ที่มาการแบ่งนิกายของพุทธ

ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้มีพระมหาเถระได้นิพพานก่อนไปแล้วหลายองค์ เช่น พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา พระอัญญาโกณฑัญญะ พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นต้น ฝ่ายคฤหัสถ์หลายท่านก็ได้สวรรคตไปก่อน เช่น พระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น ส่วนพระมหาเถระที่ยังเหลืออยู่เป็นกำลังสำคัญต่อมาคือ พระมหากัสสปะ พระอานนท์ พระอนุรุทธะ เป็นต้น

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพานแล้ว โทณพราหมณ์ก็ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนแล้วมอบให้แก่เมืองต่าง ๆ ที่ส่งตัวแทนมาขอ เหตุการณ์อันเป็นรอยร้าวของคณะสงฆ์ก็เริ่มเกิดขึ้นจากบุคคล ๒ คน คือ พระสุภัททะบรรพชิตผู้เฒ่าและพระปุราณกับพวก อันนำไปสู่การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก

การสังคายนาครั้งที่ ๑
 

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว และเมื่อข่าวนี้กระจายออกไปทั่วชมพูทวีปทั้งหมด พุทธศาสนิกชนต่างร่ำให้โศกาดูร พระสาวกที่เป็นปุถุชนก็เช่นกัน ต่างร่ำไห้ถึงการจากไปของพระพุทธองค์ ต่างคร่ำครวญว่าพวกเรายังเป็นปุถุชนอยู่ยังไม่ถึงฝั่ง พระพุทธองค์ก็มาเสด็จจากไปเสียแล้ว แล้วใครจะเป็นที่พึ่งให้เราได้ เมื่อพระองค์ไม่อยู่ ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งให้เรา

แต่หลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๗ วันก็ปรากฏว่ามีพระแก่รูปหนึ่งนามว่าสุภัททะ ได้กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยและแสดงอาการปีติ กล่าวว่าท่านทั้งหลายจะมามัวร้องไห้รำพันอยู่ทำไม พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานก็ดีแล้ว เพราะเมื่อพระองค์ทรงอยู่ทรงสอนโน้น สอนนี้ ทรงห้ามโน้น ห้ามนี้ บัดนี้เราหมดพันธะแล้ว เป็นอิสระแล้วเป็นต้น

ในขณะที่มหากัสสปะเถระเจ้ากำลังพำนักอยู่ ณ เมืองปาวา ใกล้เมืองกุสินาราแดนปรินิพพานเมื่อได้ทราบข่าวจากพระสงฆ์ว่า พระสุภัททะพูดเช่นนั้น จึงเกิดธรรมสังเวชในใจว่าพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไม่นานนักเพียง ๗ วันเท่านั้น ก็มีภิกษุ อลัชชีไม่มียางอายจ้วงจาบพระธรรมวินัยในท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้ ต่อไปภายภาคหน้าจะมียิ่งไปกว่านี้อีกหรือ อย่ากระนั้นเลย เราควรเรียกประชุมสงฆ์เพื่อหาทางป้องกันและกำจัดอลัชชีให้หมดไป

เมื่อถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระมหากัสสปเถระเจ้าจึงเรียกประชุมสงฆ์ ยกวาทะของพระสุภัททะมากล่าวอ้าง ที่ประชุมจึงเห็นควรให้มีการสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยเป็นหมวดหมู่และคัดเลือกพระอรหันต์ และภายหลังจึงได้บรรลุก่อนการทำสังคายนา


เมืองราชคฤห์เป็นที่ประชุม 

เมืองราชคฤห์ มีหลายชื่อ เช่นเมืองวสุมติ เมืองภารหะธรถะปุระ คิริวราชา กุสากระปุระ และราชคฤิหะ (Rajgriha) คำว่า วสุมติ พบในคัมภีร์รามายณะ โดยมีพระเจ้าวสุเป็นผู้ก่อตั้งเมืองราชคฤห์เป็นองค์แรก พระเจ้าวสุเป็นโอรสของพระพรหม ได้รับคำสั่งให้สร้างเมืองนี้ขึ้น คำว่า เมืองภารหะธรถะปุระ พบในคัมภีร์มหาภารตะ และคัมภีร์ปุราณะ ตั้งตามชื่อกษัตริย์ พฤหัสธรถะ ปู่ของพระเจ้าชราสันธะที่เคยเสด็จมาที่นี่ คำว่าคิริวราชา เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ๕ ลูกล้อมรอบทุกด้าน ภูเขาทั้ง ๕ คือ

๑. เวภาระ
๒. ปัณฑวะ
๓. เวปุลละ
๔. อิสิคิริ
๕. คิชฌกูฏ

ในคัมภีร์มหาภารตะเรียกชื่อภูเขาทั้ง ๕ ต่างกับคัมภีร์ บาลี คือ

๑. ไวภาระ
๒. วลาหะ
๓. วฤศภะ
๔. ฤาษีคิริ
๕. ไชยยากะ

ปัจจุบันชาวอินเดียเรียกดังนี้
๑. ไวภาระ
๒. วิปุลละ
๓. รัตนะ
๔ .ฉหัตถะ
๕. ไสละ

ถ้ำสัตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต สถานที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๑

คำว่า กุสากระปุระ พบในจดหมายเหตุที่พระถังซัมจั๋งกล่าวไว้ นอกจากนั้นยังเจอในวรรณกรรมของศาสนาเชน แปลว่า เมืองที่รายรอบด้วยหญ้ากุสะ และคำว่า ราชคฤห์ ภาษาบาลีคือราชคหะ แปลว่าเมืองหรือพระราชวังของพระราชา หลังพุทธปรินิพพาน ปกครองโดยพระเจ้าอชาตศัตรู พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร

จากสถานที่ประชุมเพลิงศพของพระพุทธองค์ คือ เมืองกุสินาราเป็นระยะที่ไกลมาก พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายน่าจะทำสังคายนาที่เมืองกุสินารา แต่ที่ท่านเลือกเมืองราชคฤห์เป็นที่ทำสังคายนา เพราะเหตุว่า

๑. ราชคฤห์เป็นเมืองที่เหมาะสม ชัยภูมิที่สะดวก
๒. ปัจจัย ๔ หาได้สะดวกเพราะเป็นเมืองใหญ่
๓. พระเจ้าแผ่นดินคือพระเจ้าอชาตศัตรูทรงมีความเลื่อมใสพุทธศาสนา
๔. แคว้นมคธเป็นแคว้นใหญ่เป็นรัฐมหาอำนาจ และภาษามคธก็เป็นภาษาราชการ

เมื่อตกลงเป็นที่เรียบร้อย แล้ว พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายจึงออกเดินทางจากเมืองกุสินาราสู่เมืองราชคฤห์ เมื่อไปถึงแล้วจึงแจ้งเรื่องให้พระเจ้าอชาตศัตรูทราบ พระองค์ทรงยินดีให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ พระองค์รับสั่งให้ปราบหน้าถ้ำสัตตบัณณคูหาให้สะอาด และรับสั่งให้ปูลาดอาสนะทำซุ้มปะรำ ถวายภัตตาหารตลอดการประชุม

สังคายนาครั้งนี้ได้เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธานและเป็นองค์ปุจฉา พระอุบาลีเป็นองค์วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์เป็นองค์วิสัชนาพระสูตร

ปรับอาบัติพระอานนท์

ในการประชุมสังคายนาครั้งนี้ พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายได้มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับอาบัติพระอานนท์ แม้ว่าท่านจะบรรลุพระอรหันต์แล้วก็ตามเพราะเหตุว่า

๑. ไม่ได้ทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยที่ให้ถอนได้หมายเอาสิกขาบทใด
๒. ข้อที่เหยียบผ้าวัสสิกสาฏกของพระพุทธองค์
๓. ปล่อยให้สตรีถวายบังคมพระพุทธสรีระก่อน และนางร้องไห้จนน้ำตาเปียกพระสรีระ
๔. ไม่อ้อนวอนพระศาสดาให้ทรงอยู่ตลอดกัปป์แม้ทรงจะมีนิมิตโอภาส
๕. ช่วยเหลือให้สตรีบวชในพุทธศาสนา

พระอานนท์กล่าวแก้ข้อกล่าวหาทั้ง ๕ ข้อดังต่อไปนี้

๑. ไม่ทูลถามสิกขาบท เพราะไม่ได้ระลึกถึง
๒. ที่เหยียบเพราะพลั้งเผลอ ไม่ใช่เพราะไม่คารวะ
๓. ให้สตรีถวายบังคมก่อน เพราะค่ำมืดเป็นเวลาวิกาล
๔. ไม่ทรงอ้อนวอนพระศาสดา เพราะถูกมารดลใจจึงไม่ได้อ้อนวอน
๕. เพราะเห็นว่าพระนางประชาปดีโคตมีนี้ เป็นพระมารดาเลี้ยงถวายขีโรทก (น้ำนม) แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าในวัยเยาว์จึงขวนขวายให้สตรีบวช

แม้พระอานนท์จะทราบว่าตัวเองไม่ผิด แต่เมื่อสงฆ์พิจารณาลงโทษ ปรับอาบัติท่านก็ยอมรับ ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพราะความเป็นนักประชาธิปไตยของท่าน

พระปุราณะคัดค้านการประชุม

การสังคายนาครั้งนี้ได้กระทำขึ้นโดยสงฆ์ฝ่ายที่นับถือพระมหากัสสปเถระ แต่ยังมีสงฆ์ฝ่ายพระปุราณะที่ไม่ยอมรับการประชุมครั้งนี้ จึงได้พาบริวาร ๕๐๐ รูป เดินทางจากทักขิณาคิริชนบทมาสู่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พระสงฆ์ฝ่ายที่สังคายนาเสร็จแล้วได้แจ้งให้พระปุราณะทราบ แต่ท่านกลับตอบว่า "พวกท่านทำสังคายนาก็ดีแล้ว แต่พวกผมได้ฟัง ได้รู้มาอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น" ความจริงพระปุราณะยอมรับการสังคายนาทั้งหมด แต่มีสิกขาบท ๘ อย่างที่ยังไม่ยอมรับคือ

๑. อันโตวุตถะ ของอยู่ภายในที่อยู่
๒. อันโตปักกะ ให้สุกภายในที่อยู่
๓. สามปักกะ ให้สุกเอง
๔. อุคคหิตะ หยิบของที่ยังไม่ได้รับประเคน
๕. ตโตนีหฏะ ของที่ได้มาจากการนิมนต์
๖. ปุเรภัตตะ ของรับประเคน ในเวลาก่อนภัตร
๗. นวัฏฐะ ของอยู่ในป่า
๘. โปกขรฏฐะ ของอยู่ในสระ

พระปุราณะกล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ปฏิบัติได้ แต่พระมหากัสสปะแย้งว่าทรงอนุญาตจริง แต่ในเวลาข้าวยากหมากแพงเท่านั้นเมื่อพ้นสมัยแล้วทรงให้ยกเลิก แต่พระปุราณะก็ไม่เชื่อเพราะไม่ได้ยิน แล้วพาคณะไปทำสังคายนาใหม่ แต่ไม่มีหลักฐานว่าทำที่ไหน เมื่อไหร่ ใช้ภิกษุกี่รูป นี้เป็นรอยแยกครั้งแรกในสังฆมณฑลหลังพุทธปรินิพพาน

ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ

พระฉันนะเป็นข้าราชบริพารของพระเจ้าสุทโธทนะ และเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช นายฉันนะก็ได้ตามเสด็จจนถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที แล้วจึงกลับ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้และสั่งสอนเวไนยสัตว์จนพุทธศาสนา แผ่ไปกว้างไกล ฉันนะจึงพร้อมด้วยเจ้าศากยะหลายองค์ตามออกบวช เมื่อบวชแล้วกลับมีความหยิ่งจองหอง ดูหมิ่นเหยียดหยามภิกษุอื่น เพราะถือว่าตัวเองใกล้ชิดพระพุทธองค์และตามเสด็จออกบวชด้วย และด่าบริภาษภิกษุอื่นว่าตอนที่พระองค์เสด็จออกบวชไม่เห็นมีใคร แต่พอเป็นพระศาสดาแล้วกลับอ้างว่า คนนี้คือสารีบุตร คนนี้คือโมคคัลลานะ คนนี้คือพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก เป็นต้น

แม้จะถูกพระพุทธองค์ตรัสห้ามก็หาได้ยุติไม่ พระองค์จึงให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ คือประกาศมิให้ภิกษุรูปอื่นตักเตือนว่ากล่าว ห้ามพูดคุย ห้ามช่วยเหลือ เป็นต้น ในภายหลังสำนึกตัว และแสดงโทษต่อคณะสงฆ์ ต่อมาขวนขวายประพฤติธรรมจนสามารถบรรลุพระอรหันต์

บทสรุปการสังคายนาครั้งที่ ๑

๑. ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา บนภูเขาเวภาระ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
๒. พระมหากัสสปะเป็นประธาน และเป็นองค์ปุจฉา พระอุบาลีเถระเป็นองค์วิสัชนาพระวินัย ส่วนพระอานนท์เป็นองค์วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม
๓. พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
๔. พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เข้าร่วมประชุม
๕. ปรับอาบัติพระอานนท์
๖. ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ
๗. พระปุราณะคัดค้านการประชุม และแยกตัวไปทำสังคายนาใหม่
๘. วัตถุประสงค์เพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่
๙. เริ่มทำเมื่อหลังพุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน
๑๐. ใช้เวลา ๗ เดือน จึงสำเร็จ
๑๑. มีการฉลองถึง ๖ สัปดาห์

เมื่อการสังคายนาสำเร็จลงแล้ว สถานการณ์ในสังฆมณฑล ก็สงบลงพอสมควร แต่ก็ยังมีคณะสงฆ์อีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับการสังคายนา แล้วไปทำต่างหากคือคณะของพระปุราณะ อย่างไรก็ตามผลสำเร็จของการสังคายนาครั้งนี้ที่เห็นชัดเจนในครั้งนี้คือ

๑. ทำให้การร้อยกรองพระไตรปิฎกเป็นหมวดหมู่ขึ้นเป็นครั้งแรก
๒. ทำให้พุทธศาสนากระจายไปสู่ถิ่นอื่นอย่างรวดเร็ว
๓. ทำให้พุทธศาสนามั่นคงและสืบทอดมาจนทุกวันนี้
๔. การปฏิบัติของพระอานนท์และการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะเป็นแบบอย่างที่ดีในหลักประชาธิปไตยและ ธรรมาธิปไตยอย่างชัดเจน
๕. แสดงถึงความสามัคคีของภิกษุที่ได้พรั่งพร้อมทำสังคายนาเพื่อรักษาพุทธศาสนา

พระเจ้าอชาตศัตรูย้ายเมือง

เมื่อพระพุทธองค์ได้ปรินิพพานได้ ๑๗ ปี พระเจ้าอชาตศัตรูได้ย้ายราชธานี จากภายในหุบเขาเมืองราชคฤห์ ออกมาข้างนอก และย้ายต่อไปอยู่ฝั่งแม่น้ำคงคา เรียกเมืองใหม่ว่า ปาฏลีบุตร (Patariputra) (ปัจจุบันเรียกว่า ปัฏนะ Patna เมืองหลวงของรัฐพิหารปัจจุบัน) สาเหตุที่ย้ายนครเพราะเหตุผลทางด้านการเมือง เพราะพระองค์กำลังเตรียมพร้อมทำสงครามกับรัฐอื่นอยู่ ในสมัยพุทธกาลนี้มคธกลายเป็นมหาอำนาจที่เข้มแข็งที่สุดกว่าทุกอาณาจักร และไม่เคยล่มสลายเหมือนเมืองอื่น จนกระทั้งถึงราชวงศ์ปาละ พ.ศ.๑๖๐๐ ปี แม้ว่าเมืองเวสาลี (Vishali) จะได้ถูกพระองค์ยึดมาอยู่ในพระราชอาณาจักรแล้วก็ตาม แต่เพราะเมืองราชคฤห์อยู่ในหุบเขายากต่อการขายเมือง อีกทั้งเมืองใหม่อยู่ข้างแม่น้ำคงคาสะดวกต่อการคมนาคม

พระเจ้าอชาตศัตรูพระองค์มีพระมเหสีที่สำคัญคือ พระนางปัทมาวดี (Patmavati) มีพระโอรสที่สำคัญคือ เจ้าชายอุทัยภัทร หรือในตำราเชนเรียกว่า อะทายีภัททะ (Udayibadda) ปกครองปาฏลีบุตรนครใหม่ของพระองค์จนถึง พ.ศ. ๒๔ ก็ถูกพระราชโอรสยึดอำนาจ ปลงพระองค์เสียจากชีวิต รวมปกครองนครราชคฤห์และปาฏลีบุตรได้ ๓๒ ปี

พ.ศ. ๒๔ พระเจ้าอุทัยภัทร (Udayabdhra) พระโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู ยึดอำนาจโดยการปรงพระชนม์พระบิดา แล้วขึ้นครองราชสมบัติต่อ ณ นครปาฏลีบุตร ต่อมาทรงสร้างเมืองใหม่ไม่ไกลจากปาฏลีบุตรมากนัก นั่นคือ กุสุมานคร หรือบุปผาบุรี เป็นเมืองคู่แฝดของปาฏลีบุตร

พระอุบาลีมหาเถระ ผู้เป็นองค์วิสัชนาพระวินัยในคราวสังคายนาครั้งที่ ๑ ได้นิพพานในสมัยพระเจ้าอุทัยภัทรนี้ นำความโศกเศร้ามายังพุทธศาสนิกชนชาวมคธและใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ได้จัดให้ทำฌาปนกิจพระมหาเถระอย่างสมเกียรติ

ส่วนพระมหากัสสปเถระและพระอานนท์ยังมีชีวิตอยู่ พระอานนท์เถระเจ้ามีพรรษา ๑๐๔ ปีแล้วนับว่าชรามาก แต่ก็สามารถทำศาสนกิจ โปรดพุทธศาสนิกชนเป็นตัวแทนพระศาสดาโดยอัตโนมัติ เพราะเมื่อคราวพระบรมศาสดามีพระชนม์อยู่ เมื่อเห็นพระศาสดาที่ใด ย่อมได้เห็นพระอานนท์ที่นั้นดุจเงาตามตัว

แม้มาถึงสมัยนี้จะไม่ได้เห็นพระศาสดาแล้ว แต่พุทธศาสนิกชนก็ยังอุ่นใจเพราะยังได้เห็นพระอานนท์เป็นตัวแทนอยู่บางตำรากล่าวว่าทุกที่ที่ย่างไป พระอานนท์ยังได้นำบาตรของพระพุทธองค์ไปด้วยเสมอ
พระเจ้าอุทัยภัทร มีพระโอรสที่ปรากฏพระนาม ๑ พระองค์ คือ เจ้ายชายอนุรุทธะพระองค์สวรรคตเมื่อ พ.ศ.๔๐ รวมครองราชย์ ๑๖ ปี

พ.ศ. ๔๐ เจ้าชายอนุรุทธะ (Anuruddha) ตัดสินใจเป็นกบฏยึดอำนาจจากพระบิดา จับพระเจ้าอุทัยภัทรสำเร็จโทษแล้ว พระองค์ก็ครองนครปาฏลีบุตร

ต่อมา พระอานนท์มหาเถระก็ได้นิพพานในสมัยนี้ สร้างความเศร้าสลดให้กับพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าคราวที่พระบรมศาสดาปรินิพพาน เพราะพระอานนท์เปรียบเหมือนตัวแทนของพระศาสดา จาริกโปรดพุทธบริษัทไปทุกหนแห่ง แม้ไม่เห็นพระศาสดาก็ยังได้เห็นพระอานนท์ซึ่งเป็นดุจเงาของพระบรมศาสดา เมื่อมานิพพานเสียแล้วจึงยังความโศกเศร้าให้กับพุทธบริษัทเป็นยิ่งนัก แม้กระทั่งพระราชาเอง พระเจ้าอนุรุทธะมีราชโอรสที่ปรากฏพระนาม ๑ พระองค์คือ เจ้าชายมุณฑกะ พระองค์ครองราชสมบัติได้ไม่นานแค่ ๔ ปี จนถึง พ.ศ.๔๔ ก็สวรรคตเพราะถูกพระโอรสยึดอำนาจรวมครองราชสมบัติ ๔ ปี

พ.ศ. ๔๔ เจ้าชายมุณฑกะ (Mundaka) หลังยึดอำนาจพระบิดาได้แล้ว ทรงปลงพระชนม์พระบิดาเช่นกัน นับเป็นราชวงศ์ปิตุฆาตโดยแท้ นับจากพระเจ้าอชาตศัตรูยึดอำนาจจากพระเจ้าพิมพิสารมา
พระเจ้ามุณฑกะมีพระโอรส ๑ พระองค์คือเจ้าชายนาคทาสกะ ครองราชย์อยู่ไม่นานเช่นกันเพียง ๔ ปีที่ครองราชย์ก็ถูกยึดอำนาจ รวมครองราชสมบัติ ๔ ปี

ต่อมา พ.ศ. ๔๘ เจ้าชายนาคทาสกะ (Nagadasaka) โดยการสนับสนุนของอำนาตย์ ราชบริพารบางคนยึดอำนาจจากพระบิดาสำเร็จ แล้วปกครองนครปาฏลีบุตรสืบมา ในช่วงปลายราชการบ้านเมืองเกิดจลาจล หลายฝ่ายมองว่าราชวงศ์นี้เป็นวงศ์ปิตุฆาตมาโดยตลอด ปกครองไปจะนำความอับจนความเป็นเสนียดมาสู่ราชอาณาจักรจึงสนับสนุนอำมาตย์สุสูนาคเป็นกบฏและยึดอำนาจสำเร็จ พระเจ้านาคทาสกะครองราชบัลลังก์มาได้ ๒๔ ปี จนถึง พ.ศ. ๗๒ ก็สวรรคต

ในด้านสังฆมณฑล กษัตริย์ราชวงศ์พระเจ้าพิมพิสารทั้ง ๖ พระองค์ด่างสนับสนุนอุปถัมภ์ค้ำชูพุทธศาสนาเป็นอย่างดี จนกระจายไปสู่หลายแคว้น ที่พุทธศาสนาไปไม่ถึง สังฆมณฑลโดยทั่วไปก็ยังไม่เรียบร้อยนักเพราะมีความเห็นผิดหลายประการ โดยเฉพาะมติของพระปุราณะ จนทำให้สังฆมณฑลแยกออกเป็น ๒ ฝ่ายอย่างกลาย ๆ แต่เหตุการณ์ยังไม่รุนแรง เพราะในยุคนั้นพระอรหันตสาวกมีมากจึงยังไม่มีปัญหามากนัก

พ.ศ. ๗๒ อำมาตย์สุสูนาค เป็นกบฏและยึดอำนาจจากพระเจ้านาคทาสกะสำเร็จ ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตรย์ ปกครองราชบัลลังก์ปาฏลีบุตรสืบมา

พระเจ้าสุสูนาคไม่ใช่ราชวงศ์พระเจ้าพิมพิสาร แต่เป็นสายเจ้าลิจฉวี แห่งเมืองเวสาลี มีพระมารดาเป็นหญิงงามเมืองที่เมืองเวสาลี

สมัยนั้นเมืองเวสาลี เป็นที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับความสวยของสตรี และปรากฏว่า มีโสเภณีหลายคน รวมทั้งพระมารดาของพระเจ้าสุสูนาคด้วย ที่มีชื่อเสียงในสมัยพุทกาล คือ นางสาลวดีเป็นผู้มีความสวยงามเป็นเลิศ จึงถูกแต่งตั้งให้เป็นโสเภณี พระเจ้าสุสูนาคมีพระโอรส (เท่าที่ปรากฏ) ๑ พระองค์คือเจ้าชายกาฬาโศก พระองค์ปกครองแคว้นมคธจนถึง พ.ศ. ๙๐ ก็สวรรคต

พ.ศ. ๙๐ หลังจากพระบิดาสวรรคตแล้วเจ้าชายกาฬาโศกก็ขึ้นครองราชสมบัติต่อมา ตำราบางเล่มโยงพระเจ้ากาฬาโศกกับพระเจ้าอโศกเป็นองค์เดียวกัน สร้างความสับสนให้ประวัติศาสตร์ยุคนี้พอสมควร แต่ส่วนมากยังเชื่อว่าเป็นคนละองค์เพราะมีหลักฐานยืนยันหลายเล่ม และระยะเวลาก็ห่างไกลกันมาก

ในสมัยนี้สังฆมณฑลเริ่มเกิดความยุ่งยาก เพราะมีคณะภิกษุกลุ่มหนึ่งละเมิดพระธรรมวินัยที่เมืองเวสาลี ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิมคธ จึงเป็นที่มาของการสังคายนาครั้งที่ ๒

ความวิบัติแห่งสีลสามัญญตา

พ.ศ. ๑๐๐ หรือพุทธปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุเมืองเวสาลี (สันสกฤตเรียกว่า ไวศาลี หรือ ไพศาลี Vishali) ได้แตกเป็น ๒ ฝ่าย ด้วยความเห็นขัดแย้งกันในวัตถุ ๑๐ ประการ และเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง วัตถุ ๑๐ ประการนี้ พระพุทธองค์เคยห้ามไว้ แต่พระวัชชีบุตรกล่าวว่าสมควรทำได้

วัตถุ ๑๐ ประการเหล่านี้คือ

๑. สิงคโลณกัปปะ พระภิกษุสั่งสมเกลือในกลักเขาเป็นต้น แล้วนำไปผสมอาหารอื่น ฉันได้ไม่เป็นอาบัติ ซึ่งผิดพุทธบัญญัติว่า ภิกษุสั่งสมของเคี้ยวของฉัน เป็นอาบัติปาจิตตีย์
๒. ทวังคุลกัปปะ ภิกษุฉันอาหารเวลาตะวันบ่ายล่วงไปแล้ว ๒ องคุลีได้ไม่เป็นอาบัติ ซึ่งขัดกับพระบัญญัติที่ห้ามภิกษุฉันอาหารในยามวิกาล ถ้าฉันเป็นอาบัติปาจิตตีย์
๓. คามันตรกัปปะ ภิกษุฉันจากวัด แล้วเข้าไปในบ้าน เขาถวายอาหารก็ฉันได้อีกในเวลาเดียวกัน แม้ไม่ได้ทำวินัยกรรมมาก่อนซึ่งขัดกับพระบัญญัติที่ห้ามภิกษุฉันอดิเรก ถ้าฉันต้องอาบัติปาจิตตีย์
๔. อาวาสกัปปะ อาวาสใหญ่มีสีมาใหญ่ ทำอุโบสถแยกกันได้ ในพระวินัยห้ามการทำอุโบสถแยกกัน ถ้าแยกกันเป็นอาบัติปาจิตตีย์
๕. อนุมติกัปปะ ถ้ามีภิกษุที่ควรนำฉันทะมามีอยู่ แต่มิได้นำมาจะทำอุโบสถก่อนก็ได้ แต่พระวินัยห้ามไม่ให้กระทำเช่นนั้น
๖. อาจิณกัปปะ ข้อปฏิบัติอันใดที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครูบาอาจารย์ แม้ประพฤติผิดก็ควร
๗. อมัตถิกกัปปะ ภิกษุฉันอาหารแล้วไม่ได้ทำวินัยกรรมก่อน ฉันนมสดที่ไม่ได้แปลเป็นนมส้มไม่ควร แต่วัชชีบุตรว่าควร
๘. ชโลคิง ปาตุง เหล้าอ่อนที่ไม่ได้เป็นสุราน้ำเมาฉันได้ ซึ่งขัดพระวินัยที่ห้ามดื่มน้ำเมา
๙. อทศกัง นิสีทนัง ภิกษุใช้ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชายก็ควร
๑๐. ชาตรูปรชตัง ภิกษุรับเงินและทองก็ได้

แต่คัมภีร์พุทธศาสนามหายานจารึกด้วยภาษาสันสกฤต ที่มีชื่อว่า เภทธรรมติจักรศาสตร์ กล่าวว่าสังคายนาครั้งนี้ไม่ใช่สาเหตุมาจากวัตถุ ๑๐ ประการ แต่มาจากมติ ๕ ข้อของพระมหาเทวะ สาเหตุที่แท้จริงมาจากมติเหล่านี้คือ

๑. พระอรหันต์อาจถูกมารยั่วยวนได้ด้วยความฝัน
๒. บุคคลเป็นพระอรหันต์ได้โดยไม่รู้ตัวต้องให้ผู้อื่นพยากรณ์
๓. พระอรหันต์ยังมีความสงสัยของพระพุทธเจ้า
๔. บุคคลจะบรรลุพระอรหันต์ได้โดยไม่มีพระพุทธเจ้าไม่ได้
๕. บุคคลจะบรรลุพระอรหันต์ได้ด้วยการเปล่งว่า ทุกข์หนอ ๆ

ประวัติพระมหาเทวะ

สำหรับพระมหาเทวะ ผู้มีมติ ๕ ประการนั้น เดิมเป็นบุตรนายพาณิชย์แห่งแคว้นมถุรา ปรากฏว่าเป็นผู้มีรูปงาม เป็นที่ต้องใจของเพศตรงกันข้าม เมื่อบิดาได้ไปขายสินค้าต่างแดน ได้ลักลอบเป็นชู้กับแม่ของตนเอง เมื่อบิดากลับจากค้าขายก็กลัวความลับแตกจึงลอบฆ่าบิดาเสีย แล้วพามารดาไปเมืองปาฏลีบุตรอยู่กินกันที่นั้น

ต่อมาได้รู้จักพระเถระที่เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ตนสนิทคุ้นเคย เพราะกลัวความลับจะแตกจึงได้ลอบฆ่าท่านเสีย เมื่อมารดาแอบไปมีชู้จึงฆ่ามารดาตัวเองเสีย เกิดความกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำอนันตริยกรรมทั้งฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดาตัวเอง แล้วไปขออุปสมบทที่กุกกฏาราม คณะสงฆ์ไม่ทราบเรื่องที่ได้ก่อ จึงให้อุปสมบทเป็นภิกษุ เมื่อบวชแล้วกลับเป็นผู้มีความจำดี มีเสียงไพเราะ มีรูปร่างดี จึงมีชื่อเสียงทั่วกรุงปาฏลีบุตร

ต่อมาคืนหนึ่งได้ฝันถึงกามวิตกทำให้อสุจิเคลื่อน เมื่อให้ศิษย์ไปซักให้ตอนเช้า เมื่อศิษย์เห็นจึงกล่าวว่า ผู้เป็นอรหันต์ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่หรือ ท่านกล่าวว่า พระอรหันต์อาจถูกมารกวนในความฝันได้

ต่อมาพระมหาเทวะต้องการยกย่องลูกศิษย์ จึงกล่าวว่าคนนี้เป็นโสดาบัน คนนี้เป็นพระอรหันต์ เมื่อศิษย์ (ผู้ที่ได้รับการพยากรณ์ว่าตนเป็นพระอรหันต์) ถามว่าคนที่เป็นพระอรหันต์ย่อมมีความรอบรู้ในทุกสิ่งมิใช่หรือ เหตุใดตนจึงไม่ทราบอะไร พระมหาเทวะจึงตอบว่า พระอรหันต์อาจจะไม่รู้ได้บางเรื่องต้องให้คนอื่นพยากรณ์จึงจะทราบ เมื่อศิษย์ถามต่อว่า ธรรมดาพระอรหันต์ย่อมไม่กังขาในธรรม แต่เหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่แจ่มแจ้งในธรรม

พระมหาเทวะตอบว่า ธรรมดาพระอรหันต์ย่อมมีความกังขาได้ ต่อมาศิษย์ถามต่อว่า ธรรมดาพระอรหันต์ทั้งหลายย่อมรู้แจ้งด้วยตนเองว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่ครบแล้ว แต่เหตุใดข้าพเจ้าต้องให้อาจารย์พยากรณ์ให้

พระมหาเทวะตอบว่า พระอรหันต์ต้องให้คนอื่นพยากรณ์ เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็อาศัยพระพุทธองค์พยากรณ์ และต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เมื่อท่านทำกรรมมาก ๆ เข้าจึงเกิดความทุกข์ร้อนรนในใจจึงเปล่งอุทานว่า ทุกข์หนอ ๆ เมื่อศิษย์ได้ยินและถามว่า เมื่อเป็นพระอรหันต์เหตุใดจึงมีทุกข์ พระมหาเทวะตอบว่า ผู้จะบรรลุธรรมได้ต้องอุทานว่าทุกข์หนอ ๆ เป็นเพราะท่านเป็นพระธรรมกถึกมีลูกศิษย์มากจึงรวบรวมพรรคพวกได้มาก และนี้คือสาเหตุการทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ตามนัยคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ ของพระวสุมิตร แต่หลักฐานยังไม่เป็นที่เชื่อถือมากนัก ส่วนมากยังถือว่าเหตุสังคายนามาจากวัตถุ ๑๐ ประการของภิกษุวัชชีบุตรซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

ต่อมาพระยสเถระ ซึ่งเป็นบุตรของกากัณฑพราหมณ์ ได้เดินทางมาจากเมืองโกสัมพีมายังเมืองเวสาลี และเมื่อทราบเหตุเหล่านี้จึงเข้าไปห้ามปราม แต่ภิกษุเหล่านั้นหาเชื่อฟังไม่

นอกจากนั้นพวกภิกษุ ได้นำถาดทองสัมฤทธิ์ใส่น้ำเต็มเปี่ยมไปตั้งไว้ในโรงอุโบสถ ให้ทายกทายิกาใส่เงินลงไปในถาดนั้น เพื่อถวายภิกษุแล้วนำไปแจกและได้แบ่งส่วนให้พระยสะด้วย แต่พระยสะไม่ยอมรับทั้งได้กล่าวติเตียนภิกษุชาววัชชี ว่าการกระทำนี้ขัดต่อพุทธบัญญัติ เป็นความผิดทั้งผู้รับ ทั้งผู้ถวาย พวกภิกษุวัชชีบุตรไม่พอใจ

จึงประกาศลงปฏิสาราณิยกรรมแก่พระยสะ โดยให้ท่านไปขอขมาโทษทายกเสีย แทนที่จะไปขอขมาโทษตามคำแนะนำของภิกษุชาววัชชี แต่พระยสะกลับชี้แจงแก่ทายก จนทายกเข้าใจและเป็นพวกกับพระเถระ ทายกส่วนมากเข้าใจดีว่าการที่พวกเขาทำไปเช่นนั้นเป็นการชอบด้วยธรรมวินัยแล้ว และการกระทำของภิกษุชาววัชชีเป็นการผิด

เมื่อพระยสะปรับความเข้าใจแก่ทายกเช่นนี้แล้ว ก็มีคนเลื่อมใสในพระยสะเป็นอันมาก ภิกษุชาววัชชีเมื่อได้รับข่าวทราบนั้นก็พากันแสดงความโกรธ ให้ลงโทษพระยสะ คือประกาศจะทำอุกเขปนียกรรม ถึงกับได้พากันห้อมล้อมกุฏิของพระยสะ แต่ท่านทราบเสียก่อน จึงได้หลบหนีไปยังเมืองโกสัมพี เมื่อไปถึงเมืองโกสัมพีแล้ว พระยสะได้ส่งข่าวไปให้ภิกษุชาวเมืองปาวาและภิกษุชาวเมืองอวันตีทราบ นิมนต์เหล่านั้นมาประชุมเพื่อตัดสินปัญหาธรรมวินัยและเพื่อป้องกันรักษาพระวินัย จากนั้นพระยสะได้เดินทางไปหาพระสัมภูเถระ ที่อโหคังคบรรพต เพื่อชี้แจงพฤติการณ์ของภิกษุชาววัชชีทั้งหลายให้ท่านทราบ

ต่อมามีภิกษุเดินทางมาจากเมืองปาวา ๖๐ องค์ และจากเมืองอวันตี ๘๐ องค์ มาร่วมประชุมที่อโหคังคบรรพต ทุกท่านล้วนเป็นพระขีณาสพ ภิกษุทั้งหลายที่ได้เดินทางมาร่วมกัน ณ สถานที่แห่งนั้นได้จัดการประชุมกันขึ้น ที่ประชุมได้มีมติว่าควรนิมนต์ท่านเรวตเถระเข้าร่วมประชุมด้วย เพราะท่านเป็นขีณาสพ เป็นลูกศิษย์ของพระอานนท์ เป็นผู้มีพรรษายุกาลมาก ทั้งยังแตกฉานในพระธรรมวินัย เป็นที่เลื่อมใสของภิกษุหมู่ใหญ่ จึงได้จัดส่งพระภิกษุไปนิมนต์ท่าน ที่เมืองโสเรยยะ ใกล้เมืองตักสิลา แต่ไม่พบท่าน ทราบว่าท่านเดินทางไปยังสหชาตินครในแคว้นเจตี พระภิกษุเหล่านั้นได้ติดตามท่านไปยังเมืองสหชาตินคร

ฝ่ายภิกษุชาวเมืองวัชชี เมื่อได้ทราบข่าวว่าภิกษุที่เป็นฝักฝ่ายของพระยสะที่เดินทางมาจากปาวาและอวันตี กำลังร่วมชุมนุมกันเพื่อตัดสินอธิกรณ์ของพวกตนจึงได้จัดพระภิกษุไปนิมนต์ท่านเรวตเถระ ที่สหชาตินครเพื่อมาเป็นฝักฝ่ายของตน ได้ส่งสมณบริขาร เป็นต้นว่าบาตร จีวร กล่องเข็มผ้านิสีทนะและผ้ากรองน้ำไปถวายพระเรวตเถระ ภิกษุชาววัชชีเหล่านั้นได้ลงเรือจากเมืองเวสาลีไปยังเมืองสหชาตินคร เมื่อไปถึงแล้วได้ให้พระอุตตระซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระเรวตเถระ นำเข้าถวายบริขารและกราบเรียนพฤติการณ์ทั้งหลายให้ท่านทราบตลอดทั้งได้ขอร้องให้ท่านเข้ามาเป็นฝักฝ่ายของตนด้วย

พระเรวตเถระไม่เห็นดีด้วย เพราะท่านเห็นว่าวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนั้นไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย จึงทำให้พระภิกษุชาววัชชีผิดหวัง เสียใจมากเพราะได้ขาดแรงสนับสนุนที่สำคัญไปจึงเดินทางกลับไปยังเมืองเวสาลี ได้ขอความช่วยเหลือจากบ้านเมือง ฝ่ายพระเจ้ากาลาโศกได้ถวายความอุปถัมภ์และคุ้มครอง ป้องกันภิกษุชาววัชชี มิให้ภิกษุสงฆ์ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาเบียดเบียนได้

ครั้งต่อมา มีนางภิกษุณีองค์หนึ่งชื่อว่า นันทาเถรี ซึ่งได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว เป็นพระญาติองค์หนึ่งของพระเจ้ากาลาโศกทราบข่าวการแตกสามัคคีของพระสงฆ์ จึงได้เข้าไปห้ามมิให้พระเจ้ากาลาโศกหลงเชื่อคำของภิกษุของชาววัชชี ซึ่งพระเจ้ากาลาโศกได้ทรงนิมนต์พระสงฆ์ทั้งสองฝ่ายมาร่วมประชุม และเมื่อทรงทราบความเป็นไปโดยละเอียดของสงฆ์ทั้งสองฝ่ายแล้ว พระองค์ทรงกลับพระทัยมาบำรุงอุปถัมภ์ภิกษุผู้เป็นฝักฝ่ายของพระยสะหรือภิกษุฝ่ายวินัยวาที

ฝ่ายภิกษุฝ่ายวินัยวาที ครั้งแรกก็ได้ตั้งใจว่าจะพิจารณาหาทางระงับอธิกรณ์เสียที่สหชาตินครนั้น แต่พระเรวตเถระไม่เห็นด้วยที่จะทำกันในที่นั้น โดยให้เหตุผลว่าควรไปทำที่เมืองเวสาลี เพราะเหตุเกิดที่เมืองไหนควรไประงับที่เมืองนั้น ที่ประชุมเห็นด้วย จึงได้เดินทางไปเมืองเวสาลีเพื่อประชุมสังคายนา

สังคายนาครั้งที่ ๒

แล้วคณะสงฆ์โดยการนำของพระสัพพกามีจึงจัดให้มีการประชุมสังคายนาครั้งที่ ๒ กันขึ้น ที่ว่าลุการาม (อารามดินทราย) เมืองเวสาลีในการประชุมครั้งนี้ มีพระอรหันต์เข้าร่วมประชุมถึง ๗๐๐ รูป ทำให้การประชุมไม่ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เพราะเนื่องจากมีผู้เข้าร่วมประชุมมากไป ต้องใช้เวลาถกเถียงกันเป็นเวลานาน ที่ประชุมจึงได้ตกลงเลือกเอาพระขีณาสพที่มาจากประเทศตะวันออก ๔ รูป คือ

๑. พระสัพพกามี
๒. พระสาฬหะ
๓. พระกุชชโสภิตะ
๔. พระวาสภคามิกะ

ทำหน้าที่วินิจฉัยอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นและจากประเทศ ตะวันตก (เมืองปาวา) อีก ๔ รูป คือ

๑. พระเรวตะ
๒. พระสาณสัมภูตะ
๓. พระยศกากัณฑบุตร
๔. พระสุมนะ

มีหน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายสงฆ์ธรรมวาที มีหน้าที่เสนออธิกรณ์ต่อสงฆ์ รวมทั้งหมด ๘ รูป เป็นผู้ทำการสาธยาย พระธรรมวินัยและนำอธิกรณ์เข้าสู่สงฆ์เพื่อระงับ และในจำนวน ๘ รูปนี้ ๖ รูป เป็นลูกศิษย์ของพระอานนท์ คือ พระสัพพกามี, พระเรวตะ, พระกุชชโสภิตะ, พระสาณสัมภูตะ และ พระยศกากัณฑบุตร อีก ๒ รูป คือ พระวาสคามิกะ และพระสุมนะ เป็นลูกศิษย์ของพระอนุรุทธะ ที่ประชุมได้ตกลงแต่งตั้งให้ พระอชิตะ เป็นผู้จัดสถานที่ ประชุมสังคายนา พระสัพพกามี เป็นประธานในที่ประชุม

พระอรหันต์ทั้ง ๗๐๐ องค์ เริ่มทำสังคายนา ครั้งที่ ๒ ที่เวลุการาม นครไวศาลี สาเหตุที่คณะสงฆ์เลือกเอาพระสัพพกามีเป็นประธานในที่ประชุมนั้นเพราะท่านเป็นผู้มีพรรษายุกาลมาก คือ มีพรรษา ๑๒๐ ปี แก่กว่าพระภิกษุทั้งหลายในที่ประชุม ทั้งเป็นผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ตั้งอยู่ในฐานะควรเคารพสักการะของภิกษุและประชาชนทั่วไป

การประชุมครั้งสุดท้ายนี้ มีพระขีณาสพเข้าร่วมเพียง ๘ รูปเท่านั้น และได้ตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่า การปฏิบัติของภิกษุชาววัชชีไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัยได้ประชุมกันที่วาฬุการามนอกเมืองเวสาลี พระเจ้ากาฬาโศกอุปถัมภ์ ๘ เดือน จึงสำเร็จ

ฝ่ายพระวัชชีบุตรเมื่อไม่ได้การอุปถัมภ์จึงเสียใจ แล้วพร้อมใจกันไปทำสังคายนา ต่างหากที่เมืองปาฏลีบุตรมีผู้เข้าร่วมถึง ๑๐,๐๐๐ รูป เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ เพราะมีพวกมาก เป็นอันว่าพุทธศาสนามหายานเริ่มมีเค้าเกิดขึ้นในสมัยนี้เองเพราะเหตุแห่งความขัดแย้งนี้

บทสรุปการสังคายนาครั้งที่ ๒

๑. ทำที่วาลิการาม (หรือวาลุการาม) เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี
๒. พระสัพพกามีมหาเถระเป็นประธาน
๓. พระอชิตะเป็นผู้จัดสถานที่การประชุม
๔. พระเจ้ากาฬาโศกเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
๕. พระอรหันต์ ๗๐๐ รูปเข้าร่วมประชุม
๖. ได้ยกวัตถุ ๑๐ ประการมาเป็นเหตุสังคายนา
๗. ใช้เวลาทำ ๘ เดือนจึงสำเร็จ
๘. ทำเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี

สรุปว่า การแตกนิกายในสังคายนาครั้งนี้มีเพียง ๒ นิกายเท่านั้น คือ ฝ่ายพระสัพพกามีเถระ และภิกษุชาววัชชีที่เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ กาลต่อมา จึงแตกออกเป็น ๑๘ นิกายคือ

แยกออกจากเถรวาทดั้งเดิม ๑๑ นิกาย
แยกออกจากมหาสังฆิกะ (มหายาน) ๗ นิกาย

และ ๗ นิกายที่แตกจากมหาสังฆิกะ เกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๐๐

ส่วน ๑๑ นิกายที่แตกจากเถรวาท เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๐๐ เป็นต้นมา

พ.ศ. ๑๑๘ พระเจ้ากาฬาโศก ผู้อุปถัมภ์สังคายนาครั้งที่ ๒ ก็ เสด็จสวรรคต รวมครองราชสมบัติ ณ กรุงปาฏลีบุตรได้ ๒๘ ปี ในหนังสือชินกาลมาลินีกล่าวว่า พระองค์มีพระโอรส ๑๐ ประองค์คือ

๑. เจ้าชายภัทรเสน
๒. เจ้าชายโกรัณฑวรรณ
๓. เจ้าชายมังกร
๔. เจ้าชายสัพพัญชหะ
๕. เจ้าชายชาลิกะ
๖. เจ้าชายสัญชัย
๗. เจ้าชายอุภคะ
๘. เจ้าชาโกรพยะ
๙. เจ้าชายนันทิวัฒนะ
๑๐. เจ้าชายปัญจมตะ

ต่อมาเจ้าชายภัทรเสนและพระอนุชาช่วยกันปกครองปาฏลีบุตรแบบคณะ จนมาถึง พ.ศ. ๑๔๐ ปีก็ถูกโจรนันทะยึดอำนาจสำเร็จ ราชวงศ์สุสูนาคจึงสิ้นสุดลงแค่นี้ รวมเวลาที่พระเจ้าภัทรเสนปกครอง ๒๒ ปี

ต่อมา พ.ศ. ๑๔๐ มหาโจรนันทะ ซ่องสุมผู้คนได้เป็นจำนวนมากแล้วเข้ายึดปาฏลีบุตรจากพระเจ้าภัทรเสนสำเร็จ ตั้งราชวงศ์นันทะขึ้นปราบดาภิเษกตนเองเป็นกษัตริย์ ปกครองแคว้นมคธต่อมา

พระเจ้านันทะ มีพระโอรส ๙ พระองค์คือ

๑. เจ้าชายอุคคเสนนันทะ
๒. เจ้าชายยกนกนันทะ
๓. เจ้าชายจันคุติกนันทะ
๔. เจ้าชายภูติปาละนันทะ
๕. เจ้าชายรัฐปาลนันทะ
๖. เจ้าชายโควิสาณกนันทะ
๗. เจ้าชายทศสิทธิกนันทะ
๘. เจ้าชายเกวัฏฏนันทะ
๙. เจ้าชายธนนันทะ

พระเจ้านันทะปกครองปาฏลีบุตรนานพอสมควรก็สวรรคต เจ้าชายธนนันทะปกครองต่อมา

ในยุคนี้ ที่ชายแดนด้านตะวันตก อาณาจักรมาเซโดเนียของกรีก เริ่มเรืองอำนาจ สามารถยึดอาณาจักรหลายแห่งให้อยู่ในอำนาจได้ ต่อมาพระเจ้าธนนันทะ ก็ถูกจันทรคุปตะซ่องสุมผู้คนเป็นกบฏ ครั้งแรกพระองค์ปราบปรามสำเร็จ แต่ครั้งที่สองก็พ่ายแพ้ต้องสิ้นประชนม์ในสนามรบ รวมราชวงศ์นันทะปกครองมคธ ๒๒ ปี

พุทธศาสนา ๑๘ นิกาย (The eighteen sects)

ร่องรอยแห่งการแบ่งแยกในวงการพุทธศาสนา ได้มีมาตั้งแต่หลังพุทธปรินิพพาน กล่าวคือพระปุราณะไม่ยอมรับการสังคายนาที่จัดโดยพระมหากัสสปะ ณ เมืองราชคฤห์ จึงได้นำคณะสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งไปทำสังคายนาต่างหาก เรียกคณะตัวเองว่ามหาสังคีติ จึงเป็นเหตุให้คณะสงฆ์เริ่มแตกแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย แต่ที่ชัดเจนเริ่มเมื่อ พ.ศ.๑๐๐ เป็นต้นมา หลักฐานที่เขียนเหตุการณ์แตกแยกเป็น ๑๘ นิกายมีปรากฏในคัมภีร์มหาวงส์ และทีปวงส์ของลังกากถาวัตถุ

ในอินเดีย จดหมายเหตุพระถังซัมจังก็กล่าวถึงเช่นกัน และการสังคายนาครั้งที่ ๔ ที่กัศมีร์หรือ ชาลันธร ได้จัดขึ้นก็เพื่อขจัดความขัดแย้งของ ๑๘ นิกายเป็นสำคัญ

นิกายทั้ง ๑๘ นั้นยังแบ่งออกไปอีก ๔ รวมเป็น ๒๒ นิกาย มีโครงสร้างดังนี้



นิกายเหล่านี้ยังแตกออกเป็น ๕ นิกาย คือ
๑๙. อปรเสลิยะ
๒๐. นิกายอุตตรเสลิยะ
๒๑. นิกายอุตตรปถะ
๒๒. นิกายวิภัชชวาทิน
๒๓. นิกายเวตุลลวาท
โดยฝ่ายเถรวาทได้แบ่งออกเป็น ๑๒ นิกายหลังจากพุทธปรินิพพานราว ๒๐๐ ปี ส่วนมหาสังฆิกะนั้นได้เริ่มแบ่งแยกออกเป็นนิกายย่อยราวพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ปี
ในยุคปัจจุบัน มีนิกายหลักๆ ๒ นิกาย คือ เถรวาท และ มหายาน นอกจากนั้นยังมีนิกายย่อยอีกจำนวนมากตามแต่ละประเทศพอสังเขป ดังนี้
เถรวาทในบังกลาเทศ
๑)สังฆราชนิกาย
๒)มหาสถพีรนิกาย
เถรวาทในพม่า
๑)สุธัมมนิกาย
๒)ชเวจินนิกาย
๓)ทวารนิกาย

เถรวาทในศรีลังกา
๑)สยามนิกาย
๒)มัลวัตตะ
๓)อัสคิริยะ
๔)วาทุลวิลา หรือ มหาวิหารวังศิกศยาโมปาลีวนาวาสนิกาย
๕)อมรปุรนิกาย
๖)ธรรมรักษิต
๗)คันดุโบดา หรือ ชเวจินนิกาย
๘)ตโปวนะ หรือ กัลยาณวงศ์
๙)รามัญนิกาย
๑๐)กัลดุวา หรือ ศรีกัลยาณีโยคาศรม สังสถา
๑๑)เดลดูวา

เถรวาทในไทย, กัมพูชา
๑)มหานิกาย
๒)ธรรมยุติกนิกาย

มหายานในอินเดีย
๑)นิกายมัธยมกะ
๒)นิกายโยคาจาร
๓)นิกายจิตอมตวาท
๔)นิกายตันตระ

มหายานในจีน
๑)นิกายโกศะ หรือจวี้เส่อจง
๒)นิกายสัตยสิทธิ หรือเฉิงซื่อจง
๓)นิกายตรีศาสตร์ หรือซานหลุ่นจง
๔)นิกายทศภูมิกะ หรือตี้หลุ่นจง
๕)นิกายนิพพาน หรือเนี่ยผ่านจง
๖)นิกายสังปริคระศาสตร์ หรือเซ่อหลุ่นจง
๗)นิกายสุขาวดี หรือจิ้งถู่
๘)นิกายฌาน หรือฉานจง หรือเซน
๙)นิกายสัทธรรมปุณฑรีกะ หรือเทียนไถ
๑๐)นิกายซันเฉีย หรือซันเจียเจี้ยว
๑๑)นิกายอวตังสกะ หรือ หัวเหยียน
๑๒)นิกายธรรมลักษณะ หรือ นิกายฝ่าเซียง
๑๓)นิกายวินัย หรือลวื้อจง
๑๔)นิกายเจิ้นเหยียน หรือมนตรยาน หรือวัชรยาน

มหายานในเกาหลี
๑)นิกายซัมนอน หรือนิกายตรีศาสตร์
๒)นิกายเกยูล หรือนิกายวินัย
๓)นิกายยอนพัล หรือนิกายนิพพาน
๔)นิกายฮวาออม หรือนิกายอวตังสกะ
๕)นิกายชอนแท หรือนิกายสัทธรรมปุณฑรีกะ
๖)นิกายซอน หรือนิกายเซน
๗)นิกายแทโก
๘)นิกายโชเก

มหายานในญี่ปุ่น
๑)นิกายเทนได
๒)นิกายชินกอน หรือชินงอน
๓)นิกายโจโด
๔)นิกายเซน
๕)นิกายนิชิเรน
๖)นิกายซานรอน
๗)นิกายฮอสโส
๘)นิกายเคงอน
๙)นิกายริตสุ
๑๐)นิกายกุชา
๑๑)นิกายโจจิตสึ

มหายานในเวียดนาม
๑)นิกายจุ๊กลัม

มหายานในทิเบต
๑)นิกายนิงมะ
๒)นิกายกาจู
๓)นิกายสักยะ
๔)นิกายเกลุก

มหายานในเนปาล
๑)นิกายไอศวาริก
๒)นิกายสวาภาวิก
๓)นิกายการมิก
๔)นิกายยาตริก



๐๙. พุทธกิจ ๔๕ พรรษา

พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เป็นหนังสือที่พรรณนาเหตุการณ์เกี่ยวกับพุทธประวัติในครั้งพุทธกาล ตั้งแต่เริ่มประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา พร้อมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ ตลอดเวลาที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ 

พรรษาที่ ๑ จำพรรษาที่อิสิปตนมฤคทายวัน 

•โปรดปัญจวัคคีย์ สังฆรัตนะ เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก 
•โปรดพระยสะ และสหาย ๕๔ คน
ออกพรรษา 
•ให้สาวกมีอำนาจบวชกุลบุตร ได้โดยวิธีให้รับไตรสรณคมน์ 
•โปรดภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป
•โปรดชฎิลสามพี่น้อง บวชเป็นเอหิภิกขุ ๑,๐๐๐ รูป แสดงอาทิตตปริยายสูตรสำเร็จพระอรหันต์หมด 
•ไปราชคฤห์โปรดชาวเมืองและพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน 
•ถวายวัดเวฬุวันเป็นวัดแรก
•ให้สงฆ์สาวกรับอารามที่มีผู้ถวายได้ 
•พระอัญญาโกณฑัญญะบวชปุณณมันตานีบุตร (ลูกน้องสาว) บรรลุอรหันต์
•ได้ ๒ อัครสาวก อุปติสสะและโกลิตะบวชบรรลุเป็นพระอรหันต์ 
•บวชพระมหากัสสปะโดยรับโอวาท ๓ ข้อ 


พรรษาที่ ๒-๔ จำพรรษาที่เวฬุวัน
ออกพรรษา 
•เสด็จเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี 
•สอนพระอานนท์ให้สาธ ยายรัตนสูตร บรรเทาภัยของชาวเมือง 
•พระอานนท์ฟังกถาวัตถุ ๑๐ ประการ (ของพระปุณณมันตาณีบุตร) เป็นพระโสดาบัน 

พรรษาที่ ๓ จำพรรษาที่เวฬุวัน 
•ราชคฤหเศรษฐี ขอสร้างเสนาสนะถวายสงฆ์ เป็นที่พำนักถาวร 
•อนุญาตเภสัช ๕ ชนิด และภัตฯ ประเภทต่างๆ
•อนุญาตการอุปสมบทโดยวิธีญัตติจตุตถกรรม 
•พระสารีบุตรบวชให้ราธะพราหมณ์เป็นรูปแรก
•อนุญาตวันประชุมสงฆ์ และแสดงธรรมใน ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และ ๘ คํ่า ของข้างขึ้นและข้างแรม 

พรรษาที่ ๔ จำพรรษาที่เวฬุวัน
•โปรดหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพระโสดาบัน 
•ถวายชีวกอัมพวันอนุญาตผ้าไตรจีวร ๓ ผืน, ผ้าจีวร ๖ ชนิด 
ออกพรรษา 
•เทศน์โปรดพุทธบิดา สำเร็จพระอรหันต์และนิพพาน และจุดเพลิงพระบรมศพ 


พรรษาที่ ๕ จำพรรษาที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน นอกเมืองเวสาลี 
•พระนางประชาบดี ยอมรับคุรุธรรม ๘ ประการ บวชเป็นภิกษุณีองค์แรก แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ 
•พระนางยโสธราบวชในสำนักพระนางประชาบดีเถรี บรรลุเป็นพระอรหันต์
•นางรูปนันทา บวชตามหมู่ญาติ ทรงแสดงฤทธิ์โปรด สำเร็จเป็นพระอรหันต์ 
ออกพรรษา 
•เสด็จไปภัททิยนคร แคว้นอังคะ โปรดเมณฑกะเศรษฐี ธนัญชัยเศรษฐี นางวิสาขาและหมู่ญาติ เป็นพระโสดาบัน 
•ทรงอนุญาตโครสทั้ง ๕ ทรงอนุญาตนํ้าผลไม้ทุกชนิด (เว้นนํ้ากับเมล็ดนํ้าข้าวเปลือก) นํ้าใบไม้ทุกชนิด (เว้นนํ้าผักดอง) นํ้าดอกไม้ทุกชนิด (เว้นนํ้าดอกมะซาง) นํ้าอ้อยสด ทรงอนุญาตให้ฉันผักสดทุกชนิด และของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ให้ฉันผลไม้ได้ทุกชนิด 
•แสดงมหาปเทส ๔ สิ่งที่ควรและไม่ควรสำหรับสงฆ์

พรรษาที่ ๖ จำพรรษาที่มกุลบรรพต แคว้นมคธ
•ห้ามพระภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ 
•ปรารภจะแสดงยมกปาฏิหาริย์เอง 
ออกพรรษา 
•เดียรถีย์สร้างสำนักหลังวัดเชตวัน พระเจ้าปเสนทิโกศล เปลี่ยนเป็นสร้างอารามสำหรับภิกษุณี เรียกราชการาม 
•เพ็ญเดือน ๘ แสดงยมกปาฏิหาริย์ นอกเมืองสาวัตถี



พรรษาที่ ๗ จำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 
•แสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาตลอดไตรมาสจนบรรลุเป็นพระโสดาบัน
•เรื่องอังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตร 
•ลงจากชั้นดาวดึงส์ ที่ประตูเมืองสังกัสสะ 
ออกพรรษา 
•เสด็จกรุงสาวัตถี 
•ปรารภเรื่องนางปฏิปูชิกา ภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร 
•นางจิญจมาณวิกาใส่ความพระพุทธเจ้า ถูกธรณีสูบลงอเวจีมหานรก 


รรษาที่ ๘ จำพรรษาที่เภสกฬาวัน ภัคคชนบท 
•บิดาของสิงคาลกมานพบวช บรรลุพระอรหันต์
ออกพรรษา 
•บัญญัติสิกขาบทเรื่องการผิงไฟของภิกษุ 
•โปรดมาคันทิยาพราหมณ์และภรรยา จนขอบวชทั้ง ๒ คนแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ 
•นางมาคันทิยาผู้เป็นธิดาผูกจิตอาฆาตในพระศาสดา 
•เศรษฐีโกสัมพี ๓ คนตามไปฟังธรรมที่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีบรรลุเป็นพระโสดาบันและได้สร้าง โฆสิตาราม ปาวาริการาม และกุกกุฏาราม ถวายที่โกสัมพี

 
พรรษาที่ ๙ จำพรรษาที่โกสัมพี 
•เรื่องนางสามาวดี ได้เป็นมเหสีพระเจ้าอุเทน ถูกนางมาคันทิยาวางแผนเผาทั้งปราสาทจนตาย 
ออกพรรษา 
•สงฆ์ที่โฆสิตาราม โกสัมพี แตกความสามัคคี 


พรรษาที่ ๑๐ จำพรรษาที่รักขิตวัน (ป่าปาริเลยยกะ) อยู่ระหว่างกรุงโกสัมพีกับกรุงสาวัตถี 
•ช้างปาริเลยยกะและวานรถวายอุปัฏฐากพระพุมธองค์
ออกพรรษา 
•หมู่สงฆ์ชาวโกสัมพีมาขอขมาต่อพระองค์ทำให้สังฆสามัคคี 


พรรษาที่ ๑๑ จำพรรษาที่หมู่บ้านพราหมณ์ เอกนาลา ใต้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ 
ออกพรรษา (ไม่ปรากฏหลักฐาน) 


พรรษาที่ ๑๒ จำพรรษาที่ควงไม้สะเดาเมืองเวรัญชา 
•ทรงไม่อนุญาตให้มีการบัญญัติสิกขาบท 
ออกพรรษา 
•เรื่องเอรกปัตตนาคราช
•พระนางปชาบดีเถรี ทูลลานิพพาน ประชุมเพลิง 
•การอุปสมบท ๘ วิธี 


รรษาที่ ๑๓ จำพรรษา ที่จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา
•เรื่องพระเมฆิยะ 
ออกพรรษา 
•แสดงมงคลสูตร ๓๘ ประการ 
•แสดงกรณีเมตตาสูตร 
•เรื่องพระพาหิยะทารุจิริยะ 
•พระอัญญาโกณฑัญญะทูลลานิพพาน 


พรรษาที่ ๑๔ จำพรรษา ที่วัดเชตวัน สาวัตถี 
•สามเณรราหุลอุปสมบท
•ตรัสภัทเทกรัตตคาถา 
•แสดงนิธิกัณฑสูตร 
ออกพรรษา 
•บัญญัติวิธีกรานกฐิน
•อนุญาตสงฆ์ รับการปวารณาปัจจัยเภสัชเป็นนิตย์  


พรรษาที่ ๑๕ จำพรรษาที่นิโคธาราม กรุงกบิลพัสดุ์
•เจ้าศากายะถวายสัณฐาคาร 
•แสดงสัปปุริสธรรม ๗ ประการ 
•เรื่องพระเจ้าสุปปพุทธะถูกธรณีสูบลงอเวจี 
ออกพรรษา (ไม่ปรากฏหลักฐาน)

พรรษาที่ ๑๗ จำพรรษาที่วัดเวฬุวัน
•พระทัพพมัลลบุตรทูลลานิพพาน
ออกพรรษา
•เรื่องพระวักกลิ

พรรษาที่ ๑๘ จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา ออกพรรษา
•เสด็จเมืองอาฬาวี ครั้งที่ ๒
•โปรดธิดาช่างหูกบรรลุโสดาปัตติผล
•ช่างหูกผู้เป็นบิดาขอบวชสำเร็จอรหัตตผล
•ตรัสอริยทรัพย์ ๗ ประการ

พรรษาที่ ๑๙ จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เขตเมืองจาลิกา
ออกพรรษา
•เรื่องโปรดโจร องคุลีมาล
•เรื่องสันตติมหาอำมาตย์บรรลุอรหัตตผลแล้วนิพพาน

พรรษาที่ ๒๐ จำพรรษาที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์
•พระอานนท์ได้เป็นอุปัฏฐากประจำพระองค์
•พระอานนท์ทูลขอพร ๘ ประการ

พรรษาที่ ๒๑-๔๕ จำพรรษาที่วัดเชตวัน หรือ วัดบุพพาราม สลับกันไป
ออกพรรษา จาริกไปตามตำบลต่างๆ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณพรรษาที่๒๑ จำวัดที่บุพพารามสาวัตถี
•พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโทกข์ในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ครั้งแรก ประมาณพรรษาที่๒๖
•พระราหุลนิพพาน

พรรษาที่๓๗ เทวทัตคิดปกครองสงฆ์
•วางแผนปลงพระชนม์พระศาสดา
•ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร
•พระเทวทัตถูกธรณีสูบ

พรรษาที่๓๘ แสดงสามัญญผลสูตรแก่อชาตศัตรู
•อชาตศัตรูแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
•กรุงสาวัตถี อำมาตย์ก่อการขบถ
•พระเจ้าปเสนทิโกศลสิ้นพระชนม์
•พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าล้างวงศ์ศากยะ
•พระเจ้าวิฑูฑภะสิ้นพระชนม์

พรรษาที่๔๓
พระยโสธราเถรีนิพพาน

พรรษาที่๔๔ แสดงธรรมที่วัดเชตวัน
•ตอบปัญหาเทวดา
ออกพรรษา
•พระสารีบุตรทูลลานิพพาน
•พระสารีบุตรโปรดมารดาจนบรรลุโสดาปัตติผลพระสารีบุตรนิพพาน
•พระโมคคัลลานะถูกโจรที่เดียรถีย์จ้างมาทำร้าย
•พระโมคคัลลานะนิพพาน
•นางอัมพปาลีถวายอาราม นางอัมพปาลีบรรลุธรรม

พรรษาที่๔๕ ภิกษุจำพรรษารอบกรุงเวสาลี
•ตรัสอานุภาพอิทธิบาท ๔
•ทรงปลงอายุสังขาร ตรัสโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
•นายจุลทะถวายสุกรมัททวะ
•ตรัสถึงสังเวชนียสถาน ๔แห่ง
•วิธีปฏิบัติกับพุทธสรีระปัจฉิมโอวาทแก่ภิกษุ
•เสด็จปรินิพพาน

คุณแห่งการฉันทอาหารหนเดียว

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภัททาลิสูตร คุณแห่งการฉันอาหารหนเดียว

ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว เมื่อเราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว ย่อมรู้สึกคุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลัง และอยู่สำราญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายจงมา จงฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียวเถิด ด้วยว่า เมื่อเธอทั้งหลายฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว จักรู้สึกคุณคือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลัง และอยู่สำราญ

พระภัททาลิฉันอาหารหนเดียวไม่ได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระภัททาลิได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่สามารถจะฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียวได้ เพราะเมื่อข้าพระองค์ฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว จะพึงมีความรำคาญ ความเดือดร้อน

ดูกรภัททาลิ ถ้าอย่างนั้น เธอรับนิมนต์ ณ ที่ใดแล้ว พึงฉัน ณ ที่นั้นเสียส่วนหนึ่งแล้ว นำส่วนหนึ่งมาฉันอีกก็ได้ เมื่อเธอฉันได้ แม้อย่างนี้ ก็จักยังชีวิตให้เป็นไปได้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่สามารถจะฉันแม้ด้วยอาการอย่างนั้นได้ เพราะเมื่อข้าพระองค์ฉันแม้ด้วยอาการอย่างนั้น จะพึงมีความรำคาญ ความเดือดร้อน

ครั้งนั้นแล ท่านพระภัททาลิประกาศความไม่อุตสาหะขึ้นแล้ว ในเมื่อพระผู้มีพระภาคกำลังจะทรงบัญญัติสิกขาบทในเมื่อภิกษุสงฆ์สมาทานอยู่ซึ่งสิกขา ครั้งนั้นแล ท่านพระภัททาลิไม่ได้ให้ตนประสบพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคตลอดไตรมาสนั้นทั้งหมดเหมือนภิกษุอื่น ผู้ไม่ทำความบริบูรณ์ในสิกขาในพระศาสนาของพระศาสดาฉะนั้นฯลฯ

อาการฉันทอาหารของพระพุทธเจ้า
๑) ไม่ติดในรส พระพุทธเจ้าแม้พระองค์จะอุบัติขึ้นในโลก แต่พระองค์ก็ไม่ทรงติดโลก ในเรื่องอาหารก็เช่นเดียวกันพระองค์เสวยอาหารแต่พระองค์ก็ไม่ทรงยึดติดในรสอาหารทุกชนิด โดยที่พระองค์ไม่ยินดียินร้ายกับรสอาหารว่าอร่อยหรือไม่อร่อย แต่ทรงมุ่งประโยชน์หรือคุณค่าแท้เป็นหลักใหญ่ของการบริโภค พระองค์ทรงวางท่าทีต่อการเสวยพระกระยาหารโดยไม่ทำความยินดียินร้ายในอาหารทำให้ทรงเห็นเป็นเพียงธาตุ

ในพรหมายุสูตร ได้กล่าวถึงการไม่ติดในรสของพระองค์ไว้ว่า เมื่อทรงรับข้าวสุกก็ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงยื่นบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรคอยรับ ทรงรับข้าวสุกไม่น้อยนักไม่มากนัก ทรงรับกับข้าว เสวยพระกระยาหารพอประมาณกับข้าว ไม่ทรงทำกับข้าวให้เกินกว่าคำข้าวทรงเคี้ยวคำข้าวข้างในพระโอษฐ์สองสามครั้งแล้วทรงกลืน ข้าวยังไม่ละเอียด ไม่ทรงกลืนลงไป ไม่มีข้าวเหลืออยู่ในพระโอษฐ์จึงน้อมคำข้าวอีกคำหนึ่งเข้าไป ทรงมีปกติกำหนดรสอาหารแล้วเสวยอาหาร แต่ไม่ทรงติดในรส แต่พระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารด้วยความมีสติพิจารณาและมีเป้าหมาย ดังความในพระสูตรเดียวกันว่า ท่านพระโคดมพระองค์นั้นเสวยพระกระยาหารประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ
    ๑. ไม่เสวยเพื่อเล่น
    ๒. ไม่เสวยเพื่อมัวเมา
    ๓. ไม่เสวยเพื่อประดับ
    ๔. ไม่เสวยเพื่อตกแต่ง
    ๕. เสวยเพื่อดำรงพระวรกายนี้ไว้
    ๖. เสวยเพื่อยังพระชนม์ให้เป็นไปได้
    ๗. เสวยเพื่อป้องกันความลำบาก
    ๘. เสวยเพื่อทรงอนุเคราะห์พรหมจรรย์
พระองค์ทรงเน้นย้ำให้เห็นการเข้าใจความจริงของการบริโภคเพื่อการพัฒนาจิตใจและ ปัญญาของผู้บริโภคให้สูงกว่าการติดอยู่แค่รสอาหารที่บริโภค ไม่ให้หลงใหลในความอร่อยความน่า ปรารถนาที่ยั่วยวน ซึ่งจะเป็นตัวชนวนนำไปสู่การไม่ได้ใช้ปัญญา
      
๒) ไม่ตำหนิอาหาร พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นผู้วางใจเป็นกลางในอาหารที่จะได้รับ ไม่ทรงติหรือชมอาหารที่เขาน้อมมาถวาย แม้ว่ากันโดยชาติกำเนิดพระองค์กำเนิดในตระกูลกษัตริย์พระกระยาหารที่เสวยก็ เป็นอาหารของชาววัง ซึ่งมีความพิเศษกว่าอาหารของชาวบ้านธรรมดาแทบเทียบกันไม่ได้ แต่เมื่อ พระองค์ออกบวชแล้วพระองค์ก็ไม่ทรงรังเกียจอาหารที่ชาวบ้านนำมาถวาย จะเป็นคนรวยหรือคนจน เข็ญใจ พระองค์มิได้ทรงเลือกรับเฉพาะที่ดีหรือเลิศ แต่พระองค์ทรงรับด้วยความอนุเคราะห์ประการ หนึ่ง อีกประการหนึ่งเพราะพระองค์ไม่ตำหนิอาหารไม่ทำศรัทธาของทายกให้ตกไป เห็นได้จากตัวอย่างที่พระองค์ไม่ทรงตำหนิอาหารของคนจน และอนุเคราะห์คนจน เช่น ชายยากจนเข็ญใจคนหนึ่ง มีความประสงค์จะเลี้ยงพระภิกษุสักรูปหนึ่ง

เมื่อได้รับการชักชวนทั้งที่ตนก็ทำงานรับจ้าง จะได้กินอิ่มแต่ละวันยังยาก แต่ก็รับที่จะเลี้ยงพระภิกษุสักรูปหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ลืมจัดพระภิกษุให้แก่เขา เหลือเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเขาจึงเข้าไปทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าพระองค์ก็รับอาราธนาไปฉัน ที่บ้านคนเข็ญใจนั้น

พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ปรินิพพานในปัจจุบันว่า รสที่พึงรู้แจ้งทางลิ้นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่พาใจให้กำหนัดมีอยู่ ถ้าภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่เชยชม ไม่ยึดติดรสนั้นอยู่ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่เชยชม ไม่ยึดติดรสนั้น วิญญาณที่อาศัยตัณหานั้นก็ไม่มีความยึดมั่นตัณหานั้นก็ไม่มีภิกษุผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน

การไม่ติชมอาหารของพระพุทธองค์ด้วยอาศัยอาหารของชาวบ้านเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ แม้พระองค์จะอาศัยภัตที่เป็นเดนที่ผู้อื่นให้แล้ว พระองค์ก็ทรงสรรเสริญการให้ทานของทายก อาหารที่เขาถวายเป็นของควรแก่สมณะ การไม่เลือกอาหารว่าดีเลิศหรือเลวทราม เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นข้อว่าพระองค์ไม่ได้บริโภคอาหารด้วยความยึดติดและทำพระองค์เป็นผู้เลี้ยงง่าย บนพื้นฐานของความเรียบง่าย ไม่ยุ่งยากกับการเลี้ยงดู แต่ให้ความสำคัญทางด้านการพัฒนาจิตใจและปัญญามากกว่าการยินดีด้วยรสที่สนองการเสพ

๓) การฉันอาหารมื้อเดียว การออกบวชของพระพุทธองค์ทรงวางเป้าหมายไว้ คือ การแสวงหาโมกขธรรมทางดับทุกข์ด้วยวิธีการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ได้เสียเวลาอยู่กับการบริโภคอาหาร เพื่อประหยัดเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันไม่ให้สูญเสียไปกับเรื่องที่เกี่ยวเนื่องด้วยอาหารและการขบฉันของพระภิกษุ พระองค์จึงทรงประพฤติเป็นแบบอย่างโดยการบริโภคอาหารวันละมื้อ และแนะนำชักชวนพระภิกษุทั้งหลายให้ประพฤติตาม พระองค์ได้ทรงแสดงข้อดีของการฉันมื้อเดียวว่า ภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารมื้อเดียว เราเมื่อฉันอาหารมื้อเดียว ย่อมรู้สึกว่าสุขภาพดีมี โรคาพาธน้อย กระปรี้กระเปร่า มีพลานามัยสมบูรณ์อยู่สำราญ โดยธรรมดาของคนทั่วไปการบริโภคอาหารสามารถบริโภคได้ทั้งวัน แต่คิดจากการบริโภค อาหารตามปกติวันละ ๓ มื้อ นับเวลาที่ต้องเสียไปกับการเตรียมอาหารที่จะบริโภค เวลาในการ บริโภค เมื่อบริโภคแล้วต้องเสียเวลาในการจัดเก็บทำความสะอาดภาชนะและสถานที่ รวมกันแล้ว ต้องเสียเวลาไปกับการที่บริโภคนี้มาก ยิ่งบริโภคมากก็ยิ่งเสียเวลามาก ซึ่งเป้าหมายของผู้ออกบวช คือการทำที่สุดทุกข์ให้แจ้ง คือเป็นผู้พ้นจากความทุกข์วิมุตติถ้ายุ่งอยู่กับเรื่องการบริโภคมากเกินไป ก็จะไม่มุ่งมั่นต่อการปฏิบัติธรรมเป้าหมายก็อาจจะคลาดเคลื่อนไป หรือไปไม่ถึงเป้าหมายของการ ออกบวชได้

การฉันมื้อเดียวของพระภิกษุมีคุณต่อผู้ออกบวชอย่างยิ่ง พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงคุณ ของการไม่บริโภคอาหารกลางคืนไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ฉันโภชนะในราตรีเลย เราเมื่อไม่ฉันโภชนะในราตรีก็รู้สึกว่าสุขภาพดีมีโรคาพาธน้อย กระปรี้กระเปร่า มีพลานามัยสมบูรณ์อยู่สำราญ



กิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘

กิเลส ๑,๕๐๐

สิ่งที่ทําให้เกิดกิเลส หรือ อารมณ์ของกิเลส ที่เกิดจากภายใน คือ ตัวเรา มี ๗๕ และ กิเลสที่เกิดจากภายนอก คือ คนอื่น มี ๗๕ รวมเป็น ๑๕๐ 
  
ตัวเรา ก็คือ รูป - นาม (รูป ๒๒ – นาม ๕๓) = ๗๕ คนอื่น ก็คือ รูป - นาม (รูป ๒๒ - นาม ๕๓) = ๗๕  รวมเป็น ๑๕๐ 

ตัวเรา คือ รูป– นาม รวมได้ ๗๕ เป็นอย่างไร? คนอื่น คือรูป –นามรวมได้ ๗๕ เป็นอย่างไร?  
ตัวเราและคนอื่น ประกอบด้วย นาม มีองค์ประกอบคือ จิต๑ เจตสิก ๕๒ 
รูป มีองค์ประกอบคือ นิปผันนรูป ๑๘ ลักขณรูป ๔ รวมรูป+นาม = ๗๕ 

กิเลสภายในคือ ตัวเรา มี ๗๕ เป็นอารมณให้ คนอื่น เกิดกิเลสได้ เช่น มีคนมารัก เรา หรือ เกลียด เรา
กิเลสภายนอก คือ คนอื่น มี ๗๕ เป็นอารมณให้ เรา เกิดกิเลสได้ เช่น ทําให้เรารัก หรือทําให้เราเกลียด กิเลส มี ๑๐ อารมณ์ของกิเลสจากตัวเราและตัวเขา มี ๑๕๐ (๑๕๐ x ๑๐ = กิเลส ๑,๕๐๐)  

อาการของกิเลส  
กิเลสทั้งหลายไม่ว่าจะนับว่ามี๑๐หรือมี๑,๕๐๐ก็ตามเมื่อพิจารณาถึงอาการของกิเลสแล้วกิเลส ทั้งหลายก็มีอาการ๓ประการคือ
 
๑. กิเลสที่นอนสงบนิ่ง เรียกว่าอนุสัยกิเลสเป็นกิเลสที่นอนเนื่องสงบนิ่งอยู่ในขันธสันดานยังไม่ ลุกขึ้นมาแผลงฤทธิ ซึ่งตัวเองก็ไม่สามารถรู้ได้และคนอื่นก็ไม่สามารถรู้ได้ 
๒. กิเลสที่กลุ้มรุมอยู่ภายใน เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสที่คุกรุ่นอยู่ในใจ เกิดขึ้นแผลงฤทธิ อยู่เพียงในใจทำให้หงุดหงิดใจ ยังไม่แสดงออกทางกายทางวาจา ซึ่งตัวเองรู้ ส่วนคนอื่นบางทีรู้ บางทีก็ไม่รู้   
๓. กิเลสที่ล้น เรียกว่า วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสที่แผลงฤทธิออกมาอย่างโจ่งแจ้งล่วงออกมาทางกายทางวาจา ตัวเองรู้ชัดคนอื่นก็รู้ชัดอย่างโจ่งแจ้ง เช่น ความอยากได้ การด่า การทำร้ายร่างกาย 
 
อุปกิเลส ๑๖ ความเศร้าหมองอีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า อุปกิเลส มีจํานวน ๑๖ ประการ คือ
๑. อภิชฌาวิสมโลภะ เพ่งเล็งอยากได้ของเขา องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก
๒. โทสะ ความร้ายกาจ การทําลาย องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก
๓. โกธะ ความโกรธ องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก 
๔. อุปนาหะ การผูกโกรธไว้ องค์ธรรมได้แก่ โทสเจตสิก 
๕. มักขะ การลบหลู่คุณท่าน องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก
๖. ปลาสะ การตีเสมอ ยกตนเทียมท่าน องค์ธรรมได้แก่ มานเจตสิก
๗. อิสสา การริษยา องค์ธรรมได้แก่ อิสสาเจตสิก
๘. มัจฉริยะ ความตระหนี่ องค์ธรรมได้แก่ มัจฉริยเจตสิก
๙. มายา มารยา เจ้าเล่ห องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก
๑๐. สาเถยยะ โอ้อวด องค์ธรรมได้แก่ มานเจตสิก
๑๑. ถัมภะ หัวดื้อ องค์ธรรมได้แก่ มานเจตสิก
๑๒. สารัมภะ แข่งดี องค์ธรรมได้แก่ 
มานเจตสิก 
๑๓. มานะ ถือตัว องค์ธรรมได้แก่ 
มานเจตสิก 
๑๔. อติมานะ ดูหมิ่นท่าน องค์ธรรมได้แก่ 
มานเจตสิก 
๑๕. มทะ มัวเมา องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิก
๑๖. ปมาทะ เลินเล่อ องค์ธรรมได้แก่ 
โมหเจตสิก
 



ตัณหา ๑๐๘ 

ตัณหา คือ ความปรารถนา ความอยากได้ ความต้องการ เป็นตัวสมุทัย เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ โทษต่าง ๆ ติดตามมามากมาย ตราบเมื่อคนเรายังมีตัณหาอยู่ ก็จะต้องเวียนว่ายในสังสารทุกข์ต่อไปอีกช้านาน ตัณหา ๑๐๘ คิดกันอย่างไร ?
ชนิดของตัณหา มี ๓ (คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) อารมณ์ของตัณหา มี ๖ (คือ รูปรมณ์ สัททารมณ์ คันทารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธัมมารมณ์) ฉะนั้น (๓ x ๖) = ๑๘ 
 
การเกิดของตัณหามี ๒ ทาง 
๑. ตัณหาที่เกิดภายในมี ๑๘ 
๒. ตัณหาที่เกิดภายนอกมี ๑๘
ฉะนั้นทั้ง ๒ ทางรวมเป็น (๑๘ x ๒) = ๓๖ 

ตัณหา ๓๖ เกิดได้ทั้ง ๓ กาล (อดีต ปัจจุบัน อนาคต)
ฉะนั้นตัณหาที่เกิดได้ทั้ง ๓ กาล รวมเป็น (๓๖ x ๓) = ๑๐๘ 

กิเลสและตัณหา เป็นอกุศลทั้งหลายที่มีอยู่ในตน มีทั้งที่เป็นแบบที่เกิดขึ้นและเรารู้ได้ และมีทั้งอย่างที่ติดแน่นเป็นยางเหนียวขัดออกได้ยากล้างออกได้ยาก กิเลสตัณหาทั้งหลายจะ ถูกประหาณได้เด็ดขาดราบคาบก็ต้องเจริญวิปัสสนาจนมัคคจิตเกิดขึ้น แต่ในขณะปัจจุบันที่เราสาธุชนทั้งหลายยัง เป็นปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลส ถึงแม้นว่าจะชําระขัดล้างกิเลสทั้งหลายได้ไม่เด็ดขาดก็จริงอยู่ แต่ถ้าได้ศึกษาได้รู้จัก และหมั่นพิจารณา หมั่นสังเกตกิเลสที่เกิดขึ้นแก่ตนเองบ่อย ๆ แล้วพยายามทําให้กิเลสทั้งหลายลดลงเบาบางลง ก็จะเป็นอุปนิสัยที่ดีในปัจจุบัน และเป็นการเพาะบ่มสั่งสมอุปนิสัยเพื่อการบรรลุมรรคผลในกาลข้างหน้าต่อไป




พระอภิธรรม redirecting

 ย้ายหน้าเพจ

https://www.dhamma-sutta.com/p/blog-page_21.html เปลี่ยนเส้นทางอัตโนมัติ



ภวังคจิต

ภวังคจิต ภวังคะ หรือ ภะ-วัง-คะ ภว+องฺคะ แปลตามพยัญชนะว่า "องค์ของภพ" มักใช้รวมกับจิต เป็นภวังคจิต ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า จิตมีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการสืบต่อสันตติของจิต ย่อมอาศัยการถ่ายทอดข้อมูลจากภวังคจิตจิตดวงเดิม ไปสู่จิตดวงใหม่ ด้วยกระบวนการของการทำงานของภวังคจิต เพราะเหตุว่าภวังคจิตเป็นเหตุให้สร้างจิตดวงใหม่ตลอดเวลาก่อนจิตดวงเก่าจะดับไป จึงชื่อว่าเป็นเหตุแห่ง "ภพ" หรือเป็นเหตุสร้าง"ภพ" 


จิต ในทางศาสนาพุทธแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
๑.วิถีจิต จิตสำนึก
๒.ภวังคจิต จิตใต้สำนึก

ภวังคจิต คือจิตใต้สำนึกในทางศาสนาพุทธหมายถึงเป็นกระบวนการทำงานแบบอัตตโนมัติของจิต จิตใต้สำนึกในความหมายของภวังคจิตนี้จึงอาจแตกต่างจากทางจิตวิทยาภวังคจิต เป็น วิบากจิต คือ จิตใต้สำนึกส่วนลึกที่สุดของจิตเป็นที่สั่งสมอารมณ์จนกลายเป็นอุปนิสัย ภวังคจิต จะเกิดคั่นระหว่างวิถีจิตในแต่ละวาระ ทำหน้าที่สืบต่อและดำรงภพชาติ ภวังคจิต จะเกิดขึ้นเมื่อวิถีจิตดับและเมื่อเกิดวิถีจิตกลับมาทำหน้าที่ ภวังคจิตก็จะดับลง เมื่อวิถีจิตดับลงภวังคจิตจะเกิดขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่มีภวังคจิต พอขาดวิถีจิต จิตจะไม่มีการสืบต่อสันตติก็เท่ากับสิ้นชีวิต ภวังคจิต ในขณะที่เปลี่ยนภพจุติใหม่สู่ชาติใหม่ จะใช้ชื่อว่า ปฏิสนธิจิตแทน ซึ่งเป็นขณะจิตแรกของแต่ละชาติ ภวังคจิตจึงสืบต่อภพในระดับเปลี่ยนชาติด้วย ภวังคจิต คือมโนทวารเป็นอายตนะที่ ๖ อันเป็นวิบาก เป็นอัพยากฤต(ธรรมอันเป็นกลาง ระหว่างกุศลกับอกุศล ไม่จัดเป็นกุศลหรืออกุศล, กลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว) ซึ่งเป็นจิตตามสภาพปกติ เมื่อยังไม่ขึ้นสู่วิถีจิตรับรู้อารมณ์ จะเป็นเพียงมโน ยังไม่เป็นมโนวิญญาณ เมื่อรับอารมณ์คือเจตสิก จะกลายเป็นมโนวิญญาณ

มีพุทธพจน์ว่า “จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา" จิตที่ประภัสสรในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่าหมายถึงภวังคจิต

จิตกับตัณหา

ลำดับนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า ดูกรอานนท์ เราตถาคตจะแสดงในข้ออันเป็นที่สุดแต่โดยย่อ ๆ พอให้เข้าใจง่ายที่สุดนั้นก็คือ จิตกับตัณหา

จิตนั้นจำแนกออกไปเรียกว่ากองกุศลคือกองสุข ตัณหานั้นจำแนกออกไปเรียกว่ากองอกุศลคือกองทุกข์

ต้นเหง้าเค้ามูลแห่งทุกข์นั้น ก็คือจิตและตัณหานี้เอง จิตเป็นผู้คิดให้ได้ดีมีสุขขึ้น ส่วนตัณหานั้นก็ให้เกิดเห็นตาม จิตมีความสุขมากขึ้นเท่าใด ตัณหาก็ให้เกิดทุกข์ตามมากขึ้นไปเท่านั้น ดูกรอานนท์ แต่เบื้องต้น เมื่อเราตถาคต ยังไม่รู้แจ้งว่าสุขและทุกข์อยู่ติดด้วยกัน เราก็ถือเอากุศลจิตอันเดียวหมายจักให้เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อ ส่วนทุกข์จะไม่ให้มา ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญกุศลจิตเรื่อยไป เมื่อได้สุขเท่าใด ทุกข์ก็พลอยเกิดมีเท่านั้น ครั้นภายหลัง เราพิจารณาด้วยญาณจักษุปัญญา และเห็นแจ้งชัดว่าสุขและทุกข์ติดอยู่ด้วยกัน ครั้นรู้แจ้งแล้วก็ตรึกตรองหาอุบายที่จะกำจัดสุขและทุกข์ให้พรากออกจากกันมันแสนยากแสนลำบากเหลือกำลัง จนสิ้นปัญญาหาทางไปทางมาไม่ได้เราตถาคตจึงวางเสียซึ่งสุขคืนให้แก่ทุกข์ คือวางใจให้แก่ตัณหา ครั้นเราวางใจไว้ให้แก่ตัณหาแล้ว ความสุขในพระนิพพานก็เลยเข้ามารับเราให้ถึงนิพพานดิบในขณะนั้นพร้อมกับวางใจไว้ให้แก่ตัณหา

  
ดูกรอานนท์ เมื่อวางใจได้ จึงเป็นอัพยากฤต จึงเรียกชื่อว่าถือเอาอัพยากฤตเป็นอารมณ์ เป็นองค์พระอรหันต์ คือได้เข้าตั้งอยู่ในพระนิพพานด้วยอาการดังนี้.  ลำดับนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ สืบต่อไปอีกว่า ดูกรอานนท์ อันว่าอรหันต์นั้น จะได้มีจำเพาะแต่เราตถาคตพระองค์เดียวก็หามิได้ ย่อมมีเป็นของสำหรับโลก สำหรับไว้โปรดสัตว์โลกทั่วไป ไม่ใช่ของเราตถาคตและของผู้หนึ่งผู้ใดเลย ดูกรอานนท์ เราตถาคตเป็นผู้ไกลจากกิเลสแล้ว จึงได้มาซึ่งพระอรหันต์ บุคคลผู้ใดปราศจากกิเลสแล้ว บุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้ได้พระอรหันต์เสมอกันทุกคน บุคคลผู้ใดที่ยังไม่ปราศจากกิเลส ถึงแม้จะอ้อนวอนเราตถาคตว่า อรหันต์ อรหันต์ ดังนี้ จนถึงวันตาย ก็ไม่อาจได้ซึ่งพระอรหันต์เลย เป็นแต่กล่าวด้วยปากเปล่า ๆ เท่านั้น และมาเข้าใจว่าการละกิเลสได้ หรือไม่ได้นั้นไม่เป็นประมาณ เมื่อได้อ้อนวอนหาซึ่งองค์พระอรหันต์เจ้าด้วยปากด้วยใจแล้ว พระอรหันต์เจ้าก็จะนำเราให้เข้าสู่พระนิพพาน เข้าใจเสียอย่างนี้ได้ชื่อว่าเป็น คนหลงแท้ แม้เมื่อตนยังไม่พ้นลามกมลทินแห่งกิเลสแล้วไปอ้อนวอนพระอรหันต์ที่หมดมลทินกิเลสให้มาตั้งอยู่ในตัวตนอันแปดเปื้อนด้วยลามกมลทินแห่งกิเลส จะมีทางได้ มาแต่ไหน เปรียบเหมือนดังมีสระอยู่สระหนึ่ง เต็มไปด้วยของเน่าของเหม็นสารพัดทั้งปวง เป็นสระมีน้ำเน่าเหม็นสาบ เหม็นคาวน่าเกลียดยิ่งนัก และมีบุรุษคนหนึ่งตกอยู่ในสระนั้น หากว่าบุรุษคนนั้นร้องเรียกให้อานนท์ลงไปอยู่ในสระน้ำเน่ากับเขาด้วย อานนท์จะไปอยู่ด้วยกับเขาหรือ ดูกรอานนท์ เราจะบอกให้สิ้นเชิง ถ้าอานนท์ลงไปอยู่ในสระกับบุรุษผู้แปดเปื้อนด้วยน้ำเน่าได้ ดังนั้นองค์พระอรหันตเจ้าก็อาจไปตั้งอยู่กับบุคคลผู้แปดเปื้อนด้วยกิเลสได้เหมือนกัน ถ้าอานนท์ลงไปอยู่ด้วยกับบุรุษแปดเปื้อนไม่ได้ องค์พระอรหันตเจ้าก็ไม่อาจตั้งอยู่กับบุคคลผู้แปดเปื้อนด้วยกิเลสได้เหมือนกันเช่นนั้น
ดูกรอานนท์ท่านจะลงไปอยู่ด้วยกับบุรุษแปดเปื้อนได้หรือไม่ มีพุทธฎีกาตรัสถาม ฉะนี้ ข้าฯ อานนท์จึงกราบทูลว่าลงไปอยู่ด้วยไม่ได้ ถ้าท่านไม่ลงไป บุรุษผู้นั้นก็กล่าววิงวอนท่านอยู่ร่ำไปจะสำเร็จหรือไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์ไม่ลงไปบุรุษผู้นั้นก็ทำอะไรแก่ข้าพระองค์ไม่ได้ ความปรารถนาก็ไม่สำเร็จ เป็นแต่วิงวอนอยู่เปล่า ๆ เท่านั้นเอง

ดูกรอานนท์ข้ออุปมานี้ฉันใด บุรุษผู้จมอยู่ในน้ำนั้น เปรียบเหมือนบุคคลผู้ไม่ปราศจากมลทินลามกแห่งกิเลส พระอรหันต์นั้นเปรียบเหมือนตัวของอานนท์ อานนท์ไม่ลงไปอยู่ด้วยกับบุรุษแปดเปื้อนฉันใด พระอรหันต์ท่านก็ไม่ไปอยู่กับบุคคลผู้แปดเปื้อนด้วยกิเลสฉันนั้น แม้จะวิงวอนด้วยปากด้วยใจสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ พระอรหันต์ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็น ผู้พ้นทุกข์แล้ว ท่านไม่น้อมเข้าไปหาบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเลย ครั้นบุคคลผู้ใดปรารถนาความสุขแล้ว จงน้อมตัวเข้าไปหาท่าน ท่านก็โปรดให้ได้ความสุข ทุกคนจะเข้าใจว่า พระอรหันต์ท่านเลือกหน้าเลือกบุคคล จะติเตียนอย่างนั้น ไม่ควร ถ้าผู้ใดพ้นจากกิเลสกามและพัสดุกามได้แล้ว ชื่อว่าน้อมตัวเข้าไปหาท่านๆ ก็โปรดนำเข้าสู่พระนิพพาน เสวย สุขอยู่ด้วยท่าน ไม่เลือกหน้าบุคคลเลย แต่ผู้จมอยู่ด้วย กิเลสกาม ละกิเลสไม่ได้ ชื่อว่าไม่น้อมตัวเข้าไปหาท่านเอง ดูกรอานนท์ ถึงตัวเราตถาคต ก็ต้องน้อมตัวเข้าไปหาท่าน ท่านจึงโปรดให้ตถาคตนี้ ได้เป็นครูแก่โลก ดังนี้

เพราะว่าพระอรหันต์ท่านเป็นผู้ดี และจักให้ท่านเข้าไปคบหาคนชั่วนั้นเป็นไปไม่ได้ และผิดธรรมเนียมด้วย สมควรแต่ผู้เลวทรามต่ำช้าจะเข้าไปหาท่านผู้ดี ผู้สูงศักดิ์โดยส่วนเดียว ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ ข้าฯอานนท์ ดังนี้แล. ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนา สืบไปอีกว่า ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ใดปรารถนาซึ่งพระอรหันต์ ก็พึงยกตัวและห้ามใจให้ห่างไกลจากกองกิเลส เพราะพระอรหันต์ท่านเป็นผู้ไกลจากกิเลส จะบริกรรมแต่ด้วยปากด้วยใจว่าอรหันต์ๆแล้วเข้าใจว่าตนได้พระอรหันต์ เห็นว่าเป็นบุญเป็นกุศลจะได้ความสุข ในมนุษย์และสวรรค์และพระนิพพาน จะทำความเข้าใจอย่างนี้ไม่สมควรพระนามชื่อว่าพระอรหันต์นี้ เราบอกไว้ให้รู้ว่าผู้ไกลจากกิเลสจะถือเอาแต่พระนามว่าอรหันต์ๆ แล้วเข้าใจว่าตนได้สำเร็จเช่นนี้ไม่ควร เพราะคำที่ว่าอรหันต์ใครๆ ก็กล่าวได้ จะมิเป็นพระอรหันต์ก็คือเราตถาคตนี้เอง เหตุที่เราปราศจากกิเลสละกิเลสสิ้นแล้ว เราจึงได้ถึงที่สุดแห่งพระ อรหันต์ องค์อรหันต์กับเราตถาคตก็หากเป็นอันเดียวกัน จะร้องเรียกพระอรหันต์ว่าเป็นตถาคตก็ไม่ผิด หรือจะร้องเรียกเราตถาคตเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ผิด ผู้ใดละกิเลสได้สิ้นเชิงแล้ว ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าถึงที่สุดแห่งพระอรหันต์สิ้นด้วยกัน จะถือพระอรหันต์เป็นเราตถาคตองค์เดียวหามิได้ จงเข้าใจองค์แห่งพระอรหันต์ ดังเราตถาคตแสดงมานี้เถิด ข้าแต่ พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.

พุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า

อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำโดยง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่นพึงตั้งธรรมห้าอย่างไว้ในใจ คือ
๑.เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ
๒.เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ
๓.เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา
๔.เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส
๕.เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น

ภารกิจสำคัญของการศึกษาคือการฝึกอบรมบุคคลให้พัฒนาปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงและสภาวะของสิ่งทั้งหลาย มีทัศนคติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง ปฏิบัติและจัดการกับสิ่งทั้งหลายตามที่ควรจะเป็น เพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์ตน คือ ความมีชีวิตอยู่อย่างสำเร็จผลดีที่สุด มีจิตใจเป็นอิสระ มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ และประโยชน์ต่อผู้อื่น คือ สามารถช่วยสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ชนทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้ ลีลาการสอน เมื่อมองกว้างๆ การสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง จะดำเนินไปจนถึงผลสำเร็จ โดยมีคุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็น

ลีลาในการสอน ๔ อย่าง ดังนี้

๑. สันทัสสนา อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูเห็นกับตา
๒. สมาทปนา จูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติ
๓. สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก
๔. สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติ อาจผูกเป็นคำสั้นๆ ว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือ ชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน 

วิธีสอนแบบต่างๆ วิธีสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายแบบหลายอย่าง ที่น่าสังเกตหรือพบบ่อย คงจะได้แก่วิธีต่อไปนี้
๑. แบบสากัจฉา หรือสนนทนา วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยไม่น้อยกว่าวิธีใดๆ โดยเฉพาะในเมื่อผู้มาเฝ้าหรือทรงพบนั้น ยังไม่ได้เลื่อมใสในพระศาสนา ยังไม่รู้ ไม่เข้า ใจหลักธรรม 
๒. แบบบรรยาย วิธีสอนแบบนี้ น่าจะทรงใช้ในที่ประชุมใหญ่ ในการแสดงธรรมประจำวัน ซึ่งมีประชาชน หรือพระสงฆ์จำนวนมาก และส่วนมากเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ กับมีความเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว มาฟังเพื่อหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมและหาความสงบสุขทางจิตใจ นับได้ว่าเป็นคนประเภทและระดับใกล้เคียงกัน พอจะใช้วิธีบรรยายอันเป็น แบบกว้างๆ ได้
๓. แบบตอบปัญหา ผู้ที่มาถามปัญหานั้น นอกจากผู้ที่มีความสงสัยข้องใจในข้อธรรมต่างๆ แล้ว โดยมากเป็นผู้นับถือลัทธิศาสนาอื่น บ้างก็มาถามเพื่อต้องการรู้คำสอนทาง ฝ่ายพระพุทธศาสนา หรือเทียบเคียงกับคำสอนในลัทธิของตน บ้างก็มาถามเพื่อลองภูมิ บ้างก็เตรียมมาถามเพื่อข่มปรามให้จน หรือให้ได้รับความอับอาย
๔. แบบวางกฎข้อบังคับ ในการสอนแบบนี้พึงสังเกตว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทโดยความเห็นชอบของสงฆ์ หมายความว่า ทรงบัญญัติ โดยชี้แจงให้เห็นแล้วว่า ถ้าไม่รับจะเกิดผลเสียอย่างไร เมื่อรับจะมีผลดีอย่างไร จนสงฆ์รับคำของพระองค์ว่า ดีแล้ว ไม่ทรงบังคับเอาโดยพลการ

 

กลวิธีและอุบายประกอบการสอน 

  • ๑. ยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จำแม่น เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งขึ้น 
  • ๒. การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ปรากฎความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้น 
  • ๓. การใช้อุปกรณ์ในการสอน ในสมัยพุทธกาล หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็ต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ หรือเตรื่องใช้ต่างๆ ที่ผู้คนใช้กันอยู่ 
  • ๔. การทำเป็นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอน เป็นทำนองสาธิตให้ดู 
  • ๕. การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ เป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ 
  • ๖. อุบายเลือกคนและการปฏิบัติรายบุคคล ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นในถิ่นหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน 
  • ๗. การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้เรียนยังไม่พร้อม ก็ต้องมีความอดทน ไม่ชิงหักหาญหรือดึงดันทำ แต่ต้องตื่นตัวอยู่เสมอเมื่อถึงจังหวะหรือเป็นโอกาส 
  • ๘. ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียได้ ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การ สอนได้ผลดีที่สุด ก็จะทำในทางนั้น 
  • ๙. การลงโทษและให้รางวัล สำหรับผู้สอนทั่วไป อาจต้องคิดคำนึงว่า การลงโทษ ควรมีหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร แต่ผู้ที่สอนคนได้สำเร็จผลโดยไม่ต้องอาญาโทษเลย ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสอนมากที่สุด 
  • ๑๐. กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลัก วิธีการ และกลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่อง เฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป 

ข้อสรุปที่เกี่ยวกับการสอน มีดังนี้ 

๑. ปัญญาเป็นสิ่งสร้างสรรค์ขึ้นภายในตัวผู้เรียนเอง 
๒. ผู้สอนทำหน้าที่เป็นกัลลยาณมิตร ช่วยชี้นำทางการเรียน 
๓. วิธีสอน อุบาย และกลวิธีต่างๆ เป็นสื่อหรือเป็นเครื่องผ่อนแรงการเรียนการสอน 
๔. อิสรภาพทางความคิด เป็นอุปกรณ์สำคัญในการสร้างปัญญา

พระโพธิสัตว์เป็นอย่างไร

พระโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คำว่า "โพธิสัตว์" แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานเชื่อว่ามีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่รายละเอียดความเชื่อแตกต่างกันไป

ประเภทของพระโพธิสัตว์ 

พระธัมมปาละ ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ในปรมัตถทีปนี) ว่าพระโพธิสัตว์มี  ๓ ประเภท คือ

๑. พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

๒. พระปัจเจกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

๓. พระสาวกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระอนุพุทธะ

นอกจากนี้ ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตถทีปนี) พระธัมมปาละยังจำแนกพระมหาโพธิสัตว์ออกเป็นอีก ๓ ประเภท คือ

 ๑. ปัญญาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๗ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๙ อสงไขย รวมเป็น ๑๖ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

๒. สัทธาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๔๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๑๔ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๑๘ อสงไขย รวมเป็น ๓๒ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก ๘ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

 ๓. วิริยาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๒๘ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน