วันพฤหัสบดี

พระพุทธดำรัส (๑๐)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏


🔆 วิญญาณาหารคืออะไร
ปัญหา การที่ท่านจัดวิญญาณว่าเป็นอาหารชนิดหนึ่งนั้น หมายเอาวิญญาณชนิดไหน และวิญญาณาหารมีลักษณะอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหาร จะพึงเห็นได้อย่างไร ? เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้ว แสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะ ด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้น ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า

“ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะเขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน

“ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะเขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งวอย่านี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น

“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกสามร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุเท่านั้นมิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไย ถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอก สามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า พึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดวิญญาณาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว”

ปุตตมังสสูตร 


🔆 อาหาร ๔ และทุกข์
ปัญหา อาหาร ๔ ประการ คือ กวฬึงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เป็นเหตุให้เกิดทุกข์อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก มีอยู่ใน กวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในกวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหาร ในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้นย่อมมีการตั้งลงแห่งนามรูป ในที่ใดมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดมีความเจริญแห่งสังขาร ในที่นั้นย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใดมีการเกิดในภพใหม่ ในที่นั้นย่อมมีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดมีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่ามีความโศก มีธุรี มีความคับแค้น

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีน้ำย้อม ครั่ง ขมิ้น สีเขียวหรือสีบานเย็น ช่างย้อมหรือช่างเขียนพึงเขียนรูปสตรีหรือรูปบุรุษให้มีอวัยวะน้อยใหญ่ได้ครบถ้วน ที่แผ่นหินขาว แผ่นกระดาน ฝาผนัง หรือที่ผืนผ้า แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน....”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ไม่มีอยู่ใน กวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงามในกวฬึงการาหาร.... ในผัสสาหาร.... ในมโนสัญเจตนาหาร.... ในวิญญาณาหาร นั้น ในที่ใดวิญญาณไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงาม ในที่นั้นย่อมไม่มีการตั้งลงแห่งนามรูป ในที่ใดไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดไม่มีความเจริญแห่งสังขาร ในที่นั้นย่อมไม่มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใดไม่มีการเกิดในภพใหม่ ในที่นั้นย่อมไม่มีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดไม่มีชาติชรามรณะต่อไป..... เราเรียกที่นั้นว่าไม่มีความโศก ไม่มีธุรี ไม่มีความคับแค้น (เปรียบเหมือนบุคคลเปิดหน้าต่างปราสาทด้วยตะวันออก แสงสว่างย่อมส่องเข้าไปตั้งอยู่ที่ฝาผนังด้านตะวันตก ถ้าฝาผนังด้านตะวันด้านตะวันตกไม่มีแสงย่อมตั้งอยู่บนแผ่นดิน ถ้าแผ่นดินไม่มี ย่อมตั้งอยู่บนแผ่นน้ำ ถ้าแผ่นน้ำไม่มี ย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใดเลย)”

อัตถิราคสูตร


🔆
เหตุเกิดอุปธิ

ปัญหา อุปธิ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิด ชรา มรณะนั้น มีอะไรเป็นเหตุ ?

พุทธดำรัสตอบ “......ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณา ซึ่งปัจจัยภายในว่าก็อุปธิอันนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นที่ตั้ง มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อมีอะไร อุปธิจึงมี เมื่อไม่มีอะไร อุปธิจึงไม่มี เมื่อเธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า อุปธิมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นที่ตั้งขึ้น มีตัณหาเป็นกำเนิด”

👉 เหตุเกิดตัณหา

“อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อพิจารณา ย่อมพิจารณา ซึ่งปัจจัยภายในว่าก็ตัณหานี้เมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน เมื่อเธอพิจารณาอยู่ ย่อมรู้ได้อย่างนี้ว่า ที่ใดแลเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหาเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น เมื่อตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น ก็อะไรเล่าเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตาเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก.... หูเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก.... จมูก.... ลิ้น.... กาย.... ใจเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลก ตัณหานั้นเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นที่ ตา.... หู.... จมูก.... ลิ้น.... กาย.... ใจนั้น เมื่อตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ที่ตา..... ใจนั้น

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เห็นอารมณ์เป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจในโลกนั้น โดยความเป็นของเที่ยง.... เป็นสุข.... เป็นตัวตน... เป็นของไม่มีโรค.... เป็นของเกษม สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น เชื่อว่าทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดทำตัณหาให้เจริญขึ้น สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าทำอุปธิให้เจริญขึ้น .... ทำทุกข์ให้เจริญขึ้น.... ชื่อว่าไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสได้เลย

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขันสำริดที่ใส่น้ำที่ถึงพร้อมด้วยสีและกลิ่น แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ทันใดนั้นมีบุรุษเดินฝ่าความร้อนอบอ้าว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากระหายน้ำ คนทั้งหลายจึงพูดกะบุรุษผู้นั้นอย่างนี้ว่า ในขันสำริดใส่น้ำนี้ประกอบด้วย สี กลิ่น และรส แต่ว่าเจือด้วยยาพิษ ถ้าท่านประสงค์ก็จงดื่มเถิด.... บุรุษนั้นผลุนผลันไม่ทันพิจารณา ดื่มน้ำนั้นเข้าไป .... พึงถึงความตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะการดื่มน้ำนั้นเป็นเหตุ แม้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีต... ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล....”

สัมมสสูตร

🔆 ปัจจัยการอาศัยกัน
ปัญหา ปัจจยาการทั้ง ๑๒ ช่วง ตั้งแต่อวิชชาถึงชาติ ชรา มรณะต่างอาศัย ซึ่งกันและกัน จึงดำรงอยู่ได้ หรือว่ามีช่วงใดช่วงหนึ่ง ซึ่งอาจอยู่ได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องอาศัยช่วงอื่น?

พระสารีบุตรตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ไม้อ้อ ๒ กำพึงตั้งอยู่ได้ เพราะต่างอาศัยซึ่งกันและกันฉันใด เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฉันนั้นแล

“ถ้าไม้อ้อ ๒ กำนั้น พึงเอาออกเสียกำหนึ่ง อีกกำหนึ่งก็ล้มไป ถ้าดึงอีกกำหนึ่งออก อีกกำหนึ่งก็ล้มไป ฉันใด เพราะนามรูปดับ วิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฉันนั้นแล”

สัมมสสูตร


🔆 ไม่ใช่อรหันต์เสมอไป
ปัญหา ผู้ที่รู้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้งทั้งสายทุกข์ ทั้งสายดับทุกข์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะจัดว่าเป็นพระขีณาสพได้หรือยัง ?

พระนารทะตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผลเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ท่านผู้มีอายุเปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือก โพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้น บุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิวกระหายเดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้นก็รู้ว่ามีน้ำ แต่จะสัมผัสด้วยการไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ฉันนั้นเหมือนกัน”

โกสัมพีสูตร


🔆 เป็นอรหันต์แต่ไม่มีฤทธิ์
ปัญหา ภิกษุที่ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพแล้วจะต้องมีฤทธิ์ สามารถกระทำปาฏิหาริย์ได้ทั้งนั้นหรือ?

คำตอบ ไม่ได้เสมอไป ตามเรื่องสุสิมสูตรว่าเมื่อพระสุสิมะได้ยิน ภิกษุหลายรูป ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์จึงเข้าไปหาแล้วก็ถามว่า ท่านเหล่านั้นแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ไหม มีหูทิพย์ตาทิพย์ไหม เมื่อภิกษุเหล่านั้นตอบว่าแสดงฤทธิ์ก็ไม่ได้ มีหูทิพย์ตาทิพย์ก็ไม่ได้ พระสุสิมะ จึงแสดงความประหลาดใจว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ท่านเหล่านั้นตอบว่า ท่านหลุดพ้นได้ด้วยปัญญา เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสกะ

พระสุสิมะยังไม่หายสงสัย จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและทูลถามเรื่องนี้

พระพุทธองค์ตรัสถามเธอว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ควรถือว่าเป็นเราเป็นของของเรา เป็นตัวตนของเราหรือไม่ พระสุสิมะทูลว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ควรถือว่าเป็นเรา เป็นของของเรา เป็นตนของเรา พระพุทธองค์ทรงสอนต่อไปว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดและหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ

ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถามพระสุสมะในเรื่องปฏิจจสุมปบาทว่าเพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา และภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ฯลฯ เพราอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ในสายดับทุกข์พระองค์ทรงแสดงว่า เพราะชาติดับ ชรา มรณะ จึงดับ ฯลฯ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ในที่สุดทรงถามว่า “ดูก่อนสุสิมะ เธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ....ย่อมได้ยินเสียงสองชนิด... ด้วยทิพย์ โสตธาตุอันบริสุทธิ์..... ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น.... ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก... ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ.... บ้างหรือหนอ?”

พระสุสิมะทูลตอบว่า “ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แสดงว่า พระอรหันต์ผู้ได้บรรลุเพราะอาศัยปัญญา เกิดความรู้จริงเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ย่อมไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆ”

นัยสุสิมสูตร


🔆 พวกเดียวกันคบกัน
ปัญหา ตามปกติ คนที่มีอะไรคล้ายกันย่อมคบหาสมาคมกันใช่หรือไม่ ? พระผู้มีพระภาคตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน โดยธาตุทีเดียว คือสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา สัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ สัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ สัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย สัตว์จำพวกเกียจร้านย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกเกียจคร้าน สัตว์จำพวกมีสติหลงลืม ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกมีสติหลงลืม สัตว์จำพวกมีปัญญาทราม ย่อมคบค้ากันกับสัตว์จำพวกมีปัญญาทราม แม้ในอดีตกาล แม้ในอนาคตกาล แม้ในปัจจุบันกาล”

อสัทธมูลกสูตร


🔆 วัฏสงสารที่ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย
ปัญหา เราอาจจะทราบได้ไหมว่า เราเริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัวทอนหญ้าไม้ กิ่งไม้ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดมัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่าหญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไปข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฏพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้”

ติณกัฏฐสูตร

🔆 กรรมเก่าทั้งนั้นหรือ
ปัญหา ตอบหลักกรรมในทางพระพุทธศาสนานั้นเราจะถือว่าความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ที่เราได้รับอยู่ในบัดนี้ เป็นผลของกรรมเก่าที่เราได้ทำไว้แล้วในชาติก่อน ดังนี้ได้หรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....เวทนาอันบุคคลเสวยในโลกนี้ บางเหล่าเกิดขึ้นมีดีเป็นสมุฏฐานก็มี มีสวนต่างๆ เหล่านั้นรวมกันเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดแต่ความแปรแห่งฤดูก็มี เกิดแต่การบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอก็มี เกิดแต่ความพยายาม (ของตน) ก็มี เกิดแต่วิบากแห่งกรรมก็มี..... ข้อนี้อันเจ้าตัวเองก็รู้เช่นนั้น อันโลกก็สมมติว่าเป็นจริง สมณะพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด มักกล่าวและมีความเห็นในข้อนั้นอย่างนี้ว่า “บุคคล... เสวยเวทนาทั้งปวง (สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์) เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำแล้วในก่อน เขาย่อมเพิกเฉยข้อที่ตนเองก็รู้ดี ย่อมเพิกเฉยต่อข้อที่โลกสมมติว่าเป็นจริง เพราะฉะนั้นเรากล่าวว่า การกล่าวแลความเห็นอย่างนี้ของสมณะพราหมณ์เหล่านั้น เป็นการกล่าวผิดและเห็นผิด” ดังนี้

สิวกสูตร


🔆 วิธีเข้าถึงแก่นพระพุทธศาสนา
ปัญหา ได้ทราบว่าวิมุติคือความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา เราจะปฏิบัติธรรมอะไรโดยลำดับ จึงจะบรรลุถึงวิมุตินั้นสมประสงค์ ?

พุทธดำรัสตอบ “โพชฌงค์ ๗ ประการแล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาแลวิมุติให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ประการให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ประการแล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ประการให้บริบูรณ์ อินทรีย์สังวรแล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสุจริต ๓ ประการให้บริบูรณ์

กุณฺฑลิยสูตร


🔆 ฆราวาสก็มีหวังได้ลิ้มรสนิพพาน
ปัญหา เท่าที่ได้ฟังมานั้น การที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน รู้สึกว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากมาก จะต้องสละโลกออกบวช ไปอยู่ในป่าบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญาอย่างเคร่งครัด ซึ่งน้อยคนจะกระทำได้ สำหรับฆราวาสที่ยังต้องอยู่ครองเรือนมีหน้าที่ในการเลี้ยงครอบครัว จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะมีโอกาสได้ลิ้มรสแห่งนิพพานสุขบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....สาวกของพระอริยเจ้าในศาสนานี้ย่อมพิจารณาเห็นว่า เราปรารถนาชีวิต ไม่คิดอยากตาย ปรารถนาแต่ความสุขสบาย เกลียดหน่ายต่อความทุกข์ บุคคลผู้ใดจะพึงปลงเราเสียจากชีวิต ข้อนั้นจะไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แล ถ้าเราจะพึงปลงผู้อื่นเสียจากชีวิต ถึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้นั้น ธรรมอันใดที่ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราธรรมอันนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของคนอื่น....... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้วตนก็เว้นเสียจากปาณาติบาต แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากปาณาติบาต และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากปาณาติบาต......

“บุคคลใดจะพึงถือเอาสิ่งของที่เราไม่ให้ซึ่งนับว่าเป็นขโมย ข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แล เราจะถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ให้ ถึงขอนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากอทินนาทานและชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากอทินนาทาน และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการอทินนาทาน...

“บุคคลใดจะประพฤติละเมิดในภรยาของเรา ข้อนั้นไม่ถึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะถึงประพฤติละเมิดในภรรยาของผู้อื่น ถึงข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากกาเมสุมิจฉาจาร และชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากกาเมสุมิจฉาจาร และพรรณนาคุณของการเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร....

“บุคคลใดจะพึงทำลายประโยชน์ของเราเสียด้วยการพูดปด ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงทำลายประโยชน์ของผู้อื่นเสียด้วยการพูดปด ถึงข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากการพูดปด แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากการพูดปดแลกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการพูดปด....

“บุคคลใดจะพึงทำให้เราแตกจากมิตรด้วยการกล่าวส่อเสียด ข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงทำผู้อื่นให้แตกจากมิตรด้วยการกล่าวส่อเสียด ถึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากกการกล่าวส่อเสียด และชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าวส่อเสียด และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าวส่อเสียด

“บุคคลใดจะพึงร้องเรียกเราด้วยคำหยาบ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงร้องเรียกคนอื่นด้วยคำหยาบเล่า พึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้วตนก็เว้นเสียจากการกล่าวว่าจากหยาบ และชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าววาจาหยาบ และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าววาจาหยาบ....

“บุคคลใดจะพึงร้องเรียกเราด้วยการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ ข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลจะพึงร้องเรียกผู้อื่นด้วยการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ ข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ และพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์

“สาวกของพระอริยเจ้านั้น ประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระธรรมไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระสงฆ์ ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยศีล ทั้งหลายอันพระอริยเจ้ารักใคร่ไม่ให้ขาด ไม่ให้เป็นท่อน ไม่ให้ด่างพร้อย เป็นไทย (ไม่เป็นทาสแหงตัณหา) อันผู้รู้สรรเสริญอันตัณหาแลทิฐิไม่ครอบงำได้เป็นไปเพื่อสมาธิ

“เมื่อใดอริยสาวกประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการนี้ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นหวังอยู่ ด้วยฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความหวัง ๔ ประการนี้ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.” ดังนี้

เวฬุทวารสูตร


🔆 คุณค่าของการเจริญสมาธิ
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของการเจริญสมาธิไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญปฐวีกสิณแม้ชั่วกาลเพียงลัดมือเดียว ภิกษุนี้เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะป่วยการกล่าวไปไยถึงผู้กระทำให้มาก ซึ่งปฐวีกสิณนั้นเล่า....”

ปสาทกรธัมมาทิปาลี


🔆 คุณค่าของสมถะและวิปัสสนา
ปัญหา การเจริญสมถวิปัสสนามีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมถะที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต จิตที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้ วิปัสสนาที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา ปัญญาที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละอวิชชาได้ปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะสำรอกอวิชชาได้จึงชื่อว่าปัญญาวิมุต ฯ”

พาลวรรคปฐมปัณณาสก์


🔆 ศาสนาเชน
ปัญหา ศาสนาเชนซึ่งเกิดช่วงเวลาเดียวกันกับพระพุทธศาสนานั้น มีหลักคำสอนอย่างไรบ้าง?

คำตอบ “.....ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นิครนถนาฏบุตร เป็นคนรู้เห็นธรรมทุกอย่าง ย่อมปฏิญาณญาณทัสสนะไว้อย่างแจ่มแจ้งหมดเปลือกว่า สำหรับเราจะเดินจะยืน จะหลับและตื่นก็ตาม ญาณทัสสนะก็ปรากฏชั่วกาลนิรันดร เขาบัญญัติว่า กรรมเก่าหมดไปเพราะความเพียรเผากิเลส ฆ่าเหตุเสียได้ เพราะไม่ทำกรรมใหม่ ด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นอันว่า เพราะกรรมสิ้นไป ทุกข์จึงหมดไป เพราะทุกข์หมดไป เวทนาจึงสิ้นไป เพราะเวทนาสิ้นไป ทุกข์ทั้งสิ้นจึงจักเสื่อมไปโดยไม่เหลือ การล่วงทุกข์ย่อมมีได้ด้วยความหมดจด ที่ให้กิเลสเสื่อมไปโดยไม่เหลือ ซึ่งบุคคลจะพึงเห็นเองนี้ ด้วยประการฉะนี้ฯ....”

นิคัณฐสูตร


🔆 ธาต ๔ เปลี่ยนสภาพได้
ปัญหา ในทางวิทยาศาสตร์ คำว่าธาตุ (Element) หมายถึง ปรมาณูซึ่งมีจำนวนอิเล็กตรอนและโปรตอนจำกัด เช่น ธาตุไฮโครเจนมีอิเล็กตรอนและโปรตอนอย่างละหนึ่ง ถ้าเราเปลี่ยนให้มันมีอิเล็กตรอน ๒ และโปรตอน ๒ มันจะกลายเป็น ธาตุฮีเลียม (Helium) ไป ไม่ใช่ไฮโครเจนฉะนั้นธาตุในทางวิทยาศาสตร์ อาจจะเปลี่ยนเป็นธาตุอื่นๆ ได้ ธาตุในทางพระพุทธศาสนาเปลี่ยนได้หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนอานนท์ มหาภูติ ๔ (หมายถึงธาตุใหญ่ทั้ง ๔) คือ ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) วาโยธาตุ (ธาตุลม) พึงเป็นอย่างอื่นได้ แต่พระอริยสาวกผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า... ในพระธรรม... ในพระสงฆ์ ไม่พึงเป็นอย่างอื่นไปได้เลย....”

สมาทปกสูตร


🔆 เหตุให้เกิดในภพ
ปัญหา อะไรเป็นเหตุให้สัตว์เกิดในภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนอานนท์ เมื่อกรรมที่อำนวยผลให้ในกามธาตุ.... ในรูปธาตุ.... ในอรูปธาตุจักไม่มีแล้ว กามภพ... รูปภพ.... อรูปภพ พึงปรากฏบ้างหรือหนอ (เมื่อพระอานนท์ทูลตอบว่า ไม่พึงปรากฏเลย ได้ตรัสต่อไปว่า) ดูก่อนอานนท์ เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยางเหนียว วิญญาณ.... เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้วเพราะธาตุอย่างเลว... อย่างกลาง... อย่างประณีต... ของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วยประการฉะนี้ จึงมีการเกิดใหม่ในภพต่อไปอีก.

นวสูตร


🔆 คุณของโลก
ปัญหา มีคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นลัทธิเทวนิยม มองโลกแต่ในแง่ร้าย มองเห็นแต่ความทุกข์โศกของโลก มีความจริงเพียงใด?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าคุณในในโลกนี้จักไม่มีไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงกำหนัดยินดีในโลก แต่เพราะคุณในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงกำหนัดยินดีในโลก "

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าโทษในโลกนี้ไม่มีไซร้ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่พึงเบื่อหน่ายในโลก แต่เพราะโทษในโลกมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเบื่อหน่ายในโลก"

อัสสาทสูตร


🔆 ดาราศาสตร์ในพุทธศาสนา
ปัญหา พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทรรศนะเกี่ยวกับโลกจักรวาลไว้อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลก คูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์

ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

พระอานนท์ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

พุทธดำรัสตอบ  ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุ อย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า

พระอุทายี : ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้

เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้ง พึงเป็นเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ

จูฬนีสูตร


🔆 ข้อปฏิบัติของภิกษุอย่างแท้จริง
ปัญหา พระภิกษุในพระพุทธศาสนาควรจะศึกษาและปฏิบัติอะไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติถูกต้องแท้ตามพระพุทธโอวาท ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาติดตามไปเบื้องหลังฝูงโค มันร้องว่าแม้เราก็เป็นโค แต่สี เสียง และรอยเท้าของมันหาเหมือนของโคไม่ มันเป็นแต่เดินตามหลังฝูงโคร้องว่า แม้เราก็เป็นโคๆ ดังนี้เท่านั้น แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ฉันนั้นเหมือนกันแล ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ ร้องประกาศว่า แม้เราก็เป็นภิกษุๆ แต่ความพอใจในการสมาทานอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขาของเขา หากเหมือนของภิกษุทั้งหลายไม่ เขาเป็นแต่ติดตามไปเบื้องหลังภิกษุสงฆ์ร้องประกาศว่าแม้เราก็เป็นภิกษุ ๆ ดังนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาว่า เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทาน อธิศีลสิกขา.... อธิจิตตสิกขา... อธิปัญญาสิกขา... ท่านทั้งหลายพึงศึกษาเช่นนี้แหละฯ”

คัทรภสูตร


🔆 หัวใจศีลของพระ (๑๕๐)
ปัญหา ศีลของภิกษุมี ๒๒๗ ข้อ ถ้าภิกษุล่วงละเมิดสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง จะเป็นอันตรายแก่มรรคผลหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้มาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน (มีการสวดท่ามกลางสงฆ์ทุกกึ่งเดือน) ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ นี้ ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ นั้นเป็นไฉน คืออธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตสิกขา ๑ อธิปัญญสิกขา ๑ สิกขา ๓ นี้แล ที่สิกขาทบ ๑๕๐ นั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด..... ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์สมควรแก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และเป็นผู้มีศีลมั่นคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็นพระโสดาบัน... เป็นพระสกทาคามี... เป็นพระอนาคามี.... เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน.... ภิกษุทำได้เพียงบางส่วน ย่อมให้สำเร็จบางส่วนผู้ทำให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำเร็จได้บริบูรณ์อย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบททั้งหลายว่าไม่เป็นหมันเลยฯ”

เลขสูตรที่ ๒


🔆 โลกก็มีคุณเหมือนกัน

ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนามองโลกในแง่ร้ายประฌามโลก สอนให้หนีจากโลกดังนี้ เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด โลกมีส่วนดีอยู่หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนตรัสรู้เราเป็นพระโพธิสัตว์ได้คิดว่าในโลกนี้อะไรหนอเป็นคุณ อะไรหนอเป็นโทษ อะไรหนอเป็นอุบายเครื่องออกไป.... เรานั้นได้คิดว่า สุขโสมนัสอาศัยสภาพใดเกิดขึ้นในโลก สภาพนี้เป็นคุณในโลก โลกไมเที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดานี้เป็นโทษในโลก การปราบปรามฉันทราคะ การละฉันทราคะในโลกได้เด็ดขาด นี้เป็นอุบายเครื่องออกไปในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่รู้ยิ่งซึ่งคุณของโลกโดยเป็นคุณ ซึ่งโทษของโลกโดยความเป็นโทษ และซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกไปของโลกโดยความเป็นอุบายเครื่องออกไปตามความจริงเพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้ ซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เพียงนั้น...ฯ”

ปุพพสูตร


🔆 ภิกษุควรหัวเราะหรือไม่
ปัญหา ได้ทราบมาว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่มีการหัวเราะมีแต่ยิ้มแย้มเท่านั้น พระภิกษุควรจะหัวเราะหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การขับร้องคือ การร้องไห้ในวินัยของพระอริยเจ้า การฟ้อนรำคือ ความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้าการหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้า เพราะเหตุนั้น และ จงละเสียโดยเด็ดขาดในการขับร้องฟ้อนรำ เมื่อท่านทั้งหลายเบิกบานในธรรม ก็ควรแต่เพียงยิ้มแย้ม”

โรณสูตร


🔆 ของที่กินไม่รู้จักอิ่ม
ปัญหา ของอะไรบ้าง ที่มนุษย์เสพแล้วไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอิ่มในการเสพสิ่ง ๓ อย่าง ไม่มี ๓ อย่างเป็นไฉน คือในการเสพความหลับ ๑ ในการดื่มสุราและเมรัย ๑ ในการเสพเมถุนธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอิ่มในการเสพสิ่ง ๓ อย่างนี้แล ไม่มี ฯ”

อติตตสูตร


🔆 ความสำคัญของจิต
ปัญหา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหนึ่ง ที่ถือว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ พระพุทธองค์ทรงสอนเกี่ยวกับการรักษาจิตไว้อย่างไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนคฤหบดี เมื่อบุคคลรักษาจิตไว้ แม้กายกรรมก็เป็นอันรักษา แม้วจีกรรม... มนโนกรรมก็เป็นอันรักษา เมื่อเขารักษากายกรรม วจีกรรม.... มโนกรรม แม้กายกรรมก็เป็นอันไม่ชุ่ม แม้วจีกรรม.... มโนกรรม... ก็เป็นอันไม่ชุ่ม เมื่อเขามี กายกรรม..... วจีกรรม.... มโนกรรม..... ไม่ชุ่ม แม้กายกรรมก็เป็นอันไม่เสีย แม้วจีกรรม.... มโนกรรมก็เป็นอันไม่เสีย เมื่อเขามีกายกรรม วจีกรรม.... มโนกรรม ไม่เสีย ความตายก็เป็นการตายดี การทำกาละก็งาม ดูก่อนคฤหบดีเปรียบเหมือนเมื่อเรือนซึ่งมุงไว้เรียบร้อย แม้ยอดเรือนก็เป็นอันรักษา แม้ไม้กลอนฝาเรือน.... ก็เป็นอันรักษา แม้ยอดเรือนก็ไม่ถูกฝนรั่วรด แม้ไม้กลอน ฝาเรือนก็ไม่ถูกฝนรั่วรด แม้ยอดเรือนก็เป็นของไม่ผุ แม้ไม้กลอน ฝาเรือนก็เป็นของไม่ผุ....ฯ”

กูฏสูตร ที่ ๑


🔆 ความเห็นผิดคืออย่างไร
ปัญหา ข้อที่ว่าโลภและโกรธเป็นมูลเหตุให้เกิดอกุศลกรรมนั้น พอจะเข้าใจแล้ว แต่ข้อที่ว่าโมหะอันเป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฐิความเห็นผิดนั้นคือเห็นอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”

อยสูตร


🔆 ฤกษ์ยามในพระพุทธศาสนา
ปัญหา ทางพระพุทธศาสนามีการสอนให้ถือฤกษ์ถือยามในการทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี.... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย.... ด้วยวาจา.... ด้วยใจในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย.... ด้วยวาจา.... ด้วยใจในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย..... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น...”

สุปุพพัณหสูตร


🔆 ข้อปฏิบัติของอเจลกะ
ปัญหา พวกอเจลกะซึ่งเป็นนักบวชพวกหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีหลักปฏิบัติอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....อเจลกะบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไร้มารยาท เลียมือเขาเชิญให้มารับภิกษาก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่หยุด ไม่รับภิกษาที่เขาแบ่งไว้ก่อน ไม่รับภิกษาที่เขาทำเฉพาะ ไม่รับภิกษาที่เขานิมนต์ ไม่รับภิกษาปากหม้อ ไม่รับภิกษาจากหม้อข้าว ไม่รับภิกษาที่บุคคลยื่นคร่อมธรณีประตูนำมา ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมท่อนไม้นำมา ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมสากนำมา ไม่รับภิกษาที่คน ๒ คนบริโภคอยู่ ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ไม่รับภิกษาของหญิงที่นัดแนะกันทำไว้ ไม่รับภิกษาในที่ที่สุนัขได้รับการเลี้ยงดู ไม่รับภิกษาในที่มีแมลงวันตอมเป็นกลุ่ม ไม่กินเนื้อ ไม่กินปลา ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มยาดอง รับภิกษาที่เรือนหลังเดียว เยียวยาอัตตภาพด้วยข้าวคำเดียวบ้าง..... รับภิกษาที่เรือน ๗ หลัง เยียวยาอัตตภาพด้วยข้าว ๗ คำบ้าง เยียวยาอัตตภาพด้วยภิกษาในถาดน้อยใบเดียวบ้าง... ๗ ใบบ้าง กินอาหารที่เก็บค้างไว้วันเดียวบ้าง... ๒ วันบ้าง... ๗ วันบ้าง ประกอบความขวนขวายในการบริโภคภัตที่เวียนมาถึงตั้งกึ่งเดือนเช่นนี้บ้าง

อเจลกะนั้นเป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่าง... ลูกเดือย.... กากข้าว... ยาง... สาหร่าย.... ข้าวตัว.... กำยาน หญ้า.... โคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหรบ้าง บริโภคผลไม่หล่นเยียวยาอัตตภาพอเจลกะนั้น ทรงผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกัน.... ผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล... ผ้าเปลือกไม้... หนังเสือ... หนังเสือทั้งเล็บ ผ้าคากรอง.... ผ้าเปลือกปอกรอง... ผ้าผลไม้กรอง... ผ้ากัมพลทำด้วยผมคน.... ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์... ผ้าทำด้วยปีกขนนกเค้าบ้าง เป็นผู้ถอนผมและหนวด เป็นผู้ยืนคือห้ามอาสนะบ้าง... เป็นผู้กระโหย่ง คือประกอบความเพียรในการกระโหย่งบ้าง เป็นผู้นอนบนหนาม.... เป็นผู้อาบน้ำวันละ ๓ ครั้งบ้าง... เป็นผู้ขวนขวายในการทำให้ร่างกายเดือดร้อน กระสับกระส่ายหลายวิธีดังกล่าว....ฯ”

ติ. อํ. (๕๙๖)


🔆 ความรักทำให้คนตาบอด
ปัญหา มีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า คามรักทำให้คนตาบอด ดังนี้ทางพระพุทธศาสนายอมรับคำกล่าวนี้ว่า เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด?

พุทธดำรัสตอบ “.....บุคคลผู้กำหนัด อันความกำหนัดครอบงำรึงรัดจิตใจไว้ ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน ตามความเป็นจริง ย่อมรู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น ตามความเป็นจริงย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ทั้ง ๒ ฝ่ายตามความเป็นจริง.... ความกำหนัดแล ทำให้เป็นคนมืด ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร ทำให้ปัญญาดับ เป็นไปในฝ่ายความคับแค้นไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน.....ฯ”

ฉันนสูตร


🔆 พระพุทธศาสนาก็ส่งเสริมทรัพย์
ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนจะให้คนออกจากโลกท่าเดียว ไม่ส่งเสริมการมีโภคทรัพย์ จริงหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลสองตาเป็นไฉน บุคลบางคนในโลกนี้ มีนัยน์ตาเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ ทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ทั้งมีนัยน์ตาเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล รู้ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ รู้ธรรมที่เลวและประณีต รู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนสองตา.....”

อันธสูตร


🔆 ปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจ
ปัญหา ปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจ ๔ มีความสัมพัน์กันอย่างไรหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นธาตุ ๖ ปถวี อาโป เตโช วาโย อากาศ วิญญาณ สัตว์จึงลงสู่ครรภ์ เมื่อมีการลงสู่ครรภ์ ถึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เราบัญญัติว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้ทุกข์เกิด นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แก่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจเป็นไฉน คือ แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชรา... มรณะ... โสกะ.... ปริเทวะทุกข์... โทมนัส... อุปายาส... การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก...การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก.... ความปรารถนาสิ่งใดมิได้สมหวัง... ก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขสมุทัยอริยสัจเป็นไฉน คือ

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ..... โสกะ.... ปริเทวะทุกข์... โทมนัส... อุปายาส...

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ”

ติตถสูตร

วันอังคาร

พระพุทธดำรัส (๙)

🙏 พระพุทธดำรัส 🙏



🔆 สุขของพระพุทธเจ้า
ปัญหา ความสุขของคนธรรมดาสามัญกับความสุขของพระพุทธเจ้ามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร ? (สมัยหนึ่งพราหมณภารทวาชโคตรเที่ยวแสวงหาโคงานของเขาที่หายไปจนมาพบพระพุทธเจ้าที่ชัฎป่า)

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนพราหมณ์ โคใช้ ๑๔ ตัว ของเราไม่มีเลย แต่ของท่านหายไปได้ ๖๐ วันเข้าวันนี้ ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข “ ดูก่อนพราหมณ์ งาทั้งหลายอันเลว มีใบหนึ่งและสองใบในไร่ของเรา ไม่มีเลย ..... เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข “ ดูก่อนพราหมณ์ หนูทั้งหลายในฉางเหล่าย่อมไม่รบกวนเรา ด้วยการยกหูหางขึ้นแล้วกระโดดโลดเต้น ..... เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข 
“ ดูก่อนพราหมณ์ เครื่องลาดของเรา ใช้ตั้งเจ็ดเดือนไม่ดารดาษด้วยสัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ..... เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข “ ดูก่อนพราหมณ์ หญิงหม้าย บุตรธิดา มีบุตรคนหนึ่งและสองคนของเราไม่มีเลย..... เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข “ดูก่อนพราหมณ์ แมลงวันมีตัวอันลาย ไต่ตอมบุคคลผู้หลับด้วยเท้า (ของมัน) ย่อมไม่ไต่ตอมเราเลย ..... เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข “ ดูก่อนพราหมณ์ ในเวลาใกล้รุ่ง เจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมไม่ทวงเราเลยว่าท่านทั้งหลายจงให้ ท่านทั้งหลายจงให้ ..... เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีความสุข

พหุธิติสูตร 


🔆 ชาวนาพิเศษ

ปัญหา วันหนึ่งกสิภารทวาชพราหมณ์กำลังเตรียมจะไถนาพระพุทธองค์เสด็จไปบิณฑบาต พราหมณ์เห็นแล้วกล่าวขึ้นว่า เขาเองไถและหว่านแล้วจึงบริโภค และขอให้พระพุทธองค์ไถและหว่านแล้วบริโภคเช่นเดียวกัน พระพุทธองค์ตรัสว่าเราก็ไถและหว่านแล้วบริโภคเหมือนกัน พราหมณ์จึงกล่าวว่า พระองค์ตรัสว่าเป็นชาวนา แต่เขาไม่เห็นไถของพระองค์เลย ?

พุทธดำรัสตอบ “ ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและประตักเรามีกายคุ้มครองแล้ว มีวาจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการดายหญ้าด้วยคำสัตย์ โสรัจจะของเราเป็นเครื่องให้แล้วเสร็จโยคะ ไปไม่ถอยหลัง ยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก”

“นี่การไถ เราไถอย่างนี้แล้ว ย่อมมีอมฤตเป็นผล ครั้นไถอย่างนี้แล้วย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”

กสิสูตร


🔆 ทำบ่อย ๆ ดี
ปัญหา พระผู้มีพระภาคเสด็จไปบิณฑบาตที่บ้านอุทัยพราหมณ์ติดกัน ๓ ครั้ง อุทัยพราหมณ์ก็ใส่บาตรทั้ง ๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ ได้กล่าวขึ้นว่า พระสมณโคดมนี้ติดในรส (อาหาร) จึงเสด็จมาบ่อย ๆ?

พุทธดำรัสตอบ “ กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ ฝนย่อมตกบ่อยๆ ชาวนาย่อมไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญญชาติบ่อย ๆ ยาจกย่อมขอบ่อยๆ ทานบดีก็ให้บ่อยๆ ทานบดีให้บ่อย แล้วก็เข้าถึงสวรรค์บ่อย ๆ ผู้ต้องการน้ำนม ย่อมรีดนมบ่อยๆ ลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อย ๆ บุคคลย่อยลำบากและดิ้นรนบ่อยๆ คนเขลาย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อย ๆ ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อยๆ ก็เพื่อได้มรรค แล้วไม่เกิดอีก ดังนี้”

อุทัยสูตร


🔆 บุคคลที่ควรยำเกรง
ปัญหา (มานัตถัทธพราหมณ์ทูลถาม) ไม่ควรทำมานะ (เย่อหยิ่งต่อ) ในใคร ควรมีความเคารพในใคร พึงยำเกรงใคร บูชาใครด้วยดีแล้วจึงเป็นการดี ?

พุทธดำรัสตอบ “ ไม่ควรทำมานะในมารดาบิดา พี่ชายและในอาจารย์ เป็นที่ ๔ พึงมีความเคารพในบุคคลเหล่านั้น พึงยำเกรงบุคคลเหล่านั้น บูชาบุคคลเหล่านั้นด้วยดีแล้ว จึงเป็นการดี บุคคลพึงทำลายมานะเสีย ไม่ควรมีความกระด้างในพระอรหันต์ผู้เย็นสนิท ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หาอาสวะมิได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เพราะอนุสัยนั้น”

มานัตถัทธสูตร

🔆 แม้พระพุทธเจ้ายังทรงปวารณา
ปัญหา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดแล้วทั้งกาย วาจา ใจ ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดบกพร่องใดๆ ที่จะต้องสารภาพต่อผู้อื่น และให้ผู้อื่นตักเตือนมิใช่หรือ?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอปวารณาเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะไม่ติเตียนกรรมได ๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเราบ้างหรือ?

ปวารณาสูตร


🔆 กำเนิดมนุษย์ในครรภ์
ปัญหา (อินทกยักษ์ทูลถาม) ถ้าท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าว่า รูปหาใช่ชีพไม่ สัตว์นี้จะประสบร่างกายนี้ได้อย่างไรหนอ กระดูกและก้อนเนื้อ จะมาแต่ไหน สัตว์นี้จะติดอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเป็น เปสิ จากเปสิ เป็นฆนะ จากฆนะ เกิดเป็น ๕ ปุ่ม ต่อจากนั้นก็มีผมขนและเล็บเกิดขึ้น มารดาของสัตว์ในครรภ์บริโภคข้าวน้ำโภชนาหารอย่างใดสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดา ก็ยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารอย่างนั้น ในครรภ์นั้น

อินทกสูตร


🔆 อธิบายปฏิจจสมุปบาท
ปัญหา ช่วงต่างๆ ของปฏิจจสมุปบาท อันเป็นธรรมที่ลึกซึ้งยากกาการเข้าใจนั้น หมายถึงอะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก.... นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะเป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย.... ความแตกแห่งขันธ์.... นี้เรียกว่ามรณะ
“ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด.... ความปรากฏแห่งขันธ์.... นี้เรียกว่าชาติ
“ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้ คือ กามภพ รูปภาพ อรูปภาพ นี้เรียกว่าภพ
“ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐปาทาน สีลัมพพตุปาทาน อัตตาวาทุปาทาน นี้เรียกว่าอุปาทาน
“ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา
“ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา
“ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ
“ก็สฬายตนะเป็นไฉน อาตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เรียกว่า สฬายตนะ
“ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่า นาม มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป
“ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่าววิญญาณ
“ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร
“ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่า อวิชชา.....”

วิภังคสูตร 


🔆 มีอาหารแต่ไม่มีผู้กิน
ปัญหา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า หมู่สัตว์ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ๔ อย่างคือ
๑. กวฬึงการาหาร
๒. ผัสสาหาร
๓. มโนสัญเจตนาหาร
๔. วิญญาณาหาร
พระโมลิยผัคคุณะได้ทูลถามว่า ใครเป็นผู้กินวิญญาณาหาร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่ากลืนกิน (วิญญาณาหาร) ถ้าเรากล่าวว่า “กลืนกิน” ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า ใครหนอย่อมกลืนกิน? แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น

“....ผู้ใดพึงถามเรา อย่างนี้ว่า วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่ออะไรหนอ ? อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่อความบังเกิดใหม่ในภพต่อไป เมื่อวิญญาณาหาร นั้นเกิดมีแล้ว จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ.... เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา... เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา.... เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน.... เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ.... เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมี ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสอุปายาส..... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการฉะนี้”

ผัคคุณสูตร


🔆 สัมมาทิฐิคืออะไร
ปัญหา (พระกัจจานโคตรทูลถาม ที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอจึงชื่อว่า สัมมาทิฐิ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ความมี (สัสสตทิฏฐิ-ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเที่ยง - มีอยู่ตลอดไป) ๑ ความไม่มี (อุจเฉททิฏฐิ ความเป็นว่าสิ่งทั้งปวงขาดสูญไม่มี) ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) มีในโลกย่อมไม่มี “โลกนี้โดยมาก ยังพัวพันด้วย อุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเราดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั้นแหละเมื่อบังเกิดขึ้นย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.... จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ

“ดูก่อนกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่หนึ่งนี้มีว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่สองมีอยู่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ.... นามรูป... สฬายตนะ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ....
ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้.....”

กัจจานโคตตสูตร

🔆 มีทุกข์แต่ไม่มีผู้เสวย
ปัญหา อเจลกัสสปปริพพาชกได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าทุกข์ตนทำเองหรือผู้อื่นทำให้ หรือทั้งตนทั้งผู้อื่นทำ หรือไม่ใช่ทั้งตนทั้งผู้อื่นทำ ? พระผู้มีพระภาคทรงห้ามว่า อย่างกล่าวอย่างนั้น อเจลกัสสปทูลถามต่อไปว่า ทุกข์ไม่มีหรือ? พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกข์มีแน่ และพระองค์ทรงรู้จักดี เมื่ออเจลกัสสปทูลขอให้อธิบายทุกข์พระพุทธองค์ตรัสตอบดังต่อไปนี้....


พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัสสป เมื่อบุคคลถืออยู่ นั่นผู้กระทำ นั้นผู้เสวย ถ้าเราจักกล่าวว่า ทุกข์ตนกระทำเอง ดังนี้ อันนี้เป็นสัสสตทิฐิไป “เมื่อบุคคลถูกเวทนาทิ่มแทงอยู่ (ย่อมเข้าใจไป) ว่า ผู้กระทำคนหนึ่งผู้เสวยเป็นอีกคนหนึ่ง ถ้าเราจักกล่าวว่า ทุกข์ผู้อื่นกระทำให้ดังนี้ อันนี้เป็นอุจเฉททิฐิไป

“.....ดูก่อนกัสสป ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้น ว่าเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ.... นามรูป... สฬายตนะ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ....ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้ “เพราะอวิชชานั่นแหละดับ ด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ สฬายตนะดับ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ.... ชาติ.... ชรา..... มรณะ....จึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.....”

อเจลกัสสปสูตร

🔆 ใครเป็นผู้สร้าง
ปัญหา ทุกข์ทั้งปวง ตั้งแต่อวิชชาเป็นต้นไปถึง ชาติ ชรา มรณะ มีใครเป็นผู้สร้างหรือไม่?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย....
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ....
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ....
เพราะอุปทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ....
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปทาน....
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา....
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา....
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ....
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ....
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป....
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ....
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร....

เพราะตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธรรมฐิติ (เป็นสภาพตั้งอยู่ตามธรรมดา) ธรรมนิยาม (เป็นสภาพแน่นอนตามธรรมดา) อิทัปปัจจัย (เป็นมูลเหตุอันแน่นอน) ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดงบัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำ ให้ตื้น และตรัสว่าท่านทั้งหลายจงดูดังนี้.....”

ปัจจัยสูตร

🔆 ทางหนีทุกข์
ปัญหา จงแสดงสายแห่งความทุกข์ และสายแห่งความดับทุกข์ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เป็นขั้นๆ ไป?

พุทธดำรัสตอบ “.....ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเป็นที่อิงอาศัย วิญญาณมีสังขารเป็นที่อิงอาศัย นามรูปมีวิญญาณเป็นที่อิงอาศัย สฬายตนะมีนามรูปเป็นที่อิงอาศัย ผัสสะมีสฬายตนะเป็นที่อิงอาศัย เวทนามีผัสสะเป็นที่อิงอาศัย ตัณหามีเวทนาเป็นที่อิงอาศัย อุปทานมีตัณหาเป็นที่อิงอาศัย ภพมีอุปทานเป็นที่อิงอาศัย ชาติมีภพเป็นที่อิงอาศัย ทุกข์มีชาติเป็นที่อิงอาศัย ศรัทธามีทุกข์เป็นที่อิงอาศัย ความปราโมทย์มีศรัทธาเป็นที่อิงอาศัย ปีติมีปราโมทย์เป็นที่อิงอาศัย ปัสสัทธิมีปีติเป็นที่อิงอาศัย สุขมีปัสสิทธิเป็นที่อิงอาศัย สมาธิมีสุขเป็นที่อิงอาศัย ยถาภูญาณทัสสนะ (การรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง) มีสมาธิเป็นที่อิงอาศัย นิพพิทา(ความรู้ที่ทำให้เบื่อหน่ายในกองทุกข์) มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นที่อิงอาศัย วิราคะ (ความสิ้นกำหนัด, ธรรมเป็นที่สิ้นราคะ, ความคลายออกได้หายติด) มีนิพพิทาเป็นที่อิงอาศัย วิมุต(ความหลุดพ้น) มีวิราคะเป็นที่อิงอาศัย ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป (อรหัตตผล) มีวิมุติเป็นที่อิงอาศัย”

อุปนิสสูตร

🔆 เหตุของทุกข์
ปัญหา สมณพราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า ทุกข์ตนทำเองบ้าง ผู้อื่นทำเองบ้าง ทั้งตนทั้งผู้อื่นทำบ้าง ไม่ใช่ทั้งตนไม่ใช่ทั้งผู้อื่นทำบ้าง ในเรื่องนี้ พระผู้มีพระภาคทรงมีทรรศนะอย่างไร?

พระสารีบุตรตอบ (พระพุทธเจ้าทรงรับรอง) “.....ดูกรท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ทุกข์เป็นของอาศัยเหตุเกิดขึ้น ทุกข์อาศัยอะไรเกิดขึ้น ทุกข์อาศัยผัสสะ เกิดขึ้น บุคคลผู้กล่าวดังนี้ จึงจะชื่อว่าเป็นผู้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้ง การคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ ก็จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนจะติเตียนได้

ดูกรท่าน ทั้งหลาย ในวาทะทั้ง ๔ นั้น แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรม บัญญัติว่า ตนทำเอง ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ผู้อื่นทำให้ ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็น ปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ตนทำเองด้วย ผู้อื่น ทำให้ด้วย ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย แม้ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ผู้กล่าว กรรมบัญญัติว่าเกิดเอง เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ ก็ย่อมเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ดูกรท่านทั้งหลาย ในวาทะทั้ง ๔ นั้น พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ทุกข์ตนทำเอง เว้นผัสสะเสีย เขา ย่อมเสวยทุกข์ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ แม้พวกสมณพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรม.....”


อัญญติตถิยสูตร

🔆 สมณพราหมณ์ที่แท้จริง
ปัญหา สมณพราหมณ์ที่แท้จริงตามความหมายทางพระพุทธศาสนานั้น ควรจะมีคุณสมบัติที่สำคัญอะไรบ้าง?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งย่อมไม่กำหนดรู้ชราและมรณะ ย่อมกำหนดรู้เหตุเกิดแห่งชราและมรณะ ย่อมกำหนดรู้ความดับแห่งชราและมรณะ ย่อมกำหนดรู้ ชาติ ...ภพ.... อุปาทาน.... ตัณหา....เวทนา....ผัสสะ...สฬายตนะ....นามรูป.... วิญญาณสังขาร ย่อมไม่กำหนดรู้เหตุเกิดแห่งสังขาร... ความดับแห่งสังขาร.... ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ได้รับสมมติว่าเป็นสมณะ ในหมู่สมณะ หรือไม่ได้รับสมมติว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ อนึ่ง ท่านเหล่านี้จะทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ไม่ได้....”

สมณพราหมณ์สูตร

🔆 พระเสขะและพระอเสขะ
ปัญหา พระเสขะ (ผู้ยังต้องศึกษา ยังไม่ใช่อริยบุคคลชั้นอรหันต์) กับพระอเสขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษาได้บรรลุมรรคผลแล้ว) มีข้อปฏิบัติที่จะต้องปฏิบัติต่างกันอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ถูกละๆ สารีบุตร บุคคลเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า นี้คือ ขันธปัญจกที่เกิดแล้ว ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลาดกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธปัญจกที่เกิดแล้ว ย่อมเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ว่า ขันธปัญจกนี้เกิดเพราะอาหารนั้น ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธปัญจกที่เกิดเพราะอาหาร ย่อมเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดเกิดแล้ว สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธปัญญา มีความดับเป็นธรรมดา ดูก่อนสารีบุตร บุคคลชื่อว่าเป็นเสขะได้ ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้แล

“ดูก่อนสารีบุตร ก็บุคคลชื่อว่าได้ตรัสรู้ธรรมแล้วเป็นไฉน ดูก่อนสารีบุตร บุคคลเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า นี้คือขันธปัญจกที่เกิดขึ้นแล้ว ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นเพราะความหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นขันธปัญจกนี้เกิดเพราะอาหารนั้น ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นเพราะความหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะความไม่ถือมั่นซึ่งขันธปัญจกที่เกิดแล้วเพราะอาหาร ย่อมเห็นด้วยปัญญาดันชอบตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดเกิดแล้ว สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา เพราะความดับแห่งอาหารนั้น ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้วย่อมหลุดพ้นเพราะความหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นซึ่งขันธปัญจกที่มีความดับเป็นธรรมดา ดูก่อนสารีบุตร บุคคลได้ชื่อว่า ตรัสรู้ธรรมแล้วด้วยการอย่างนี้แล.....”

ภูตมิทสูตร

🔆 ทุกข์ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ปัญหา ทุกข์ทั้งหลายมี ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น ใครเป็นเจ้าของ ? เราจะกล่าวว่าทุกข์เป็นของเรา? เราจะกล่าวว่าทุกข์เป็นของเราดังนี้จะได้หรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวว่า ชรา มรณะเป็นไฉน และชรามรณะนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า ชรามรณะเป็นอย่างอื่น และชรามรณะนี้เป็นของผู้อื่น คำทั้งสองของผู้นั้นมีเนื้อความอย่างเดียวกัน ต่างแต่พยัญชนะเท่านั้น

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีทิฐิว่า ชีพก็อันนั้น ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี หรือเมื่อมีทิฐิว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี ดูก่อนภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะฯ”

อวิชชาปัจจยสูตร

🔆 ปิดประตูนรก
ปัญหา ทำอย่างไร จึงจะเชื่อแน่ได้ว่า คนจะไม่ตกนรก และจะไม่เกิดในอบายภูมิอื่น ๆ อย่างเด็ดขาด?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนคฤหบดี เมื่อใดแล ภัยเวร ๕ ประการของอริยสาวกสงบแล้ว เมื่อนั้นอริยสาวสกย่อมประกอบด้วยธรรมอันเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่าง และญายธรรมอย่างประเสริฐ อริยสาวกเห็นดีแล้วแทงตลอดด้วยปัญญา อริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเอง ได้ว่าเราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำหนดสัตว์เดียรัจฉานสิ้นแล้ว มีปิตติวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในภายหน้า

“ภัยเวร ๕ ประการสงบแล้วเป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดี บุคคลผู้ฆ่าสัตว์.... บุคคลผู้ลักทรัพย์.... บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม..... บุคคลผู้พูดเท็จ.... บุคคลผู้ตั้งอยู่ในความประมาท เพื่อดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย ย่อมประสบภัยเวรใดอันมีในชาตินี้บ้าง อันมีชาติหน้าบ้าง ย่อมเสวยทุกข์ทางใจคือโทมนัสบ้างเพราะปาณาติบาต.... เพราะอทินนาทาน.... เพราะกาเมสุมิจฉาจาร.... เพราะมุสาวาท.... เพราะการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยเป็นเหตุ.... กาเมสุมิจฉาจาร.... มุสาวาท.... การดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทสงบแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ภัยเวร ๕ ประการนี้สงบแล้ว

“อริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรม อันเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่างเป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.... ในพระธรรม.... ในพระสงฆ์.... ย่อมประกอบด้วยศีล ที่พระอริยเจ้าปรารถนา ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อมเป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิไม่ครอบงำได้ เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมอันเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่างนี้.....

“ก็ญายธรรมอันประเสริฐ อันอริยสาวกเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญาเป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ถึงปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างดีว่า เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับด้วย ประการดังนี้ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ก็เพราะอวิชชาดับ.... สังขารจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมีด้วยประการอย่างนี้

“ดูก่อนคฤหบดี เมื่อใดแล ภัยเวร ๕ ประการนี้ของอริยสาวกสงบแล้วเมื่อนั้นอริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่าง และญายธรรมย่อมประเสริฐนี้... อริยสาวกนั้น หวังอยู่พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว....”

ปัจจเวรภยสูตร

🔆 บ่อเกิดแห่งทุกข์
ปัญหา ความทุกข์เกิดขึ้นโดยวิธีใด?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็นไฉนเพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์..เพราะอาศัยหูและเสียง.... เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น.... เพราะอาศัยลิ้นและรส.... เพราะอาศัยกาย และโผฏฐัพพะ.... เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะพาผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา.... นี้แล เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์....

ทุขนิโรธสูตร


🔆 ทุกข์ดับที่ไหน
ปัญหา ทุกข์ย่อมเกิดจากตาเห็นรูปเป็นต้นแล้วเกิด จักขุ วิญญาณ และผัสสะ เวทนา ตัณหา โดยลำดับ ถ้าจะดับทุกข์จะดับที่ไหน ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งทุกข์เป็นไฉน เพราะอาศัยจักขุเป็นวิญญาณ.... เพราะอาศัยหูและเสียง จึงเกิดโสตวิญญาณ....เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น จึงเกิดฆานวิญญาณ.... .... เพราะอาศัยลิ้นและรส จึงเกิดชิวหาวิญญาณ........ เพราะอาศัยกาย และโผฏฐัพพะ จึงเกิดกายวิญญาณ........ เพราะอาศัยใจและธรรมจึงเกิดมโนวิญญาณ.... จึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการ (คือจักษุ+รูป+จักขุวิญญาณ) เป็นผัสสะ เพราะพาผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหานั้นเทียวดับ เพราะสำรอกโดยเหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้.... ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์....

ทุขนิโรธสูตร 

🔆 อะไรเกิดขึ้นเมื่ออวิชชาดับ
ปัญหา เมื่ออวิชชาซึ่งเป็นต้นเค้าของทุกข์ดับไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแลภิกษุละอวิชชาได้แล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ในกาลนั้นภิกษุนั้นก็ไม่ทำกรรมเป็นบุญ ไม่ทำกรรมเป็นบาป ไม่ทำกรรมเป็นอเนญชา... เมื่อไม่ทำ เมื่อไม่จงใจ ก็ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก เมื่อไม่ถือมั่น ก็ไม่สะดุ้งกลัว เมื่อไม่สะดุ้งกลัว ก็ปรินิพพานเฉพาะตนย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่สงบแล้ว... ภิกษุนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง อันคนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา ไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา ถ้าเสวยทุกขเวทนา... อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ว่าทุขเวทนานั้น.... อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่ยึดถือ... ไม่เพลิดเพลินด้วยตัณหา ภิกษุนั้น ถ้าเสวยสุขเวทนา... ทุกขมเวทนา อทุกขมสุขเวทนาก็วางเฉยเสวยไป... เมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏ ทางกาย ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาที่มีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาที่มีชีวิตเป็นที่สุด รู้ชัดว่าเวทนาทั้งปวงอันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของเย็น สรีรธาตุจักเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น ตั้งแต่สิ้นชีวิตเพราะความแตกแห่งกาย”

ปริวีมังสนสูตร

🔆 จิต มโน วิญญาณ
ปัญหา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีทรรศนะเกี่ยวกับกายและจิตอย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะพึงเบื่อหน่าย คล้ายยินดีหรือหลุดพ้นในร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตทั้ง ๔ นี้ (ย่อมเป็นไปได้) นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญ ความเสื่อม การเกิด หรือการตาย ของร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูต ๔ นี้ ย่อมปรากฏ (เฉพาะ) ปุถุชนผู้ได้เรียนรู้ จึงเบื่อหน่าย คลายความยินดีหรือหลุดพ้นในร่างกายนั้นได้

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติใดที่เรียกกันว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะพึงเบื่อหน่าย คลายความยินดีหรือหลุดพ้นในธรรมชาตินั้น (ย่อมเป็นไปไม่ได้) นั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าธรรมชาตินั้น ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ มาตลอดกาลช้านาน ฉะนั้นปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายความยินดี หลุดพ้นในธรรมชาตินั้นได้เลย

อัสสุตวตา

🔆 กายยังถาวรกว่าจิต
ปัญหา คนส่วนมากเข้าใจว่า ในคนเรามิจิต ซึ่งมั่นคงถาวรไม่รู้จักตาย แม้ร่างกายตายไปแล้ว จิตก็ยังอยู่ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไรในเรื่องนี้ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนมิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่ถ้าจะเข้าไปยึดถือจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ธรรมชาติที่เรียกว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและในกลางวัน

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใดธรรมชาติที่เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวันก็ฉันนั้นแล ฯ”

อัสสุตวตาสูตร

🔆 ผัสสาหารคืออะไร
ปัญหา ผัสสาหาร อาหารคือการสัมผัส ซึ่งเป็นอาหารอย่างหนึ่ง ในบรรดาอาหารทั้ง ๔ นั้น คืออย่างไร? เราควรจะมีท่าทีความรู้สึกต่อผัสสาหารนั้นอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ? เหมือนอย่างว่าแม่โคนมที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและกัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกสัตว์จำพวกที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้น ๆ กัดกินอยู่ร่ำไป ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า พึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้เวทนาทั้ง ๓ ได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใด ที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว”

ปุตตมังสสูตร

🔆 มโนสัญเจตนาหารคืออะไร
ปัญหา มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือความตั้งใจ ซึ่งเป็นอาหารอย่างหนึ่ง ในบรรดาอาหารทั้ง ๔ นั้น คืออย่างไร? เราควรกำหนดรู้มโนสัญเจตนาหารได้อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มโนสัญเจตนาหาร จะพึงเห็นได้อย่างไร ? เหมือนอย่างว่า มีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษเต็มไปด้วยถ่านเพลิง ไม่มีเปลว ไม่มีควัน ครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่ง อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์เดินมา บุรุษ ๒ คน มีกำลัง จับเขาที่แขนข้างละคน คร่าไปสู่หลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจ อยากจะไกลจากหลุมถ่านเพลิง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์แทบตาย ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า พึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดมโนสัญเจตนาหาร ได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เมื่ออริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว”

ปุตตมังสสูตร


วันพุธ

พระพุทธดำรัส (๘)

 🙏 พระพุทธดำรัส 🙏



🔅 รักตนให้ถูกทาง
ปัญหา คนทุกคนย่อมรักตนยิ่งกว่าคนอื่นสิ่งอื่น แต่ส่วนมากรักตนแล้วไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อตนอย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงแนะวิธีปฏิบัติอย่างไรในเรื่องนี้?

พุทธดำรัสตอบ “.....ถูกแล้วๆ มหาบพิตร เพราะว่าชนบางพวกย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้นไม่ชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายมีความรักตน ถึงเช่นนั้นพวกเขาก็ชื่อว่าไม่มีความรักตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร ก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ไม่รักใคร่กันย่อมทำความเสียหายให้แก่ผู้ไม่รักใคร่กันได้โดยประการใด พวกเขาเหล่านั้นย่อมทำความเสียหายแก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงชื่อว่าไม่รักตน

“ส่วนว่าชนบางพวกย่อมประพฤติสุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ พวกเหล่านั้นชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้วา เราไม่รักตน ถึงเช่นนั้นพวกเหล่านั้นก็ชื่อว่ารักตน ข้อนั้นเป็นเหตุอะไร ก็เพราะเหตุว่าชนผู้ที่รักใคร่กันย่อมทำความดีความเจริญให้แก่ชนผู้ที่รักใคร่กันได้โดยประการใด พวกเหล่านั้นย่อมทำความดีความเจริญแก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น ฉะนั้นพวกเหล่านั้นจึงชื่อว่ารักตน”

ปิยสูตร


🔅 วิธีล่วงรู้คุณสมบัติผู้อื่น 
ปัญหา จะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้ใดมีศีล มีกำลังใจ หรือมีปัญญาหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนมหาบพิตร ศีลถึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ “ดูก่อนมหาบพิตร กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้น จะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ “ดูก่อนมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้น จะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ “คนผู้เกิดมาดี ไม่ควรไว้วางใจ เพราะผิวพรรณและรูปร่างไม่ควรไว้วางใจ เพราะการเห็นกันชั่วครู่เดียว เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปในโลกนี้ ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว ประดุจกุณฑลดินและมาสกโลหะ หุ้มด้วยทองคำปลอมไว้ คนทั้งหลายไม่บริสุทธิ์ในภายใน งามแต่ภายนอก แวดล้อมด้วยบริวาร ท่องเที่ยงอยู่ในโลก”

ชฏิลสูตร


🔅 ยาอายุวัฒนะ
ปัญหา จะมีวิธีบริหารกายอย่างไร จึงจะทำให้อายุยืน?

พุทธดำรัสตอบ “มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า ครองอายุได้ยืนนาน”

โทณปากสูตร



🔅 อย่าดูหมิ่นสตรี 
ปัญหา เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ขณะที่พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังประทับนั่งเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ ราชบุรุษได้เข้ามาทูลว่า พระราชินีประสูติพระราชธิดาออกมา พระราชาทรงผิดหวังมาก เพราะพระองค์ต้องการโอรส เช่นเดียวกับชาวอินเดียทั้งหลาย ที่อยากได้บุตรชายมากว่าบุตรหญิง?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าปวงชน แท้จริงแม้สตรีบางคนก็เป็นผู้ประเสริฐ พระองค์จงชุบเลี้ยงไว้ สตรีที่มีปัญญา มีศีลปฏิบัติพ่อผัว แม่ผัวดังเทวดา จงรักสามี ฯ “บุรุษที่เกิดจากสตรีนั้น ย่อมเป็นคนแกล้วกล้า เป็นเจ้าแห่งทิศได้บุตรของภริยาที่ดีเช่นนั้น แม้ราชสมบัติก็ครอบครองได้”

ธีตุสูตร

🔅 ประหยัดให้ถูกทาง
ปัญหา พระพุทธองค์ทรงส่งเสริมการประหยัดทรัพย์ แต่จะประหยัดอย่างไรจึงจะเป็นการถูกต้อง ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนมหาบพิตร อสัตบุรุษได้โภคะอันโอฬารแล้วไม่ยังตนให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำเลย ไม่ยังมารดาบิดาให้ได้รับความสุข..... ความอิ่มหนำ ไม่ยังบุตรและภริยาให้ได้รับความสุข..... ความอิ่มหนำ ไม่ยังมิตรและอำมาตย์ให้ได้รับความสุข..... ความอิ่มหนำ ไม่ยังทาสกรรมกรให้ได้รับความสุข..... ความอิ่มหนำ ไม่ยังทักษิณา อันมีผลในเบื้องบน มีอารมณ์ดี มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ ให้ตั้งอยู่ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย โภคะเหล่านั้นของเขา ที่มิได้ใช้สอยโดยชอบอย่างนี้พระราชาทั้งหลายย่อมนำไปบ้าง โจรทั้งหลายย่อมนำไปบ้าง ไฟย่อมไหม้เสียบ้าง น้ำย่อมพัดไปเสียบ้าง ทายาททั้งหลายผู้ไม่เป็นที่รักย่อมนำไปบ้างฯ

“ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อเป็นเช่นนี้ โภคะที่มิได้ใช้สอยโดยชอบของเขาเหล่านั้น ย่อมถึงความหมดสิ้นไป โดยมิได้รับการบริโภค

ปฐมาปุตตกสูตร


🔅 ทานที่มีผลมาก
ปัญหา ควรให้ทานแก่บุคคลเช่นไร จึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนมหาบพิตร แม้หากว่า กุลบุตรออกจากเรือนตระกูลไรๆ เป็นผู้บวชหาเรือนมิได้ และกุลบุตรนั้น เป็นผู้มีองค์ ๕ อันละได้แล้วเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรนั้น ย่อมเป็นทานมีผลมากองค์ ๕ อันกุลบุตรนั้นละได้แล้วเป็นไฉน กามฉันทะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว พยาบาทอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว ถีนมิทธะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว อุทธัจจกุกกุจจะอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว วิจิกิจฉาอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว องค์ ๕ เหล่านี้อันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว”

“กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นไฉน กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะเป็นผู้ประกอบด้วยวิมุติขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ เป็นผู้ประกอบด้วยวิมุติญาณทัสสนะขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เหล่านี้ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรผู้มีองค์ ๕ อันละได้แล้ว ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ดังนี้ ย่อมมีผลมาก...”

“ศิลปะการยิงแม่น กำลังเข้มแข็ง และความกล้าหาญมีอยู่ในชายหนุ่มใด พระราชาผู้มีพระประสงค์ด้วยการยุทธ์ พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มเช่นนั้น ไม่พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่มผู้ไม่กล้าหาญ เพราะเหตุแห่งชาติฉันใด ธรรมคือขันติและโสรัจจะตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลพึงบูชาบุคคลนั้น ผู้มีปัญญา มีความประพฤติเยี่ยงพระอริยะ แม้มีชาติทรามฉันนั้นเหมือนกัน”

พึงสร้างอาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ ยังผู้พหูสูตร ทั้งหลายให้พำนักอยู่ ณ ที่นั้น พึงสร้างบ่อน้ำไว้ในป่าที่กันดารน้ำ และสะพานในที่เป็นหล่ม พึงถวายข้าวน้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะในท่านผู้ซื่อตรงทั้งหลาย ด้วยน้ำใจอันผ่องใส เมฆมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ มียอดตั้งร้อย กระหึ่มอยู่ยังแผ่นดินให้ชุ่มโชกแล้ว ย่อมยังที่ดอนและที่ลุ่มให้เต็มฉันใด ทายกผู้มีศรัทธาเป็นบัณฑิตได้ฟังแล้ว ย่อมจัดหาโภชนาหารมาเลี้ยงวณิพก ด้วยข้าวน้ำให้อิ่มหนำ... ธารแห่งบุญอันไพบูลย์นั้น ย่อมยังทายกผู้ให้ ให้ชุ่มชื่น”

อิสสัตถสูตร


🔅 ใครเป็นผู้สร้าง
ปัญหา (มารเป็นผู้ถาม) รูปนี้ใครเป็นผู้สร้าง ผู้สร้างรูปอยู่ที่ไหน รูปบังเกิดในที่ไหน รูปดับไปในที่ไหน?

เสลาภิกษุณีตอบ “รูปนี้ไม่มีใครสร้าง อัตตภาพนี้ไม่มีใครก่อ รูปเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไปเพราะเหตุดับ

“พืชชนิดใดที่บุคคลหว่านลงในนา ย่อมงอกขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ รสในแผ่นดิน และยางในพืช ฉันใด ขันธ์ ธาตุ และอายตนะ ๖ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไปเพราะเหตุดับฉันนั้น”

เสลาสูตร


🔅 ทุกข์ทั้งนั้น
ปัญหา (มารเป็นผู้ถาม) สัตว์นี้ใครเป็นผู้สร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดในที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหน?

วชิราภิกษุณีตอบ “ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์ ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์ เหมือนอย่างว่าเพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมีฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมีฉันนั้น ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ”

วชิราสูตร

🔅 อายุของพรหม
ปัญหา ตามศาสนาฮินดู พรหมเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง มีอยู่ชั่วนิรันดร พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนพะกะพรหม ท่านสำคัญอายุใดว่ายาว ก็อายุนั้นสั้น ไม่ยาวเลย ดูก่อนพรหม เรารู้อายุหนึ่งแสนนิรัพพุท (คือเลข ๑ ตามด้วยเลขศูนย์ ๖๘ ตัว) ของท่านได้ดี”

พกสูตร


🔅 พระพุทธเจ้าทรงเคารพอะไร
ปัญหา พระพุทธเจ้าจัดว่าเป้นพระบรมศาสดาของโลก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ทรงเคารพใคร? หรือว่าไม่ทรงเคารพใครเลย ?

พุทธดำรัสตอบ “.... บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ ที่ยำเกรง ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะเคารพอาศัยสมณะ หรือพราหมณ์ใครผู้ใดอยู่หนอ ?

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้มีพระดำริว่า “เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งศีลขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่า เรายังไม่เห็นสมณหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยศีลยิ่งกว่าตนในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่

“เราควรสักการะเคารพสมณะหรือพราหมณ์อื่นแล้วอาศัยอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งสมาธิที่ยังไม่บริบูรณ์.... เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์.... เพื่อความบริบูรณ์แห่งวิมุติขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์.... เพื่อความบริบูรณ์ แห่งวิมุติญาณทัสสนะขันธ์ที่ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่าเรายังไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่ถึงพร้อมด้วยสมาธิ.... ที่ถึงพร้อมด้วยปัญญา.... ที่ถึงพร้อมด้วยวิมุติ..... ที่ถึงพร้อมด้วยวิมุติญาณทัสสนะยิ่งกว่าตนในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ซึ่งเราควรสักการะเคารพแล้วอาศัยอยู่

“อย่างกระนั้นเลย เราควรสักการะเคารพธรรมที่เราตรัสรู้นั่นแหละ แล้วอาศัยอยู่”

คารวสูตร


🔅 กระบวนการปรินิพพาน
ปัญหา ในขณะที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงลำดับการปฏิบัติทางจิตส่วนพระองค์อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ “ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตตุถฌาน ออกจากจตุตถฌาน ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน..... ทรงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน....ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน....ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.... ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน..... ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน..... ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าจตตุถฌาน ทรงเข้าตติยฌาน..... ทรงเข้าปฐมฌาน..... ทรงออกปฐมฌาน.... แล้วทรงเข้าทุติฌาน.... ทรงเข้าตติยฌาน.... ทรงเข้าจตตุถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตตุถฌาน แล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับนั้น”

ปรินิพพานสูตร


🔅 ฆ่าได้แล้วเป็นสุข
ปัญหา (พราหมณ์ภารทวาชโคตรทูลถาม) บุคคลฆ่าอะไรได้ย่อมนอนเป็นสุข ฆ่าอะไรได้ย่อมไม่เศร้าโศก ข้าแต่พระโคดม พระองค์ย่อมชอบใจการฆ่า ธรรมอะไร เป็นธรรมอันเอก?

พุทธดำรัสตอบ “ บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมนอนเป็นสุข ฆ่าความโกรธได้ย่อมไม่เศร้าโศก ดูก่อนพราหมณ์ พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมสรรเสริญการฆ่าความโกรธอันมีมูลเป็นพิษ มีปลายหวาน เพราะว่าบุคคลฆ่าความโกรธนั้นได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก”

ธนัญชานีสูตร


🔅 เมื่อถูกด่าควรทำอย่างไร
ปัญหา เมื่อเราถูกโกรธก็ดี ถูกด่าก็ดี เราควรทำอย่างไร ควรจะโกรธตอบ ด่าตอบ หรือควรจะเฉยเสีย?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนพราหมณ์..... ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่ ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับรู้เรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้น ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าของท่านผู้เดียว ดูก่อนพราหมณ์.... ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่ หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่.... ผู้นี้ เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคร่วมกัน ย่อมกระทำตอบกัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้น เป็นของท่านผู้เดียว”

อักโกสกสูตร


🔅 ผู้ชนะที่แท้จริง
ปัญหา อสุรินทกภารทวาชพราหมณ์ ได้ทราบว่าพราหมณ์ผู้ร่วมนามสกุลภารทวาชหลายคน ได้จากเรือนไปบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าก็โกรธ จึงตรงไปด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคถึงพระเวฬุวัน แต่พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งเสีย ไม่ได้โต้ตอบ ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเป็นพระผู้มีพระภาคทรงนิ่ง ก็ดีใจประกาศว่าเราชนะท่านแล้ว เราชนะท่านแล้ว?


พุทธดำรัสตอบ “ชนพาลกล่าวคำหยาบด้วยวาจา ย่อมสำคัญว่าชนะทีเดียว แต่ความอดกลั้นได้ เป็นความชนะของบัณฑิตผู้รู้แจ้งอยู่ ผู้ใดโกรธ ตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าบุคคลผู้โกรธแล้ว เพราะการโกรธตอบนั้น บุคคลไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ย่อมชื่อว่าชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติ สงบอยู่ได้ ผู้นั้นย่อมชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือ แก่ตนและแก่ผู้อื่น เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือของตนและของผู้อื่น ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลา ดังนี้”

อสุรินทกสูตร


🔅 ชาติไม่สำคัญ
ปัญหา สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ บูชาไฟที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกาแล้ว นำข้าวปายาสที่เหลือจากการบูชาไฟ มุ่งจะให้เป็นทานแก่คนบางคน เขาเหลือบไปเห็นพระพุทธองค์ นั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งจึงเข้าไปเฝ้า แล้วทูลถามถึงชาติของพระองค์ว่าเป็นชาติอะไร?

พุทธดำรัสตอบ “ ท่านอย่าถามถึงชาติ แต่จงถามถึงความประพฤติเถิดไฟย่อมเกิดจากไม้แล บุคคลแม้เกิดในตระกูลต่ำ เป็นมุนี มีความเพียร เป็นผู้รู้ทั่วถึงเหตุ ห้ามโทษเสียด้วยหิริ ฝึกตนแล้วด้วยสัจจะ ประกอบด้วยการปราบปราม พึงที่สุดแห่งเวทนา มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ผู้ใดมียัญอันน้อมเข้าไปแล้วบูชาพราหมณ์ผู้นั้น ผู้นั้นย่อมชื่อว่าบูชาพระทักขิเณยยบุคคลโดยกาล”

สุนทริกสูตร


🔅 การบูชายัญอันประเสริฐ
ปัญหา พราหมณ์ในสมัยพุทธกาลนิยมบูชายัญด้วยการเผาไม้หอม อาหาร เสื้อผ้า ขนม เนย แม้กระทั่งสัตว์ในกองไฟพิธี ถือว่าได้บุญมาก พระผู้มีพระภาคทรงมีทรรศนะในเรื่องนี้อย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเผาไม้อยู่ อย่างคาดหมายว่าจะบริสุทธิ์ ก็การเผาไม้นี้เป็นของภายนอก ผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมกล่าวความบริสุทธิ์ด้วยการเผาไม้นั้น

“ ดูก่อนพราหมณ์ เราละการเผาไม้ ซึ่งบุคคลพึงปรารถนาความบริสุทธิ์ ด้วยการเผาไม้อันเป็นของภายนอก แล้วยังไฟคือญาณให้โพลงภายในตนทีเดียว เราเป็นพระอรหันต์ มีไฟอันโพลงแล้วเป็นนิตย์ มีจิตตั้งไว้ชอบแล้วเป็นนิตย์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่

“ ดูก่อนพราหมณ์ มานะแลเป็นดุจภาระคือหาบของท่าน ความโกรธเป็นดุจควัน มุสาวาทเป็นดุจเถ้า ลิ้นเป็นดุจภาชนะเครื่องบูชา หทัยเป็นที่ตั้งกองกูณฑ์ ตนที่ฝึกดีแล้วเป็นความรุ่งเรืองของบุรุษ

“ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้ถึงเวททั้งหลายนั่นแล อาบในห้วงน้ำคือธรรมของบุรุษทั้งหลาย มีท่าคือศีลไม่ขุ่นมัว อันบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้วมีตัวไม่เปียกแล้ว ย่อมข้ามถึงฝั่ง....”

สุนทริกสูตร