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดวิบากของกรรมอื่นๆแล้วให้โอกาสแก่กุศลชนกกรรมอื่นๆได้ส่งผล 
 
พระเจ้าพิมพิสารถึงจะมีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้ามากก็ไม่อาจหนีพ้นกรรมเก่า

ความต่างกันของชนกกรรมและอุปฆาตกกรรม 
ชนกกรรมและอุปฆาตกกรรม ถึงแม้ว่าต่างก็เป็นกรรมที่สามารถทำวิบากให้เกิดขึ้นได้เหมือนกันแต่ก็มีความต่างกัน โดยสรุป คือ 
ชนกกรรม เป็นกรรมสักแต่ว่าทำวิบากและกัมมชรูปให้เกิดขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีส่วนแห่งการเข้าไปตัดรอนความสามารถของกรรมอื่น
อุปฆาตกกรรม มีการเข้าไปตัดรอนวิบากของกรรมอื่น แล้วทำให้วิบากของตนเองเกิดขึ้นแทนได้ หรือตัดกรรมอื่นๆแล้ว ตัวเองไม่ส่งผลก็ได้ เช่น อรหัตมรรค ตัดรอนวิบากกรรมในนรก ในสุคติ ทั้งหมด เมื่อตัด แล้วก็ไม่ส่งผลนำเกิดในที่ใดได้อีก

สรุป อุปฆาตกกรรม เป็นหน้าที่ของกรรมบุคคลทั้งหลายรู้ไม่ได้ว่าเคยทำกรรมอะไรไว้ที่จะมีกำลังส่งผลมาเป็นอุปฆาตกกรรม จะรู้ถึงเหตุแห่งกรรมว่าดีหรือชั่วก็ต่อเมื่อกรรมนั้นมาสนองแล้ว ฉะนั้นเมื่อกำลังได้รับผลของกรรมฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลก็ตามขอให้รู้เท่าทัน จะได้ไม่หลงติดสุขที่กำลังได้รับและไม่ทุกข์ใจ มากนักเมื่อกำลังได้รับทุกข์ แต่ในปัจจุบันนี้ต้องเพียรละชั่วกระทำแต่ความดี ไม่ประมาทในอกุศลกรรมแม้เพียงเล็กน้อย เพราะกรรมที่คิดว่าเพียงเล็กน้อย ทำไปเพราะคึกคะนองบ้าง ทำไปเพราะทำตามๆเขาบ้าง เหล่านี้ อาจมีกำลังส่งผลมาทำหน้าที่อุปฆาตกกรรมได้ 



๑.๓ อุปปีฬกกรรม

อุปปีฬกกรรม หมายถึง กรรมที่ทำหน้าที่เข้าไปเบียดเบียนกรรมอื่นๆ 

เป็นกรรมที่เบียดเบียนกรรม อื่นๆและการสืบต่อของขันธ์ ๕ ที่เกิดจากกรรมอื่นๆ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และมหากุศลกรรม ๘ กรรมที่ชื่อว่า อุปปีฬกกรรม เพราะมีความหมายว่า เข้าไปเบียดเบียนฉะนั้น อุปปีฬกกรรมจึงมีความหมายตรงกันข้ามกับอุปัตถัมภกกรรมนั้นเอง การเบียดเบียนเป็นการขัดขวางวิบากที่ชนกกรรมทำให้ เกิดขึ้นหลังจากสัตว์นั้นเกิดแล้ว ฉะนั้น สุขทุกข์อันเนื่องมาจากวิบากนั้นจึงลดลงหรือหมดไป

การเบียดเบียนของอุปปีฬกกรรม แบ่งออกได้ ๓ คือ 

๑. เบียดเบียนชนกกรรมอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผล มี ๒ คือ
๑.๑ กุศลที่ทำในภพนี้ เบียดเบียนอกุศลชนกกรรมเพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผล
ตัวอย่างเช่น ในชาตินี้บางบุคคลเป็นผู้ที่ทำแต่กุศลกรรมความดี เมื่อเกิดทุกข์ภัยพิบัติต่างๆ ในแวด วงเดียวกันต่างก็ได้รับทุกข์ภัย แต่เขาไม่ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนเช่นนั้นเลย ทั้งนี้ก็อาจเป็น เพราะว่ากุศลในภพนี้ไปเบียดเบียนอกุศลชนกกรรมนั้นๆไว้ไม่ให้มีโอกาสส่งผล
๑. ๒ อกุศลที่ทำในภพนี้ เบียดเบียนกุศลชนกกรรมเพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผล
ตัวอย่างเช่น ในชาตินี้บางบุคคลทำอกุศลกรรมไว้ ถึงแม้กุศลที่เคยทำไว้ก็มี แต่กุศลก็ไม่อาจส่งผล ได้ อาจเป็นเพราะอกุศลที่ทำในภพนี้ปิดกั้นเบียดเบียนกุศลชนกกรรมนั้นๆไว้ไม่ให้มีโอกาสส่งผล
๒. เบียดเบียนชนกกรรมอื่นๆ ที่มีโอกาสส่งผลอยู่แล้ว ให้มีกำลังลดน้อยลง มี ๒ คือ
๒.๑ กุศลที่ทำในปัจจุบันภพ เบียดเบียนอกุศลชนกกรรมที่กำลังมีโอกาสส่งผลอยู่ ให้มีกำลังลดน้อยลง
ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอชาตศัตรูกระทำปิตุฆาตกรรมจะต้องตกอเวจีมหานรก แต่พระเจ้าอชาตศัตรู ได้สร้างกุศลไว้มาก คือ เป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาในการทำปฐมสังคายนา และในบรรดา ปุถุชนทั้งหลายนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้เลื่อมใสนับถือพระพุทธเจ้ามากที่สุด ด้วยอำนาจของกุศล เหล่านี้ จึงช่วยพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ให้ไปตกในอเวจีมหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ แต่ไปตกในโลห-กุมภีอุสสทนรก ซึ่งเป็นนรกขุมเล็กที่เป็นบริวารของอเวจีมหานรก
๒.๒ อกุศลที่ทำในปัจจุบันภพ เบียดเบียนกุศลชนกกรรมที่กำลังมีโอกาสส่งผลอยู่ ให้มีกำลังลดน้อยลง 
ตัวอย่างเช่น บุคคลสร้างบุญกุศลสำเร็จแล้ว เดิมเจตนานั้นดีมาก ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความ หลง มาแวดล้อมในการทำกุศล แต่เมื่อทำกุศลสำเร็จไปแล้ว มานึกเสียดายทรัพย์ที่ทำไป นึกถึงกุศล นั้นแล้วเกิดความไม่สบายใจ กลายเป็นอกุศลเกิดขึ้น หลังจากทำกุศลแล้ว เจตนาที่เป็นอกุศล ใน คราวหลังนี้เป็นผลทำให้กุศลนั้นมีกำลังอ่อน เพราะอกุศลที่เกิดขึ้นภายหลัง ไปเบียดเบียนกุศลที่ทำอยู่แล้วที่ควรจะได้ผลโดยสมบูรณ์ ก็ได้ผลไม่สมบูรณ์ เพราะเจตนานั้นไม่สมบูรณ์ การทำกุศลต้องประกอบด้วยเจตนาทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนทำ ขณะทำ และหลังจากทำแล้ว ต้องไม่ถูกแวดล้อมด้วยอกุศลไม่มีอกุศลเข้ามาเจือปน

๓. เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมนั้นๆ มี ๒ ประการ คือ
๓.๑ อกุศลอุปปีฬกกรรม เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากกุศลชนกกรรม
ตัวอย่างเช่น บุคคลเกิดมามีร่างกายแข็งแรง ต่อมาอ่อนแอ มีโรคภัยเบียดเบียน เป็นเบาหวานต้องถูกตัดขา เป็นอัมพาต เป็นมะเร็ง ถ้าถามว่า ทำไมจึงอ่อนแอลง ? ตอบได้ว่า อาจเป็นเพราะด้วยอำนาจของอกุศลอุปปีฬกกรรมมาเบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากกุศลชนกกรรมให้อ่อนกำลังลง
๓.๒ กุศลอุปปีฬกกรรม เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากอกุศลกรรม 
รูปนามที่เกิดจากอกุศลกรรมนั้นเป็นรูปนามของบุคคลในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ตัวอย่างเช่น สุนัข นก ปลา ช้าง ถึงแม้นจะมีสีสวยงาม น่ารัก แข็งแรง อย่างไรก็ตาม รูปนามนั้นก็เกิดมาจากอกุศลกรรม สัตว์บางตัวเกิดมาแล้วก็ได้รับทุกข์ต่างๆนาๆ ซึ่ง ก็เป็นผลของอกุศลกรรมตามมาส่งผลเบียดเบียนรูปนามนี้ให้ได้รับทุกข์ ต่อมาอาจจะเจอคนที่มีเมตตาให้การเลี้ยงดู ทำให้ได้รับความสุขสบายในภายหลัง ถ้าถามว่าทำไมจึงดีขึ้น ? ตอบได้ว่า อาจเป็นเพราะกุศลมาเบียดเบียนนามรูปที่เกิดจากอกุศลนี้ เมื่ออกุศลอ่อนกำลังลง กุศลได้โอกาส เบียดเบียนอกุศลแล้วก็ทำให้ดีขึ้น เจริญขึ้นได้ 



 

๑.๒ อุปัตถัมภกกรรม

อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมที่ทำหน้าที่ช่วยอุดหนุนกรรมอื่นๆ

เป็นกรรมที่อุปถัมภ์กรรมอื่นๆ คือ ช่วยอุปถัมภ์รูปนามขันธ์ ๕ ที่เกิดจากกรรมอื่นๆได้ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ มหากุศลกรรม ๘ คำว่า อุปัตถัมภกกรรม เพราะเป็นกรรมที่มีความหมายว่าอุปถัมภ์ กล่าวคือ อุปถัมภ์วิบากอันเป็นผลของชนกกรรมนั่นเอง เฉพาะอุปัตถัมภกกรรมเอง ไม่สามารถที่จะทำให้วิบากเกิดได้โดยตรง ทำได้แต่เพียงอุปถัมภ์สุข หรือ ทุกข์นั้นให้เป็นไปได้นานๆ ใน*ปวัตติกาล (สุขหรือทุกข์นี้เป็นวิบากที่ชนกกรรมทำให้เกิดขึ้น) เช่น ช่วยอุปถัมภ์ทำให้ธาตุทั้ง ๔ มีความสม่ำเสมอกัน จึงทำให้เป็นคนมีโรคน้อย เป็นคนมีอนามัยดี เมื่อบุคคลนั้นมีโรคน้อย เป็นคนมีอนามัยดี ชนกกรรมที่เป็นกุศลที่ได้ทำไว้แล้วในอดีตก็มีโอกาสให้ผลได้โดยสะดวก ส่งผลให้ได้รับความสุขให้เกิดได้บ่อยๆ ด้วยเหตุที่ทำหน้าที่อุปถัมภ์สนับสนุนให้ชนกกรรมฝ่ายกุศลมีโอกาสให้ผลได้โดยสะดวก จึงได้ชื่ออุปัตถัมภกกรรม ส่วนฝ่ายอกุศลก็มีนัยเป็นไปในทำนองตรงกันข้ามคือทำให้ได้รับทุกข์ ต่อไปจะได้ศึกษาเรื่องอุปัตถัมภกกรรมในนัยต่างๆ โดยละเอียด

อุปัตถัมภกกรรม มี ๓ ประการ คือ
๑. อุดหนุนชนกกรรม ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล มี ๘ คือ
๑.๑ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล 
ตัวอย่างเช่น บุคคลทำทั้งกุศลและอกุศล เมื่อใกล้จะตายถ้ามีสติกำหนดรู้เท่าทันจิต ทำให้จิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง ไม่ห่วงกังวลในทรัพย์สินเงินทองหรือเรื่องใดๆ กุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตายจะช่วย อุดหนุนแก่กุศลกรรมที่ทำไว้แล้วในชาติก่อนๆ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้ได้มีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไป 

๑.๒ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล   
ตัวอย่างเช่น บุคคลเมื่อใกล้จะตายถ้าเกิดความห่วงใยในบุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สิน อาลัยอาวรณ์ในชีวิตตนเอง ไม่อยากตาย กลัวตาย เพราะความตายทำให้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก สิ่งที่หวงแหน ใจเศร้าหมอง กระวนกระวาย สีหน้าเปลี่ยนไป เกิดความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ถ้าปล่อยให้ตายไป ในลักษณะอย่างนี้ก็ไปสู่ทุคติภูมิ

จะแก้ไขอย่างไร ? ทั้งๆ ที่กุศลก็เคยทำมาแล้ว แต่กุศลนั้นช่วยไม่ได้ เพราะว่าปัจจุบันมีแต่อกุศล เกิดขึ้น มีความยึดถือ ความห่วงใย ทำให้ใจเศร้าหมอง ผู้ปรนนิบัติถ้ารู้เท่าทันต่ออารมณ์ ก็ควรพูดให้ผู้ใกล้ตายนึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมา เช่น สร้างโบสถ์ ศาลา พระประธาน ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ใส่บาตร ฯลฯ ผู้ใกล้ตายเคยทำบุญอะไรก็ให้ ผู้ปรนนิบัติพูดถึงเสมอๆ ให้ดูรูปถ่ายงานบุญที่เคยทำเพื่อให้ผู้ใกล้ตายนึกถึงบุญที่เคยทำไว้ อารมณ์ใหม่ที่ได้รับนี้อาจจะทำให้คลายความทุกข์ และมีอารมณ์เป็นกุศลเกิดขึ้น เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้ผู้ใกล้ตายมีกุศลเกิดขึ้น ทำให้กุศลชนกกรรมในปัจจุบันที่เคยทำไว้แล้วและยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสส่งผลนำไปสู่สุคติภูมิได้

๑.๓ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล  
ตัวอย่างเช่น บางคนบริจาคทาน รักษาศีล แต่ว่าจิตไม่ถึงขั้นภาวนาแล้วก็ไม่รู้เรื่องชีวิต ไม่รู้เรื่องรูปนาม เพราะว่าไม่ได้ศึกษาเรื่องรูปนาม พอใกล้ตายก็มีแต่ความกลัว กลัวความพลัดพราก จิตก็ผูกพันอยู่กับทรัพย์สมบัติที่ตัวเองไม่ได้ทำทาน ผูกพันอยู่กับลูกหลานบริวารต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เกิดทุกข์ จิตใจเศร้าหมอง 
ถ้าคนที่ปรนนิบัติไม่รู้เรื่องธรรมะ ไม่มีการศึกษาธรรมะ ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร บางครั้งลูกหลานมานั่งร้องไห้ ยิ่งทำให้ห่วงหนักขึ้นไปอีก จิตก็ยิ่งเศร้าหมอง เมื่อเป็นเช่นนี้ อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตายนี้เองจะเปิดโอกาสให้อกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยทำไว้แล้วในอดีตภพ มีกำลังส่งผล เมื่อตายลงก็นำไปเกิดในอบายภูมิ

๑.๔ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล
ตัวอย่างเช่น บางบุคคลเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก ขาดการอบรมสั่งสอนเรื่องบาปบุญ จึงทำอะไรตาม ประสาเด็ก เช่น ชอบรังแกสัตว์ ตีสัตว์ให้ตาย ตกปลา เห็นเป็นเรื่องสนุก เพราะว่าไม่รู้เรื่องบาป บุญ แต่ถ้าพ่อแม่เป็นคนมีศีลธรรมก็จะห้ามลูกให้กลัวบาป เด็กจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่คำว่าบาปนี้ ติดหูเด็ก เด็กก็ไม่กล้าทำ ถ้าทำชั่วอย่างนี้เป็นบาป เด็กบางคนพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนเรื่องบาป บุญคุณโทษ แม้แต่คำว่า “บาป” ในสมัยนี้เราก็ไม่พูดถึงแล้ว บาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไรไม่รู้เรื่อง จึงทำบาปด้วยความคะนองตามประสาเด็ก พอโตขึ้นตอนใกล้ตายจิตใจนึกถึงเมื่อตอนเด็กว่าเคยฆ่า สัตว์ เคยทำบาปอย่างนั้นๆ เมื่อตายในขณะที่ใจเศร้าหมองก็ส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะ อกุศล ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ตายเป็นกำลัง อุดหนุนเปิดโอกาสแก่อกุศลกรรมในปัจจุบันภพที่ยังไม่มีโอกาสส่งผล ให้มีโอกาสส่งผล 

๑.๕ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล 
ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ทำกุศลสม่ำเสมอ กุศลก็อุปถัมภ์เปิดโอกาสในกุศลชนกกรรมในอดีตให้มีโอกาส ส่งวิบาก คือ ผลให้เกิดขึ้นได้ อาจทำให้บุคคลนั้นร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชาตินั้นได้รับความสุข ไม่มีโรคภัยอันตรายใดๆมาเบียดเบียน ถึงแม้ในขณะนั้นสถานที่ที่อยู่อาศัยอาจจะเต็มได้ด้วยภัยต่างๆ แต่เขาก็ปลอดภัย เพราะกุศลที่ทำเสมอในชาตินี้ เป็นกำลังช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตให้ส่งผล

๑.๖ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล 
ตัวอย่างข้อนี้ เป็นไปในทำนองเดียวกันกับข้อที่ ๑.๕ คือ กุศลที่ทำเป็นปกติในชาตินี้ อุปถัมภ์ช่วยเปิดโอกาสให้กุศลชนกกรรมในชาตินี้ส่งผล ถ้าส่งผลอุปถัมภ์นามรูปที่เกิดมาแล้ว ก็สามารถทำให้ได้รับ ความสุขในการดำรงชีวิต จากที่ลำบาก ก็อาจจะสบายขึ้น จากที่มีโรคภัยก็อาจทำให้หายจากโรคภัย

๑.๗ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล
ตัวอย่างเช่น ในฝ่ายอกุศลกรรมที่ทำเป็นปกติ แต่กำลังของอกุศลกรรมนี้ไม่มีโอกาสส่งผลด้วยตัวเอง จึงอุปถัมภ์เปิดโอกาสในอกุศลชนกกรรมในอดีตภพได้มีโอกาสให้ผล ให้วิบากคือความทุกข์ ความเดือดร้อนเกิดขึ้นได้บ่อยๆ นานๆ เช่น คนที่ทำอาชีพฆ่าสัตว์ กรรมนี้ยังไม่ให้ผล แต่ก็เปิดโอกาสให้ อกุศลชนกกรรมในอดีตส่งผล ทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย ไม่มียา ไม่มีหมอจะรักษา ได้รับทุกข์ทรมาน ทรัพย์ที่ได้มาก็หมดไปกับการขจัดทุกข์ที่อกุศลชนกกรรมนั้นส่งผลมา

๑.๘ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล
ตัวอย่างในข้อนี้ เป็นไปในทำนองเดียวกับข้อที่ ๑.๗ คือ อกุศลที่ทำเป็นปกติในชาตินี้ อุปถัมภ์ช่วย เปิดโอกาสให้อกุศลชนกกรรมในชาตินี้ส่งผล คือ ทำให้ได้รับความทุกข์ 

สรุป อุปัตถัมถกกรรมที่ทำหน้าที่ช่วยอุดหนุนชนกกรรมที่ยังไม่มีโอกาสส่งผล ให้มีโอกาสส่งผล ซึ่ง ได้แก่กุศลและอกุศลที่เกิดขึ้นในมรณาสันนกาลก็ดี หรือกุศลและอกุศลที่ทำในภพนี้ก็ดี จะทำหน้าที่อุปถัมภ์แก่ ชนกกรรมให้ทำหน้าที่นำให้วิบากปรากฏขึ้น

๒. อุดหนุนชนกกรรม ที่กำลังมีโอกาสให้ผล ให้มีกำลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้น มี ๑๐ ข้อ
๒.๑ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ 
๒.๒ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ
 
๒.๓ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ 
๒.๔ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ 

๒.๕ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ
๒.๖ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ 
๒.๗ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ 
๒.๘ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ
 
๒.๙ กุศล ที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่กุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ 
๒.๑๐ อกุศล ที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ

อุปัตถัมภกกรรม ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึง ข้อที่ ๘ นี้ จะมีสาระเหมือนกับ ๘ ข้อ ในหัวข้อที่ ๑ อุดหนุนชนกกรรม ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่แตกต่างกันตรงหน้าที่เท่านั้นกล่าวคือ หน้าที่ของอุปภัมถ์โดยนัยนี้จะทำหน้าที่อุปถัมภ์ชนกกรรมที่กำลังมีโอกาสให้ผล ให้มีกำลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียด ดังนี้ 

ข้อที่ ๒.๑ – ๒.๔ ฝ่ายกุศลฝ่ายอกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย
ตัวอย่างฝ่ายกุศล ข้อ ๒.๑ – ๒.๒ กุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ไปทำหน้าที่ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้ หรือมีโอกาสอุดหนุนทำให้กุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กำลังมีโอกาสให้ผลอยู่แล้ว ให้สามารถมีกำลังการส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้เป็นมนุษย์ชั้นสูงห่างไกลจากความทุกข์ทั้งปวง ได้อยู่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ มีพระพุทธศาสนา อยู่ในท่ามกลางของบัณฑิต เป็นต้น แต่ถ้าหากว่ากุศลในขณะใกล้ตายนี้ไม่มีโอกาสมาเป็นกำลังอุดหนุนกุศลชนกกรรมนี้แล้วไซร้ อาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ไปเกิดอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยทุกข์ยากแค้น มีสงคราม ทำมาหาเลี้ยงชีพลำบากยากแค้นเป็นต้น

ตัวอย่างฝ่ายอกุศล ข้อ ๒.๓ – ๒.๔ ก็เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับฝ่ายกุศลนั้นเอง กล่าวคือ อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ไปทำหน้าที่ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้ หรือมีโอกาสอุดหนุนทำให้อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กำลังมีโอกาสให้ผลอยู่นั้น ให้มีกำลังส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น อกุศลชนกกรรมได้รับกำลังอุดหนุนทำให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น จึงนำไปเกิดในนรกขุมที่ลึกที่สุด ได้รับทุกข์โทษอย่างแสนสาหัสที่สุด

ตัวอย่างฝ่ายกุศล - ฝ่ายอกุศล ข้อที่ ๒.๕ – ๒.๘ ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ตัวอย่างฝ่ายกุศล ข้อ ๒.๕ – ๒.๖ กุศลกรรมต่างๆ ที่กระทำไว้แล้วอย่างสม่ำเสมอในชาตินี้ มีโอกาสเป็นกำลังอุดหนุนส่งเสริมให้กุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้หรือกุศลกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กำลังมีโอกาสให้ผลอยู่นั้น ให้สามารถมีกำลังการส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น ถ้าได้เกิดเป็นเทวดา ก็อาจจะเป็นเทวดาที่มีวิมานของตนเอง มีรัศมีผุดผ่องกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลาย เป็นเทวดาที่อยู่ในกลุ่มของเทวดาสัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะมีโอกาสทำให้เป็นเทวดาสัมมาทิฏฐิด้วยเป็นต้น

ตัวอย่างฝ่ายอกุศล ข้อที่ ๒.๗ - ๒.๘ ก็เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับฝ่ายกุศลนั้นเอง กล่าวคือ อกุศลกรรมที่กระทำไว้แล้วอย่างสม่ำเสมอในชาตินี้ ไปทำหน้าที่ช่วยอุดหนุนอกุศลอกุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้ หรือมีโอกาสอุดหนุนทำให้อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กำลังมีโอกาสให้ผลอยู่
นั้น ให้มีกำลังส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น บางบุคคลดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทำแต่อกุศลไม่ว่าจะ เป็นการทำมาหาเลี้ยงชีพ การพูด การกระทำการคิด ล้วนแล้วแต่เป็นอกุศล บุญทานไม่เคยทำ คิดแต่ว่าการจะได้มาซึ่งทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ก็ต้องแลกมาด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องด้วยกล เมื่อถึงเวลาใกล้ตายก็ไม่มีที่พึ่งคือบุญอย่างใดๆ เลย ระลึกนึกถึงได้แต่อกุศลเพราะเคยชินอยู่กับการใช้ชีวิตแบบอกุศล อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตายนี้ก็มีกำลังช่วยอุดหนุนทำให้อกุศลชนกกรรมทั้งในอดีตภพ หรือ ปัจจุบันที่กำลังมีโอกาสให้ผล ก็มีกำลังในการส่งผลได้อย่างบริบูรณ์มากขึ้น แรงยิ่งขึ้น

ตัวอย่างฝ่ายกุศล ข้อที่ ๒. ๙ กุศลที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่กุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่กำลังมีโอกาสให้ผลให้มีกำลังในการให้ผลบรบิูรณ์ยิ่งขึ้น บุคคลที่ทำกุศลกรรมในปัจจุบันไว้ดีแล้ว กุศลนั้นก็สามารถส่งผลได้ในปัจจุบันภพ ทำให้ชีวิตได้รับความสุข ครอบครัวก็ได้รับความสุขอย่างดีอย่างบริบูรณ์ ซึ่งกุศลในปัจจุบันภพนี้ที่ได้มีโอกาสส่งผลได้อย่างเต็มที่ก็เพราะว่าได้รับกำลังอุดหนุนมาจากกุศลในอดีตภพด้วย 
ข้อที่ ๒. ๑๐ อกุศลที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ
ที่กำลังมีโอกาสให้ผล ให้มีกำลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้นเป็นไปในทำนองตรงกันข้ามกับข้อที่ ๙ กล่าวคือ เป็นไปในฝ่ายอกุศลที่ทำในชาตินี้ก็มีโอกาสส่งผลได้ อย่างเต็มที่เต็มกำลังมากยิ่งขึ้น เพราะได้กำลังอุดหนุนมาจากอกุศลในอดีตภพด้วย 

๓. อุดหนุนรูปนาม ที่เกิดมาแล้วให้เจริญขึ้นและอยู่ได้ มี ๗ คือ
๓.๑ กุศลที่เคยทำมาในภพก่อนๆ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม 
๓.๒ กุศลที่เคยทำมาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม

๓.๓ อกุศลที่เคยทำมาในภพก่อนๆ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม 
๓.๔ อกุศลที่เคยทำมาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม
 
๓.๕ กุศลที่เคยทำมาในภพก่อนๆ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม 
๓.๖ กุศลที่เคยทำมาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม
 
๓.๗ อกุศลที่เคยกระทำในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม 

อธิบายข้อที่ ๓.๑ - ๓.๖ การที่จะเข้าใจอุปัตถัมภกกรรมที่ช่วยอุดหนุนรูปนามที่เกิดมาแล้วให้เจริญขึ้นและอยู่ได้ ต้องศึกษาถึงสภาพความเป็นไปของชีวิตในปัจจุบันนี้ให้เข้าใจโดยกระจ่างชัดว่ามนุษย์นั้นแตกต่างกัน คือ
๑. อายุยืน
๒. อายุสั้น 
๓. มีโรคน้อย
๔. มีโรคมาก 
๕. มีผิวพรรณงาม
๖. มีผิวพรรณทราม 
๗. มียศศักดิ์มาก
๘. มียศศักดิ์น้อย 
๙. มีสมบัติมาก
๑๐. มีสมบัติน้อย
๑๑. เกิดในตระกูลสูง
๑๒. เกิดในตระกูลต่ า
๑๓. มีปัญญามาก
๑๔. มีปัญญาน้อย 
 
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “จูฬกัมมวิภังคสูตร ” ว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตามเป็นคนมักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหดมีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นอยู่ในการประหาร ไม่ เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต ครั้นเขาผู้นั้นตายไป ย่อมจักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาสมาทานพรั่งพร้อมไว้อย่างนี้ หากเขาตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แล้วถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง เขาจะเป็นคนมีอายุสั้น ” 
ส่วนเหตุที่ทำให้มีอายุยืนนั้นพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม เป็น บุรุษก็ตาม เป็นผู้ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ ครั้นเขาผู้นั้นตายไปแล้วย่อม จักเข้าถึงสุคติโลก สวรรค์ เพราะกรรมนั้นอันเขาสมาทานพรั่งพร้อมไว้อย่างนี้ หากเขาตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์แล้ว ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใด ๆ ในภายหลังเขาจะเป็นคนมีอายุยืน ” พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเรื่องของกรรม โดยสรุปประมวลได้เป็น ๗ คู่ ดังนี้
 
ชอบฆ่าสัตว์เป็นเหตุให้อายุสั้น ไม่ฆ่าสัตว์มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์เป็นเหตุให้อายุยืน 
ชอบเบียดเบียนสัตว์เป็นเหตุให้มีโรคมาก ไม่เบียดเบียนสัตว์เป็นเหตุให้มีโรคน้อย 
ผู้ที่ชอบโกรธเป็นเหตุให้ผิวพรรณทราม ผู้ไม่โกรธเป็นเหตุให้ผิวพรรณงาม 
ชอบริษยาผู้อื่นเป็นเหตุให้มีอำนาจน้อย ไม่ริษยาผู้อื่นเป็นเหตุให้มีอำนาจมาก 
ตระหนี่ไม่บริจาคทานเป็นเหตุให้ยากจน ขัดสน อนาถา ชอบบริจาคทานเป็นเหตุให้มีทรัพย์สมบัติมากกระด้างถือตัวเป็นเหตุให้เกิดในตระกูลต่ำ ไม่กระด้างไม่ถือตัวบูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นเหตุให้เกิดในตระกูลสูง 
ไม่อยากรู้ธรรมะ ไม่ไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้มีปัญญาน้อย อยากรู้ธรรมะ หมั่นไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญามาก

อธิบายข้อที่ ๓.๗ อกุศลที่เคยกระทำในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม ข้อนี้เป็นเรื่องที่ควรจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้ดี เพื่อจะได้เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ได้ อย่างไม่สงสัยว่า “ทำไมคนที่ทำชั่ว ถึงได้ดี
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีอาชีพค้าสัตว์ ค้าสุรา ค้ายาพิษ ยาเสพติด ขายอาวุธ ค้ามนุษย์ เขาเหล่านั้นมีความ ร่ำรวย รุ่งเรืองในโลกธรรม คือ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับสุข ได้รับสรรเสริญ มีความสุขในการใช้ชีวิตอย่างดี อย่างเพลิดเพลิน ทั้งๆที่อาชีพเหล่านี้เป็นบาปอกุศล แต่อกุศลนี้เป็นเครื่องอุดหนุนแก่นามรูปที่เกิดจาก กุศลชนกกรรมให้เจริญและตั้งอยู่ได้ แต่การเกิดขึ้นของอุปัตถัมภกกรรมในข้อที่ ๗ นี้ เป็นไปไม่แน่นอน มีได้แต่ในสมัยที่เป็นยุคกาลวิปัตติ คือ กาลที่กุศลธรรมความดีเสื่อมถอยเท่านั้น ในกาลสัมปัตติ คือ กาลที่กุศลธรรมความดีเจริญนั้น จะไม่มีลักษณะดังข้อที่ ๗ ถ้าผู้ศึกษาเข้าใจเรื่องของอุปัตถัมภกกรรมในข้อที่ ๗ นี้ จะได้ไม่ท้อถอยจากกุศลกรรมความดี เพราะเห็นตัวอย่างว่าคนทำไม่ดีนั้นรุ่งเรืองขึ้นๆ แต่เราผู้มั่นคงในกุศลกรรมความดีกลับไม่ได้ผลตอบสนอง ถ้าในยุคนี้มีตัวอย่างเช่นนี้ให้เห็นในสังคมมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งต้องบำเพ็ญกุศลกรรมความดีให้มากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งนี้อาจเป็นลางบอกเหตุว่า “ยุคนี้เป็นยุคเสื่อมเสียแล้วกระมัง”

สรุป ทั้งหมดนี้เป็นการทำหน้าที่ของกรรม ที่เกิดขึ้นทำหน้าที่อุปถัมภ์ชีวิตของสรรพสัตว์ ตั้งแต่เกิดในขณะดำรงชีวิตอยู่ และในขณะที่จะตายจากโลกนี้ไป กรรมทั้งหลายที่กระทำแล้วไม่ว่าจะชาตินี้หรือในอดีตชาติที่ทำมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน กรรมนั้นไม่สูญหายไปไหน ยังตามอุปถัมภ์ชีวิตอยู่เสมอ เมื่อตามส่งผลให้ แล้วถ้ากรรมนั้นยังไม่หมดกำลังก็จะตามส่งผลให้อีก หรือว่าเมื่อคอยตามส่งผลแล้ว แต่ไม่สามารถส่งผลได้จนหมดกำลังแห่งกรรมนั้น กรรมนั้นก็จะกลายเป็นอโหสิกรรม บุคคลทั้งหลายไม่อาจรู้ได้ว่าสร้างกรรมดีหรือกรรรมไม่ดีมาอย่างไร เมื่อได้ศึกษาแล้วก็ควรวางใจให้ถูกต้องว่า ถ้ากำลังได้รับทุกข์อยู่ ก็ควรจะสำรวมระมัดระวังใจไม่ไปโทษสิ่งใด ให้รู้ว่าทุกข์ในครั้งนี้เกิดจาก อกุศลกรรมในอดีตที่ตามมาส่งผลนั่นเอง แล้วใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่ประมาท และเพียรสร้างกุศลกรรมความดีไว้อย่างเนืองนิตย์ กุศลที่ทำในปัจจุบันนี้อาจจะมาทำหน้าที่อุปถัมภ์ส่งผลให้นามรูปคือชีวิตในปัจจุบันชาตินี้ดำเนิน ไปได้อย่างไม่ทุกข์ยากมากนัก



๑.๑ ชนกกรรม

 ๑. ชนกกรรม  ชนกกรรม หมายถึง กรรมที่ทำให้วิบากเกิดขึ้น เป็นกรรมที่ทำให้วิปากทั้งนามและรูปเกิดขึ้นได้ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และโลกียกุศลกรรม ๑๗ คือ มหากุศลกรรม ๘ รูปาวจรกุศลกรรม ๕ อรูปาวจรกุศลกรรม ๔  กรรมที่ชื่อว่า ชนกกรรม  เพราะมีความหมายว่า “ทำให้เกิด”  คือ เจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งทำ ให้วิบากและกัมมชรูปให้เกิดขึ้นในปฏิสนธิกาล คือ ในเวลาที่สัตว์เกิด และทำให้วิบากและกัมมชรูปให้เกิดขึ้น ในปวัตติกาล คือ ในเวลาต่อมาหลังจากปฏิสนธิแล้ว 

คำว่า วิบาก แปลว่า ผล เปรียบเทียบว่า ข้าวสารที่หุงแล้วย่อมเป็นข้าวสวยให้คนได้รับประทาน ได้รับความอร่อยหรือไม่อร่อย จึงเรียกข้าวสวยนั้นว่า “ข้าวสุก” หรือ ผลมะม่วงเมื่อเริ่มแก่ก็เหมาะแก่การนำมา รับประทาน ได้รับความอร่อย หรือไม่อร่อย จึงเรียกมะม่วงแก่นั้นว่า “มะม่วงสุก” ฉันใด กรรมที่บุคคลทำ คือก่อไว้แล้ว ย่อมมีผลที่บุคคลพึงได้รับเป็นความสุขหรือทุกข์ในภายหลัง จึงเรียกผลของกรรมนั้นว่า วิบาก คือเป็นผล หรือเป็นของสุกงอม เพราะเป็นเหมือนความสุกงอมของกรรมฉันนั้น คำว่า วิบาก นี้ เป็นชื่อผลของกรรมฝ่ายนามธรรม คำว่า กัมมชรูป เพราะเป็นรูปที่เกิดจากกรรม จึงได้ชื่อว่า กัมมชรูป (🔎ทบทวนเรื่องรูป) รูปเกิดจากสมุฏฐาน ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร กัมมชรูป คือ รูปที่เกิดจากกรรม ได้แก่ ปสาทตา รวมตลอดถึง อวัยวะ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ เป็นต้น

๑. ชนกกรรมนำเกิดในสุคติภูมิ       
 ๑.๑ มหากุศลกรรม ๘ ส่งผลนำไปเกิดในมนุษย์ภูมิและเทวภูมิ 
มหากุศลกรรม ๘ จะส่งผลเป็นวิบากที่ดี เจตนาที่อยู่ในมหากุศลกรรมจะส่งผลทำหน้าที่ชนกกรรมนำไปเกิด ได้รูปร่างกายปรากฏอัตภาพของสัตว์ในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์หรือเทวดา อันจะเป็นปัจจัย คือ เป็นที่รองรับความสุขได้มากกว่าความทุกข์ และการมีวิมาน มีรัศมีของเทวดาก็ด้วยอำนาจของกรรมที่เกิดจากชนกกรรมนี้เอง 
๑.๒  รูปาวจรกุศลกรรม ๕ นำไปเกิดในรูปภูมิ อรูปาวจรกุศลกรรม ๔ นำไปเกิดในอรูปภูมิ สำหรับรูปาวจรกุศลและอรูปาวจรกุศล คือผู้ที่ประกอบกรรมในภาวนากุศล เช่น ปัจจุบันชาตินี้เจริญสมาธิภาวนาจนได้ฌาน ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป เจตนาที่เกิดขึ้นในรูปาวจรกุศล ก็ส่งผลให้ไปเกิดในรูปภูมิเป็นรูปพรหม ถ้าเจริญอรูปาวจรกุศลก็จะส่งผลนำไปเกิดในอรูปภูมิ เป็นอรูปพรหม  

๒. ชนกกรรมนำเกิดในอบายภูมิ 
๒.๑  อกุศลกรรม ๑๒ ส่งผลนำไปเกิดในอบายภูมิ
อกุศลกรรม ๑๒ เป็นกรรมชั่ว จึงส่งผลเป็นวิบากที่ชั่ว เจตนาที่อยู่ในอกุศลกรรมนั้น จะส่งผลทำหน้าที่ ชนกกรรมนำไปเกิด ได้รูปร่างกายก็ปรากฏเป็นอัตภาพของสัตว์ในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ เดรัจฉาน เป็นที่รองรับความทุกข์ได้มากกว่าความสุข 
นรกภูมิ การทำกรรมโดยมีเจตนาประกอบใน โทสมูลจิต เช่น การอาฆาต พยาบาท เบียดเบียน ปองร้าย ความโกรธที่รุนแรงก็จะเป็นตัวชนกกรรมนำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก จะถูกเผาด้วยไฟ ถูกทรมาน ด้วยวิธีการต่างๆแต่ก็ไม่ตาย เพราะเหตุว่ากรรมยังไม่หมดเป็นทุกข์ทรมานจากการถูกทรมาน ก็ด้วยอำนาจของกรรมที่ทำด้วยความโกรธ 
เปรต และอสุรกายภูมิ การทำกรรมโดยมีเจตนาประกอบในโลภมูลจิต เจตนาในโลภมูลจิตจะทำหน้าที่ชนกกรรมนำไปเกิดในสองภูมินี้ 
เดรัจฉานภูมิ การทำกรรมโดยมีเจตนาประกอบในโมหมูลจิต เจตนาในโมหมูลจิตจะทำหน้าที่ชนกกรรมนำไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน


อนึ่ง การที่มนุษย์ เทวดา พรหม และ สัตว์ทั้งหลาย ได้รูปร่างกายที่แตกต่างกัน ทั้งรูปลักษณ์ ทรวดทรง สัณฐาน สูง ต่ า ดำ ขาว และด้านอาการ ๓๒ ตลอดจนด้านประสาท ความต่างกันของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เรียกว่า กัมมชรูปเหมือนกัน ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ สัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับภพชาติไม่ถ้วน จึงทำกรรมมาแล้วทุกอย่าง ในกรรมทั้งหลายนั้น ถ้ากรรมดีอย่างหนึ่งให้ผลทำหน้าที่ปฏิสนธิให้เกิดขึ้นในมนุษย์ กรรมดีอย่างนั้นและกรรมดีอย่างอื่นที่เหลือก็ยังตามให้ผลในปวัตติกาล โดยการให้ผลอันเป็นเหตุให้เกิดความสุขตามสมควรแก่โอกาส ส่วนกรรมชั่วทั้งหลายก็มีแต่จะตามให้ผลในเวลาหลังจากปฏิสนธิแล้วอย่างเดียว โดยการให้ผลเป็นความทุกข์ตามสมควรแก่โอกาสของตน กรรมเหล่านั้นชื่อว่า ชนกกรรมทั้งสิ้น คือ ทำวิบากให้เกิดและในเวลาที่กรรมชั่วให้ผลนำไปเกิดในอบายภูมิก็มีนัยเดียวกันนี้ 

สรุป ชนกกรรม เป็นกรรมที่ทำวิบากพร้อมทั้งกัมมชรูปให้เกิดขึ้นในปฏิสนธิกาล คือในเวลาที่เกิดและในปวัตติกาล คือ ในเวลาต่อมาหลังจากที่ปฏิสนธิแล้ว