วันอังคาร

ปลิโพธ ๑๐ อย่าง

ปลิโพธ ๑๐ อย่าง

คำใดที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้โดยสังเขปว่า บรรดาปลิโพธเครื่องกังวล ๑๐ ประการอย่างใดมีอยู่แก่ตน ก็จงตัดปลิโพธเครื่องกังวลอย่างนั้นเสียให้สิ้นห่วงดังนี้ ในคำนั้นมีอรรถาธิบายโดยพิสดารเครื่องทำให้เกิดความกังวลนั้น มีอยู่ ๑๐ ประการ คือ

    ๑. อาวาสปลิโพธ เครื่องกังวลคือที่อยู่
    ๒. กุลปลิโพธ เครื่องกังวลคือตระกูล
    ๓. ลาภปลิโพธ เครื่องกังวลคือลาภสักการะ
    ๔. คุณปลิโพธ เครื่องกังวลคือหมู่คณะ
    ๕. กัมมปลิโพธ เครื่องกังวลคือนวกรรม
    ๖. อัทธานปลิโพธ เครื่องกังวลคือการเดินทาง
    ๗. ญาติปลิโพธ เครื่องกังวลคือญาติ
    ๘. อาพาธปลิโพธ เครื่องกังวลคือโรคภัยไข้เจ็บ
    ๙. คันถปลิโพธ เครื่องกังวลคือการเล่าเรียน
    ๑๐. อิทธิปลิโพธ เครื่องกังวลคือการแสดงอิทธิฤทธิ์

ปลิโพธ ๑๐ ประการนั้น มีอรรถาธิบายตามลำดับดังนี้

🔅 ๑. อธิบายอาวาสปลิโพธ
ห้องเล็ก ๆ แม้เพียงห้องเดียว บริเวณแม้เพียงแห่งเดียว หรือแม้ทั่วทั้งสังฆารามเรียกว่า ที่อยู่ ที่อยู่นี้นั้นหาได้เป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุไปเสียหมดทุกรูปไม่ หากแต่ภิกษุใดกำลังขวนขวายอยู่ในการก่อสร้างเป็นต้นในวัดนั้น หรือเป็นผู้สะสมสิ่งของไว้มากในวัดนั้นหรือเป็นผู้มีความห่วงใยมีจิตผูกพันอยู่ด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งในวัดนั้น ที่อยู่ย่อมเป็นเครื่องกังวลเฉพาะแก่ภิกษุนั้น หาเป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุอื่นนอกนี้ก็หาไม่
ในประการที่ที่อยู่ไม่เป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุนี้นั้น มีเรื่องตัวอย่างดังต่อไปนี้

เรื่องภิกษุ ๒ รูป
ได้ยินว่า มีกุลบุตรอยู่ ๒ คน ได้พากันออกจากเมืองอนุราธปุระไปโดยลำดับแล้วพากันไปบวชอยู่ ณ วัดถูปาราม ในภิกษุ ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งท่องมาติกาทั้ง ๒ ได้อย่างคล่องแคล่ว ครั้นพรรษาครบ ๕ ปวารณาออกพรรษาแล้ว ไปอยู่ ณ วัดป่าชื่อปาจีนขัณฑราชี (อยู่ที่ราวป่าระหว่างหุบเขาด้านทิศตะวันออก) อีกรูปหนึ่งอยู่ที่วัดถูปารามนั่นเอง ภิกษุรูปที่อยู่วัดป่าปาจีนขัณฑราชีนั้น อยู่ ณ ที่นั้นนานจนเป็นพระเถระ จึงคิดขึ้นมาได้ว่า “สถานที่นี้เหมาะสำหรับที่จะหลีกเร้นอยู่ ถ้ากระไร เราจะบอกสถานที่นี้แก่พระสหายด้วย” เธอได้ออกจากวัดป่าปาจีนขัณฑราชีนั้น ได้ไปถึงวัดถูปารามโดยลำดับ ส่วนพระเถระผู้บวชร่วมพรรษากัน ครั้นได้เห็นพระเถระอาคันตุกะกำลังเดินเข้ามา จึงรีบลุกขึ้นไปทำการปฏิสันถาร ช่วยรับบาตรและจีวรทำอาคันตุกวัตรด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี พระเถระผู้อาคันตุกะ ครั้นเข้าไปพักอยู่ในเสนาสนะแล้ว จึงคิดในใจว่า “บัดนี้พระสหายของเราคงจักส่งเนยใส, น้ำอ้อยหรือเครื่องดื่มมาให้เป็นแน่เพราะเขาอยู่ในเมืองนี้มานานแล้ว” เมื่อพระอาคันตุกเถระไม่ได้อะไรในตอนกลางคืนตามที่คิด ตกมาถึงตอนเช้าจึงคิดอีกว่า “บัดนี้พระสหายของเราคงจักส่งข้าวต้มและของเคี้ยวที่ได้รับจากอุปัฏฐากทั้งหลายมาให้” แต่แล้วก็มิได้เห็นสิ่งของนั้น จึงคิดว่า “ชะรอยจะไม่มีคนมาส่ง เขาคงจักถวายแก่ภิกษุผู้เข้าไป รับเองกระมัง” จึงได้เข้าไปในบ้านพร้อมกับพระสหายนั้นแต่เช้าที่เดียว

พระเถระทั้ง ๒ นั้นพากันไปบิณฑบาตที่ถนนสายหนึ่งได้ข้าวต้มประมาณหนึ่งกระบวย แล้วพากันไปนั่งดื่มข้าวต้มอยู่ที่โรงฉัน ขณะนั้น พระอาคันตุกเถระคิดว่า “ชะรอยข้าวต้มที่เขาถวายประจำจะไม่มี บัดนี้ มนุษย์ทั้งหลายคงจักถวายข้าวสวยอย่างประณีตในเวลาอาหาร” แต่แล้วก็ผิดหวัง แม้ในเวลาอาหารพระอาคันตุกเถระ ก็ฉันอาหารที่ไปบิณฑบาตได้มาเท่านั้น จึงถามพระเถระผู้สหายว่า “สหาย คุณเลี้ยงชีวิตมาตลอดกาลด้วยทำนองนี้หรือ ?” พระเถระเจ้าถิ่นตอบว่า “ใช่แล้ว สหาย” พระอาคันตุกเถระจึงพูดชักชวนว่า “สหาย วัดป่าปาจีนขัณฑราชีผาสุกสบายมากเรามาไปกันที่โน้นเถอะ” พระเถระเจ้าถิ่นออกจากเมืองทางประตูด้านทิศทักษิณ ตรงไปตามทางที่จะไปยังบ้านนายช่างหม้อ ฝ่ายพระอาคันตุกเถระจึงถามว่า “สหาย คุณไปทางนี้ทำไม” พระเถระเจ้าถิ่นตอบว่า “ก็คุณได้กล่าวสรรเสริญวัดป่าปาจีนขัณฑราชีนักมิใช่หรือ ?” พระอาคันตุกเถระย้อนถามว่า “จริงละสหาย แต่ว่าบริขารที่เหลือเฟือของคุณในที่ที่คุณอยู่มานานถึงเพียงนี้ ไม่มีอะไรบ้างดอกหรือ” พระเถระเจ้าถิ่นตอบว่า “มีซิคุณ คือเตียงตั้งอันเป็นสมบัติของสงฆ์ แต่ของนั้นผมก็ได้เก็บงำเรียบร้อยแล้ว สิ่งอื่นไม่มีอะไร” พระอาคันตุกเถระพูดว่า “สหายไม้เท้า ทะนานน้ำมัน รองเท้า และถุงย่ามของผมยังอยู่ที่วัดโน้น” พระเถระเจ้าถิ่นถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เออ ! คุณมาอยู่เพียงวันเดียวยังเก็บสิ่งของไว้ได้ถึงเท่านี้หรือ ?” ส่วนพระอาคันตุกเถระตอบตามตรงว่า “ใช่แล้วคุณ” ดังนี้แล้ว เกิดมีจิตเลื่อมใสในพระเถระเจ้าถิ่นมาก จึงไหว้พระเถระพลางกล่าวสรรเสริญว่า “สหาย พระอย่างคุณนี้ย่อมมีที่อยู่เหมือนกับวัดป่าในที่ทั่วไป วัดถูปารามเป็นสถานที่บรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ คุณย่อมได้การฟังธรรมอันเป็นที่สัปปายะที่โลหปราสาท ได้เห็นพระมหาเจดีย์และได้เห็นพระเถระกาลนี้ย่อมเป็นไปอยู่เหมือนกับสมัยพุทธกาลขอให้คุณจงอยู่ ณ ที่วัดถูปารามนี้แหละ” ครั้นแล้วพอถึงวันที่ ๒ พระอาคันตุกเถระถือเอาบาตรและจีวรกลับไปยังวัดป่าปาจีนขัณฑราชแต่ลำพังตนผู้เดียว ฉะนี้ ที่อยู่ย่อมไม่เป็นเครื่องกังวลสำหรับภิกษุผู้มีจิตไม่ติดข้องเช่นนี้ เหมือนอย่างพระเถระนี้ ด้วยประการฉะนี้

🔅 ๒. อธิบายกุลปลิโพธ
คำว่า ตระกูล หมายเอาตระกูลญาติหรือตระกูลอุปัฏฐาก ก็แหละ แม้ตระกูลอุปัฏฐากย่อมเป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุบางรูปซึ่งชอบอยู่อย่างคลุกคลีโดยนัยมีอาทิว่าเมื่อตระกูลอุปัฏฐากมีความสุข ภิกษุก็พลอยมีความสุขด้วย ภิกษุผู้ชอบอยู่อย่างคลุกคลีนั้น เมื่อเว้นจากญาติโยมในตระกูลแล้ว แม้เพียงวัดใกล้ ๆ ก็ไม่ยอมไปฟังธรรม แต่ภิกษุบางรูปแม้มารดาบิดาก็ไม่เป็นเครื่องกังวล ตัวอย่างเช่น ภิกษุหนุ่มหลานของพระเถระผู้อยู่ที่วัดโกรัณฑกวิหาร

เรื่องภิกษุหนุ่ม
ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มรูปนั้นได้ไปยังโรหณชนบทเพื่อประสงค์จะเรียนพระบาลี ฝ่ายอุบาสิกาผู้เป็นพี่สาวของพระเถระซึ่งเป็นมารดาของเธอ มักเรียนถามพระเถระถึงความเป็นไปของเธออยู่เสมอนับแต่เวลาที่เธอได้จากไป พระเถระจึงคิดอยู่ว่า จักไปพาเอาภิกษุหนุ่มมาสักวันหนึ่ง แล้วก็ได้มุ่งหน้าไปสู่โรหณชนบท ฝ่ายภิกษุหนุ่มก็บังเอิญคิดขึ้นว่า “เรา อยู่ ณ ที่นี้มานานแล้ว บัดนี้เราจักไปกราบเยี่ยมพระอุปัชฌาย์และทราบข่าวคราวของโยมอุบาสิกาแล้วจึงจักกลับมา” แล้วก็ออกเดินทางจากโรหณชนบท พอดีพระเถระหลวงลุงกับพระหนุ่มหลานชายทั้งสองได้มาพบกันเข้าตรงที่ฝั่งแม่น้ำ พระหนุ่มหลานชายได้ทำอุปัชฌายวัตรแก่พระเถระหลวงลุง ณ โคนไม้แห่งใดแห่งหนึ่ง พระเถระถามว่า “คุณจะไปไหน ?” เธอจึงกราบเรียนความประสงค์ถวายพระเถระให้ทราบทุกประการ พระเถระพูดกับพระหลานชายว่า “คุณทำถูกแล้ว แม้อุบาสิกาโยมของคุณก็ถามถึงคุณอยู่เสมอ ๆ แม้ฉันเองก็มาเพื่อประสงค์เช่นนี้เหมือนกัน นิมนต์คุณไปเถิด ส่วนฉัน พรรษานี้จะจำพรรษา ณ วัดใดวัดหนึ่งในตำบลนี้” แล้วก็อนุญาตให้ภิกษุหนุ่มนั้นไป

ภิกษุหนุ่มได้ไปถึงวัดโกรัณฑกวิหารในวันเข้าพรรษาพอดี และบังเอิญเสนาสนะที่โยมบิดาให้สร้างขึ้นไว้นั่นแลถึงแก่เธอแล้ว ถัดมาในวันที่สอง โยมบิดาของภิกษุหนุ่มนั้นได้มาถามสงฆ์ว่า “ท่านครับ 
เสนาสนะของพวกกระผมได้แก่ภิกษุอะไร ?” ครั้นทราบว่าได้แก่ภิกษุหนุ่มผู้อาคันตุกะจึงเข้าไปพบภิกษุนั้น นมัสการแล้วเรียนปฏิบัติว่า “คุณครับ สำหรับภิกษุผู้ที่อยู่จำพรรษาในเสนาสนะของพวกกระผมย่อมมีธรรมเนียมที่จะต้องปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่ง” ภิกษุหนุ่มถามว่า “ธรรมเนียมที่จะต้องปฏิบัตินั้นอย่างไร อุบาสก” โยมบิดาเรียนว่า “ภิกษุที่อยู่จำพรรษาในเสนาสนะของพวกกระผมนั้นต้องไปรับบิณฑบาตที่เรือนของพวกกระผมนั่นเทียวตลอดไตรมาสสามเดือนและเมื่อออกปวารณาออกพรรษาแล้ว เวลาจะไปต้องบอกลา” ภิกษุหนุ่มรับปฏิบัติตามด้วยอาการที่นิ่งเฉย ฝ่ายอุบาสกกลับไปถึงเรือนแล้วได้แนะนำแก่ภริยาว่า “พระผู้เป็นเจ้าอาคันตุกะรูปหนึ่งได้เข้าจำพรรษาอยู่ในเสนาสนะของเรา เราจะต้องอุปัฏฐากพระผู้เป็นเจ้าโดยความเคารพ” อุบาสิการับคำว่า สาธุ แล้วก็ได้รับหน้าที่ทำของควรเคี้ยวของควรบริโภคล้วนแต่อย่างประณีต แม้ภิกษุหนุ่มก็ได้ไปฉันที่เรือนของโยมในเวลาภัตตาหารแต่ไม่มีใครจำเธอได้เลย

ภิกษุหนุ่มได้ไปฉันบิณฑบาตที่เรือนของโยมนั้นครบไตรมาสตามสัญญา ครั้นออกพรรษาแล้วจึงบอกลาว่า “อาตมาจะลาไปละ อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย” ขณะนั้นหมู่ญาติของเธอได้ขอร้องว่า “ท่านครับ พรุ่งนี้จึงค่อยไปเถิด” ในวันที่สองได้นิมนต์เธอให้ฉัน ณ ที่เรือนนั่นเทียว ครั้นแล้วได้บรรจุน้ำมันใส่ให้เต็มขวด ถวายน้ำอ้อยงบหนึ่ง และถวายผ้ายาว ๙ คืบเสร็จแล้วจึงเรียนว่า “นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าไปเถิดขอรับ” ภิกษุหนุ่มทำการอนุโมทนาทาน แล้วก็ได้มุ่งหน้าไปสู่โรหณชนบทต่อไป ฝ่ายพระอุปัชฌาย์ของเธอ ปวารณาออกพรรษาแล้วก็ได้เดินสวนทางมาบังเอิญได้พบกับพระภิกษุหนุ่มนั้น ณ ที่ที่ได้พบกันครั้งก่อนนั้นพอดี ภิกษุหนุ่มได้ทำอุปัชฌายวัตรแด่พระเถระ ณ ที่โคนไม้แห่งใดแห่งหนึ่ง ทันใดนั้น พระเถระได้ถามเธอว่า “พ่อหน้างาม คุณได้พบโยมอุบาสิกาแล้วหรือ” ภิกษุหนุ่มกราบเรียนว่า “ขอรับผม กระผมได้พบแล้ว” ครั้นได้กราบเรียนความเป็นไปถวายพระเถระให้ทราบทุกประการแล้ว ได้เอาน้ำมันนั้นมาทาเท้าถวายพระเถระ ทำน้ำปานะด้วยน้ำอ้อยงบถวาย แล้วถวายผ้าสาฏกผืนนั้นแก่พระเถระ แล้วเรียนว่า “ท่านขอรับโรหณชนบทเท่านั้นเป็นที่สัปปายะสำหรับกระผม” ฉะนี้ แล้วจึงได้กราบลาไป ฝ่ายพระเถระครั้นมาถึงวัดโกรัณฑกวิหารแล้วในวันที่สองก็ได้เข้าไปบิณฑบาตที่บ้านโกรัณฑกะ

ฝ่ายอุบาสิกา ได้ยืนคอยดูทางอยู่เสมอด้วยคิดว่า “พระเถระน้องชายของเราคงจะพาบุตรของเรามาเดี๋ยวนี้” ครั้นได้เห็นพระเถระมาแต่รูปเดียวเท่านั้นก็สำคัญไปว่า “บุตรของเราชะรอยจะถึงแก่มรณภาพเสียแล้ว พระเถระนี้จึงได้มาแต่ลำพังรูปเดียว” แล้วจึงได้ร้องไห้รำพันต่าง ๆ ล้มฟุบลงที่แทบเท้าของพระเถระ พระเถระรู้ทันว่า “พระหนุ่มไม่ยอมแสดงตนให้ใคร ๆ ทราบแล้วหลบไปเสีย เพราะเป็นผู้มีความมักน้อยแน่นอน” จึงปลอบโยนอุบาสิกาพี่สาวให้เบาใจ แล้วเล่าเรื่องความเป็นไปให้ทราบหมดทุกอย่าง พลางล้วงเอาผ้าสาฎกผืนที่ภิกษุหนุ่มถวายนั้นออกจากถลกบาตรแสดงให้ดูเป็นพยาน อุบาสิกาเกิดความเลื่อมใสในบุตร ผินหน้าไปทางทิศที่บุตรอยู่แล้วนอนพังพาบลงนมัสการ*พลางกล่าวสรรเสริญว่า “พระผู้มีพระภาคชะรอยจะทรงทำภิกษุผู้มีปฏิปทาเหมือนบุตรของเรานี้เองให้เป็นพยานทางกาย แล้วจึงได้ทรงแสดงปฏิปทาในรถวินีตสูตร ปฏิปทาในนาลกสูตร, ปฏิปทาในตุวัฏฏกสูตร และมหาอริยวังสปฏิปทา อันประกาศถึงความสันโดษในปัจจัย ๔ และความเป็นผู้ยินดีในการเจริญภาวนา บุตรของเราแม้มาฉันในเรือนของมารดาผู้บังเกิดเกล้าแท้ ๆ ถึงสามเดือน ไม่ปริปากพูดเลยว่า อาตมาเป็นบุตร, ท่านเป็นมารดา บุตรของเราเป็นมนุษย์น่าอัศจรรย์จริง ๆ
ฉะนี้”

ภิกษุผู้มีปฏิปทาเห็นปานฉะนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลอุปัฏฐากอื่นละที่จะมาเป็นเครื่องกังวล แม้แต่มารดาบิดาก็ไม่ต้องเป็นเครื่องกังวลเสียแล้ว ด้วยประการฉะนี้

(*การมนัสการด้วยวิธีนอนพังพาบนี้ จะเรียกว่าองค์ ๖ หรือองค์ ๘ อะไรก็ตามที แต่เป็นวิธีกราบที่มีองค์มากกว่าองค์ ๕ ที่นิยมใช้ในเมืองไทย และยังมีคนนิยมใช้สืบมาถึงสมัยนี้เช่นกัน เช่นการกราบต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ผู้กราบนอนพังพาบกราบคืบไปโดยทำนองนี้ จนรอบบริเวณควงพระศรีมหาโพธิ์นั้น ไม่ใช่เป็นวิธีของคนป่าอะไร แต่เป็นวิธีแสดงคารวะอย่างสูงนั่นเอง)

🔅 ๓. อธิบายลาภปลิโพธ
คำว่า ลาภ หมายเอาปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เหล่านั้นเป็นเครื่องกังวลอย่างไร ? ธรรมดาภิกษุผู้มีบุญไป ณ ที่ไหน ๆ ย่อมมีพวกมนุษย์พากันถวายปัจจัยซึ่งมีเครื่องบริวารเป็นอันมาก ภิกษุผู้มีบุญเช่นนั้นมัวแต่อนุโมทนแสดงธรรมโปรดมนุษย์เหล่านั้น ย่อมไม่ได้โอกาสเพื่อที่จะบำเพ็ญสมณธรรม ตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงปฐมยาม (๐๖.๐๐ น. ถึง ๒๒.๐๐ น.) ไม่ขาดจากการเกี่ยวข้องกับมนุษย์เลย พอถึงเช้าวันใหม่พวกภิกษุผู้ถือการบิณฑบาตที่มักมากด้วยปัจจัยมาเรียนอีกแล้วว่า “ท่านขอรับอุบาสกคนโน้น อุบาสิกาคนโน้น อำมาตย์คนโน้น ธิดาของอำมาตย์คนโน้น มีความประสงค์ที่จะได้เห็นท่าน” ภิกษุผู้มีบุญนั้นพูดว่า “นี่แน่คุณ ช่วยรับบาตรและจีวรไว้ด้วย” แล้วก็ตระเตรียมที่จะไปอีก ฉะนั้น จึงเป็นผู้ขวนขวายในอันที่จะอนุเคราะห์อุบาสกอุบาสิกาเป็นต้นตลอดกาลเป็นนิจ ปัจจัยเหล่านั้นย่อมเป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุผู้มีบุญนั้นอย่างนี้ ภิกษุผู้มีบุญพึงปลีกตนจากหมู่แล้วไปอยู่ตามลำพังผู้เดียว ณ ที่ที่คนทั้งหลายไม่รู้จัก จึงจักเป็นอันตัดเครื่องกังวลนั้นได้ ด้วยประการฉะนี้

🔅 ๔. อธิบายคณปลิโพธ
คำว่า คณะได้แก่คณะที่ศึกษาพระสูตรหรือคณะที่ศึกษาพระอภิธรรมภิกษุใดมัวแต่สาละวนสอนพระบาลีหรืออรรถกถาอยู่แก่คณะนั้น ย่อมไม่ได้โอกาสเพื่อจะบำเพ็ญสมณธรรม คณะจึงนับเป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุนั้น จึงตัดเครื่องกังวลนั้นเสียดังนี้ ถ้าคัมภีร์ภิกษุเหล่านั้นเรียนไปได้แล้วเป็นส่วนมาก ที่ยังเหลือเล็กน้อย ก็พึงสอนคัมภีร์นั้นให้จบเสียก่อนแล้วจึงเข้าป่าบำเพ็ญสมณธรรม แต่ถ้าที่เรียนไปแล้วเพียงเล็กน้อยที่เหลืออยู่มาก พึงเข้าไปหาอาจารย์ผู้สอนคณะรูปอื่นภายในกำหนดโยชน์หนึ่ง อย่าไปเกินกว่าโยชน์หนึ่ง แล้วขอร้องว่า “ขอท่านได้กรุณาสงเคราะห์ภิกษุนักศึกษาเหล่านี้ด้วยพระบาลีเป็นต้นด้วยเถิด” เมื่อไม่สามารถจะทำได้อย่างนี้ พึงพูดว่า “เธอทั้งหลาย ฉันมีกิจอย่างหนึ่งอยู่ ขอให้พวกเธอจงพากันไปสู่ที่อันผาสุกตามสะดวกเถิด” ดังนี้ แล้วจึงปลีกตนจากคณะไปบำเพ็ญสมณธรรมส่วนตนต่อไป

🔅 ๕. อธิบายกัมมปลิโพธ
คำว่า กัมมะ หมายเอานวกรรมคือการก่อสร้าง ธรรมดาภิกษุผู้ทำการก่อสร้างนั้นจำต้องทราบว่าสิ่งใดที่นายช่างเป็นต้นได้ทำ สิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำ จำต้องพยายามขวนขวายในงานส่วนที่ทำเสร็จแล้วและที่ยังไม่เสร็จ ดังนั้น นวกรรมจึงเป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุผู้นวกัมมิกนั้นตลอดไป แม้ภิกษุผู้นวกัมมิกนั้นจึงตัดเครื่องกังวลดังนี้ คือ ถ้านวกรรมนั้นยังเหลือน้อย จึงทำเสียให้เสร็จ ถ้ายังเหลืออยู่มากหากเป็นนวกรรมของสงฆ์ ก็จงมอบหมายให้แก่สงฆ์ หรือแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มีหน้าที่รับภาระแทนสงฆ์ ถ้าเป็นของของตนก็จงมอบให้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้รับภาระของตน เมื่อไม่ได้ ภิกษุเช่นนั้น ก็จงตัดใจสละแก่สงฆ์ แล้วจึงไปบำเพ็ญสมณธรรมเถิด

🔅 ๖. อธิบายอัทธานปลิโพธ
คำว่า อัทธานะ ได้แก่การเดินทาง จริงอยู่ ภิกษุใดมีเด็ก ๆ ที่จะบรรพชาอยู่ในที่บางแห่งก็ดี มีปัจจัยลาภบางอย่างที่ควรจะได้ก็ดี ถ้าเมื่อภิกษุนั้นไม่ได้ทำกิจนั้นให้สำเร็จหรือยังไม่ได้ปัจจัยลาภนั้นมา ก็ไม่สามารถที่จะทำจิตให้หยุดคิดได้ แม้ถึงจะหลบเข้าป่าไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ก็ตาม จิตคิดที่จะไปเพื่อทำกิจนั้นเป็นสิ่งที่จะบรรเทาโดยยาก เพราะฉะนั้น จึงไปทำกิจนั้นให้สำเร็จเสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงพยายามขวนขวายในอันที่จะบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ได้ยินว่า งานบรรพชาเด็ก ๆ* ในตระกูลที่ประเทศลังกา เป็นเช่นกับงานอาวาหมงคลและวิวาหมงคล เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถที่จะเลื่อนวันที่กำหนดไว้แล้วนั้นได้ จึงตัดเครื่องกังวลด้วยการช่วยสงเคราะห์ทำกิจนั้นให้เสร็จสิ้นไป

(งานบรรพชาเด็ก ๆ ที่ประเทศพม่าก็เช่นเดียวกัน เขาทำเป็นงานใหญ่เหมือนงานมงคลสมรส)

🔅 ๗. อธิบายญาติปลิโพธ
คำว่า ญาติ ได้แก่บุคคลมีอาทิอย่างนี้คือ ญาติในวัด ได้แก่ พระอาจารย์, พระอุปัชฌาย์, สัทธิวิหาริก, อันเตวาสิก และภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌาย์ร่วมอาจารย์กัน ญาติในบ้าน ได้แก่โยมมารดา, โยมบิดา และพี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาว ญาติเหล่านั้นที่เจ็บไข้ได้ป่วย ย่อมเป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุนี้ เพราะฉะนั้น จึงตัดเครื่องกังวลนั้นด้วยการปฏิบัติบำรุงทำญาติเหล่านั้นให้หายเป็นปกติ ในบรรดาญาติเหล่านั้น สำหรับพระอุปัชฌาย์อาพาธ ถ้าท่านเป็นโรคชนิดที่ไม่หายเร็ว สัทธิวิหาริกพึงอยู่ปรนนิบัติท่านแม้ถึงตลอดชีวิต บรรพชาจารย์, อุปสัมปทาจารย์, สัทธิวิหาริก, อันเตวาสิกผู้ที่ตนเป็นกรรมวาจาอุปสมบทและบรรพชาให้ และภิกษุผู้ร่วมพระอุปัชฌาย์กัน ก็พึงปฏิบัติตลอดชีวิตเช่นกัน ส่วนนิสสยาจารย์, อุทเทสาจารย์, นิสสยันเตวาสิก, อุทเทสันเตวาสิก และภิกษุผู้ร่วมอาจารย์กัน จึงอยู่ปรนนิบัติตลอดเวลาที่นิสัยยังไม่ขาดและอุทเทศคือการเรียนพระบาลียังไม่เสร็จสิ้น แต่สำหรับผู้มีความปรารถนาอยู่ แม้จะพึ่งอยู่ปรนนิบัติให้เลยกว่านั้นไป ก็ได้เหมือนกัน

ในโยมหญิงโยมชาย พึ่งอยู่ปรนนิบัติเช่นเดียวกับพระอุปัชฌาย์ แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะดำรงอยู่ในราชสมบัติและไม่ต้องการซึ่งการปรนนิบัติบำรุงจากบุตร ก็ยังต้องทำอยู่นั่นเอง ถ้าเภสัชของท่านไม่มี จึงให้เภสัชของตนเอง แม้ของตนเองก็ไม่มี พึงเสาะหาด้วยภิกษาจริยาวัตรแล้วให้แก่ท่าน ส่วนพี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาวพึงประกอบเภสัชอันเป็นของของเขาเท่านั้นให้ ถ้าของของเขาไม่มี ก็พึงให้ขอยืมของของตนไปก่อน ภายหลังเมื่อจะได้ก็พึงรับคืน เมื่อจะไม่ได้ก็ไม่ต้องทวง สำหรับสามีของพี่สาวน้องสาวที่ไม่ได้เป็นญาติมาโดยกำเนิด จะประกอบเภสัชให้ก็ดี จะให้เภสัชก็ดี ไม่สมควรทั้งนั้น แต่จึงมอบให้พี่สาวหรือน้องสาวไปพร้อมกับสั่งว่า จงให้แก่สามีของเธอ แม้ในกรณีภริยาของพี่ชายและน้องชายที่มิได้เป็นญาติ ก็พึงปฏิบัติทำนองเดียวกันนี้ ส่วนบุตรธิดาของพี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาวนั้น นับเป็นญาติ ของภิกษุนี้นั่นเทียว เพราะฉะนั้น การที่จะประกอบยาให้เขาเหล่านั้น ย่อมเป็นสิ่งสมควร ฉะนี้

🔅 ๘. อธิบายอาพาธปลิโพธ
คำว่า อาพาธ ได้แก่โรคชนิดใดชนิดหนึ่ง โรคนั้นเมื่อมันเบียดเบียนอยู่ย่อมเป็นเครื่องกังวล เพราะฉะนั้น จึงตัดด้วยการประกอบเภสัชรักษา แต่ถ้าแม้เมื่อประกอบเภสัชรักษาอยู่ชั่วกาลหนึ่งแล้วมันยังไม่หาย แต่นั้นพึงตำหนิอัตภาพว่า “ฉันไม่ใช่ทาสของเธอ ไม่ใช่ผู้เลี้ยงดูเธอ เมื่อฉันขึ้นเลี้ยงดูเธอต่อไป ก็จะประสบทุกข์ในสังสารวัฏอันไม่ทราบเบื้องต้นและที่สุดเท่านั้น” ฉะนี้ แล้วพึงปลีกตนไปบำเพ็ญสมณธรรมเถิด

🔅 ๙. อธิบายคันถปลิโพธ
คำว่า คันถะ หมายเอาการรักษาปริยัติธรรม การรักษาปริยัติธรรมนั้นย่อมเป็นเครื่องกังวลแก่ภิกษุผู้ขวนขวายด้วยการสาธยายและการทรงจำเป็นต้น แต่ย่อมไม่เป็นเครื่องกังวลสำหรับภิกษุผู้ไม่ขวนขวายนอกนี้ ในกรณีที่การรักษาปริยัติธรรมไม่เป็นเครื่องกังวลนั้น มีเรื่องตัวอย่างดังต่อไปนี้ :-

เรื่องพระมัชฌิมภาณกเทวเถระ
ได้ยินว่า พระมัชฌิมภาณกเทวเถระนั้น ไปยังสำนักของพระมลยวาสิเทวเถระแล้วขอพระกัมมัฏฐาน พระมลยวาสิเทวเถระได้สอบถามว่า “อาวุโส ในทางพระปริยัติธรรมนั้น คุณได้ศึกษามาอย่างไร ?” พระมัชฌิมภาณกเทวเถระเรียนว่า “กระผมชำนาญคัมภีร์มัชฌิมนิกายขอรับ” พระมลยวาสิเทวเถระชี้แจงว่า “อาวุโสชื่อว่าคัมภีร์มัชฌิมนิกายนั้นเป็นสิ่งยากที่จะรักษาอยู่ เมื่อขณะสาธยายมูลปัณณาสกะอยู่นั้น มัชฌิมปัณณาสกะย่อมแทรกมาโดยพลั้งเผลอ เพราะสุตตบทและวาระทั้งหลายคล้าย ๆ กัน เมื่อขณะสาธยายมัชฌิมปัณณาสกะอยู่นั้น อุปริปัณณาสกะย่อมหลงแทรกมา คุณจักมีโอกาสทำกัมมัฏฐานที่ไหน” พระมัชฌิมภาณกเทวเถระเรียนรับรองว่า “ไม่เป็นไร ขอรับ กระผมได้กัมมัฏฐานในสำนักของท่านไปแล้ว จักไม่ดูพระคัมภีร์อีกต่อไป” หลังจากรับเอาพระกัมมัฏฐานไปแล้ว พระเถระมิได้ทำการสาธยายเป็นเวลาถึง ๑๙ พรรษา ครั้นต่อมาพรรษาที่ ๒๐ ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัต ท่านได้พูดกับภิกษุที่มาหาเพื่อต้องการให้สาธยายว่า “อาวุโสทั้งหลาย ผมไม่ได้ดูพระปริยัติมาถึง ๒๐ พรรษาแล้ว ก็แต่ว่า ผมได้ทำการสั่งสอนมาแล้ว ท่านทั้งหลายลองเริ่มสาธยายณ ตรงนี้” ครั้นแล้วพระเถระก็มิได้มีความสงสัยในพยัญชนะเพียงตัวเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ

เรื่องพระนาคเถระ
แม้พระนาคเถระผู้อาศัยอยู่วัดป่ากรุฬิยคีรี ก็ได้ทอดทิ้งพระปริยัติธรรมไปบำเพ็ญสมณธรรมถึง ๑๘ พรรษา ครั้นต่อมาท่านได้แสดงคัมภีร์วัตถุกถาแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้นำไปเทียบเคียงดูกับที่พวกพระเถระผู้คามวาสีแสดง ก็ปรากฏว่าที่มาโดยผิดลำดับนั้นแม้เพียงปัญหาข้อเดียวก็มิได้มี

เรื่องพระจูฬาภยเถระ
แม้ที่วัดมหาวิหาร ก็มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อจูฬาภยะ ทรงจำพระไตรปิฎก แต่ไม่ได้เรียนคัมภีร์อรรถกถาเลย แล้วได้ให้ตีกลองสุวรรณเภรีประกาศว่า “ข้าพเจ้าจักแสดงพระไตรปิฎก ณ สนามแห่งพุทธบริษัทผู้เรียนนิกาย ๕” ภิกษุสงฆ์ได้กล่าวเตือนว่า “พระบาลีของพวกอาจารย์ที่ไหนกัน คุณจงแสดงเฉพาะพระบาลีที่เรียนมาจากสำนักอาจารย์ของตนเท่านั้นที่จะแสดงนอกลู่นอกทางไปนั้น พวกเราจะไม่ยอมเป็นอันขาด” ฝ่ายพระอุปัชฌาย์ เมื่อพระจูฬาภยเถระนั้นมายังที่อุปัฏฐาก จึงได้สอบถามว่า “อาวุโส เธอให้ตีกลองประกาศหรือ ?” พระจูฬาภยเถระเรียนว่า “ใช่แล้ว ขอรับ” พระอุปัชฌาย์ซักว่า “เธอให้ตีกลองประกาศทำไม ?” พระจูฬาภยเถระเรียนว่า “กระผมจักแสดงพระปริยัติธรรม ขอรับ” พระอุปัชฌาย์จึงลองตั้งปัญหาถามว่า “นี่แน่อาวุโส อภยะ ธรรมบทนี้อาจารย์ทั้งหลายอธิบายอย่างไร ?” พระจูฬาภยเถระเรียนตอบว่า “อธิบายอย่างนี้ขอรับ” พระอุปัชฌาย์ค้านว่า “หึง หึง” พระจูฬาภยเถระได้เรียนตอบโดยปริยายอื่น ๆ อีกถึง ครั้ง ว่า “อาจารย์ทั้งหลายอธิบายอย่างนี้ ๆ ขอรับ” พระอุปัชฌาย์คัดค้านว่า หึง หึง หมดทุกปริยาย” แล้วกล่าวแนะนำว่า “อาวุโส อภยะ ที่เธอตอบครั้งแรกนั้นถูกแล้ว เป็นกถามรรค ของอาจารย์ล่ะแต่เพราะเหตุที่เธอไม่ได้เรียนต่อปากของอาจารย์ เธอจึงไม่อาจตั้งหลักอยู่ได้ว่าอาจารย์ทั้งหลายอธิบายอย่างนี้ เธอจงไปเถิด ไปเรียนในสำนักของพระอาจารย์ทั้งหลายผู้ควรจะสอนเธอได้”

พระจูฬาภยเถระเรียนถามพระอุปัชฌาย์ว่า “กระผมควรจะไปเรียน ณ ที่ไหนขอรับ” พระอุปัชฌาย์ได้แนะนำว่า “พระเถระชื่อมหาธัมมรักขิตะเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฎกได้อย่างครบถ้วนอยู่ที่วัดตุลาธารปัพพตวิหาร ในโรหณชนบทฝั่งแม่น้ำฟากโน้น เธอจงไปยังสำนักของท่านนั้นเถิด” พระจูฬาภยเถระรับคำพระอุปัชฌาย์ว่า “สาธุ ขอรับ” กราบลาพระอุปัชฌาย์แล้วพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ ได้ตรงไปยังสำนักของพระธัมมรักขิตเถระ ครั้นไปถึงกราบนมัสการแล้วก็ได้นั่งคอยโอกาสอยู่ ขณะนั้น พระเถระจึงทักขึ้นว่า “เธอมาทำไม” พระจูฬาภยเถระเรียนว่า “กระผมมาเพื่อฟังธรรม ขอรับ” พระเถระให้โอกาสว่า “อาวุโส อภยะ นักศึกษาทั้งหลายพากันเรียนถามผมแต่ในคัมภีร์ทีฆนิกายและมัชฌิมนิกายตลอดกาล ส่วนคัมภีร์ที่เหลือผมไม่ได้ดูมาเป็นเวลาประมาณ ๓๐ พรรษาแล้ว แต่ไม่เป็นไร คุณจงช่วยสอนธรรมในสำนักของผมเวลากลางคืนก็แล้วกัน 
ส่วนเวลากลางวันผมจักแสดงธรรมให้คุณฟัง” พระอภยเถระรับคำพระเถระว่า “สาธุ ขอรับ” แล้วได้ปฏิบัติตามที่ได้ให้ปฏิญญานั้นทุกประการ

ชาวบ้านทั้งหลายได้ให้สร้างมณฑป (ปะรำ) ขนาดใหญ่ขึ้นที่ตรงประตูบริเวณแล้วได้พากันมาฟังธรรมทุก ๆ วัน ในเวลากลางคืนพระเถระก็ได้สอนธรรมเหมือนกันเมื่อพระธัมมรักขิตเถระแสดงธรรมอยู่ในเวลากลางวันนั้น ครั้นทำให้การแสดงธรรมจบลงโดยลำดับแล้ว จึงลงจากตั้งมานั่งบนเสื่อ ณ ที่ใกล้พระอภยเถระแล้วพูดว่า “อาวุโส อายะ คุณจงสอนกัมมัฏฐานให้แก่ฉันด้วย” พระอภัยเถระเรียนว่า “ท่านพูดอะไรขอรับ กระผมฟังธรรมอยู่ในสำนักของท่านแท้ ๆ มิใช่หรือ ? จักให้กระผมสอนธรรมที่ท่านได้ทราบแล้วอย่างไร” ลำดับนั้น พระเถระได้พูดกับพระอภยเถระว่า “ชื่อว่าทางของผู้บรรลุถึงธรรมแล้วนี้ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ได้ยินว่า เวลานั้นพระอภัยเถระนั้นเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจึงได้ให้พระกัมมัฏฐานแก่พระมหาธัมมรักขิตเถระนั้น ครั้นแล้วก็ได้กลับมาสอนธรรมประจำอยู่ที่โลหะปราสาทต่อมาท่านได้ทราบข่าวว่า พระเถระปรินิพพานเสียแล้ว ครั้นท่านได้ทราบข่าวดังนั้นจึงบอกศิษย์ว่า คุณช่วยหยิบจีวรมาให้ที่ ท่านห่มจีวรอย่างเป็นปริมณฑลเพื่อแสดงคารวะแก่พระอาจารย์ แล้วกล่าวสรรเสริญคุณของพระอาจารย์ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลายว่า “อาวุโสทั้งหลาย พระอรหัตมรรคเป็นคุณสมควรแก่พระอาจารย์ของเรา" พระอาจารย์ของเราเป็นบุคคลที่ชื่อตรง ด้วยไม่มีมารยาสาไถย เป็นบุรุษอาชาไนย" พระอาจารย์ของเรานั้นท่านลงจากตั้งมานั่งบนเสื่อ ณ ที่ใกล้เราผู้เป็นธัมมันเตวาสิกของท่าน แล้วพูดว่า "คุณจงสอนพระกัมมัฏฐานให้แก่ฉัน" ฉะนี้ อาวุโสทั้งหลายพระอรหัตมรรคเป็นคุณอันสมควรแก่พระเถระโดยแท้ คันถะ คือการรักษาปริยัติธรรม ย่อมไม่เป็นเครื่องกังวลสำหรับภิกษุทั้งหลายผู้มีคุณสมบัติเห็นปานดังนี้ ด้วยประการฉะนี้

🔅 ๑๐. อธิบายอิทธิปลิโพธ
คำว่า อิทธิ หมายเอาอิทธิฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน ก็แหละ อิทธิฤทธิ์ของปุถุชนนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่รักษาได้ยาก เหมือนทารกที่ยังนอนหงาย และเหมือนข้าวกล้าที่ยังอ่อน ย่อมเสื่อมไปได้ด้วยเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าอิทธิฤทธิ์ปุถุชนนั้นเป็นเครื่องกังวลแก่วิปัสสนาเท่านั้น หาเป็นเครื่องกังวลแก่สมาธิไม่ เพราะต้องผ่านสมาธิมาแล้วจึงจะได้บรรลุถึงอิทธิฤทธิ์ อธิบายว่า อิทธิฤทธิ์นั้นเป็นเครื่องกังวลแก่วิปัสสนาสำหรับโยคีบุคคลผู้เป็นสมถยานิก มิได้เป็นเครื่องกังวลสำหรับโยคีบุคคลผู้เป็นวิปัสสนายานิกเพราะว่าโดยมากโยคีบุคคลผู้ได้ฌานแล้วย่อมเป็นสมถยานิกทั้งนั้นเพราะฉะนั้น โยคีบุคคลผู้ต้องการวิปัสสนาจึงจะต้องตัดอิทธิปลิโพธ ส่วนปลิโพธที่เหลืออีก ๔ อย่าง โยคีบุคคลผู้ต้องการสมถะนอกนี้จำต้องตัด ด้วยประการฉะนี้

อรรถาธิบายความอย่างพิสดารในปลิโพธกถา อันเป็นประการแรก ยุติเพียงเท่านี้




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น