แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิต แสดงบทความทั้งหมด

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรม

🕯️ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรม

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการศึกษาพระอภิธรรม ซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูงที่ว่าด้วย ปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน อันเป็นธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งนั้น มีอยู่มากมายหลายประการ แต่ที่สำคัญมีโดยสังเขปดังนี้:

  • การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรมเกิดจาก พระสัพพัญญุตญาณ (พระปรีชาญาณอันรู้รอบทั้งหมดของพระพุทธเจ้า) ของพระพุทธองค์ การเข้าถึงพระอภิธรรมจึงเท่ากับเข้าถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง

  • การศึกษาพระอภิธรรม ก็คือการศึกษาธรรมชาติการทำงานของกายและใจ คือ รูปธรรม (กาย) และ นามธรรม (ใจ) ที่ประกอบกันเป็นชีวิต ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง จิต (วิญญาณ - ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ เป็นประธานในธรรมทั้งปวง), เรื่อง เจตสิก (ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต), เรื่องอำนาจจิต, เรื่อง วีถีจิต (กระบวนการทำงานของจิตในการรับรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ), เรื่อง กรรม (การกระทำโดยเจตนา ทั้งทางกาย วาจา ใจ) และการส่งผลของกรรม (วิบาก - ผลของกรรม), เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ - การเกิดดับสืบต่อในภพภูมิต่างๆ), เรื่องสัตว์ในภพภูมิต่างๆ (ระดับชั้นของชีวิตที่สัตว์ไปเกิดตามอำนาจกรรม เช่น กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ) และเรื่องกลไกการทำงานของ กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต เช่น โลภะ โทสะ โมหะ) การศึกษานี้จะทำให้รู้ว่าชีวิตของเราในชาติปัจจุบันนี้มาจากไหนและมาได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นปัจจัย เมื่อได้คำตอบชัดเจนดีแล้วก็จะรู้ว่าตายแล้วไปไหนและไปได้อย่างไร อะไรเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างชาตินี้กับชาติหน้า ทำให้หมดความสงสัยว่าตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ นรก สวรรค์ มีจริงไหม ทำให้มีความเข้าใจเรื่องกรรมและการส่งผลของกรรม (วิบาก) อย่างละเอียดลึกซึ้ง

  • ผู้ศึกษาพระอภิธรรมจะเข้าใจเรื่องของ ปรมัตถธรรม (สภาวะที่มีอยู่จริงโดยตัวเอง ไม่ขึ้นกับสมมติบัญญัติ) หรือ สภาวธรรม (ธรรมชาติตามความเป็นจริง, สภาพที่ทรงตัวอยู่ได้เองอันจริงแท้ตามธรรมชาติ) ในพระอภิธรรมจะแยกสภาวะออกให้เห็นว่าทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลอะไรทั้งนั้น คงมีแต่สภาวธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ที่วนเวียนอยู่ในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยอุดหนุนซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นใหม่แล้วก็ดับไปอีก มีสภาพเกิดดับอยู่เช่นนี้ตลอดเวลานานแสนนานไม่รู้กี่แสนกี่ล้านชาติมาแล้วที่สืบต่อกันอยู่เช่นนี้โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น แม้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สภาวธรรมทั้ง ๓ นี้ก็ทำงานอยู่เช่นนี้โดยไม่มีเวลาหยุดพักเลย สภาวธรรมหรือธรรมชาติเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นจากพระผู้เป็นเจ้า พระพรหม พระอินทร์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เป็นผู้บันดาลหรือเป็นผู้สร้าง แต่สภาวธรรมเหล่านี้เป็นผลอันเกิดมาจากเหตุ คือ กิเลสตัณหา นั่นเองที่เป็นผู้สร้าง

  • การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าใจสภาวธรรมอีกประการหนึ่ง อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่ต้องการให้เข้าถึง นั่นก็คือ นิพพาน (ความดับสิ้นเชื้อแห่งทุกข์ การหลุดพ้นจากสังสารวัฏ) นิพพานหมายถึงความหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา ผู้ที่ปราศจากกิเลสตัณหาแล้วนั้น เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะไม่มีการสืบต่อของจิต+เจตสิกและรูปอีกต่อไป ไม่มีการสืบต่อภพชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จึงกล่าวว่านิพพานเป็นธรรมชาติที่ปราศจากกิเลสตัณหา เป็นธรรมชาติที่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงและเป็นธรรมชาติที่พ้นจาก ขันธ์ ๕ (กองแห่งรูปธรรมและนามธรรม ๕ อย่าง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นิพพานมิใช่เป็นแดนสุขาวดีที่เป็นอมตะและเพียบพร้อมด้วยความสุขล้วนๆ ตลอดนิรันดร์กาลตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ

  • การศึกษาพระอภิธรรมจะทำให้เข้าใจคำสอนที่มีคุณค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพราะแค่การให้ทาน รักษาศีล และการเจริญสมาธิก็ยังมิใช่คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นเหตุให้ต้องเกิดมารับผลของกุศลเหล่านั้นอีก ท่านเรียกว่า วัฏฏกุศล (กุศลที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ยังไม่นำไปสู่การหลุดพ้น) เพราะกุศลเหล่านี้ยังไม่ทำให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด คำสอนที่มีค่าสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ การปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน (การปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริงของนามรูป) ตามแนว มหาสติปัฏฐาน ๔ (ฐานที่ตั้งแห่งสติอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา) เพื่อให้เห็นว่าทั้ง นามธรรม (ธรรมที่ไม่มีรูปร่าง สัมผัสไม่ได้ทางกาย ได้แก่ จิตและเจตสิก) และ รูปธรรม (ธรรมที่มีรูปร่าง สัมผัสได้ทางกาย) มีสภาพที่ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ มีการเกิดดับๆ ตลอดเวลา หาแก่นสารหาตัวตนหาเจ้าของไม่ได้เลย เมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้วก็จะนำไปสู่การประหารกิเลสและเข้าถึงพระนิพพานได้ในที่สุด

  • การศึกษาพระอภิธรรม จะทำให้เข้าใจเรื่องอารมณ์ของวิปัสสนาซึ่งต้องมีนามธรรม (จิต+เจตสิก) และรูปธรรม (รูป) เป็นอารมณ์ เมื่อกำหนดอารมณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ถูกต้อง การปฏิบัติก็ย่อมได้ผลตามที่ต้องการ

  • การศึกษาพระอภิธรรม เป็นการสั่งสม ปัญญาบารมี (บารมีคือปัญญา การรอบรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์) ที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีวิทยาการใดๆ ในโลกที่ศึกษาแล้วจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งโลกได้เท่ากับการศึกษาพระอภิธรรม

  • การศึกษาพระอภิธรรมเป็นการช่วยกันรักษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังและเป็นการช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวรตลอดไป


แท็กแนะนำ (5 คำ):

  1. พระอภิธรรม
  2. ปรมัตถธรรม
  3. จิตเจตสิกรูปนิพพาน
  4. วิปัสสนากรรมฐาน
  5. ประโยชน์ของพระอภิธรรม

สิ่งที่สามารถเชื่อมโยงไปหน้าเพจอื่น (3 รายการ):

  1. รายละเอียดปรมัตถธรรม ๔: (หน้าอธิบาย จิต, เจตสิก, รูป, และนิพพาน แต่ละอย่างโดยละเอียด)
  2. กรรมและการส่งผลของกรรม (วิบาก): (หน้าอธิบายเรื่องกฎแห่งกรรม ประเภทของกรรม และการให้ผล)
  3. แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔: (หน้าอธิบายขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนา)
แสงธรรมนำทาง...

สคริปเก่า