แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมวดที่ ๖ ภพภูมิ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมวดที่ ๖ ภพภูมิ แสดงบทความทั้งหมด

๖. อสุรกายภูมิ

อสุรกาย หรือ อสูร เรามักเข้าใจว่าได้แก่พวกยักษ์ตามเรื่องรามเกียรติหรือในเรื่องอื่นๆ ซึ่งลักษณะดุร้ายน่ากลัว แต่ตามคัมภีร์ทางพระ อภิธรรมได้กล่าวถึงอสุรกายไว้ ๒ จำพวก คือ
  • อสุระ ที่เป็นข้าศึกของเทพดาชั้นดาวดึงส์ 
  • อสุรเปรต นิรยอสุรา


คำว่า อสุระ จึงแปลว่า ไม่ใช่เทพ และคำว่า สุระ แปลว่า เล่น หมายถึงเสวยสุข พวกเทวดาเสวยสุขด้วยทิพยสมบัติ จึงเรียกว่าสุรเทพ แต่อสุระมีภาวะตรงกันข้าม คือ เสวยทุกข์ เท่ากับเป็นเปรตชนิดหนึ่ง คือ นิรยอสุรา อสุระพวกที่เป็นข้าศึกของเทพชั้นดาวดึงส์ แต่เดิมก็อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้แก่ เวปจิตติอสุรา สุพลิอสุรา ราหุอสุรา ปหาระอสุรา สัมพรตีอสุรา และ วินิปาติกอสุรา เฉพาะเทวดา ๕ ประเภทแรกเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ อาศัยอยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ มีเรื่องกล่าวไว้ว่าแต่เดิมอสุราทั้ง ๕ พวกนี้ เคยอยู่บนชั้นดาวดึงส์ ต่อมามฆมานพและบริวาร ๓๒ คน ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

มฆมานพเป็นพระอินทร์ และบริวาร ๓๒ คน ได้มาเกิดก็มีการฉลองกันเป็นการใหญ่ เมื่ออสุราทั้ง ๕ พวกนี้เมาสุราจนได้ที่แล้ว พระอินทร์และบริวาร จึงจับพวกอสุราโยนลงจากยอดเขาสิเนรุ ทำให้ต้องมาอยู่ใต้เขาสิเนรุ ด้วยเหตุนี้เองทำให้อสุรา ๕ พวกนี้แค้นเทวดาชั้นดาวดึงส์มาก และได้เคยยกพวกขึ้นเขาสิเนรุไปรบกับเทวดาชั้นดาวดึงส์หลายครั้ง บางครั้งก็ชนะบางครั้งก็แพ้ วินิปาติกอสุราเทวดาพวกที่ ๖ นี้ เป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์เช่นกัน มีรูปร่างเล็กกว่าเทวดาที่อยู่ในชั้นดาวดึงส์ มีอำนาจน้อยกว่า และอาศัยอยู่ในมนุษย์โลกทั่วไป เช่น ตามป่าเขา ต้นไม้ ศาลที่เขาปลูกไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของ ภุมมัฏฐเทวดา วินิปาติกอสุรานี้เป็นบริวารของภุมมัฏฐเทวดานั่นเอง 
 
นิรยอสุรา เปรตจำพวกหนึ่งที่ต้องเสวยทุกข์อยู่ในโลกันตนรก โลกันตนรกนี้ ตั้งอยู่ระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสามที่มีเขตเชื่อมติดต่อกัน อุปมาเหมือน เอาแก้วสามใบมาตั้งรวมกันเข้าเป็นสามมุม ช่องว่างที่อยู่ระหว่างกลางของถ้วยแก้วที่ตั้งไว้ฉันใด จักรวาลทั้งสามจักรวาลได้เชื่อมต่อกันเข้าเป็นสามมุม แล้วมีช่องว่างระหว่างกลางของจักรวาลทั้งสามก็ฉันนั้น โลกันตนรกนี้แสงใดๆก็ไม่สามารถเล็ดลอดมาถึงได้ ใต้พื้นเป็นน้ำที่เย็นมากที่สุด เย็นเป็นกรด นิรยอสุราเป็นสัตว์จำพวกที่เกาะอยู่ตามขอบจักรวาลที่มืดมิด เหมือนค้างคาวที่เกาะไต่ไปมาตามฝาผนัง มีความหิวกระหายเป็นกำลัง เกาะไต่ไปพลางเมื่อพบพวกเดียวกันจะโผเข้าหากัน ต่างฝุายต่างคิดว่าเป็นอาหารของกันและกันเพราะความมืดมิด ต่อสู้กันถ้าพลัดตกไปในน้ำกรดข้างล่าง กายก็จะละลายหายไปทันที แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ เกาะอยู่ที่ขอบจักรวาลอีกตกตายไปอีก วนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะหมดกรรม อสุรกายภูมินี้ ก็สงเคราะห์เข้าในเปรตภูมิ แต่การที่ท่านจัดเป็นอสุรกายภูมิเข้าอีกภูมิหนึ่งเช่นนี้ ก็เพราะว่าในบรรดาเปรตทั้งหลายนั้น มีเปรตที่พิเศษอีกพวกหนึ่ง เปรตที่พิเศษนี้ท่านจึงเรียกว่าอสุรกาย 



 

๕. เปรตภูมิ

เปรตภูมิ เป็นที่อยู่ของบุคคลที่ทำบาปเบากว่าพวกที่ไปเกิดในนรกภูมิ เป็นภูมิที่สัตว์นรกถูกทรมานด้วยการอดอยากหิวโหย เปรตบางชนิดต้องกิน หนอง เลือด เสมหะ อุจจาระ เป็นอาหาร 

ที่อยู่ของเปรต เปรตไม่มีที่อยู่โดยเฉพาะ จะอยู่ทั่วๆ ไปตามป่า ภูเขา เหว เกาะ แก่ง ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า เป็นต้น
ชนิดของเปรต เปรตมีหลายจำพวก มีทั้งพวกที่ตัวเล็ก ตัวใหญ่ บางพวกแปลงกายเป็นเทวดา มนุษย์ผู้ชาย มนุษย์ผู้หญิง ดาบส พระ เณร หรือชี ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเทวดา พระ เณร จริงๆเจตนาของการแปลงกายก็เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้พบเห็นนั้น ส่วนการแปลงกายที่มุ่งจะทำร้ายให้เกิดความเกรงกลัวเสียขวัญตกใจ ก็จะแปลงกายเป็นวัว ควาย ช้าง สุนัข รูปร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว
อาหารของเปรต เปรตทั้งหลายต้องเสวยทุกข์เวทนาคือการอดข้าวอดน้ำ เปรตบางพวกจึงเข้าไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านเขาทิ้งไว้ บางพวกกินเสมหะ น้ำลาย ของโสโครกต่างๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่าเปรตที่อาศัยอยู่ตาม ภูเขา เช่น ที่ภูเขาคิชฌกูฏ นอกจากจะอดอาหารแล้วยังต้องถูกทรมานเหมือนสัตว์นรกด้วย ต่อไปจะแสดงเปรตประเภทต่าง ๆ ตามพระอรรถกถาและพระคัมภีร์ดังนี้
 
ในอรรถกถาเปตวัตถุ แสดงเปรตไว้ ๔ จำพวก คือ
๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการอาศัยส่วนบุญที่เขาอุทิศให้ ถ้าไม่มีผู้อุทิศให้ก็ต้องอดอยากหิวโหยได้รับทุกขเวทนาอยู่เช่นนั้น ปรทัตตุปชีวิกเปรต เป็นเปรตประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถจะรับส่วนกุศลที่มนุษย์แผ่ไปให้ได้ อยู่ใกล้มนุษย์ เนื่องจากเวลาใกล้ตายมีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สินเงินทอง ห่วงใยในสามีภรรยา ลูกหลานหรือมิตรสหาย เมื่อตายก็จะอยู่ในบริเวณบ้านเรือนนั้นเอง ส่วนใหญ่เรียกว่าผี ถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นเปรตอยู่ในบริเวณนั้น แต่ถ้าไม่รู้ว่ามีผู้อุทิศส่วนกุศลให้ก็ไม่มีโอกาสได้อนุโมทนา เปรตก็จะไม่ได้รับส่วนบุญนั้น แต่บุญที่อุทิศให้แก่ญาติผู้ตายแล้วนั้น หากไม่ถึงหรือไม่สำเร็จ บุญนั้นก็ไม่สูญหายไปไหน คงเป็นบุญที่ติดตัวแก่ผู้อุทิศให้นั้น ซึ่งจะเป็นผลบุญอีกต่อหนึ่งของผู้ทำบุญ ฉะนั้นเมื่อทำบุญกุศลทุกครั้งควรอุทิศส่วนกุศลให้ญาติทั้งหลายของเราทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ เพราะในสังสารวัฏที่ผ่านมานี้อาจมีญาติของเรายังคอยการอุทิศส่วนกุศลจากเราอยู่ สำหรับพระโพธิสัตว์เมื่อได้รับพยากรณ์แล้ว ถ้าจะเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็นเปรตได้ประเภทเดียวเท่านั้น คือ ปรทัตตุปชีวิกเปรต
๒. ขุปปิปาสิกเปรต เป็นเปรตชนิดที่ถูกเบียดเบียนด้วยการหิวข้าวหิวน้ำ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกขึ้น นอนแซ่วอยู่เหมือนคนป่วยที่ใกล้จะตาย
๓. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่มีตัวตัณหาทำให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ เนื่องจากเปลวไฟที่ลุกอยู่ในปากนั่นเอง
๔. กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตจำพวกอสุรกาย หรือ อสุรา ลักษณะของอสุรกายประเภทกาลกัญจิกเปรต มีร่างกายสูงสามคาวุต (๑ คาวุต ประมาณ ๔,๐๐๐ เมตร) ไม่มีแรง เพราะมีเลือดและเนื้อน้อย มีสีสันคล้ายกับใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนกับตาของปู และมีปากเท่ารูเข็มตั้งอยู่กลางศีรษะ เวลาจะกินต้องห้อยหัวลง



จากลักขณสังยุตในนิทานวรรค กล่าวถึงเรื่องเปรตมีใจความสรุปดังนี้
การไปเกิดเป็นเปรตชนิดต่างๆ นั้นเพราะเศษกรรม คำว่า เศษกรรม คือ บาปกรรมที่ยังเหลืออยู่ หมายถึงเศษบาปนั่นเอง คือเมื่อเป็นมนุษย์ทำบาปหยาบช้าไว้ ตายไปเกิดในนรก พ้นจากนรกแล้วยังไม่สิ้นบาปกรรมทั้งหมด จึงต้องไปเป็นเปรตเสวยทุกข์ต่อไปอีก เพราะกรรมที่ยังเหลืออยู่นั้น

ตัวอย่างเรื่องเปรตจากพระไตรปิฏก
  • ท่านพระลักขณะ (พระองค์หนึ่งในชฎิลพันองค์) และท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่บนภูเชาคิชฌกูฏใกล้พระนครราชคฤห์ เวลาเช้าท่านทั้งสองออกบิณฑบาต ขณะที่เดินลงจากภูเขา ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้แย้มพระโอษฐ์ (คืออาการบันเทิงของพระอรหันต์ไม่ถึงยิ้ม) พระลักขณะได้ถามถึงเหตุ ของอาการแย้ม ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า ไม่ใช่เวลาถามปัญหา ให้ถามในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด เมื่อท่านทั้งสองบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์และทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเวฬุวัน ท่านพระลักขณะจึงกล่าวถามขึ้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงเล่าว่าได้เห็นร่างสัตว์อย่างหนึ่งลอยไปในอากาศ มีลักษณะอาการตามที่ท่านได้เห็น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรับรอง และได้ทรงกล่าวถึงบาปที่สัตว์นั้นได้ทำขณะเมื่อเป็นมนุษย์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นบ่อยๆ ขณะที่เดินลงจากเขาคิชฌกูฏ และได้เล่าในที่เฉพาะพระพักตร์ทุกครั้ง การแย้มของพระโมคคัลลานะเพราะท่านดำริว่าท่านเองพ้นแล้วจากอัตภาพเช่นนั้น ต่างจากผู้ที่ยังไม่เห็นสัจจะ ยังมีภพไม่แน่นอน ซึ่งอาจไปเกิดเป็นเปรตเช่นนั้นอีกก็ได้ ท่านจึงบันเทิงใจ (ไม่ใช่ว่าแย้มเพราะเป็นการเย้ยหยัน
  • เปรตตนหนึ่งมีแต่โครงกระดูก ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค เพราะเคยเป็นคนฆ่าโค ชำแหละเนื้อให้เหลือแต่กระดูกอยู่ในพระนคร ราชคฤห์ 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าโค เพราะเคยเป็นคนฆ่าโคชำแหละเนื้ออยู่ในพระนครนั้นเช่นเดียวกัน ที่แตกต่างกันตนหนึ่งเป็นโครงกระดูก ตนหนึ่งเป็นชิ้นเนื้อ เพราะว่านิมิตที่สัตว์นั้นเห็นในเวลาที่ไปเกิดต่างกัน จึงไปเกิดมีรูปลักษณะที่ต่างกัน คือ เมื่อเห็นนิมิตเป็นโครงกระดูกก็ไปเกิด เป็นเปรตโครงกระดูก เห็นนิมิตเป็นชิ้นเนื้อก็ไปเกิดเป็นเปรตชิ้นเนื้อ
  • เปรตตนหนึ่งเป็นก้อนเนื้อ ถูกแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่านก ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษไม่มีผิวหนัง ถูกแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าแกะ เพราะเคยเป็นคนฆ่าถลกหนังแกะขายอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งมีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดาบที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกายตนเอง ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าสุกร เพราะเคยเป็นคนฆ่าสุกรขายด้วยอาวุธชนิดนั้นอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นหอกที่หลุดกระเด็นออกไป แล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าเนื้อ ด้วยเคยเป็นคนใช้หอกฆ่าเนื้อขาย อยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กาย กลายเป็นดอกธนูที่หลุดกระเด็นออกไปแล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เคยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเบียดเบียนประชาชนด้วยอำนาจของตน มีการทรมานบ้าง ฆ่าบ้าง ยิงให้ตายด้วยธนูอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กายกลายเป็นปฏักที่หลุดกระเด็นออกไปแล้วกลับมาทิ่มแทงกาย ลอยร้องครวญครางไปในเวหาส เพราะเศษกรรมที่ฝึกม้าอย่างโหดร้ายทารุณ เคยเป็นคนฝึกม้า ด้วยวิธีโหดร้ายทารุณ ใช้ปฏักแทงม้าถึงพิการหรือตายอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษ มีขนทั่วสรรพางค์กายกลายเป็นเข็มทิ่มเข้าไปในศีรษะออกทางปาก ทิ่มเข้าไปในปากออกทางอก ทิ่มเข้าไปในอกออกทางท้อง ทิ่มเข้าไปในท้องออกทางขา ทิ่มเข้าไปในขาออกทางแข้ง ทิ่มเข้าไปทางแข้งออกทางเท้า ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่มีปากเป็นเข็ม คือ เป็นคนพูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน เป็นคนที่พูดทิ่มแทงให้เขาเจ็บใจเป็นทุกข์ 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษมีอวัยวะรหัสโตอย่างหม้อน้ำขนาดใหญ่ ต้องเดินแบกขึ้นคอไป หรือต้องนั่งทับ ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฉ้อโกงชาวบ้าน ชาวเมือง เคยเป็นอมาตย์ฉ้อโกง รับสินบนในลับแล้วสั่งให้วินิจฉัย บิดเบือน ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองต้องแบก ภาระเป็นทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงฝุาฝืนไม่ได้ เศษกรรมที่รับสินบนในที่ลับ จึงส่งให้อวัยวะ รหัสปรากฏอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องแบกทุกข์ทรมานไป 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษจมหลุมคูถมิดศีรษะ เพราะเศษกรรมที่เป็นชู้กับภริยาของผู้อื่น ด้วยได้เคยเป็นชายชู้ดังกล่าวอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นบุรุษจมอยู่ในหลุมคูถ กอบคูถด้วยมือทั้งสองเข้าปากเคี้ยว เพราะเศษกรรมที่เอาคูถใส่บาตรพระ เคยเป็นพราหมณ์ผู้เกลียดและแกล้งพระในพระพุทธศาสนาดั่งกล่าวในพระนครนั้น
  • เปรตตนหนึ่งเป็นสตรีไม่มีหนัง ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ประพฤตินอกใจ เคยเป็นสตรีประพฤตินอกใจสามี เป็นชู้กับชายอื่นอยู่ในพระนครนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งเป็นสตรีมีกลิ่นเหม็น รูปร่างน่าเกลียด ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เป็นแม่มดหลอกลวงคน เคยเป็นผู้หลอกลวงแสดงตน ตัวแทน เป็นสื่อทรงของยักษ์ หรือภูตผีปีศาจ รับบูชาพลีกรรมของคนผู้หลงเชื่ออยู่ในพระนครนั้น
  • เปรตตนหนึ่งเป็นสตรี ถูกไฟไหม้สุกเกรียมดำคล้ำไปทั้งตัวเยิ้มเกรอะกรังไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่โรยถ่านเพลิงบนศีรษะหญิงอีกคนหนึ่งด้วยแรงริษยา ด้วยสตรีคนนั้นได้เคยเป็นอัครมเหสีของพระราชากลิงคะ มีความริษยาในสตรีร่วมพระสวามีคนหนึ่ง ถึงกับใช้กระทะเหล็กตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะของนางนั้น 
  • เปรตตนหนึ่งไม่มีศีรษะ มีตาและปากอยู่ที่อก ถูกฝูงแร้งกานกตะกรุมรุมเจาะจิก ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่ฆ่าตัดศีรษะคน เคยเป็นเพชฌฆาตชื่อว่า หาริกะ ตัดศีรษะโจรเป็นอันมากอยู่ในพระนครนั้น 
เปรตตนหนึ่งเป็นภิกษุตนหนึ่ง เป็นภิกษุณีตนหนึ่ง เป็นสิกขมานา (สามเณรีผู้จะอุปสมบทเป็นภิกษุณี ต้องรักษาศีลพิเศษอยู่สองปีก่อน ระหว่างนี้เรียกว่าสิกขมานา) ตนหนึ่ง เป็นสามเณรตนหนึ่ง เป็นสามเณรีตนหนึ่ง ทุกคนทรงสังฆาฏิ บาตร ประคต เป็นไฟ ลุกโชน ตลอดทั้งร่างกาย ลอยร้องครวญครางไปในอากาศ เพราะเศษกรรมที่เป็นผู้บวชแล้วทำชั่ว ด้วยได้เคยเป็นภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี ผู้ประพฤติไม่ดี บริโภคปัจจัยลาภที่เขาถวายด้วยศรัทธาแล้วไม่สำรวมกายวาจา หาเลี้ยงชีพผิดทางสมณะ คะนองระเริงใจจนถึงวิบัติต่างๆ 

เปรตเหล่านี้เป็นเปรตในพระนครราชคฤห์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นด้วยทิพย์จักษุ มีผู้ไม่เชื่อมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลแล้วเหมือนกัน ดั่งที่มีกล่าวไว้ในพระวินัยว่า พวกภิกษุเมื่อได้ฟังท่านพระมหาโมคคัลลานะเล่าเรื่องนี้ ก็กล่าวโทษว่าท่านพูดอวดอุตริมนุษยธรรม (คือธรรมที่ยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง) พระพุทธเจ้าตรัสว่าสาวกทั้งหลาย ผู้มีดวงตาญาณจักรู้จักเห็นได้ และเพราะว่าพระพุทธองค์เองก็ได้เคยทรงเห็นสัตว์นั้นมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้ทรงพยากรณ์หรือตรัสบอกแก่ใคร เพราะถ้าทรงตรัสบอกไปแล้วถ้าเขาไม่เชื่อคำของพระพุทธองค์ บุคคลนั้นๆ ก็จะมีแต่โทษไม่มีประโยชน์อะไร ครั้นทรงได้พระมหาโมคคัลลานะเป็นพยานจึงทรงพยากรณ์ตรัสกล่าวถึงบุพกรรมของเปรตเหล่านี้ 



๔. ดิรัจฉานภูมิ

ดิรัจฉาน หมายความว่า ไปขวาง คือเดินไปตามขวาง หรือขวางจากมรรคผลนิพพาน
ดิรัจฉาน มี ๒ ชนิด คือ ดิรัจฉานที่ไม่เห็นได้ด้วยตาเป็นปกติ เช่น พญานาค กินนรา พญาครุฑ เป็นต้น และที่เห็นได้ด้วยตาเป็นปกติ เช่น สุนัข แมว ช้าง ปลา เป็นต้น

ดิรัจฉาน จำแนกโดยขา มี ๔ จำพวก คือ
๑. อปทติรัจฉาน ได้แก่ ดิรัจฉานที่ไม่มีขา เช่น ปลา งู เป็นต้น
๒. ทวิปทติรัจฉาน ได้แก่ ดิรัจฉานที่มี ๒ ขา เช่น นก เป็นต้น
๓. จตุปปทติรัจฉาน (อ่านว่า จะ-ตุป-ปะ-ทะ-ติ-รัด-ฉาน) ได้แก่ ดิรัจฉานที่มี ๔ ขา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น
๔. พหุปปทติรัจฉาน (อ่านว่า พะ-หุป-ปะ-ทะ-ติ-รัด-ฉาน) ได้แก่ดิรัจฉานที่มีขามากกว่า ๔ ขา เช่น ปู แมงมุม ตะขาบ เป็นต้น

ดิรัจฉานโดยทั่วไป มีทั้งอดอยาก อ้วนพี มีความเดือดร้อน ที่มีสุขมากก็มีเหมือนกันแต่มีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จะมีความเดือดร้อนมาก มีความสุขน้อย 
ดิรัจฉานมีสัญชาตญาณ หรือสัญญา ๓ อย่าง คือ
๑. กามสัญญา คือ รู้จักเสวยกามคุณ
๒. โคจรสัญญา คือ รู้จักกินนอน
๓. มรณสัญญา คือ รู้จักกลัวตาย



สัญญาทั้ง ๓ นี้มีแก่สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย คือสัตว์รู้จักสืบพันธุ์ รู้จักกิน รู้จักนอน และกลัวตายแต่มนุษย์นั้นมีสัญญาต่างกันกับสัตว์ดิรัจฉาน คือ มนุษย์มีธรรมสัญญา มนุษย์จึงรู้ดี รู้ชอบ รู้ผิด รู้ถูก รู้จักบุญ รู้จักบาป สัตว์ดิรัจฉานทั่วไปไม่มีธรรมสัญญาอย่างมนุษย์ แต่ดิรัจฉานที่เป็นพระโพธิสัตว์จะมีธรรมสัญญา พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จะไม่เกิดเป็นดิรัจฉานที่มีขนาดเล็กกว่านกกระจาบ และมีขนาดไม่ใหญ่กว่าช้าง

นาคและครุฑ เรื่องนาคและครุฑ ได้มีกล่าวไว้ใน นาคสังคยุต ว่า กำเนิดนาคมี ๔ คือ นาคเกิดจากฟองไข่ นาคเกิดจากครรภ์ นาคเกิดจากเถ้าไคล นาคเกิดผุดขึ้น (อย่างเทพหรือสัตว์นรก) นาคเหล่านี้ประณีตกว่ากันขึ้นไปโดยลำดับ นาคโดยมากกลัวหมองูและครุฑ ต้องคอยซ่อนกายซ่อนตัวอยู่เสมอ แต่นาคบางพวกคิดว่าตนมาเกิดเป็นนาคก็เพราะเมื่อชาติก่อนมีความประพฤติดีบ้างชั่วบ้างทั้งสองอย่าง ถ้าบัดนี้ประพฤติสุจริตก็จะพึงไปเกิดในสวรรค์ได้ในชาติต่อไป จึงตั้งใจประพฤติสุจริตกายวาจาใจ รักษาอุโบสถศีล นาคผู้รักษาอุโบสถนี้ ย่อมปล่อยกายตามสบาย ไม่กลัวหมองูหรือครุฑจะจับ 
เหตุที่ให้ไปเกิดเป็นนาค เพราะกรรมสองอย่าง ดีบ้างชั่วบ้าง และเพราะปรารถนาไปเกิดในกำเนิดเช่นนั้นด้วยชอบใจว่า นาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีสุขมาก บางทีชอบใจ ตั้งปรารถนาไว้ดังนั้นแล้วก็ให้ทานต่างๆ เพื่อให้ไปเกิดเป็นนาคสมความปรารถนา

ครุฑ
หรือ สุบรรณ ที่กล่าวไว้ใน สุปัณณสังยุต ว่ามีกำเนิดสี่ และประณีตกว่ากันโดยลำดับเช่นเดียวกัน เหตุที่จะให้ไปเกิดเป็นครุฑก็เช่นเดียวกัน ข้อที่กล่าวไว้เป็นพิเศษ ก็คือ อำนาจในการจับนาค ครุฑย่อมจับนาคที่มีกำเนิดเดียวกับตน และที่มีกำเนิดต่ากว่าได้ จะจับนาคที่มีกำเนิดสูงกว่าไม่ได้
เรื่องนาคเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหลายแห่ง ในคัมภีร์พระวินัย มหาวรรค ได้กล่าวถึงพญานาคมาแผ่พังพานเป็นร่มกันฝนถวายพระพุทธเจ้า ในปฐมโพธิกาลกล่าวถึงนาค มีใจความโดยย่อว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจลินท์ (ไม้จิก) ๗ วัน ในสมัยนั้นมหาเมฆที่ไม่ใช่กาลตั้งขึ้น ฝนตกพร่ำเจือด้วยลมหนาว ๗ วัน นาคราช ชื่อว่า มุจลินท์ ออกจากภพของตนเข้ามาวงพระกายของพระองค์ด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พังพานปกเบื้องบนเพื่อป้องกันฝนและลมมิให้ถูกพระกาย ครั้นฝนหายแล้ว คลายขนดออก จำแลงเพศเป็นมาณพหนุ่มมายืนเฝ้า ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ พระองค์ทรงทราบแล้วได้ทรงเปล่งอุทานมีความว่า “ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้พอใจแล้ว ได้ประสบธรรมแล้วเห็นแจ้งอยู่ ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัดคือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้เป็นสุข ความกำจัดอัสมิมานะ คือความถือว่าตัวตนให้หมดได้เป็นสุขอย่างยิ่ง” จากคัมภีร์พระวินัยปิฎก กล่าวถึงเรื่องนาคจำแลงมาบวช มีใจความโดยย่อว่า

นาคตนหนึ่งอึดอัดรังเกียจในชาติกาเนิดนาคของตน คิดว่าทำไฉนจะพ้นไปเกิดเป็นมนุษย์โดยเร็วได้ เห็นว่าพระสมณะศากยบุตรเหล่านี้ประพฤติธรรมอันสมควรสม่ำเสมอ เป็นพรหมจารี มีวาจาสัจ มีศีลมีธรรม ถ้าได้บวชในพระเหล่านี้ ก็จะมีผลานิสงส์ให้พ้นชาติกำเนิดนาคไปเกิดเป็นมนุษย์เร็วดั่งปรารถนาเป็นแน่แท้ ครั้นคิดเห็นดั่งนี้แล้วจึงจำแลงเพศเป็นมาณพคือชายหนุ่มน้อย เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบวช ภิกษุทั้งหลายก็ให้มาณพจำแลงนั้นบรรพชาอุปสมบท นาคนั้นอยู่ในกุฏิท้ายวัดกับภิกษุรูปหนึ่ง ตกถึงเวลาใกล้รุ่ง ภิกษุรูปนั้นลงจากกุฏิไปเดินจงกรมในที่แจ้ง ฝุายนาคเมื่อภิกษุออกไปแล้วก็ปล่อยใจม่อยหลับไป ร่างจำแลงก็กลับเป็นงูใหญ่เต็มกุฏิขนาดล้นออกไปทางหน้าต่าง ภิกษุร่วมกุฏิเดินจงกรมพอแล้วกลับขึ้นกุฏิ ผลักบานประตูจะเข้าไปมองเห็นงูใหญ่นอนขดอยู่เต็มห้องขนดล้นออกไปทางหน้าต่าง ก็ตกใจร้องลั่นขึ้น ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ใกล้เคียงก็พากันวิ่งมาไต่ถามว่ามีเหตุอะไร ภิกษุนั้นได้เล่าให้ฟัง ขณะนั้นนาคตื่นขึ้นเพราะเสียงเอะอะ ก็จำแลงเพศเป็นคนครองผ้ากาสาวพัสตร์นั่งอยู่บนอาสนะของตน พวกภิกษุถามว่าเป็นใคร ก็ตอบตามจริงว่าเป็นนาค พระองค์ตรัสให้ประชุมภิกษุสงฆ์แล้วตรัสแก่นาคว่า “เกิดเป็นนาคไม่มีโอกาสที่จะงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ได้แล้ว จงไปรักษาอุโบสถในวัน ๑๔-๑๕ ค่ำ และในวัน ๘ ค่ำ แห่งปักษ์นั้นเถิด ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ก็จักพ้นจากชาติกำเนิดนาคและจะได้เป็นมนุษย์โดยเร็ว” นาคได้ฟังดั่งนั้นมีทุกข์เสียใจว่าตนหมดโอกาสที่จะงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ น้ำตาไหลร้องไห้หลีกออกไป พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า มีเหตุปัจจัย ๒ ประการที่ทำให้นาคปรากฏภาวะของตน คือ อยู่ร่วมกับนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน และปล่อยใจสู่ความหลับ พระองค์ทรงถือเรื่องนี้เป็นเหตุ ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามอุปสมบทสัตว์ดิรัจฉานแต่เมื่อกล่าวถึงกาลเวลาทั้งหมดที่นาคจะต้องปรากฏตัว ก็มีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑.เวลาปฏิสนธิ
๒.เวลาลอกคราบ
๓.เวลาอยู่กับนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน
๔.เวลาปล่อยใจเข้าสู่ความหลับ
๕.เวลาตาย



โลกันตนรก

โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่พิเศษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ระหว่างช่องว่างของขอบจักรวาลทั้ง ๓ ที่เชื่อมต่อกัน มีแต่ความมืดสนิท สัตว์ที่อุบัติในโลกันตนรกนี้จะมีร่างกายใหญ่โตมหึมามีเล็บเท้ายาวเกาะอยู่ตามขอบเชิงจักรวาลห้อยโหนตัวอยู่ตลอดกาล เมื่อไปพบพวกเดียวกันต่างก็คิดว่าเป็นอาหารจึงไล่ตะปบกัน จนตกลงมาในน้ำกรดที่เย็นยะเยือก สัตว์นั้นก็จะละลายเป็นจุณหายไป แล้วอุบัติเกิดขึ้นใหม่ที่ขอบจักรวาลนั้น ห้อยโหนตัวอยู่ไปมาและเมื่อ พบกันก็ตะปบกัน ต่อสู้กัน พลาดพลั้งก็ตกลงไปในน้ากรด ร่างก็ละลาย เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล (นรกขุมนี้เป็นขุมพิเศษ เป็นที่อยู่ของพวกอสุรกายประเภท นิรยอสุรา)

ทำบาปกรรมอะไรจึงเกิดในโลกันตนรก
๑. เป็นผู้ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา ปราศจากความกตัญญูกตเวที
๒. เป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล คือ ไม่เชื่อบุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์ แล้วทำบาปอยู่เป็นนิจ
๓. ประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีล ทรงธรรม หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำทุกวัน

ด้วยอำนาจของกรรมหนักเหล่านี้ จึงส่งผลให้เกิดในโลกันตนรกซึ่งมืดมิดอยู่เป็นนิตย์ตลอดกาลนาน ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงมีโอกาสเห็นแสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแล่บ หรือชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น

อัธยาศัยจิตใจของบุคคลทั้งหลาย สรุปได้ ๔ คือ
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบบำเพ็ญกุศลมาก
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในการกุศลและอกุศลเท่าๆกัน
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลมากกว่ากุศล
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลฝุายเดียว

บุคคลประเภทที่ ๑ ในขณะใกล้ตายย่อมระลึกนึกถึงกุศลได้มาก ฉะนั้น บุคคลจำพวกนี้ย่อมพ้นจากการไปบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๒ ในขณะใกล้ตายถ้าตัวเองพยายามระลึกถึงกุศลให้มากหรือญาติ บุคคลใกล้ชิดช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศล ก็สามารถช่วยให้พ้นจากการบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๓ ในขณะใกล้ตายชีวิตที่ผ่านมาทำอกุศลมากกว่ากุศล ลำพังตัวเองจะนึกถึงกุศลนั้นย่อมนึกถึงไม่ได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นการช่วยเหลืออย่างพิเศษจึงจะช่วยได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษแล้วบุคคลจำพวกนี้ย่อมจะต้องไปสู่อบายแน่นอน
บุคคลประเภทที่ ๔ ในขณะใกล้ตายชีวิตย่อมไม่พ้นจากการไปสู่อบายได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ และการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ได้บุคคลผู้นั้นก็จะต้องมี กุศลอปราปริยเวทนียกรรม(กุศลในชาติก่อนๆ)ที่มีกำลังมาก(ตัวอย่าง"โจรเคราแดง"จะอยู่ในเรื่อง กฎแห่งกรรม) ฉะนั้นถ้าบุคคลจำพวกนี้ต้องไปสู่นรกแล้ว ก็ไปสู่นรกโดยตรง ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับพระยายมราช เฉพาะบุคคลประเภทที่ ๒ และ ๓ ถ้าต้องไปสู่นรกแล้วก็มีโอกาสได้พบกับพระยายมราชเพื่อทำการสอบถาม ๕ เรื่อง หรือเรียกว่า เทวทูต ๕ เสียก่อน แล้วจึงไปเสวยทุกข์ในนรกนั้นๆ ภายหลัง

คำถามของพระยายมราช มี ๕ เรื่อง คือ
๑. ความเกิด ได้แก่ ทารกที่แรกเกิด
๒. ความแก่ ได้แก่ คนชรา
๓. พยาธิ ได้แก่ ผู้ป่วยไข้
๔. คนต้องราชทัณฑ์ ได้แก่ ผู้ที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย
๕. มรณะ ได้แก่ คนตาย

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะไต่ถามว่า “นี่แน่ะเจ้า! เราจะถามเจ้าว่า เมื่อเจ้ายังอยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้เคยเห็นเด็กแรกเกิดนอนเปื้อนมูตรคูถของตนเองบ้างไหม” ถ้าสัตว์นรกตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็น” พระยายมราชจะถามต่อไปว่า “ในขณะที่เจ้าเห็นเด็กแรกเกิดนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเกิดอีกเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเกิดอันเป็นชาติทุกข์ บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นเด็กแรกเกิดก็จริง แต่ก็ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่ความยินดี พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไป ตามวิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้มีความประมาท ไม่ทำความดี ทางกายวาจาใจ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ความประมาท เพลิดเพลินสนุกสนานของเจ้าที่ได้กระทำไปแล้วล้วนแต่เป็นความประมาทที่เกิดขึ้นจากตัวของเจ้าทั้งนั้น ไม่ใช่บิดามารดา บุตร ภรรยา มิตรสหาย หรือ เทวดาทั้งหลายมากระทำให้เจ้า ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วย ตนเองไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๒ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนแก่หลังโก่งงอ ผมหงอก หนังเหี่ยว ตกกระ บ้างไหม ในขณะที่เจ้าเห็นนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องแก่เช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทาง ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความแก่อันเป็นชราทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นคนแก่ก็จริงแต่ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่การใช้ชีวิตที่พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไปตาม วิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้ กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะ ถามปัญหาที่ ๓ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนป่วยไข้ที่กำลังได้รับความทุกข์เวทนาบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเจ็บป่วยอันเป็นพยาธิทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้า เป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหา ที่ ๔ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ถูกจองจำ เช่น โจร ผู้ร้าย ผู้กระทำผิด ซึ่งถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบยด้วยแส้ หวาย ตีด้วยกระบอง ถูกตัดมือ เท้า หู จมูก ยิงเป้า แขวนคอบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเพียรเร่งสร้างความดี เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความทุกข์บ้างไหม? สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้ ” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๕ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนตายบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นคนตายเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้ จะต้องตายเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความตายอันเป็นมรณทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้”

เมื่อเป็นเช่นนี้ พระยายมราชก็พยายามช่วยระลึกให้ว่าสัตว์นรกผู้นี้ได้สร้างกุศลอะไรไว้บ้าง เพราะบุคคลบางคนเมื่อทำกุศลแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่ พระยายมราช พระยายมราชผู้เคยได้รับส่วนกุศลก็จะพยายามช่วยให้สัตว์นรกนึกถึงกุศลที่เคยทำไว้ เมื่อระลึกถึงกุศลกรรมของตนได้เช่นนี้ ในขณะนั้น ก็พ้นไปจากนรกแต่ถ้าพระยายมราชช่วยแล้วก็ยังระลึกไม่ได้ก็จะนิ่งเสีย แล้ว นายนิรยบาลก็จะนำตัวไปลงโทษในนรกต่างๆ เสวยกรรมในนรกไปจนกว่าจะหมดกรรม พระยายมราชเป็นราชาแห่งเปรตที่มีวิมาน ในคราวหนึ่งเสวยทิพยสมบัติ ในคราวหนึ่งเป็นธรรมิกราชเสวยวิบากกรรม พระยายมราชเองก็ปรารถนาความเป็นมนุษย์และได้พบได้ฟังธรรม ได้รู้ธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าที่ของพระยายมราช คือเป็นผู้ซักถามผู้ทำบาปที่ถูกนำตัวเข้าไปหลักซักถาม ๕ อย่างข้างต้น ถ้าพิจารณาดูตรงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจว่าจะใช้ เป็นกฎเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยได้อย่างไร แต่เมื่อพิจารณาโดยหลักธรรม ก็อาจจะเห็นความมุ่งหมายว่า คนที่ทำบาปทุจริตต่างๆ นั้น ก็เพราะมีความประมาท ไม่ได้คิดพิจารณาว่าเกิดมาแล้วจะต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา


๓. นรกภูมิ

อบายภูมิ ๔ แดนเกิดของกรรมฝุายชั่ว อบายภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ที่มีเจตนาฝ่ายอกุศลกรรมนำเกิด เป็นภูมิที่ขวางต่อนิพพาน มี ๔ ภูมิ ได้แก่
๑. นิรยะ แปลตามศัพท์ว่า ที่ที่ไร้ความเจริญ หรือเรียกว่า นรกภูมิ
๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ได้แก่ สัตว์ดิรัจฉานทุกประเภท หรือเรียกว่า ดิรัจฉานภูมิ
๓. เปตวิสย วิสัยเปรต ได้แก่ ภูมิภพของเปรต หมายถึง สัตว์จำพวกหนึ่งที่เกิดมาเพื่อรับผลกรรมที่เป็นเศษของกรรม เช่นเมื่อไปนรกแล้ว พ้นจากนรก แต่กรรมนั้นยังไม่หมด ยังมีเศษของกรรมเหลืออยู่ ก็ต้องไปเกิดเป็นเปรต ใช้เศษของกรรมไปจนหมดก่อน
๔. อสุรกายะ แปลว่า สัตว์ที่ได้รับทุกข์


นรกภูมิ

นรกภูมิ เป็นสถานที่เกิดของผู้ที่ทำบาปอกุศลไว้ เมื่อบุคคลผู้ทำบาปตายลง ถ้าบาปอกุศลนั้นส่งผลจะส่งผลนำเกิดในนรก ต้องเสวยผลของบาปที่ทำไว้ ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แบ่งเป็นขุมได้ ๘ ขุม เรียกว่า “มหานรก ๘ ขุม” มหานรก มี ๘ ขุม
    ๑. สัญชีวนรก แปลว่า คืนชีวิตขึ้นเอง หมายถึงสัตว์นรกในขุมนี้ถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่แล้วก็กลับคืนชีวิตขึ้นมาเองอีก ได้รับการทรมานอยู่ร่่ำไป
    ๒. กาฬสุตตนรก แปลว่า เส้นด้ายดำ หมายถึงสัตว์นรกขุมนี้ที่ร่างกายถูกตีเส้นด้วยเส้นด้ายสีดำ เหมือนอย่างตีเส้นที่ต้นซุงเพื่อที่จะเลื่อย แล้วถูกผ่าด้วยขวานเป็น ๘ เสี่ยง ๑๖ เสี่ยง ได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส
    ๓. สังฆาตนรก แปลว่า กระทบกัน หมายถึงมีภูเขาเหล็กคราวละ ๒ ลูก จากทิศที่ตรงกันข้ามเลื่อนเข้ามากระทบกันเอง บดสัตว์นรกในระหว่างให้แหลกละเอียด จาก ๔ ทิศก็เป็นภูเขา ๔ ลูกเลื่อนเข้ามากระทบกันตลอดเวลา
    ๔. โรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญคราง คือ มีเปลวไฟเข้าไปทางทวารทั้งเก้า เผาไหม้ในสรีระจึงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ บางพวกถูกหมอกควันด่าง(เป็นกรด) เข้าไปละลายสรีระจนละเอียดเหมือนแป้ง จึงร้องครวญครางเจ็บปวดเพราะหมอกควัน
    ๕. มหาโรรุวนรก แปลว่า ร้องครวญครางมาก คือเป็นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๔
    ๖. ตาปนนรก แปลว่า ร้อน คือถูกให้นั่งเสียบตรึงไว้ด้วยหลาวเหล็กบนพื้นแผ่นดินเหล็กแดงลุกเป็นไฟร้อนแรง บ้างก็ถูกต้อนขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่มีไฟลุกโชน ถูกลมพัดตกลงมาถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นแผ่นดินเหล็กแดงที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
    ๗. มหาตาปนนรก แปลว่า ร้อนสูงมาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อที่ ๖
    ๘. อวีจินรก แปลว่า ไม่มีระหว่าง คือไม่เว้นว่างจากทุกข์ บางทีเรียกว่า มหาอวีจิ แปลว่า อเวจีใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า นรกอเวจี นรกขุมนี้มีไฟลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุสิ่งของ เพราะสัตว์นรกต่างถูกไฟเผาหม้อยู่ในที่เฉพาะตนๆ ความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกในขุมนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น พระเทวทัตบังเกิดในอวีจินรก ยืนถูกทรมานอยู่บนพื้นเหล็กที่มีไฟลุกโชน เท้าทั้ง ๒ จมพื้นลงไปถึงข้อเท้า มือทั้ง ๒ จมฝาเหล็กถึงข้อมือ ศีรษะเข้าไปในเพดานโลหะถึงคิ้ว หลาวโลหะอันหนึ่งออกจากพื้นเบื้องล่างแทงร่างกายทะลุขึ้นไปในเพดาน หอกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศตะวันออกแทงทะลุหัวใจไปเข้าฝาทิศตะวันตก หอกอีกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศเหนือแทงทะลุซี่โครงไปเข้าฝาทิศใต้ ถูกตรึงแน่นขยับไม่ได้ ถูกเผาไหม้อยู่ในอวีจินรก เครื่องทรมานสัตว์นรก ในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็ก เครื่องอาวุธเหล็กต่างๆ มีไฟ คือ เหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรดหรือด่าง เป็นเครื่องทรมานสัตว์นรกทั้งหลาย

ในนรกขุมที่ ๑ และที่ ๒ มีนายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก ไทยนิยมเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรก แต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสังกิจจชาดกไม่ได้กล่าวถึงนายนิรยบาล มีแต่ไฟ เหล็ก เครื่องอาวุธต่างๆเป็นต้น บังเกิดขึ้นเองเพื่อทรมานสัตว์นรกเอง

อุสสทนรก มี ๔ ขุม อายุของสัตว์นรกบางพวกมีอายุยืนยาวมาก แต่เมื่อสิ้นเวรจากนรกทั้ง ๘ ขุมแล้ว ถ้ายังไม่หมดกรรมก็จะต้องไปเกิดในนรกบริวารขุมเล็กๆ ที่อยู่รายรอบมหานรกอีก เพื่อรับทุกข์โทษจากเศษกรรมอีก ต่อไปจะศึกษาเรื่องนรกบริวารที่มีชื่อว่า อุสสทนรก

อุสสทนรก คือ นรกขุมเล็กนอกจากนรกขุมใหญ่ ๘ ขุมแล้ว ยังมีนรกขุมเล็กเป็นบริวารทั้ง ๔ ด้านๆ ละ ๔ ขุม รวมเป็น ๑๖ ขุม รวมนรกขุมเล็กที่เป็นบริวารของนรกขุมใหญ่ทั้ง ๘ ขุม ได้ ๑๒๘ ขุม รวมนรกใหญ่อีก ๘ ขุม เป็น ๑๓๖ ขุม ต่อไปเป็นรายละเอียดของอุสสทนรก ๔ ขุม
    ๑. คูถนรก นรกอุจจาระเน่า นรกขุมนี้จะเต็มไปด้วยอุจจาระที่เน่าเหม็น ตั้งอยู่ติดกับมหานรก สัตว์นรกจะมีปากแหลมเหมือนอย่างเข็มพากันเจาะไชผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก เจ็บปวด รวดร้าวยิ่งนัก แต่ก็ไม่ตาย สัตว์นรกเมื่อตายจากนรกขุมใหญ่แล้วก็มาเสวยกรรมในนรกขุมย่อยๆ นี้อีก
    ๒. กุกกุลรก นรกหลุมขี้เถ้าร้อน เมื่อสัตว์นรกพ้นจากนรกอุจจาระเน่าแล้ว และยังไม่หมดกรรมจะต้องมาเสวยทุกขเวทนาต่อที่นรกขุมนี้อีก ทุกข์ทรมานอยู่ในขี้เถ้าที่ร้อนระอุ แต่ก็ไม่ตาย
    ๓. สิมปลิวนนรก นรกป่างิ้ว เมื่อสัตว์นรกพ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้ว และยังไม่หมดกรรมจะต้องไปเสวยทุกขเวทนาในนรกป่างิ้วอีก งิ้วใหญ่แต่ละต้นสูงตั้งโยชน์ มีหนามยาว ๑๖ นิ้ว ร้อนโชน สัตว์นรกต้องปีนขึ้นปีนลงต้นงิ้ว ถูกหนามทิ่มแทงเจ็บปวด ร้อนแรง แต่ก็ไม่ตาย ในนรกขุมนี้ยังมีปุาใบไม้ดาบด้วย เรียกว่า อสิปัตตวนนรก เป็นนรกขุมเดียวกัน มีใบไม้คมดุจดาบ เมื่อลมพัดก็บาดร่างกายสัตว์นรกให้ได้รับทุกขเวทนา แต่ก็ไม่ตาย
    ๔. เวตตรณีนรก นรกน้ำเค็มน้ำกรด เป็นนรกที่เต็มไปด้วยหนามหวายอยู่ในน้ำเค็ม เมื่อสัตว์นรกพ้นจากนรกขุมต้นๆ แล้ว และยังไม่หมดกรรม จะต้องเสวยทุกข์ในนรกขุมนี้ต่อไปอีก สัตว์นรกตกลงไปลอยไปตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง รีๆ ขวางๆ บ้าง เสวยทุกขเวทนา แต่ก็ไม่ตาย นายนิรยบาลเอาเบ็ดเกี่ยวขึ้นมาบนบก ถามว่าอยากอะไร เขาบอกว่าหิว นายนิรยบาลเอาขอเหล็กแดงงัดปาก ยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไป ไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก คอ อก พาเอาไส้ใหญ่ไส้น้อยออกมาทางเบื้องล่าง แต่ถ้าเขาบอกว่ากระหาย นายนิรยบาลจะงัดปากเอาทองแดงละลายกรอกเข้าปาก เผาอวัยวะที่กล่าวแล้วนำออกมาเบื้องล่าง เสวยทุกขเวทนาเผ็ดร้อน แต่ก็ไม่ตายต้องเสวยผลกรรมต่อไป

นรกภูมิ ที่มีมาในเนมิราชชาดก คัมภีร์ขุททกนิกาย ยังมีกล่าวไว้อีก สรุปดังนี้
เวตตรณีนรกสัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้มีกำลังได้เบียดเบียน ด่า กระทบผู้หากำลังมิได้ ถ้ากรรมนี้ส่งผลเขาต้องไปตกแม่น้ำเวตตรณีนรกที่มีน้ำกรดทำให้แสบเผ็ดร้อนเดือดพล่าน เปรียบดั่งเปลวไฟ
นรกสุนัขด่าง สัตว์เหล่าใดเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น มักด่าบริภาษ ด่ากระทบสมณพราหมณ์ สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้าจึงถูกฝูงสุนัข ฝูงกา ฝูงแร้ง เคี้ยวกิน
นรกพื้นแผ่นดินเหล็ก สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกเป็นผู้เบียดเบียน ด่ากระทบชายหญิงผู้มีธรรม สัตว์เหล่านั้น มีกรรมหยาบช้า จึงมีร่างกายถูกเผาลุกโพลงด้วยไฟ เดินเหยียบแผ่นดินเหล็กลุกเป็นไฟ ถูกนายนิรยบาลโบยด้วยท่อนเหล็กแดง(ด้วยไฟ)
นรกหลุมถ่านเพลิง สัตว์นรกเหล่านี้ได้ใช้จ่ายทรัพย์ตามชอบจ่าย โกงทรัพย์ของประชุมชน คือทำการเรี่ยไรทรัพย์ เพื่อนำไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ก็เอาทรัพย์ หรือใช้จ่ายทรัพย์ในโดยส่วนตัว กล่าวเท็จเพื่อเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตน เข้าในทำนองทำการหลอกลวงประชุมชม เพราะกรรมนี้จึงมาร้องไห้ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง
โลหกุมภีนรกที่ ๑ สัตว์เหล่าใดเป็นผู้มีบาปธรรม เบียดเบียนด่ากระทบสมณพราหมณ์ผู้มีศีล สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า จึงตกในหม้อโลหะใหญ่มีไฟติดทั่วลุกโพลงโชติช่วง
โลหกุมภีนรกที่ ๒ สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก จับนกมาฆ่า สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า จึงถูกนายนิรยบาลผูกคอด้วยเชือกเหล็กลุกโพลงแล้วตัดศีรษะโยนลงไปในน้ำร้อน
นรกแม่น้ำกลายเป็นแกลบไฟ สัตว์เหล่าใดมีการงานไม่บริสุทธิ์ ขายข้าวเปลือกแท้เจือด้วยข้าวลีบและแกลบแก่ผู้ซื้อ เขาจึงมาอยู่ในนรกนี้ นรกนี้มีน้ำมาก ไหลอยู่เสมอ มีตลิ่งไม่สูง มีท่าน้ำ สัตว์นรกเหล่านั้นเร่าร้อน เพราะความร้อนแห่งไฟ จะดื่มน้ำ น้ำจึงกลายเป็นแกลบถูกไฟเผา
นรกอาวุธต่างๆ สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ คือ ธัญชาติ ทรัพย์ เงิน ทอง เป็นต้น มาเลี้ยงชีพ นายนิรยบาลใช้ลูกศร หอก โตมร(อาวุธสำหรับซัด,หอกซัด,สามง่ามที่มีปลอกรูปเป็นใบโพสวมอยู่) แทงทะลุข้างตัวให้ได้รับตวามทุกข์ทรมาน
นรกกองเนื้อ สัตว์นรกเคยเป็นผู้ฆ่าแพะ แกะ ไก่ สุกร วัว ควาย เป็นต้น แล้ววางไว้ในร้านที่ขายเนื้อ สัตว์นรกจึงถูกนายนิรยบาลผูกคอบ้าง ตัดทำให้เป็นชิ้นๆบ้าง
นรกอุจจารปัสสาวะ สัตว์เหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ได้เบียดเบียนผู้อื่นทุกเมื่อ สัตว์เหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า เป็นพาล ประทุษร้ายมิตร จึงต้องตกลงในห้วงน้ำที่เต็มไปด้วยมูตรและคูถ มีกลิ่นเหม็นเน่า ฟุูงไป สัตว์นรกมีความหิวกระหายจึงกินมูตรและคูถนั้น
นรกเลือดหนอง สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ฆ่ามารดา บิดา และพระอรหันต์ชื่อว่าปาราชิกในคฤหัสถ์ สัตว์นรกเหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า จึงมาตกอยู่ในนรกนี้ มีห้วงน้ำเต็มไปด้วยเลือดและหนอง มีกลิ่น เหม็นคลุ้งตลบ สัตว์นรกถูกความร้อนแผดเผา หิวกระหาย ก็กินเลือดและหนองนั้น
นรกเบ็ดเหล็ก สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก อยู่ในตำแหน่งผู้ตีราคา ยังราคาซื้อให้เสื่อมเพราะเหตุโลภทรัพย์ ดุจคนเข้าไปใกล้ปลาเพื่อจะฆ่าเอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดปิดเบ็ดนั้นไว้ ฉะนั้น ด้วยกรรมนี้ จึงถูกนายนิรยบาลทรมานด้วยการเอาเบ็ดเกี่ยวลิ้น เกี่ยวหนัง
นรกภูเขาเหล็ก สัตว์นรกเหล่าใดเป็นกุลธิดา เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลกมีงานอันไม่บริสุทธิ์ เป็นหญิงนักเลงละสามีไปคบชายอื่น ยังจิตของตนให้ยินดีในบุรุษอื่น ตายแล้วมาเกิดในนรกนี้ จึงถูกภูเขาเหล็กลุกเป็นเพลิงมาจาก ๔ ทิศ ผลัดกันบดร่างกายให้แตก มีแมลงวันตอม เปรอะเปื้อนด้วยเลือดและหนอง มีศีรษะขาดเหมือนฝูงโคที่ศีรษะขาด บนที่ฆ่าหญิงนรกเหล่านี้จมอยู่ในพื้นแค่สะเอวตลอดเวลา
นรกที่มีศีรษะทิ่มลง สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้ล่วงภรรยาแห่งบุรุษอื่นและลักขโมย จึงมาตกนรกนี้ มีศีรษะทิ่มลงเบื้องล่าง เพราะนายนิรยบาลได้จับสัตว์เหล่านั้นพุ่งให้มีศีรษะทิ่มลงไปในนรก
นรกป่าไม้งิ้ว สัตว์นรกเหล่าใดเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีความเห็นผิดหลงทำกรรมจนเคยชินด้วยมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ และชักชวนผู้อื่นในทิฏฐินั้นคือกล่าวว่า ทานที่ให้ไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลของความดีความชั่วไม่มี มารดาบิดาไม่มี สมณพราหมณ์ไม่มี สัตว์ลอยมาเกิดไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี สัตว์เหล่านั้นมีทิฏฐิลามกจึงต้องเสวยทุกเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนใน นรกนี้

พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นผู้ที่คบคนผิด คือทรงคบกับพระเทวทัต เหตุนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงมีอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ เกิดขึ้นจนถึงกับทำการปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา ตามธรรมดาบุคคลผู้ฆ่าบิดามารดาต้องไปสู่นรกอเวจี แต่พระองค์ไม่ต้อง เพราะในสมัยที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นได้ทรงเลิกคบกับพระเทวทัต หันมาประพฤติดีมีพระพุทธเจ้าพร้อมพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทรงเป็นผู้มีความเลื่อมใสสละจตุปัจจัยให้เป็นทาน จนถึงเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงการสังคายนา ฉะนั้นเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงไม่ต้องไปสู่นรกอเวจี แต่ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในโลหกุมภี ที่เป็นบริวารของอวีจิมหานรกแทน การเสวยทุกข์ในโลหกุมภี คือค่อยๆจมลงไปทีละน้อยๆ จนถึงพื้นล่างของหม้อโลหะ นับเป็นเวลานานถึงสามหมื่นปีของนรกนี้ เมื่อจะโผล่ขึ้นมาจากพื้นล่างก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมาทีละน้อยๆ นับเป็นเวลานานถึงสามหมื่นปีแห่งนรกนี้อีกเช่นกัน รวมเวลาเสวยทุกข์ของพระเจ้าอชาตศัตรูในโลหกุมภีกำหนดหกหมื่นปีจึงจะพ้นออกจากนรกนี้ ในอนาคตต่อไปได้สองอสงไขยแสนมหากัป จักได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่าวิชิตาวี 
โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่พิเศษ ซึ่งตั้งอยู่ที่ระหว่างช่องว่างของขอบจักรวาลทั้ง ๓ ที่เชื่อมต่อกัน มีแต่ความมืดสนิท สัตว์ที่อุบัติในโลกันตนรกนี้จะมีร่างกายใหญ่โตมหึมามีเล็บเท้ายาวเกาะอยู่ตามขอบเชิงจักรวาลห้อยโหนตัวอยู่ตลอดกาล เมื่อไปพบพวกเดียวกันต่างก็คิดว่าเป็นอาหารจึงไล่ตะปบกัน จนตกลงมาในน้ำกรดที่เย็นยะเยือก สัตว์นั้นก็จะละลายเป็นจุณหายไป แล้วอุบัติเกิดขึ้นใหม่ที่ขอบจักรวาลนั้น ห้อยโหนตัวอยู่ไปมาและเมื่อ พบกันก็ตะปบกัน ต่อสู้กัน พลาดพลั้งก็ตกลงไปในน้ำกรด ร่างก็ละลาย เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล (นรกขุมนี้เป็นขุมพิเศษ เป็นที่อยู่ของพวกอสุรกายประเภท นิรยอสุรา) 

ทำบาปกรรมอะไรจึงเกิดในโลกันตนรก
๑. เป็นผู้ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา ปราศจากความกตัญญูกตเวที
๒. เป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล คือ ไม่เชื่อบุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์ แล้วทำบาปอยู่เป็นนิจ
๓. ประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีล ทรงธรรม หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำทุกวัน

ด้วยอำนาจของกรรมหนักเหล่านี้ จึงส่งผลให้เกิดในโลกันตนรกซึ่งมืดมิดอยู่เป็นนิตย์ตลอดกาลนาน ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงมีโอกาสเห็นแสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแล่บ หรือชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น

อัธยาศัยจิตใจของบุคคลทั้งหลาย สรุปได้ ๔ คือ
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบบำเพ็ญกุศลมาก
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในการกุศลและอกุศลเท่าๆกัน
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลมากกว่ากุศล
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลฝุายเดียว

บุคคลประเภทที่ ๑ ในขณะใกล้ตายย่อมระลึกนึกถึงกุศลได้มาก ฉะนั้น บุคคลจำพวกนี้ย่อมพ้นจากการไปบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๒ ในขณะใกล้ตายถ้าตัวเองพยายามระลึกถึงกุศลให้มากหรือญาติ บุคคลใกล้ชิดช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศล ก็สามารถช่วยให้พ้นจากการบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๓ ในขณะใกล้ตายชีวิตที่ผ่านมาทำอกุศลมากกว่ากุศล ลำพังตัวเองจะนึกถึงกุศลนั้นย่อมนึกถึงไม่ได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นการช่วยเหลืออย่างพิเศษจึงจะช่วยได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษแล้วบุคคลจำพวกนี้ย่อมจะต้องไปสู่อบายแน่นอน
บุคคลประเภทที่ ๔ ในขณะใกล้ตายชีวิตย่อมไม่พ้นจากการไปสู่อบายได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ และการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ได้บุคคลผู้นั้นก็จะต้องมี กุศลอปราปริยเวทนียกรรม(กุศลในชาติก่อนๆ)ที่มีกำลังมาก(ตัวอย่าง"โจรเคราแดง"จะอยู่ในเรื่อง กฎแห่งกรรมหมวดที่ ๗) ฉะนั้นถ้าบุคคลจำพวกนี้ต้องไปสู่นรกแล้ว ก็ไปสู่นรกโดยตรง ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับพระยายมราช เฉพาะบุคคลประเภทที่ ๒ และ ๓ ถ้าต้องไปสู่นรกแล้วก็มีโอกาสได้พบกับพระยายมราชเพื่อทำการสอบถาม ๕ เรื่อง หรือเรียกว่า เทวทูต ๕ เสียก่อน แล้วจึงไปเสวยทุกข์ในนรกนั้นๆ ภายหลัง

คำถามของพระยายมราช มี ๕ เรื่อง 
๑. ความเกิด ได้แก่ ทารกที่แรกเกิด
๒. ความแก่ ได้แก่ คนชรา 
๓. พยาธิ ได้แก่ ผู้ป่วยไข้ 
๔. คนต้องราชทัณฑ์ ได้แก่ ผู้ที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย 
๕. มรณะ ได้แก่ คนตาย 

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะไต่ถามว่า “นี่แน่ะเจ้า! เราจะถามเจ้าว่า เมื่อเจ้ายังอยู่ในมนุษย์โลกนั้นได้เคยเห็นเด็กแรกเกิดนอนเปื้อนมูตรคูถของตนเองบ้างไหม” ถ้าสัตว์นรกตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็น” พระยายมราชจะถามต่อไปว่า “ในขณะที่เจ้าเห็นเด็กแรกเกิดนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเกิดอีกเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเกิดอันเป็นชาติทุกข์ บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นเด็กแรกเกิดก็จริง แต่ก็ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่ความยินดี พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไป ตามวิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้มีความประมาท ไม่ทำความดี ทางกายวาจาใจ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ความประมาท เพลิดเพลินสนุกสนานของเจ้าที่ได้กระทำไปแล้วล้วนแต่เป็นความประมาทที่เกิดขึ้นจากตัวของเจ้าทั้งนั้น ไม่ใช่บิดามารดา บุตร ภรรยา มิตรสหาย หรือ เทวดาทั้งหลายมากระทำให้เจ้า ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วย ตนเองไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๒ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนแก่หลังโก่งงอ ผมหงอก หนังเหี่ยว ตกกระ บ้างไหม ในขณะที่เจ้าเห็นนั้น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องแก่เช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทาง ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความแก่อันเป็นชราทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังคำถามของพระยายมราชแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดา ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ในขณะนั้นก็จะกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นคนแก่ก็จริงแต่ไม่มีความนึกคิดอะไร คงมีแต่การใช้ชีวิตที่พอใจเพลิดเพลิน สนุกสนานไปตาม วิสัยของชาวโลกเท่านั้น” พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้ กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะ ถามปัญหาที่ ๓ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนป่วยไข้ที่กำลังได้รับความทุกข์เวทนาบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็น เจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่า ตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความเจ็บป่วยอันเป็นพยาธิทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้า เป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหา ที่ ๔ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ถูกจองจำ เช่น โจร ผู้ร้าย ผู้กระทำผิด ซึ่งถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบยด้วยแส้ หวาย ตีด้วยกระบอง ถูกตัดมือ เท้า หู จมูก ยิงเป้า แขวนคอบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้จะต้องเพียรเร่งสร้างความดี เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความทุกข์บ้างไหม? สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้ ” ต่อจากนั้นพระยายมราชจะถามปัญหาที่ ๕ ต่อไป

พระยายมราชผู้มีจิตกรุณาจะถามต่อไปว่า “เจ้าเคยเห็นคนตายบ้างหรือไม่ ในขณะที่เจ้าเห็นคนตายเจ้าเคยนึกถึงตนเองบ้างไหมว่าตัวของเจ้าเองนี้ จะต้องตายเช่นเดียวกัน และได้เคยพยายามสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นไปจากความตายอันเป็นมรณทุกข์บ้างไหม” สัตว์นรกได้ฟังแล้ว ถ้าระลึกถึงกุศลได้ในขณะนั้นก็จะพ้นจากนรกโดยทันที ฯลฯ ถ้าระลึกถึงกุศลไม่ได้ ฯลฯ พระยายมราชจึงกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเป็นผู้ประมาท ฯลฯ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องได้รับผลที่เจ้าได้กระทำไว้แล้วนั้นด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมารับโทษแทนเจ้าได้”

เมื่อเป็นเช่นนี้ พระยายมราชก็พยายามช่วยระลึกให้ว่าสัตว์นรกผู้นี้ได้สร้างกุศลอะไรไว้บ้าง เพราะบุคคลบางคนเมื่อทำกุศลแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่ พระยายมราช พระยายมราชผู้เคยได้รับส่วนกุศลก็จะพยายามช่วยให้สัตว์นรกนึกถึงกุศลที่เคยทำไว้ เมื่อระลึกถึงกุศลกรรมของตนได้เช่นนี้ ในขณะนั้น ก็พ้นไปจากนรกแต่ถ้าพระยายมราชช่วยแล้วก็ยังระลึกไม่ได้ก็จะนิ่งเสีย แล้ว นายนิรยบาลก็จะนำตัวไปลงโทษในนรกต่างๆ เสวยกรรมในนรกไปจนกว่าจะหมดกรรม พระยายมราชเป็นราชาแห่งเปรตที่มีวิมาน ในคราวหนึ่งเสวยทิพยสมบัติ ในคราวหนึ่งเป็นธรรมิกราชเสวยวิบากกรรม พระยายมราชเองก็ปรารถนาความเป็นมนุษย์และได้พบได้ฟังธรรม ได้รู้ธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าที่ของพระยายมราช คือเป็นผู้ซักถามผู้ทำบาปที่ถูกนำตัวเข้าไปหลักซักถาม ๕ อย่างข้างต้น ถ้าพิจารณาดูตรงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจว่าจะใช้ เป็นกฎเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยได้อย่างไร แต่เมื่อพิจารณาโดยหลักธรรม ก็อาจจะเห็นความมุ่งหมายว่า คนที่ทำบาปทุจริตต่างๆ นั้น ก็เพราะมีความประมาท ไม่ได้คิดพิจารณาว่าเกิดมาแล้วจะต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา


๒. ภพภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิ

เมื่อยังมีกิเลส กรรม วิบากอยู่ การเวียนว่ายตายเกิดก็ยังเป็นไปอยู่ การเกิดขึ้นของรูปนามอันเป็นวิบากของกรรมและกิเลส จึงเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นกรรมชั่ว รูปนามอันเป็นวิบากก็เป็นรูปนามของกรรมชั่ว ถ้าเป็นกรรมดีรูปนามอันเป็นวิบากก็เป็นรูปนามของกรรมดี สถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของกรรม มี ๓๑ สถานที่ หรือ ที่เรียกว่า ๓๑ ภูมิ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ

อบายภูมิ ๔ ภูมิอันเป็นที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่มาจากผลของอกุศลกรรมได้แก่
นรกภูมิ ๑
ดิรัจฉานภูมิ ๑
เปรตภูมิ ๑
อสุรกายภูมิ ๑

สุคติภูมิ ๒๗ ภูมิอันที่เป็นที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่มาจากผลของกรรมดีได้แก่
มนุษยภูมิ ๑
เทวภูมิ ๖
รูปภูมิ ๑๖
อรูปภูมิ ๔

ภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิ ยังมีวิธีการเรียกชื่อแตกต่างกันไปได้อีกดังนี้
เรียกว่ากามภูมิ ๑๑ หรือ กามาวจรภูมิ คือ รวมเอาอบายภูมิ ๔ มนุษยภูมิ ๑ และเทวภูมิ ๖ รวมเรียกว่า กามภูมิ ๑๑ เพราะเหตุว่าเป็นภูมิที่อาศัยเกิดของจิตที่ท่องเที่ยวไปในการรับกามคุณ อารมณ์ และกามภูมิ ๑๑ นี้ ยังแยกออกได้ ๒ กลุ่ม คือ มนุษยภูมิ ๑ และเทวภูมิ ๖ รวมเฉพาะ ๗ ภูมินี้เรียกว่า กามสุคติภูมิ ๗ อีกด้วย เพราะเหตุว่าทั้ง ๗ ภูมินี้เป็นที่อยู่ที่มีความสุข เฉพาะอบายภูมิ ๔ เท่านั้นเรียกว่า ทุคติภูมิเพราะเป็นภูมิที่มีแต่ความทุกข์

ส่วนภูมิที่ไม่ประกอบด้วยกามคุณเรียกว่า รูปภูมิ ๑๖ หรือ รูปาวจรภูมิ แบ่งเป็นรูปภูมิที่เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของนามและรูป มี ๑๕ ภูมิ ส่วนที่เหลืออีก ๑ ภูมิ คือ อสัญญสัตตภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดเฉพาะแต่รูปเท่านั้นไม่มีนาม ในรูปภูมิ ๑๖ นอกจากจะมีชื่อเรียกภูมิโดยเฉพาะๆแล้วยังเรียกชื่อภูมิที่เป็นที่อยู่ของพรหมที่เป็นพระอริยบุคคลโดยเฉพาะได้อีก ๕ ภูมิ คือ สุทธาวาสภูมิ ๕

ส่วนภูมิที่ไม่ประกอบด้วยกามคุณและนามรูปรูปเรียกว่า อรูปภูมิ ๔ หรือ อรูปาวจรภูมิ คืออรูปภูมิทั้งหมดมี ๔ ภูมิ

อธิบายภูมิทั้ง ๓๑ ดังนี้
อบายภูมิ มี ๔ ภูมิ ได้แก่ นรกภูมิ เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของอกุศลกรรมได้แก่อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
ทางกาย มี ๓ คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิด ทางกาม
ทางวาจา มี ๔ คือ พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
ทางใจ มี ๓ คือ การเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ

มนุษยภูมิ มี ๑ ภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของกุศลกรรม คือ
การประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐
ทางกายมี ๓ คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดทางกาม
ทางวาจา มี ๔ คือ งดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
ทางใจ มี ๓ คือ อนภิชฌา อพยาบาท สัมมาทิฏฐิ
และกุศลกรรมในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญ ภาวนา เป็นต้น

เทวภูมิ มี ๖ ภูมิ ได้แก่ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปนามที่เป็นผลของกุศลกรรม

รูปภูมิ มี ๑๖ ภูมิ เป็นสถานที่อุบัติเกิดขึ้นของรูปและนาม มี ๑๕ ภูมิ และ อุบัติเกิดเฉพาะรูปอย่างเดียวไม่มีนาม มี ๑ ภูมิ คือ อสัญญสัตตภูมิ เป็นภูมิที่มีความสุขจากผลของกุศลขั้นรูปฌาน ผู้ที่เกิดในภูมินี้อาศัยภาวนากุศลในด้านการเจริญสมถกรรมฐานจนสำเร็จรูปฌานและรูปฌานนั้นยังไม่เสื่อมจึงนำไปเกิดในภูมินี้

รูปภูมิ ๑๖ แบ่งตามระดับการเข้าถึงฌานมีดังนี้
• ปฐมฌานภูมิ ๓ ได้แก่ ปาริสัชชา ปุโรหิตา มหาพรหมา
• ทุติยฌานภูมิ ๓ ได้แก่ ปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา
• ตติยฌานภูมิ ๓ ได้แก่ ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา
• จตุตถฌานภูมิ ๗ ได้แก่ เวหัปผลา อสัญญสัตตา และสุทธาวาสภูมิ ๕ ได้แก่ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา

อรูปภูมิ มี ๔ ภูมิ ได้แก่ อากาสานัญจายตนภูมิ วิญญาณัญจายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

อรูปภูมิ ๔ เป็นสถานที่อุบัติเกิดได้เฉพาะนามอย่างเดียวไม่มีรูป เป็นภูมิที่มีความสุขจากผลของการเจริญกุศลขั้นอรูปฌาน ผู้ที่เกิดในภูมินี้อาศัยอรูปฌานกุศลที่ยังไม่เสื่อมนำไปเกิด การเวียนว่ายตายเกิดในภูมิทั้งหลายก็ด้วยเจตนาในการทำกรรมทั้งกุศลและอกุศล จึงเป็นกำลังผลักดันให้ต้องโคจรไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ


ท่านพระสารีบุตรได้ตอบคำถามที่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด สรุปได้ดังนี้

ถาม ภพมีเท่าไร
ตอบ มี ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

ถาม การเกิดในภพใหม่มีได้เพราะเหตุใด
ตอบ เพราะความยินดียิ่งของเหล่าสัตว์ทีมีอวิชชา มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพันไว้ หรือตัณหาเป็นเครื่องผูกพันอารมณ์ ๖ ไว้ การเกิดในภพใหม่มีได้ต่อไปเพราะเหตุนี้

ถาม การไม่เกิดในภพใหม่มีได้อย่างไร
ตอบ เพราะอวิชชาสิ้นไป มีวิชชาเกิดขึ้นและเพราะตัณหาดับไป การเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไปไม่มีเพราะอย่างนี้


๑. ความเป็นไปในสังสารวัฏ

การศึกษาเรื่องภพภูมิ จะทำให้เข้าใจถึงชีวิตการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเป็นอย่างไร และเป็นเช่นนั้นได้ เพราะเหตุใด มีผู้สร้างมีผู้กำหนดให้เป็นไปเช่นนั้นหรือไม่ และจะมีอะไรมาหยุดการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นได้หรือไม่ คำตอบเรื่องเหล่านี้ มีอยู่ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา

ในยุคนี้แม้ว่าพระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว อริยสาวกทั้งหลายก็ปรินิพพานไปแล้ว ถึงกระนั้นคำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่องความเป็นไปในสังสารวัฏและการดับซึ่งสังสารวัฏนั้นยังมีอยู่ เมื่อยังมี การศึกษาตามคำสอนแล้วประพฤติตาม ก็ย่อมนำมาซึ่งการดับสังสารวัฏได้ เมื่อบุคคลได้ศึกษาเรื่องความเป็นไปในสังสารวัฏแล้วพึงพิจารณาให้เห็นความจริงในวัฏฏะ พึงพิจารณาให้เห็นหนทางแห่งการดับวัฏฏะ และเพียรเจริญภาวนาเพื่อยังมรรคมีองค์ ๘ ให้เกิดขึ้น ก็จะได้บรรลุแก่นแท้แห่งคำสอนในพระพุทธศาสนานี้ คือเพื่อความสิ้นไปแห่งวัฏฏทุกข์นี้เสียก่อนจะศึกษาเรื่องความเป็นไปในสังสารวัฏ ควรศึกษาความหมายของศัพท์ดังนี้


สงสาร หมายความว่า การเวียนว่ายตายเกิด คำว่าสงสารยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่ารู้สึกเห็นใจในความเดือดร้อนหรือความทุกข์ของผู้อื่น รู้สึกห่วงใยด้วยเมตตา กรุณา เช่นเห็นเด็กๆ อดอยากก็รู้สึกสงสาร เห็นเขาประสบอัคคีภัยแล้วสงสาร

ในที่นี้คำว่าสงสารมุ่งหมายถึงความหมายโดยนัยแรก คือ การเวียนว่ายตายเกิด จะเห็นได้ว่าคำศัพท์ตามความหมายทางโลกกับทางธรรมนั้นแตกต่างกัน ฉะนั้นการศึกษาธรรมะจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจศัพท์ให้ถี่ถ้วน สงสารทุกข์ สังสารวัฏ หรือ วัฏสงสาร หมายความว่าทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลายจะอยู่ในภพภูมิต่างๆ ด้วยกำลังของกิเลส กรรม วิบาก หมุนวนอยู่เช่นนั้นตราบเท่าที่ยังตัดกิเลส กรรม วิบาก ไม่ได้

กิเลส หมายความว่า เครื่องทำใจให้เศร้าหมองได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ตัณหา หมายความว่า ความทะยานอยาก
วัฏฏะ คือความวน หรือความเวียน ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา มี สามอย่างคือ
• กิเลสวัฏฏะ ความวน คือ กิเลส
• กรรมวัฏฏะ ความวน คือ กรรม
• วิปากวัฏฏะ ความวน คือ วิบากผลของกรรม
กิเลสก็เป็นเหตุให้ทำกรรม กิเลสจึงเป็นเหตุ กรรมจึงเป็นผลของกิเลส และ กรรมนั้นเองก็เป็นตัวเหตุให้เกิดวิบากคือผลกรรมจึงเป็นเหตุวิบากจึงเป็นผล และวิบากนั้นเองก็เป็นตัวเหตุ ก่อกิเลสขึ้นอีก เมื่อเป็นดังนี้ วิบากนั้นก็ เป็นเหตุ กิเลสก็เป็นผลของวิบาก


ฉะนั้น กิเลส กรรม วิบาก จึงวนอยู่ดังนี้ จึงทำให้ขันธ์ ๕ นี้ วนอยู่ใน กิเลส กรรม วิบาก แล้วก็กลับเป็นเหตุก่อกิเลส กรรม วิบากขึ้นอีก ขันธ์ ๕ เมื่อกล่าวโดยความเป็นสัตว์และบุคคลจึงวนเวียนอยู่ในกิเลส กรรม วิบาก แสดงให้เห็นว่า กิเลส กรรม วิบาก นี้เองเป็นวัฏฏะ กิเลส ตัณหา เป็นสิ่งที่แฝงติดอยู่ในใจ แล้วทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว ตัณหาเป็นต้นเหตุทำให้เกิดทุกข์ เมื่อดับตัณหาเสียได้ ก็เป็นอันว่าดับวัฏฏะ ดังกล่าวได้ ดับกิเลส ดับทุกข์ทางจิตใจในปัจจุบันได้ และถึงที่สุดคือเมื่อดับขันธ์ได้ไม่เกิดอีก ดับรอบสิ้นทุกข์ด้วยประการทั้งปวง การเวียนว่ายตายเกิด เมื่อว่าโดยสภาวธรรมแล้วไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ เกิด ตาย มีแต่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย คือ กิเลสตัณหา เมื่อเหตุ ปัจจัยยังมีอยู่ สภาวธรรมทั้งหลายก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆ เมื่อหมดเหตุ ปัจจัยแล้วสภาวธรรมนั้นก็ดับไป

ทบทวน ชีวิตคืออะไร

ชีวิตความหมายตามนัยแห่งพระอภิธรรม มี ๒ อย่าง คือ
๑. ชีวิตรูป ชีวิตรูปเป็นรูปๆหนึ่ง ในจำนวนรูปที่เกิดจากกรรม (ได้แก่ จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กาย ปสาท อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ หทยะ และชีวิตรูป) จะมีหน้าที่รักษารูปอื่นๆ ที่เกิดจากกรรมให้ดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจะดับสลายไปพร้อมกับรูปทั้งหมดที่เกิดจากกรรมนั้น และมีการเกิดขึ้นใหม่สืบต่อกันเรื่อยๆไปไม่ขาดสายตลอดชีวิต ชีวิตรูปนี้จะหล่อเลี้ยงรักษารูปอื่นๆที่เกิดจากกรรมมิให้แตกสลายไปก่อนกำหนด เหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงดอกบัว

ชีวิตรูป หรือ รูปชีวิตของสัตว์บุคคลก็เนื่องด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่กระทำไว้แล้วนั่นเอง กุศลและอกุศลที่กระทำไว้ในอดีตชาติก็เป็นตัวส่งผลทำให้เกิดรูปนามนี้ขึ้นมา แล้วสมมติเรียกว่า คน สัตว์ เทวดา พรหม สุดแท้แต่จะเกิดขึ้นมาในภพภูมิใด การเกิดขึ้นของชีวิตก็เพื่อมารับผลของกุศลและอกุศลที่กระทำไว้ เมื่อกุศลส่งผลก็สมมติเรียกว่ากำลังเสวยสุข เมื่ออกุศลส่งผลก็สมมติเรียกว่ากำลังเสวยทุกข์ เหมือนกับการปลูกพืช ถ้าปลูกพืชที่ให้ผลเป็นรสเปรี้ยว ก็จะได้รับผลที่มีรสเปรี้ยว ถ้าปลูกพืชที่มีรสหวานก็จะได้รับผลที่มีรสหวาน ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อบุคคลทำกรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลมาแล้ว ผลที่ได้รับจึงมีทั้งความทุกข์บ้างสุขบ้างสลับกันไป สำหรับสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ต้นไม้ โต๊ะ เก้าอี้ บ้านเรือนฯลฯ เหล่านี้เป็น รูปธรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีวิญญาณครอง (อนุปาทินนกสังขาร) บางคนเข้าใจว่าต้นไม้มีชีวิตจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ต้นไม้นั้นมีอุตุเป็นสมุฏฐาน คือเป็นรูปที่เกิดจากอุตุ มีเพียงรูป ๘ เท่านั้น คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ส่วนคน สัตว์ มีรูป ๒๘ รูป อันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ เป็นต้น มนุษย์,สัตว์เกิดจากสมุฏฐานทั้ง ๔ คือ กรรม จิต อุตุ และอาหาร ต้นไม้เกิดจากสมุฏฐานเดียว คือ อุตุ ต้นไม้ไม่ได้ เกิดจากกรรม จึงไม่มีชีวิตรูปคอยอนุบาลรักษาเหมือนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย

ชีวิตนามหรือ นามชีวิต คือ ชีวิตินทรีย์เจตสิกนั่นเอง จะเกิดพร้อมกับ นามธรรมอื่นๆ เช่น ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา มนสิการ เป็นต้น และทำหน้าที่รักษานามธรรมที่เกิดพร้อมกันกับตนให้ตั้งมั่นในอารมณ์แล้วดับไป เมื่อเข้าใจชีวิตแล้ว ต่อไปจะศึกษาสถานที่เกิดของสัตว์ทั้งหลาย มีอยู่ ๓๑ ภูมิ ไปตามลำดับ