แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามวันที่ของการค้นหา วิถีจิต จัดเรียงตามความเกี่ยวข้อง แสดงโพสต์ทั้งหมด
แสดงโพสต์โดยจัดเรียงตามวันที่ของการค้นหา วิถีจิต จัดเรียงตามความเกี่ยวข้อง แสดงโพสต์ทั้งหมด

วันอังคาร

อัญญสมานาเจตสิก ๑๓

คำว่า “อัญญสมาน” นี้ เมื่อแยกศัพท์แล้วได้ ๒ ศัพท์ คือ :-

อัญญ หมายถึง ธรรมอื่น
สมาน หมายถึง เหมือนกัน

อัญญสมาน จึงหมายถึง เหมือนธรรมอื่น ธรรมอื่นในที่นี้ หมายถึง เจตสิกธรรม ที่เป็นทั้งโสภณเจตสิกและอกุศลจิต ฉะนั้น อัญญสมานาเจตสิก จึงหมายถึงเจตสิกที่มีสภาพเหมือนธรรมอื่น กล่าวคืออัญญสมานาเจตสิก ย่อมประกอบกับโสภณเจตสิก และอกุศลเจตสิกได้ทั้ง ๒ พวก

ส่วนโสภณเจตสิก ซึ่งไม่เหมือนกับอกุศลเจตสิก หรืออกุศลเจตสิกซึ่งไม่เหมือนโสภณเจตสิก ทั้ง ๒ พวกนี้ จึงไม่อาจประกอบกันได้ เหมือนอย่างอัญญสมานาเจตสิก

อัญญสมานาเจตสิก ๑๓

แผนผังอัญญสมานาเจตสิก


อัญญสมานาเจตสิกนี้ มีอยู่ ๒ นัย คือ

🔆 นัยที่ ๑. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก 
สัพพจิตสาธารณเจตสิก เมื่อแยกศัพท์ออกแล้วได้ ๓ ศัพท์ คือ สพฺพ + จิตฺต + สาธารณ
        สัพฺพ หมายถึง ทั้งหมด
        จิตฺต หมายถึง จิต
        สาธารณ หมายถึง ทั่วไป
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก จึงหมายถึง เจตสิกที่ประกอบได้ทั่วไปแก่จิตทั้งหมด เจตสิกประเภทนี้มี ๗ ดวงคือ

๑. ผัสสเจตสิก

ผัสสเจตสิก เป็นธรรมชาติที่กระทบถูกต้องอารมณ์ ลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของผัสสเจตสิก มีอยู่ ๔ ประการ ที่เรียกว่า ลักขณาทิจตุกะ คือ :

    ผุสฺสนลกฺขโณ มีการกระทบอารมณ์ เป็นลักษณะ
    สงฺฆฏฺฏนรโส มีการประสาน(อารมณ์-ทวาร วิญญาณ) เป็นกิจ
    สนฺนิปาตปัจจุปัฏฐาโน มีการประชุมพร้อมกัน เป็นผลปรากฏ
    อาปาตคตวิสัยปทุฏฐาโน มีอารมณ์ที่ปรากฏเฉพาะหน้า เป็นเหตุใกล้

ผัสสเจตสิกที่มีการกระทบอารมณ์เป็นลักษณะนั้น เพราะผัสสะนั้นมีอรรถว่า กระทบถูกต้อง ผัสสะนี้เป็นอรูปธรรม การกระทบนั้นจึงเป็นไปโดยการกระทบอารมณ์นั้น เหมือนคนที่เห็นผู้อื่นรับประทานของเปรี้ยว แล้วเกิดน้ำลายไหล คล้ายกับว่า ตนเองกำลังกระทบกับของเปรี้ยว ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นไปโดยอาการที่ผัสสะกระทบกับอารมณ์นั่นเอง แม้ผัสสะ ซึ่งเป็นอรูปธรรม จะเป็นตัวกระทบอารมณ์เป็นลักษณะ และเมื่อกระทบแล้ว ย่อมดับไป ไม่มีอะไรเหลือเป็นส่วนติดค้างอยู่ก็จริง แต่ผัสสะนั้นก็เป็นตัวประสานจิตกับอารมณ์ให้เกิดรู้ขึ้นมา เหมือนประสานรูปกับตาให้เห็น ประสานเสียงกับหูให้ได้ยิน เป็นต้น จึงชื่อว่าผัสสะ มีการประสานจิตกับอารมณ์เป็นกิจ เมื่อผัสสะเป็นสิ่งประสานจิตกับอารมณ์แล้วสภาพธรรมอันเป็นผลของผัสสะนั้น จึงเกิดขึ้น ๓ ประการคือ อารมณ์ ๑ ทวาร ๑ และวิญญาณ ๑

กล่าวคือ เกิดการประชุมพร้อมกันแห่งสภาวธรรม ประการดังกล่าวแล้วนั้นจึงชื่อว่า ผัสสะ มีการประชุมพร้อมกันแห่งสภาวธรรม ๓ ประการเป็นผลปรากฏ ผัสสะ ย่อมมีอารมณ์เป็นเหตุใกล้ กล่าวคือ เมื่อมีอารมณ์มาครอง(ทวาร) ประกอบด้วยการเอาใจใส่ที่เหมาะสม อันอินทรีย์ปรุงแต่งดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุใกล้ให้ผัสสะเกิดขึ้น โดยไม่มีอะไรขัดขวาง

๒. เวทนาเจตสิก

เวทนาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ ธรรมชาติที่ชื่อว่า เวทนานั้นมีอรรถว่า รับรู้ คือเสวยรสแห่งอารมณ์ จริงอยู่แม้สัมปยุตธรรมอื่นนอกจากนี้ ก็ย่อมมีการเสวยอารมณ์ได้ด้วยเหมือนกัน แต่เป็นการเสวยอารมณ์เพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น ผัสสะ มีการเสวยอารมณ์ชั่วขณะกระทบถูกต้อง สัญญาก็มีการเสวยเพียงจำเก็บอารมณ์เท่านั้น เจตนาก็เพียงการตั้งใจต่ออารมณ์เท่านั้น มิได้มีการเสวยโดยลิ้มรสของอารมณ์ โดยตรงเหมือนอย่างเวทนา เพราะฉะนั้นเวทนาจึงนับว่าเป็นเจ้าของ เป็นใหญ่ มีอำนาจในการเสวยอารมณ์โดยตรง ในอัฏฐสาลินีอรรถกถาเปรียบเวทนาเหมือนพระราชา สัมปยุตธรรมนอกจากนี้เหมือนพ่อครัวผู้ปรุงโภชนะที่มีรสดีต่างๆ แล้วเก็บใส่ภาชนะประทับตรา นำเข้าถวายพระราชา พระองค์ทรงเป็นเจ้าของ เป็นใหญ่ มีอำนาจเสวยได้ตามพระราชประสงค์ ส่วนสัมปยุตธรรมนอกนั้นเสวยรสอารมณ์ได้เพียงบางส่วน เหมือนพ่อครัวหรือต้นเครื่อง เพียงแต่ดมกลิ่น ชิมทดลองพระกระยาหารแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า เวทนา เป็นธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ทั้งหมด โดยตรงและแน่นอน

ลักษณะของเวทนา ตามนัยของปฏิจจสมุปบาท

    อนุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ เป็นลักษณะ
    วิสยรสสมฺโภครสา มีการเสวยรสของอารมณ์ เป็นกิจ
    สุขทุกฺขปจฺจุปฏฺฐานา มีสุข และมีทุกข์ เป็นผลปรากฏ
    ผสฺสปทฏฺฐานา มีผัสสะ เป็นเหตุใกล้

การรับรู้หรือการเสวยอารมณ์ของเวทนานั้น ถ้าจะจำแนกความรู้สึกในการเสวยอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์, อนิฏฐารมณ์ และมัชฌัตตารมณ์แล้ว ได้ความรู้สึกสุขสบายเรียกว่า สุขเวทนา, ความรู้สึกเป็นทุกข์ไม่สบายเรียกว่าทุกขเวทนา, ความรู้สึกเฉยๆ คือไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา การจำแนกเวทนาเป็น ๓ ประเภท ตามความรู้สึกในการเสวยอารมณ์นี้เรียกว่า จำแนกโดย อารัมมณานุภวนลักขณนัย แต่ถ้าจำแนกโดยความเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์คือ การเสวยอารมณ์ที่เกี่ยวกับกายและเกี่ยวกับใจแล้ว ก็จำแนกออกเป็น ๕ ประเภทคือ :-

ทางกาย มี ๒ ได้แก่
ความรู้สึกสบายกาย เรียกว่า สุขเวทนา
ความรู้สึกไม่สบายกาย เรียกว่า ทุกขเวทนา

ทางใจ มี ๓ ได้แก่
ความรู้สึกสบายใจ เรียกว่า โสมนัสเวทนา
ความรู้สึกไม่สบายใจ เรียกว่า โทมนัสเวทนา
ความรู้สึกเฉยๆ เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

การจำแนกเวทนาโดยความเป็นใหญ่ในการเสวยอารมณ์ออกเป็น ๕ ประเภทนี้ เรียกว่า จำแนกโดย อินทริยเภทนัย จะได้แสดงลักษณะพิเศษเฉพาะตนของเวทนาทั้ง ๕ ประการ ตามนัยดังกล่าวนี้ คือ :-
    

  • ๑. สุขเวทนาเจตสิก คือ ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์สบายทางกาย มีลักขณาทิจตุกะ แสดงว่า
    อิฏฐโผฏฺฐพฺพานุภวนลกฺขณา มีการสัมผัสกับโผฏฐัพพารมณ์ที่ดี เป็นลักษณะ
    สมปยุตฺตานํ พยุหนรสา มีการทำให้สัมปยุตธรรมเจริญ เป็นกิจ
    กายิกอสฺสาทปจฺจุปฏฺฐานา มึความยินดีทางกาย เป็นผล
    กายินฺทริยปทฏฺฐานา มีกายปสาท เป็นเหตุใกล้
  • ๒. ทุกขเวทนาเจตสิก คือธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ไม่สบายทางกาย มีลักขณาทิจตุกะ คือ :-
    อนิฏฐโผฏฐพฺพานุภวนลกขณา มีการสัมผัสกับโผฏฐัพพารมณ์ที่ไม่ดี เป็นลักษณะ
    สมฺปยุตฺตานํ มิลาปนรสา มีการทำสัมปยุตธรรมให้เศร้าหมอง เป็นกิจ
    กายิกาพาธ ปจฺจุปฏฺฐานา  มีความอาพาธทางกาย เป็นผล
    กายินฺทริยปทฏฺฐานา มีกายปสาท เป็นเหตุใกล้
  • ๓. โสมนัสเวทนาเจตสิก คือ ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์สบายใจ มีลักขณาทิจตุกะ คือ :-
    อิฏฐารมุมณานุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ที่ดี เป็นลักษณะ
    อิฏฐาการสมฺโภครสา มีการประจวบกับอาการที่น่าปรารถนา เป็นกิจ
    เจตสิกอสฺสาทปจฺจุปฏฺฐานา มีความแช่มชื่นยินดีทางใจ เป็นผล
    ปสฺสทฺธิปทฏฺฐานา มีความสงบกายใจ เป็นเหตุใกล้
  • ๔. โทมนัสเวทนาเจตสิก คือ ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ไม่สบายใจ มีลักขณาทิจตุกะ คือ :-
    อนิฏฐารมุมณานุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ที่ไม่ดี เป็นลักษณะ
    อนิฏฐาการสมฺโภครสา มีการประจวบกับอาการที่ไม่น่าปรารถนา เป็นกิจ
    เจตสิกาพาธปัจจุปฏฺฐานา มีความอาพาธทางใจ เป็นผล
    หทยวตฺถุปทฏฺฐานา มีหทัยวัตถุ เป็นเหตุใกล้
  • ๕. อุเบกขาเวทนาเจตสิก คือธรรมชาติที่เสวยอารมณ์เฉยๆ ทางใจ ไม่โทมนัสและไม่โสมนัส มีลักขณาทิจตุกะ คือ :
    มชฺฌตฺต เวทยิตลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ปานกลาง เป็นลักษณะ
    สมปยุตฺตานํ นาติอุปพยูหน มิลาปนรสา มีการรักษาสัมปยุตธรรม ไม่ให้เจริญและไม่ให้เศร้าหมอง เป็นกิจ
    สนฺตภาวปจฺจุปฏฺฐานา มีความสงบ เป็นผล
    นิปฺปีติกจิตฺตปทฏฺฐานา มีจิตที่ไม่มีความปีติยินดี เป็นเหตุใกล้

อย่างไรก็ตาม สุข ทุกข์, โสมนัส, โทมนัส หรืออุเบกขา ก็ล้วนแต่ อาการเสวยรสแห่งอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้น เวทนาเจตสิก จึงกล่าวได้ว่าเป็นธรรมชาติที่เสวยอารมณ์

๓. สัญญาเจตสิก

สัญญาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่จำอารมณ์ เช่น จำอารมณ์นี้ว่า เป็นสีเขียว, สีแดง หรือยาว, สั้น, กลม, แบน หรือเหลี่ยมเป็นต้น มีลักขณาทิจตุกะดังนี้คือ :-

  • สัญชานน ลักฺขณา มีความจํา เป็นลักษณะ
  • ปุนสญฺชานน ปจฺจยนิมิตุตกรณรสา มีการทำเครื่องหมายเพื่อให้รู้ต่อไป เป็นกิจ
  • ยภาคหิต นิมิตฺตัวเสน อภินิเวสกรณ์ปัจจุปฏฺฐานา มีความจำเครื่องหมายที่กำหนดให้ไว้ เป็นผล
  • ยถาอุปฏจิตวิสยปทฏฺฐานา มีอารมณ์ที่ปรากฏ เป็นเหตุใกล้

๔. เจตนาเจตสิก

เจตนาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่จัดแจงเอาธรรมที่สัมปยุตกับตนไว้ในอารมณ์คือ มีภาวะที่กระตุ้นเตือนให้สัมปยุตธรรมที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ตั้งใจทำกิจของตนๆ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • เจตนาภาวลกฺขณา มีความตั้งใจ เป็นลักษณะ
  • อายูหนรสา มีการประมวลมา เป็นกิจ
  • สวิธานปจฺจุปฏฺฐานา มีการจัดแจง เป็นผล
  • เลสขนฺธตฺตยปทฏฐานา มีนามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้

มีความตั้งใจเป็นลักษณะนั้น ก็คือ ความมุ่งหวัง เพื่อให้ธรรมที่สัมปยุตด้วยตนเป็นไปในอารมณ์ มีการประมวลมาเป็นกิจ มุ่งหมายถึงมีหน้าที่ประมวลมาซึ่ง กรรม มีกุศลกรรม และอกุศลกรรมเป็นกิจ มีความจัดแจงเป็นผล หมายถึงความขวนขวายในการปรุงแต่งธรรมที่เป็นสังขตะ จึงจำแนกไว้ในประเภท สังขารขันธ์ เพราะอรรถว่าปรุงแต่งสิ่งที่เป็นสังขตธรรม เป็นผล

มีนามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์ และวิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้ คือนามขันธ์ ๔ นั้น เมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกัน และช่วยอุดหนุนซึ่งกันและกัน ฉะนั้น เมื่อเจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นสังขารขันธ์เกิดขึ้น นามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ จึงเป็นเหตุใกล้ให้เกิด

๕. เอกัคคตาเจตสิก

เอกัคคตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่สงบ และทำให้สัมปยุตธรรมตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • อวิกฺเขปลกฺขณา มีการไม่ฟุ้งซ่าน เป็นลักษณะ
  • สหชาตานํ สมฺปิณฺฑนรสา มีการรวบรวมสหชาติธรรม เป็นกิจ
  • อุปสมปจฺจุปฏฺฐานา มีความสงบ เป็นผล
  • สุขปทฏฺฐานา มีสุขเวทนา เป็นเหตุใกล้

๖. ชีวิตินทรียเจตสิก

ชีวิตินทรียเจตสิก เป็นธรรมชาติที่รักษาสัมปยุตธรรม ที่ชื่อว่า “ชีวิต” เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องดำรงอยู่แห่งสัมปยุตธรรมทั้งหลาย และชื่อว่า “อินทรีย์” เพราะประกอบด้วยความเป็นใหญ่ในการอนุบาลธรรมที่เกิดร่วมกัน เพราะเป็นเครื่องดำรงอยู่ และเป็นใหญ่ในการอนุบาลสัมปยุตธรรม จึงชื่อว่า ชีวิตินทรียเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • สหชาตานํ อนุปาลนลกขณํ มีการรักษาสหชาติธรรม เป็นลักษณะ
  • เตสํ ปวตฺตนรสํ มีความตั้งอยู่ และเป็นไปได้แห่งสัมปยุตธรรม เป็นกิจ
  • เตสญฺเญ ถปนปจจุปฏฺฐานํ มีการดำรงอยู่ได้แห่งสหชาตธรรม เป็นผล
  • เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐานํ มีนามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้

ชีวิตินทรียเจตสิก ที่มีการอนุบาลสัมปยุตธรรมที่เกิดร่วมกันนั้น เหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงดอกบัวให้ดำรงความสดอยู่ ฉะนั้น

๗. มนสิการเจตสิก

การกระทำ ชื่อว่า “การะ” การกระทำไว้ในใจ ชื่อว่า “มนสิการ” มนสิการเจตสิก เป็นธรรมชาติที่เหนี่ยวนำสัมปยุตธรรม เข้าสู่อารมณ์อยู่เสมอ เช่น เมื่อรูปารมณ์มากระทบจักขุปสาทแล้ว จักขุวิญญาณจิตก็เกิดขึ้นพร้อมด้วยมนสิการเจตสิก ขณะเดียวกันนั้นเอง มนสิการเจตสิกก็เป็นผู้นำให้จิตและเจตสิกดวงอื่นๆ ที่เกิดพร้อมกับตนนั้น มุ่งเข้าสู่รูปารมณ์ ในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา ได้อุปมามนสิการเจตสิกนี้ เป็นเหมือนนายสารถีที่ชักม้าไปสู่ทิศทางที่ตนต้องการ คือให้มุ่งหน้าตรงต่ออารมณ์นั้นเอง มนสิการเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • สารณลกฺขโณ มีการทำให้สัมปยุตธรรมแล่นไปในอารมณ์ เป็นลักษณะ
  • สมฺปยุตฺตานํ อารมุมเณ สโยชนรโส มีการประกอบสัมปยุตธรรมไว้กับอารมณ์ เป็นกิจ
  • อารมุมณภิมุขีภาวปจฺจุปฏฺฐาโน มีการทำสัมปยุตธรรมให้มุ่งตรงอารมณ์เสมอ เป็นผล
  • อารมฺมณปทฏฺฐาโน มีอารมณ์ (อดีต ปัจจุบัน อนาคต และกาลวิมุตติ) เป็นเหตุใกล้

มนสิการ แปลว่า การกระทำในใจ คือ ความใส่ใจว่าโดยทั่วไปแล้ว มนสิการ มี ๓ อย่าง คือ :-

๑. วิถีปฏิปาทกมนสิการ คือมนสิการที่ทำให้วิถีจิตเกิดทางปัญจทวาร ได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่เริ่มรับอารมณ์ใหม่เข้า มากระทบทวารทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย ทำให้จักขุทวารวิถี เป็นต้นเกิดขึ้น จึงชื่อว่า วิถีปฏิปาทกมนสิการ คือเป็นผู้นำจิตให้ขึ้นสู่วิถี
๒. ชวนปฏิปาทกมนสิการ คือมนสิการ ที่ทำให้ชวนจิตเกิดขึ้นเสพอารมณ์ โดยความเป็นกุศล, อกุศล หรือกิริยาชวนจิต ตามธรรมดา ปัญจทวารวิถี หรือมโนทวารวิถี ที่มีชวนจิตเกิดขึ้นได้นั้น เพราะอาศัยมโนทวาราวัชชนจิตเป็นเหตุ ถ้าไม่มีมโนทวาราวัชชนจิตแล้ว ชวนจิตก็เกิดขึ้นไม่ได้ เหตุนี้ มโนทวาราวัชชนจิตจึงชื่อว่า ชวนปฏิปาทกมนสิการ คือเป็นผู้นำจิตให้ขึ้นสู่ชวนะ
๓. อารัมมณปฏิปาทกมนสิการ คือ มนสิการที่ทำให้สัมปยุตธรรมคือ จิต, เจตสิก แล่นไปในอารมณ์ องค์ธรรม ได้แก่ มนสิการเจตสิก มนสิการที่เป็นเจตสิกปรมัตถ์นั้น มุ่งหมายเอาอารัมมณปฏิปาทกมนสิการ นั่นเอง


🔆 นัยที่ ๒ ปกิณณกเจตสิก

คำว่า ปกิณณก นั้น เมื่อแยกศัพท์ออกแล้วได้ ๓ ศัพท์ คือ :-

    ป แปลว่า โดยทั่วไป
    กิณฺณ แปลว่า กระจัดกระจายไป
    ก ไม่มีคำแปลโดยเฉพาะ

ฉะนั้น คำว่า “ปกิณฺณก” จึงแปลว่า กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป “ปกิณณกเจตสิก” จึงหมายความว่า เจตสิกที่กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วๆไป คือปกิณณกเจตสิกบางดวงประกอบกับอกุศลจิตบ้าง, กุศลจิตบ้าง, วิบากจิตหรือกิริยาจิตบ้าง เป็นการประกอบได้ทั่วไป ทั้งฝ่าย อโสภณะ และโสภณะ หรือทั้งโลกียะ และโลกุตตระ แต่การประกอบของปกิณณกเจตสิกนี้ ประกอบได้แต่เพียงบางดวงเท่านั้น ไม่ใช่ประกอบได้กับจิตทั้งหมด เหมือนอย่างสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ซึ่งประกอบกับจิตทั่วไป และประกอบได้ทั้งหมด ปกิณณกเจตสิกนี้ มีจำนวน ๖ ดวง คือ :-

๑. วิตกเจตสิก

วิตกเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ยกจิตเข้าไว้ในอารมณ์ คือ ยกเอาสัมปยุตธรรมที่เกิดร่วมกันนั้นมาจดจ่อที่อารมณ์ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว วิตก คือการตรึกอยู่ในอารมณ์ ซึ่งมีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • อารมุมเณจิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณ มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ
  • อาหนปฺปริยาหนรโส มีการกระทำให้จิตกระทบอารมณ์บ่อยๆ เป็นกิจ
  • อารมุมเณจิตฺตสฺส อานยน ปัจจุปัฏฺฐาโน มีจิตที่นำเข้าไว้ในอารมณ์ เป็นผล
  • อารมุมณปทฏฺฐาโน(วา) มีอารมณ์ (หรือ) เลสขนฺธตฺตยปทุฏฐาโน มีนามขันธ์ ๓ ที่เหลือ เป็นเหตุใกล้

สภาพของวิตกเจตสิกนั้น เป็นเหมือนนำสัมปยุตธรรมเหล่านั้นบรรจุเข้าไว้ในอารมณ์ อุปมาเหมือนคนบางคนที่อาศัยญาติ หรือมิตรสหาย ซึ่งเป็นข้าราชบริพารพาเข้าสู่ราชมณเฑียรได้ ฉันใด จิตก็เช่นเดียวกัน ย่อมต้องอาศัยวิตกเจตสิก จึงขึ้นสู่อารมณ์ได้ฉันนั้น

ความแตกต่างระหว่าง เจตนา, มนสิการ และวิตกเจตสิก

สภาวะของเจตสิกธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ มีลักษณะและกิจหน้าที่คล้ายคลึงกันอยู่มาก จึงสมควรที่จะได้ทราบความต่างกัน ดังต่อไปนี้ คือ :

- ลักษณะและกิจของเจตนาเจตสิก ก็คือ การกระตุ้นเตือนสัมปยุธรรมที่เกิดพร้อมกับตนให้เข้าจับอารมณ์นั้น เป็นลักษณะ และพยายามให้สัมปยุตธรรมที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ให้ติดต่อกับอารมณ์นั้นๆ เป็นกิจ หมายความว่า หน้าที่ของ เจตนา ทำให้จิตและเจตสิก สำเร็จการงานเป็นกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

- ลักษณะและกิจของมนสิการเจตสิก ก็คือ การทำให้สัมปยุตธรรมมุ่งตรงสู่อารมณ์อยู่เสมอ เป็นลักษณะ และทำให้สัมปยุตธรรมประกอบในอารมณ์เป็นกิจ หมายความว่า หน้าที่ของ มนสิการ ทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ให้มุ่งตรงสู่อารมณ์อยู่เสมอ ไม่ให้หันเหไปทางอื่น

- ลักษณะและกิจของวิตกเจตสิกก็คือ ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะมีการตั้งต้นกระทบในอารมณ์นั้นบ่อยๆเป็นกิจ หมายความว่า หน้าที่ของ วิตก ทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ให้ก้าวขึ้นสู่อารมณ์อยู่เสมอ ไม่ให้ย่อท้อถอยหลัง

อุปมา เจตนา, มนสิการ และวิตก เหมือนกับเรือแข่ง ซึ่งมีฝีพายอยู่ ๓ คน คนหนึ่งพายหัว, คนหนึ่งพายกลาง และอีกคนหนึ่งถือท้าย จริงอยู่แม้จะทำงานพายเรืออย่างเดียวกัน แต่คนหัวกับคนท้าย จะต้องมีหน้าที่พิเศษเพิ่มขึ้น โดยคนหัวมีความมุ่งให้เรือถึงหลักชัย และเมื่อถึงแล้ว ต้องพยายามคว้าธงเอามาให้ได้ด้วย คนหัวนี้จึงเปรียบได้กับ เจตนา ที่พยายามทำให้สำเร็จการงานต่างๆ คนพายกลางมีหน้าที่แต่เร่งฝีพายให้เรือถึงหลักชัยอย่างเดียว ซึ่งเปรียบได้กับ วิตก ซึ่งทำหน้าที่ให้จิตและเจตสิกก้าวขึ้นสู่อารมณ์ ส่วนคนถือท้ายมุ่งให้เรือตรงเข้าสู่หลักชัย ซึ่งเปรียบได้กับมนสิการ ซึ่งทำหน้าที่ให้สัมปยุตธรรมเข้าประกอบในอารมณ์ ความต่างกันของเจตนา มนสิการ และวิตก จึงมีดังกล่าวนี้

๒. วิจารเจตสิก

วิจารเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ประคองสัมปยุตธรรมให้อยู่กับอารมณ์ เพราะวิจารนั้น มีการเคล้าคลึงอารมณ์ เป็นลักษณะ และเมื่อเจตสิกธรรมนี้ปรากฏขึ้น จึงทำให้สัมปยุตธรรมที่เกิดพร้อมกับตนนั้น เคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ไม่ปล่อยไปด้วย มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • อารมุมณานุมุชชนลกฺขโณ มีการเคล้าคลึงอารมณ์ เป็นลักษณะ
  • ตตฺถ สหชาตานุโยชนรโส มีการประกอบสหชาตธรรมไว้ในอารมณ์นั้น เป็นกิจ
  • จิตฺตอนุปฺปพนฺธปจจุปฏฺฐาโน มีการตามผูกพันจิตไว้ในอารมณ์ เป็นผล
  • อารมุมณปทฏฐาโน (วา) มีอารมณ์เป็นเหตุใกล้ (หรือ) เสสขนฺธตฺตยปทฏฐาโน มีนามขันธ์ ๓ ที่เหลือเป็นเหตุใกล้

สภาพธรรมของวิตกและวิจารนี้ใกล้ชิดติดกัน คือ การยกจิตไว้ในอารมณ์ครั้งแรกชื่อว่า “วิตก” การตามผูกพันจิตไว้ในอารมณ์ชื่อว่า “วิจาร” อุปมาเหมือนการเคาะระฆัง เสียงระฆังที่ดังปรากฏขึ้นครั้งแรกเปรียบได้กับวิตก เสียงระฆังที่ดังกังวานสืบต่อไปเปรียบได้กับ วิจาร หรืออุปมาเหมือน นกเขาใหญ่ที่บินไปในอากาศ เมื่อกระพือปีกโผขึ้นสู่อากาศครั้งแรกเปรียบเหมือน วิตก เมื่อบินติดลมแล้ว ก็กางปีกร่อนไปในอากาศ เปรียบเหมือน วิจาร ดังนั้น จึงเห็นว่าวิจารเจตสิกนี้ รับอารมณ์ได้สุขุมกว่าวิตก และแม้จะเกิดพร้อมกัน ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามหลังวิตก ความต่างกันของเจตสิกทั้งสองนี้ จะปรากฏชัดเจนในองค์แห่งปฐมฌาน และทุติยฌาน ของฌานลาภีบุคคล

๓. อธิโมกขเจตสิก

อธิโมกขเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีสภาพทำลายจิตที่รวนเร เป็นสองฝักสองฝ่ายในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ มีการตัดสินอารมณ์เด็ดขาด ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะเป็นอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม จะตัดสินถูกหรือผิดก็ตามและไม่ว่าการงานที่สุจริตหรือทุจริตก็ตาม ที่ได้ตัดสินใจสำเร็จลงได้นั้น ก็ด้วยอำนาจของอธิโมกขเจตสิก ฉะนั้น ลักขณาทิจตุกะของอธิโมกขเจตสิก คือ :-

  • สนฺนิฏฐานลกฺขโณ มีการตัดสินใจเด็ดขาด เป็นลักษณะ
  • อสํสปฺปนรโส มีการตั้งมั่นไม่รวนเรในอารมณ์ เป็นกิจ
  • วินิจฺฉยปจฺจุปฏฐาโน มีการตัดสิน เป็นผล
  • สนฺนิฎเฐยยธมฺมปทฏฐาโน มีธรรม (อารมณ์) ที่จะต้องตัดสินใจ เป็นเหตุใกล้

ในอัฏฐสาลินี แสดงไว้ว่า ความน้อมใจเชื่อ ชื่อว่า อธิโมกข์, และอรรถของอธิโมกข์ก็คือ มีความตกลงใจ เป็นลักษณะ, มีการไม่แส่ไป เป็นรส, มีการตัดสินใจ เป็นปัจจุปัฏฐาน, มีธรรมที่จะต้องตกลงใจ เป็นปทัฏฐาน อธิโมกข์นั้นจึงเข้าใจว่าเหมือนเสาเขื่อน เพราะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ อธิโมกข์นี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อวิจิกิจฉา เพราะวิจิกิจฉาเป็นสภาพที่ลังเลสงสัยในอารมณ์ แต่อธิโมกข์ มีหน้าที่ทำลายความลังเลสงสัย

๔. วิริยเจตสิก

วิริยเจตสิก เป็นธรรมชาติเพียรพยายามต่ออารมณ์ คือ อดทนต่อสู้กับความยากลำบาก ที่เกี่ยวกับการงานต่างๆ ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี และไม่ว่างานนั้นจะยากลำบากมากน้อยสักเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่ประกอบด้วยวิริยะแล้วย่อมสำเร็จไม่ได้ วิริยะจึงชื่อว่า ความเพียร อันได้แก่ความอุตสาหะซึ่งมีความหมายว่า สามารถอดทนต่อความยากลำบากที่กำลังได้รับอยู่ ดังวจนัตถะว่า “อุทุกขลาเภสหนํ อุสฺสาโห” ความสามารถอดทน เมื่อได้รับความลำบากชื่อว่า อุตสาหะ ได้แก่ วิริยเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

  • อุสฺสาหนลกฺขณํ มีความอดทนต่อสู้กับความลำบาก เป็นลักษณะ
  • สหชาตานํ อุปตฺถมฺภนรสํ มีการอุดหนุนธรรมที่เกิดพร้อมกับตนไม่ให้ถอยหลัง เป็นกิจ
  • อสีสํทนปจจุปฏฐานํ มีการไม่ท้อถอย เป็นผลปรากฏ
  • สํเวควตฺถุ ปทุฏฐานํ (วา) มีความสลดคือ สังเวควัตถุ ๘ เป็นเหตุใกล้ หรือ วิริยารมฺภ วตฺถุ ปทฏฺฺฐานํ (หรือ) มีวิริยารัมภวัตถุ ๘ เป็นเหตุใกล้

อธิบาย บรรดาสัมปยุตธรรมทั้งหลายคือ จิตและเจตสิก ที่เกิดพร้อมกับวิริยเจตสิกนี้ ย่อมมีอุตสาหะ พากเพียร ไม่ท้อถอย เพราะอำนาจของวิริยะนั้นเองที่ช่วยอุดหนุนไว้ อุปมาเหมือนบ้านเก่าที่จวนจะพัง เอาเสาปักค้ำจุนไว้ให้ตั้งมั่นทานลมอยู่ได้ ฉะนั้น ส่วนการที่วิริยะจะเกิดขึ้นได้นั้นย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุที่มีสังเวควัตถุ ๘ ประการ คือ :-

๑. ชาติทุกข์
๒. ชราทุกข์
๓. พยาธิทุกข์
๔. มรณทุกข์
๕. อบายทุกข์
๖. วัฏฏมูลกในอดีต
๗. วัฏฏมูลกในอนาคต
๘. อาหารปริเยฏฐมูลกในปัจจุบัน

สังเวควัตถุ ๘ ที่เป็นเหตุให้วิริยะเกิดได้นั้น ย่อมมุ่งหมายถึงวิริยะที่เป็นฝ่ายดีคือ โสภณะเท่านั้น หมายถึงเมื่อพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และสัตว์ทั้งหลายต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิ บางพวกเกิดเบื่อหน่ายที่จะต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ ก็พยายามสร้างกุศลให้พ้นจากวัฏฏะ บางพวกก็กลัวภัยในอบายภูมิ ๔ ก็เพียรพยายามสร้างกุศลที่สามารถทำให้พ้นจากอบายได้ บางพวกเห็นโทษภัยของการเกิดในปัจจุบัน ต้องแสวงหาอาหารอยู่เป็นนิตย์ ก็เพียร สร้างกุศล ให้พ้นจากการเกิด สังเวควัตถุจึงเป็นเหตุใกล้ให้วิริยะฝ่ายดีเกิดขึ้น ฉะนั้นสภาวะที่เป็นตัวสังเวคนี้ จึงได้แก่ปัญญา ที่เกิดพร้อมด้วย โอตตัปปะ เป็นประธาน

วิริยารัมภวัตถุ ๘ ได้แก่

๑. กมุม เกี่ยวกับการงานเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :-
    ก. การงานที่ทำสำเร็จแล้ว
    ข. การงานที่จะลงมือทำ
๒. มคฺค เกี่ยวกับการเดินทางเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :
    ก. การเดินทางที่เพิ่งมาถึง
    ข. การเตรียมจะเดินทางไป
๓. เคลญฺญ เกี่ยวกับสุขภาพเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :-
    ก. มีร่างกายที่เริ่มสบายขึ้น
    ข. มีร่างกายที่เริ่มไม่สบาย
๔. ปิณฺฑ เกี่ยวกับอาหารเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :-
    ก. มีอาหารไม่สมบูรณ์
    ข. มีอาหารบริบูรณ์

วิริยารัมภวัตถุ ๘ ที่เป็นเหตุใกล้ให้วิริยะเกิดได้นั้น มุ่งหมายเอาวิริยะทั่วไปที่สัมปยุตกับจิตทั้งฝ่ายดี และไม่ดีก็ได้ ฉะนั้น ถ้าผู้มีอโยนิโสมนสิการและมีโกสัชชะมาก วิริยารัมภวัตถุ ๘ อย่างนี้ จะกลับกลายเป็นกุสิตวัตถุ คือ วัตถุที่เป็นเหตุให้เกิดความเกียจคร้านขึ้นได้คือ เมื่อคิดถึงเรื่องต่างๆ ดังกล่าวแล้วนั้นก็เกิดความท้อแท้เบี่ยงบ่ายไปตามอำนาจของกิเลสได้ จิตที่ไม่มีวิริยเจตสิกประกอบเรียกว่า “อวิริยจิต” มี ๑๖ ดวง ได้แก่

ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐
สัมปฏิจฉนจิต ๒
สันตีรณจิต ๓
ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑

๕. ปีติเจตสิก

ปีติเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีความปลาบปลื้มใจในอารมณ์ ได้แก่สภาพที่แช่มชื่น อิ่มเอิบใจ เมื่อได้รับอารมณ์นั้นๆ มีลักขณาทิจตุกะดังนี้คือ :

  • สมฺปิยายนลักฺขณา มีความแช่มชื่นใจในอารมณ์ เป็นลักษณะ
  • กายจิตฺตปินฺนรสา (วา) มีการทำให้อิ่มกายอิ่มใจ หรือ ผรณรสา มีการทำให้ซาบซ่านทั่วร่างกาย เป็นกิจ
  • โอคยุยปัจจุปัฏฐานา มีความฟูใจ เป็นผล
  • เสสขนฺธตฺตยปทุฏฐานา มีนามขันธ์ ๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้

อธิบาย ธรรมชาติของปีตินี้ เมื่อเกิดขึ้นกับใคร ย่อมทำให้ผู้นั้นรู้สึกปลาบปลื้มใจมีหน้าตา และกาย วาจา ชื่นบาน แจ่มใส เป็นพิเศษ บางทีก็ทำให้รู้สึกซาบซ่านในร่างกายนั่นเอง และทำให้จิตใจของผู้นั้นแช่มชื่น เข้มแข็งไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายต่ออารมณ์ อาการปรากฏของปีตินี้คือ การทำจิตใจฟูเอิบอิ่มขึ้นมา ส่วนปีติที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมต้องอาศัยนามขันธ์ ๓ คือ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์ และวิญญาณขันธ์ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุใกล้ให้ปิติเกิดขึ้นย่อมอาศัย สุขเวทนา เท่านั้นเป็นเหตุให้ปิติเกิด ด้วยเหตุนี้เอง บางทีเราเข้าใจว่า ปีติ และ สุข นั้น เป็นอันเดียวกันแยกจากกันไม่ได้ ซึ่งความจริงนั้น เป็นสภาวะที่ต่างกันคือ ปีติ เป็นธรรมชาติที่มีความยินดีเพราะได้ประสบอิฏฐารมณ์ “ปีติในที่ใด สุขก็มีในที่นั้น แต่สุขในที่ใด ปีติอาจจะไม่มีในที่นั้นก็ได้” ปีติ เป็น สังขารขันธ์ แต่ สุข เป็น เวทนาขันธ์

อุปมา ปีติเหมือนบุรุษเดินทางไกลไปในที่กันดาร มีเหงื่อโทรมกายกระหายน้ำ ครั้นเห็นบุรุษอีกคนหนึ่งเดินมา ก็ถามว่า มีน้ำดื่มที่ไหนบ้าง บุรุษผู้นั้นตอบว่า พอพ้นดงก็พบสระน้ำ ท่านไปที่นั้นก็จะได้น้ำดื่ม บุรุษผู้เดินทางไกลนั้นตั้งแต่ได้ยินว่า มีสระน้ำจนกระทั่งได้เห็นสระน้ำนั้น ก็จะเกิดปีติมีอาการแช่มชื่นเบิกบานในอารมณ์ที่ได้ยินว่า มีสระน้ำ หรือได้เห็นสระน้ำนั้น นี้เป็นธรรมชาติของปีติ แต่ถ้าบุรุษนั้นได้ดื่มน้ำหรือได้อาบน้ำ ก็จะรู้สึกว่าสุขสบายดีจริง ฉะนั้น สุขจึงดำรงอยู่ด้วยการเสวยรสแห่งอารมณ์ เราจึงเห็นความต่างกันของปีติและสุขได้ชัดเจนว่า ปีติเกิดจากความปลาบปลื้มใจในอารมณ์ ส่วนสุขเกิดจากการตามเสวยอารมณ์ที่ดี

เมื่อปีติเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทางใจเช่นนี้ จึงมีลักษณะใกล้เคียงกับโสมนัสเวทนาขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นปีติก็ไม่ใช่โสมนัสอยู่นั่นเอง เพราะโสมนัสเป็นเวทนาขันธ์ เกิดได้ในจิต ๖๒ ดวง ปีติเป็นสังขารขันธ์เกิดกับจิตได้เพียง ๕๑ ดวง จตุตถฌานลาภีบุคคล ย่อมเห็นความต่างกันแห่งโสมนัสและปีตินี้ได้ชัดเจน

ปีติเจตสิก ธรรมชาติที่ปลาบปลื้มอิ่มเอิบใจนั้นมี ๕ ประการคือ :-
๑. ขุททกาปีติ ปลาบปลื้มเพียงเล็กน้อย พอรู้สึกขนลุก
๒. ขณิกาปีติ ปลาบปลื้มชั่วขณะเหมือนสายฟ้าแลบ เกิดขึ้นและก็หายไป แต่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ
๓. โอกนฺติกาปีติ ปลาบปลื้มเป็นพักๆ และมีการไหวเอนโยกโคลงเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
๔. อุพฺเพงฺคาปีติ ปลาบปลื้มจนตัวลอย
๕. ผรณาปีติ ปลาบปลื้มชนิดอิ่มเอม ซาบซ่านไปทั่วร่างกายเกิดในอัปปนาจิต และตั้งอยู่ได้นาน ดังเช่น รูปพรหมทั้งหมด ไม่ต้องกินอาหาร อยู่ได้ด้วยผรณาปีติ

อนึ่ง อาการรู้สึกขนลุกอาจเกิดจากการประสบอารมณ์ที่น่ากลัว เช่นกลัวผีก็รู้สึกขนลุกเหมือนกัน แต่เป็นไปด้วยอำนาจโทสะ ชนิดปฏิกกมโทสะ คือ โทสะชนิดถอยหลัง ไม่ใช่ขุททกาปีติ

๖. ฉันทเจตสิก

ฉันทเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีความพอใจในอารมณ์ ได้แก่ สภาพที่มีความพอใจในอารมณ์ที่ต้องการ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ

  • กตฺตุกมฺยตาลกฺขโณ มีความปรารถนาเพื่อจะรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ
  • อารมฺมณปริเยสนรโส มีการแสวงหาอารมณ์ เป็นกิจ
  • อารมฺมเณน อตฺถิกตา ปัจฺจุปัฏฺฐาโน มีความปรารถนาอารมณ์ เป็นผล
  • อารมฺมณปทุฏฐาโน มีอารมณ์ เป็นเหตุใกล้

อธิบาย ฉันทเจตสิก ที่มีความปรารถนาเพื่อจะกระทำเป็นลักษณะนั้นหมายถึงมีความปรารถนารูปารมณ์ เพื่อจะเห็น, ปรารถนาสัททารมณ์เพื่อจะได้ยิน, ปรารถนาคันธารมณ์ เพื่อจะได้กลิ่น เป็นต้น รวมความแล้วความต้องการเห็น, ได้ยิน ได้กลิ่น, รส, ถูกต้องสัมผัส, คิด อารมณ์นี้เองเป็นลักษณะของฉันทะ เมื่อมีความต้องการอารมณ์ต่างๆ เป็นลักษณะแล้ว ก็ต้องมีการแสวงหาอารมณ์ที่ต้องการต่างๆ นั้น มาสนองความต้องการ การแสวงหาอารมณ์ต่างๆ นี้ จึงเป็นกิจของฉันทะ เมื่อพิจารณาอาการของฉันทะนั้น ก็จะได้รู้ด้วยปัญญาว่า ฉันทะมีความปรารถนาอารมณ์เป็นผลปรากฏ และอารมณ์นั้นเองที่เป็นเหตุใกล้ให้ฉันทะเกิดขึ้น

ข้อสังเกต ฉันทะกับโลภะนั้น มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก คือ มีความต้องการอารมณ์ด้วยกัน แต่ความต้องการอารมณ์ที่เป็นฉันทะนั้น ไม่เหมือนกับความต้องการอารมณ์ที่เป็นโลภะ กล่าวคือ ความต้องการอารมณ์ที่เป็นโลภะนั้น ย่อมยึดและติดใจอยู่ในอารมณ์นั้น ส่วนความต้องการอารมณ์ที่เป็นฉันทะนั้น ไม่ยึดและไม่ติดใจอยู่ในอารมณ์นั้น อุปมาเหมือนบุคคลที่ต้องการรับประทานขนม กับบุคคลที่ต้องการรับประทานยา ความต้องการขนมนั้น เป็นความต้องการที่เป็นโลภะ เพราะเป็นความต้องการที่ยึดติดอยู่ในรสารมณ์ ส่วนความต้องการยานั้นเป็นความต้องการชนิดที่เป็นฉันทะ เพราะไม่ยึดติดอยู่ในรสารมณ์ เมื่อหายป่วยแล้ว ก็ไม่มีความต้องการรับประทานยาอีก



วันศุกร์

มหาวิบากจิต ๘

วิบากจิต มีสภาพดังนี้ คือ : -

๑. ไม่ใช่เป็นจิตที่ต้องทำให้เกิดขึ้น ถ้ามีกุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นเหตุแล้ววิบากจิต คือ ผล ก็ต้องมีแน่นอน
๒. วิบากจิต เป็นจิตที่สงบ ไม่ปรากฏอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นจิตที่ไม่มีความขวนขวาย หรือวิริยะ อุตสาหะ ยังมีกำลังอ่อน ต่างกับกุศล อกุศล และกิริยา
๓. วิบากจิต ไม่ปรากฏชัด ที่รู้สึกปรากฏชัดเฉพาะขณะหลับ ส่วนเวลาตื่น จิตขึ้นสู่วิถี เป็นกุศลบ้าง อกุสลบ้าง กิริยาบ้าง ย่อมเด่นชัดมากกว่าวิบากจิต
๔. เจตสิกที่เกิดกับวิบากจิต ก็มีกำลังอ่อนไปด้วย รวมทั้งปฏิสนธิ กัมมชรูปและจิตชรูป ที่เกิดจากวิบากจิตนั้น ก็ไม่ปรากฏอาการอย่างใดอย่างหนึ่งชัดเจนเหมือนกุศลจิต อกุศลจิต และกิริยาจิต เช่น ความชรา ย่อมเกิดแก่บุคคลทุกคน เมื่อความเกิดมีแล้ว ความชราจะต้องมีแน่นอน

🔅สเหตุกกามาวจรวิบากจิต (มหาวิบาก)

สเหตุกามาวจรวิบากจิต นิยมเรียกกันว่า กามาวจรวิบาก หรือมหาวิบากเพราะเป็นจิตที่เป็นผลของกามาวจรกุศลจิต หรือ มหากุศลจิต ๘ ดวงโดยตรง กล่าวคือ

มหากุศลจิต ๘ ดวง เป็นเหตุให้มหาวิบากจิตเกิด ๘ ดวง เป็นผล และย่อมให้ผลตรงกันดวงต่อดวง เช่น มหากุศลจิต เป็นโสมนัส ญาณสัมปยุต อสังขาริก ก็ให้ผลเป็น มหาวิบากโสมนัส ญาณสัมปยุต อสังขาริก ด้วยเหมือนกัน ดังนี้ เป็นต้น กามาวจรวิบากจิตนั้น เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว ย่อมมี ๒๓ ดวง คือ

        กามาวจรวิบากจิต
                🅞 อเหตุกะ >> อกุศลวิบาก ๗ 
                                  >> กุศลวิบาก ๘ 
                🅞 สเหตุกะ >> กามาวจรวิบาก ๘

                      รวมเป็นจิตที่เกิด ๒๓ ดวง

ในกามาวจรวิบากจิต ๒๓ ดวงนั้น อกุศลวิบากจิต ๗ ดวง เป็นผลของอกุศลจิต ๑๒ ดวง อเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ และสเหตุกกามาวจรวิบากจิต ๘ รวมจิต ๑๖ ดวงนี้ เป็นผลของกามาวจรกุศลจิต ๘ หรือที่เรียกว่า มหากุศลจิต ๘ ดวง เพราะเหตุที่ให้ผลมากกว่าตน เช่นนี้เอง แม้อเหตุกกุศลวิบากจิต และมหาวิบากจิต จะเนื่องแต่มหากุศลจิตอย่างเดียวกันก็ตาม แต่ความแตกต่างกันระหว่างอเหตุกกุศลวิบากจิต กับ มหาวิบากจิตย่อมมีอยู่เสมอ คือ

อเหตุกกุศลวิบากจิต คือ จิตที่เป็นผลของมหากุศล แต่ไม่ประกอบด้วยเหตุอย่างใด ๆ ประการหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นรับอารมณ์ก็ไม่มั่นคง ประการหนึ่ง และเกิดได้กว้างขวาง ทั้งในกามภูมิและรูปภูมิตามสมควร ประการหนึ่ง

มหาวิบากจิต คือ จิตที่เป็นผลของมหากุศลจิต แต่ประกอบด้วยเหตุประการหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นรับอารมณ์ก็มั่นคง ประการหนึ่ง และเกิดได้เฉพาะในกามสุคติภูมิ ๗ เท่านั้นประการหนึ่ง

ฉะนั้น สเหตุกกามาวจรวิบากจิต หรือมหาวิบากจิต ที่จะกล่าวต่อไปนี้จึงหมายถึงจิตที่จะเป็นผลของมหากุศล เพราะเมื่อกล่าวโดยเวทนา สัมปโยคะ และสังขารแล้ว ก็เหมือนกันกับมหากุศลจิตทุกประการ จึงชื่อว่า "มหาวิบากจิต" สเหตุกกามาวจรวิบากจิตนี้ มีจำนวน ๘ ดวง และมีชื่อเหมือนกันกับมหากุศลจิต คือ 

๑. โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๑ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๒. โสมนสุสสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๒ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๓. โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๓ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๔. โสมนสุสสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๔ เกิดขึ้นพร้อมกับความยินดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน

๕. อุเบกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๕ เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉย ๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๖. อุเบกขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๖ เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน
๗. อุเบกขาสหคตํ ญาณวิปฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๗ เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉย ๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยไม่มีการชักชวน
๘. อุเบกขาสหคตํญาณวิปฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ มหาวิบากจิตดวงที่ ๘ เกิดพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีการชักชวน

🔅 มหาวิบากเป็นอัพยากตธรรม

มหาวิบากที่เป็นอัพยากตธรรม คือ ในสมัยใด เพราะกามาวจรกุศล อันได้กระทำไว้แล้ว จึงก่อให้เกิดผลเป็นมโนวิญญาณธาตุ อันเป็นวิบาก เกิดพร้อมกับความยินดีบ้าง ความเฉยๆ บ้าง ประกอบด้วยปัญญาบ้าง ไม่ประกอบด้วยปัญญาบ้าง มีรูปารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นเอง โดยไม่มีการชักชวน หรือมีการชักชวน เป็นมหาวิบากจิต ๘ ดวง

ในสมัยนั้น ย่อมเกิดผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์มนสิการ สัทธา ฯลฯ เกิด อวิกเขป คือ สภาวะที่สงบอยู่ ไม่ฟุ้งซ่าน สภาวธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าธรรมเป็นอัพยากต เพราะมีอัพยากตมูล คือ อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ เป็นมูลฐานให้สภาวธรรมเหล่านั้น ปรากฏขึ้น

🔅 มหาวิบากแตกต่างจากมหากุศล

มหาวิบากแตกต่างจากมหากุศล คือ ในมหากุศลทั้งหลาย มีความแตกต่างกันแห่งกรรม, ทวาร, กรรมบถและบุญกิริยาวัตถุ แต่ความแตกต่างกันเหมือนในมหากุศลนั้นไม่มีในมหาวิบาก ทั้งนี้ เพราะมหาวิบากไม่ยังวิญญัติให้เกิด เพราะมหาวิบากเป็นผลที่สุกแล้ว ไม่มีวิบากต่อไปอีก และเพราะมหาวิบากไม่ได้กระทำสัตวบัญญัติให้เป็นอารมณ์ คือ กรุณา มุทิตา และแม้วิรัติ คือ สัมมากัมมันตะ สัมมาวจาและสัมมาอาชีวะ ไม่มี ธรรมทั้ง ๕ ประการดังกล่าวนั้น จึงเกิดกับมหาวิบากจิตไม่ได้เลย ส่วนสภาวะแห่งสังขารธรรมนั้น คือ ประเภทแห่งอสังขาริกและสสังขาริกเหมือนกันกับมหากุศลทุกประการ

🔅 ฐานะที่อำนวยผลของมหาวิบาก

มหาวิบากจิตทั้ง ๘ ดวงนั้น ย่อมอำนวยผลในฐานะ ๔ ประการ คือ

ในฐานะที่เกิดขึ้นครั้งแรกในภพใหม่ เรียกว่า ปฏิสนธิกิจ
ในฐานะที่รักษาภพชาติที่ดำรงอยู่นั้นไว้ เรียกว่า ภวังคจิต
ในฐานะสิ้นไปจากภพชาตินั้น เรียกว่า จุติกิจ
ในฐานะหน่วงอารมณ์ที่เหลือจากการที่เสพแล้ว เรียกว่า ตทาลัมพนกิจ

 🅞 ฐานะผู้อำนวยผลเป็นปฏิสนธิกิจ ผู้ที่เคยทำบุญกุศล ทั้งชนิดที่ประกอบด้วยปัญญาก็ตาม อำนาจแห่งกุศลจิตดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงนั้น ย่อมยังผลให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และเป็นเทวดา ชั้นกามาวจร ผู้ปฏิสนธิ คือ มหาวิบากจิต ๘ และกัมมชรูป
🅞 ฐานะอำนวยผลเป็นภวังค์กิจ เมื่อสัตว์ทั้งหลายผ่านการปฏิสนธิไปแล้ว ก็อำนวยผลเป็นภวังค์ ทำหน้าที่ในการรักษาภพชาติของมนุษย์ หรือเทวดาชั้นกามาวจรเหล่านั้นไว้ในปวัตติกาลตลอดอายุขัย ๗๕ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง ตามสมควรแก่อายุขัยแห่งสัตว์ในภพภูมิที่เป็นอยู่นั้น
🅞 ฐานะอำนวยผลเป็นตทาลัมพูนกิจ ยึดหน่วงอารมณ์ที่เหลือต่อจากขณะเสพอารมณ์นั้น ได้แก่ รับอารมณ์ที่เหลือต่อจากชวนจิตวิบากจิตที่จะอำนวยผลเป็นตทาลัมพนกิจนี้มีได้แต่เฉพาะกามสัตว์ที่ในกามภูมิ เท่านั้น คือ เป็นกามบุคคล มีกามอารมณ์ และกามชวนะ
🅞 ฐานะอำนวยผลเป็นจุติกิจ ในมรณกาลแห่งภพชาติที่เป็นอยู่นั้น มหาวิบากจิตที่ปรากฏครั้งแรกในภพชาตินั้นๆ และดำรงสืบต่อมาเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่ต้องเคลื่อนไปจากภพชาติที่เป็นอยู่ ฉะนั้น มหาวิบากจิตประเภทเดียวกับที่ถือปฏิสนธินั่นเอง เป็นผู้จุดสิ้นไปจากภพชาตินั้น



ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า มหาวิบากทั้ง ๘ ดวงนี้ ย่อมเป็นผู้ตั้งต้นสัตว์ให้ปรากฏขึ้นใหม่ในกามสุคติภูมิ ๗ ตามสมควรแก่กำลังของมหากุศล ซึ่งทำให้สัตว์แตกต่างกันด้วยภูมิหรือกำเนิด และแม้อยู่ในภูมิเดียวกัน ก็ยังต่างกันด้วยอำนาจแห่งกิเลสและต่างกันด้วยอำนาจแห่งศรัทธา ปัญญาของกุศลเจตนาในอดีต อันยังเป็นวิบากที่ให้สัตว์เหล่านั้นพึงได้รับภายหลังจากที่ได้เกิดมาแล้ว สัตว์เหล่านี้ บางพวกมีโลภะเป็นส่วนมาก บางพวกมีโทสะเป็นส่วนมาก และบางพวกมีโมหะเป็นส่วนมาก ถ้าจะตั้งปัญหาถามว่า ธรรมอันใดเป็นผู้กำหนดภาวะที่เป็นส่วนข้างมาก ก็ให้ปรากฏเป็นผลขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้น คำตอบ ก็คือ เพราะเหตุ ๖ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ที่สัตว์เหล่านั้นได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง เป็นผู้กำหนดให้ด้วยเหตุนี้ในขณะที่ขวนขวายประกอบกรรมในปัจจุบัน ความแตกต่างในการขวนขวายของบรรดาสัตว์เหล่านั้น ย่อมปรากฏเป็นผลที่แตกต่างกัน คือ 


  • ผู้ใด มีโลภะ อโทสะ อโมหะ แรง แต่อโลภะ โทสะ และโมหะอ่อน ผู้นั้นเป็นคนมักได้ ชอบสบาย มักไม่โกรธ แต่ย่อมเป็นผู้มีปัญญา
  • ผู้ใด มีโลภะ โทสะ และอโมหะ แรง แต่มีอโลภะ อโทสะ และโมหะอ่อน ย่อมเป็นคนมักได้และฉุนเฉียว แต่ย่อมเป็นผู้มีปัญญา
  • ผู้ใด มีโลภะ อโทสะ และโมหะ แรง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มักได้ โง่เขลาและชอบสบาย มักไม่โกรธง่าย
  • ผู้ใด มีโลภะ โทสะ โมหะ แรง ย่อมเป็นผู้มักได้ ฉุนเฉียวและลุ่มหลง
  • ผู้ใด มีอโลภะ โทสะ โมหะ แรง ผู้นั้นย่อมมักน้อย แต่เป็นผู้ฉุนเฉียว และมีปัญญาน้อย
  • ผู้ใด มีอโลภะ อโทสะ และโมหะ แรง ย่อมเป็นผู้มักน้อย ไม่ฉุนเฉียว และ เป็นคนเขลา
  • ผู้ใด มีอโลภะ โทสะ และอโมหะ แรง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มักน้อย และมีปัญญาแต่เป็นผู้ฉุนเฉียว มักโกรธ
  • ผู้ใด มือโลภะ อโทสะ และอโมหะ ทั้ง ๓ แรง ย่อมเป็นผู้ไม่มักได้ ไม่ฉุนเฉียวและมีปัญญา

ตามที่กล่าวมานี้ ย่อมเห็นได้ว่า เหตุเบื้องต้น ย่อมกำหนดผลให้ปรากฏขึ้นเพื่อเป็นอุปการะในการประกอบกรรมในปัจจุบัน ความต่างกัน จึงย่อมปรากฏขึ้นในขณะขวนขวายประกอบกรรมนั้น ๆ ภาวะที่ติดมาแต่อดีตนั้น จึงเข้าใจว่าเป็นวิบากนั่นเอง แต่การที่จะชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่า วิบากใด เป็นผลของกรรมอันไหน ได้ทำไว้แล้วเมื่อใด ย่อมไม่อาจชี้เจาะจงลงได้ และยิ่งกว่านั้น พระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ในจตุกนิบาตอังคุตรพระบาลีว่า การค้นหาวิบากกรรมนั้น เป็นสิ่งไม่ควรคิดเพราะไม่ใช่วิสัยของผู้ใด เว้นแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะค้นคิดได้พระองค์ตรัสมีใจความว่า

“ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งไม่ควรคิด ที่ชื่อว่า อจินไตยธรรม มีอยู่ ๔ ประการ และถ้ามีผู้ใดเอามาคิด ผู้นั้นอาจจะเป็นบ้า มีความลำบากใจเป็นแน่แท้ สิ่งที่ไม่ควรคิด ๔ อย่างนั้น คืออะไรบ้าง?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

พุทธวิสัย คือ เรื่องเกี่ยวกับพระสัพพัญญุตญาณ ความเป็นไปและอานุภาพของพระสัพพัญญุตญาณ พระพุทธคุณแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง
ฌานวิสัย คือ ฌานอภิญญาแห่งท่านทั้งหลายผู้ทรงฤทธิ์ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง
กรรมวิบาก คือ ผลแห่งกรรมทั้งหลาย มีทิฏฐธรรมเวทนียกรรมเป็นต้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง
โลกจินตา คือ ความเป็นไปของโลก อันเป็นที่อาศัยของสัตว์ และสัตว์ทั้งหลาย แผ่นดิน ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ เป็นต้น เหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอย่างหนึ่ง

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่ควรคิด ๔ อย่าง ดังกล่าวนี้ ถ้าผู้ใดคิดผู้นั้นจะเป็นบ้า มีความลำบากใจเป็นแน่แท้ การที่พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามคิดในเรื่องของวิบากไว้นั้น ก็เพราะสภาวะที่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ตลอดเวลานั้น ย่อมจะห้ามวิบากไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ประกอบกรรมให้เป็นไปตามกุศล อกุศลกรรมแห่งตน อันย่อมประพฤติเพื่อความหมุนเวียนเปลี่ยนไปในคติทั้ง ๕ ประการ ที่เรียกว่า "สมังคีตา" สมังคีตา ๕ หมายถึง กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่สำเร็จลงได้ครั้งหนึ่ง ๆ นั้น ย่อมยังความพร้อมแห่งธรรม ๕ ประการให้เกิดขึ้น คือ

๑. อายุหนสมงฺคิตา ได้แก่ ความเพียร ในขณะกระทำกุศลกรรม อกุศลกรรม
๒. เจตนาสมงฺคิตา ได้แก่ เจตนาในกาลทั้ง ๓ คือ ปุพพเจตนา มุญจเจตนาและอปรเจตนา ในการกระทำกุศล อกุศลกรรม เจตนา สมังคีตานี้ มีในบุคคลทั่วไป เว้นแต่ในพระอรหันต์
๓. กมุมสมงฺคิตา ได้แก่ กุศลกรรม อกุศลกรรม อันเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดผลในอนาคต ครบองค์แห่งกรรมบถ
๔. วิปากสมงฺคิตา ได้แก่ ผลของกุศลกรรม อกุศลกรรมในอดีตที่ประกอบพร้อมด้วยกรรมในปัจจุบัน ถ้ายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานตราบใด ย่อมไม่แคล้วคลาดไปจากวิปากสมังคีตาอยู่ตราบนั้น คือ จะต้องรับผลของกรรมนั้นๆ
๕. อุปฎฐานสมงฺคิตา ได้แก่ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นในเวลาใกล้จะตายอุปัฏฐานสมังคีตานี้มีกำลังอ่อนกว่าสมังคีทั้งปวงอำนาจของกรรมที่จะส่งผลย่อมกระทำอารมณ์ให้ปรากฏเมื่อใกล้ตาย

วันจันทร์

อเหตุกจิต ๑๘ (หน้า๒)

 👉 อเหตุกจิต ๑๘ (หน้าแรก)



🔅 อเหตุกกิริยาจิต

อเหตุกกิริยาจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้น เพื่อทำหน้าที่การงานในการรับอารมณ์ใหม่ทางทวารทั้ง ๖ และทำหน้าที่ตัดสินปัญจารมณ์ รวมถึงจิตที่ทำหน้าที่ยิ้มแย้มของพระอรหันต์ทั้งหลายด้วย ซึ่งจิตที่เกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่การงานนี้ เป็นจิตที่สักแต่ว่ากระทำกิจการงาน ไม่ได้อาศัยเกิดขึ้นเพราะเหตุบุญ เหตุบาป จึงไม่ใช่จิตที่เป็นบุญเป็นบาปและไม่ใช่วิปากจิต ซึ่งเป็นผลของบุญหรือบาปด้วย อเหตุกกิริยาจิตนี้มีจำนวน ๓ ดวง

๑. อุเปกขาสหคตํ ปญฺจทวาราวชฺชนจิตฺตํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความรู้สึกเฉยๆ เพื่อพิจารณาอารมณ์ทางปัญจทวาร หมายความว่า จิตดวงนี้ เป็นจิตที่ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ที่มากระทบทางทวารนั้นๆ อุปมาเหมือนนายทวารที่รักษาประตูพระราชวัง ที่คอยเปิดประตูให้แขกผ่าน เข้ามาตามฐานะของบุคคล ไม่ได้ติดตามไปทำหน้าที่อย่างอื่นเลย

๒. อุเบกขาสหคตํ มโนทวาราวชฺชนจิตฺตํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ พิจารณาอารมณ์ทางมโนทวารหมายความว่า จิตดวงนี้ เป็นจิตที่มีหน้าที่พิจารณาอารมณ์ ๖ หรือเป็นจิตที่ทำหน้าที่ตัดสินปัญจารมณ์ทางปัญจทวาร

๓. โสมนสฺสสหคตํ หสิตุปปาทจิตฺตํ จิตที่เกิดการยิ้มของพระอรหันต์ที่เกิดขึ้น เพราะการเห็นเปรต หรือเห็นเทพยดานางฟ้าที่กำลังได้รับทุกข์อยู่ เป็นการเห็นด้วยกิริยาอภิญญาจิต ที่เป็นไปพร้อมด้วยมหากิริยาญาณสัมปยุตจิตก่อนเมื่อพิจารณาแล้วหสิตุปปาทจิตจึงเกิดขึ้นดังปรากฏในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา “หสิตุปฺปาทจิตฺเตน ปน ปวตฺติยามานํ ปี เสต์ สิตกรณํ ปุพเพนิวาสอนาคตํส สพฺพญญุตญาณานํ อนุวตฺตกตา ญาณานุ ปริวตฺตํ เยวาติฯ” การยิ้มของพระอรหันต์เหล่านั้น แม้เป็นอยู่ด้วยหตุปปาทจิต ก็ชื่อว่า เป็นไปตามบุพเพนิวาสานุสติญาณ อนาคตังสญาณ สัพพัญญุตญาณฯ หมายความว่า เมื่ออภิญญาจิตเห็นสัตว์เหล่านั้นแล้ว มหากิริยาจิตก็พิจารณาว่าสภาพเช่นนั้นไม่มีแก่ท่านแล้ว หสิตุปปาทจิตจึงเกิด ทั้งนี้เพราะอภิญญาจิต ย่อมเกิดขณะเดียวเท่านั้นต่อไปจึงเป็นหน้าที่ของมหากิริยาจิต เป็นผู้พิจารณา และพิจารณาแล้วก็เสพอารมณ์ด้วยหสิตุปปาทจิต จึงทำให้อาการยิ้มชนิดที่เป็นสิตะ และหสิตะปรากฏขึ้นมา

การยิ้มและการหัวเราะ

การยิ้มและการหัวเราะ ในคัมภีร์อลังการได้จำแนกไว้ ๖ อย่าง คือ
๑. สิตะ ยิ้มอยู่ในหน้าไม่เห็นไรฟัน เป็นการยิ้มของพระพุทธเจ้า
๒. หสิตะ ยิ้มพอเห็นไรฟัน เป็นการยิ้มที่เกิดจากจิตของพระอรหันต์ หรือพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบันและปุถุชน แต่การยิ้มชนิดนี้นอกจากพระอรหันต์แล้ว ย่อมเป็นการยิ้มที่ประกอบด้วยเหตุบุญ หรือเหตุบาปเสมอ
๓. วิหสิตะ การหัวเราะมีเสียงเบาๆ เกิดได้จากจิตของปุถุชน และพระอริยบุคคล ๓ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี
๔. อติหสิตะ การหัวเราะมีเสียงดังมาก ซึ่งมีได้ในปุถุชน พระโสดาบัน และสกทาคามี
๕. อปหสิตะ การหัวเราะจนไหวโยกทั้งกาย เป็นการหัวเราะเฉพาะปุถุชน
๖. อุปหสิตะ การหัวเราะจนน้ำตาไหล เป็นการหัวเราะของปุถุชนเท่านั้น

การยิ้มและการหัวเราะทั้ง ๖ ประการที่กล่าวนี้ ก็ย่อมเห็นได้ว่า การยิ้มอยู่ภายในไม่เห็นไรฟัน ที่ชื่อว่า สิตะ ซึ่งเกิดได้เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นและการยิ้มพอเห็นไรฟันที่เกิดกับพระอรหันต์นั้น เป็นจิตที่ทำให้เกิดการยิ้มโดยไม่ประสงค์จะยึดมั่นในอารมณ์เหมือนอย่างจิตที่เกิดการหัวเราะอื่น ๆ จิตนี้ จึงมีกำลังน้อย เป็นจิตพิเศษ เรียกว่าหสิตุปปาทจิต ที่สามารถก่อให้เกิดการยิ้มได้เพียงชนิดที่เป็น สิตะ และ หสิตะ เท่านั้น และการที่จิตนี้ มีกำลังน้อยนี้เอง จึงเป็นอเหตุกจิต ส่วนจิตที่เกิดจากการหัวเราะนั้น ย่อมเป็นจิตที่มีกำลังมาก และสามารถยึดอารมณ์ไว้มั่นคง จนเป็นเหตุให้ถึงกับหัวเราะในลักษณะต่างๆ จึงเป็น สเหตุกจิต

สังขารเภทแห่งอเหตุกจิต

อเหตุกจิตทั้ง ๑๘ ดวงนี้มิได้แสดงไว้ว่าเป็นจิตประเภทอสังขาริกจิตหรือสสังขาริกจิตแต่อย่างใด ตามหลักฐานที่ปรากฏในวาทะต่างๆ อันเกี่ยวกับสังขารประเภทของอเหตุกจิตนี้ พอรวบรวมได้เป็น ๓ นัยด้วยกัน คือ 

๑. ในมูลฎีกาและในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกากล่าวว่าเป็นสังขารวิมุตติทั้ง ๑๘ ดวง เพราะไม่มีพระบาลีระบุไว้ที่ไหนเลยว่า เป็นอสังขาริก หรือสสังขาริก เมื่อไม่มีบาลีแสดงไว้ก็ต้องถือว่าเป็นสังขารวิมุตติ คือ พ้นจากความเป็นอสังขาริก และสสังขาริกไปเลยทีเดียว
๒. ในปรมัตถทีปนีฎีกา กล่าวว่า เป็นได้ทั้งอสังขาริก และ สสังขาริกทั้งหมด ๑๘ ดวง เพราะในมรณาสันนกาล คือ เวลาที่ใกล้จะตาย วิถีจิตต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นเองหรืออาจจะมีผู้ใดผู้หนึ่งชักจูงให้ดูพระพุทธรูป หรือให้ฟังเสียงสวดมนต์เป็นต้นก็ได้ จึงจัดว่า เป็นสังขารได้ทั้ง ๒ อย่าง
๓. โบราณาจารย์กล่าวว่า เป็นอสังขาริกจิตทั้ง ๑๘ ดวง เพราะการเห็นได้ยิน ได้กลิ่น รส ถูกต้องสัมผัส เหล่านี้ ย่อมเห็นเอง ได้ยินเอง ได้กลิ่นเอง รู้รสเอง ได้ถูกต้องสัมผัสเอง อาศัยอุปัตติเหตุให้จิตเหล่านี้เกิดขึ้น จึงกล่าวว่าเป็นอสังขาริกทั้ง ๑๘ ดวง

อเหตุกจิตทั้ง ๑๘ ดวง จึงสงเคราะห์เข้าในอสังขาริก เพราะอเหตุกจิตนี้ย่อมเกิดขึ้นเอง โดยอาศัยอุปัตติเหตุประชุมกันให้เกิด แม้จะมีผู้ใดมาชักจูงแนะนำก็ดี แต่ถ้าอุปัตติเหตุมีไม่ครบองค์โดยบริบูรณ์แล้ว จิตที่รู้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้น ก็หาเกิดขึ้นเองได้ไม่

อเหตุกจิต เป็นจิตที่ไม่มีเหตุ ๖ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และ อโมหเหตุ ประกอบด้วยเลย ถ้าจิตใดมีเหตุใดเหตุหนึ่งหรือหลายเหตุในเหตุ ๖ ดังกล่าวนั้นประกอบด้วยจิตเหล่านั้น เรียกว่า “สเหตุกจิต” และการประกอบด้วยเหตุของจิตเหล่านั้น เรียกว่า “สัมปยุตเหตุ” เพราะฉะนั้น อเหตุกจิต จึงหมายถึงจิตที่ไม่มีสัมปยุตเหตุ แต่ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาแต่เหตุ หรือมีเหตุเป็นแดนเกิด เหตุที่กล่าวนี้มิใช่เหตุ ๖ ที่ประกอบกับจิตที่เป็นสัมปยุตเหตุดังกล่าวแล้ว แต่เป็นเหตุที่ทำให้จิตเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุนั้น เหตุที่ทำให้จิตเกิดขึ้นนี้ เรียกว่า อุปัตติเหตุ เพราะฉะนั้น อเหตุกจิตจะปรากฏขึ้นได้ก็ต้องอาศัยอุปัตติเหตุ คือ เหตุที่จะก่อให้จิตเกิดโดยประการต่างๆ ดังนี้ คือ

 🙏 อุปัตติเหตุแห่งอเหตุกจิต ๑๘ เหตุที่ทำให้อเหตุกจิต ๑๘ ดวง เกิดขึ้นได้นั้น มีดังต่อไปนี้ คือ

เหตุให้เกิดจักขุวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. จักขุปสาท        มีประสาทตาดี
๒. รูปารมณ์           มีรูปต่างๆ
๓. อาโลกะ            มีแสงสว่าง
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (หมายถึง ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดโสตวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. โสตปสาท        มีประสาทหูดี
๒. สัททารมณ์       มีเสียงต่าง ๆ
๓. วิวรากาส          มีช่องว่าง (มีอากาศ)
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. ฆานปลาท        มีประสาทจมูกดี
๒. คันธารมณ์        มีกลิ่นต่างๆ
๓. วาโยธาตุ          มีธาตุลมพา 
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. ชิวหาปสาท      มีประสาทลิ้นดี
๒. รสารมณ์           มีรสต่างๆ
๓. อาโปธาตุ         มีธาตุน้ำ
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดกายวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. กายปลาท        มีประสาทกายดี
๒. โผฏฐัพพารมณ์        มีความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง
๓. ถัทธปฐวี         มีปฐวีธาตุ
๔. มนสิการ         มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

จักขุวิญญาณจิต ๒ ดวง โสตวิญญาณจิต ๒ ดวง ฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง และกายวิญญาณจิต ๒ ดวง รวมจิต ๑๐ ดวงนี้ เรียกว่า “ทวิปัญจวิญญาณจิต

เหตุให้เกิดมโนธาตุ ๓

๑. ปัญจทวาร        มีทวารทั้ง ๕ คือ ประสาทตา หู จมูก ลิ้น และกายดี
๒. ปัญจารมณ์       มีอารมณ์ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ
๓. หทยวัตถุ          มีหทยวัตถุรูป อันเป็นที่อาศัยเกิดของจิต
๔. มนสิการ          มีความสนใจ

มโนธาตุ เป็นจิตที่รู้อารมณ์น้อยกว่าจิตดวงอื่นๆ มีอยู่ด้วยกัน ๓ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชนจิต ๑ ดวง และสัมปฏิจฉนจิต (รับอารมณ์) ๒ ดวง รวมจิต ๓ ดวงนี้ เรียกว่า “มโนธาตุ

เหตุให้เกิดมโนวิญญาณธาตุแห่งอเหตุกจิต ๕ ดวง

๑. ทวาร ๖         มีจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และ มโนทวาร
๒. อารมณ์ ๖     มีรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์
๓. หทยวตถุ      มีหทยวัตถุ (เว้นอรูปพรหม)
๔. มนสิการ        มีความสนใจ

มโนวิญญาณธาตุ เป็นจิตที่มีความสามารถรู้อารมณ์ได้มากกว่าปัญจวิญญาณและมโนธาตุ ในอเหตุกจิตมี มโนวิญญาณธาตุ ๕ ดวง คือ มโนทวาราวัชนจิต ๑ หตุปปาทจิต ๑ และสันตีรณจิต ๓ รวมเป็นมโนวิญญาณธาตุ ๕ อันที่จริงจิตทั้งหมดมี ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง นอกจากทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวง และมโนธาตุ ๓ ดวงแล้ว นอกนั้นจิตที่เหลือ ๗๖ หรือ ๑๐๘ ดวงทั้งหมดนั้นเป็น “มโนวิญญาณธาตุ"

เหตุต่าง ๆ ที่ทำให้จักขุวิญญาณเป็นต้นเหตุเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าเมื่อมีเหตุประชุมกันทั้ง ๔ อย่างครบบริบูรณ์แล้ว การเห็นหรือจักขุวิญญาณ เป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นทันทีไม่มีสิ่งอื่นใดจะหักห้ามการเห็นไว้ได้ และถ้าขาดเหตุหนึ่งเหตุใดไปไม่ครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ เหตุนั้นแล้ว ก็ไม่มีใครที่ไหนจะช่วยให้การเห็นเกิดขึ้นโดยตรง นอกจากจะช่วยทำเหตุที่ขาดไปนั้นให้ครบบริบูรณ์เสียก่อน การเห็นหรือจักขุวิญญาณจิตจึงจะเกิดขึ้นได้

ฉะนั้น ถ้าจะพิจารณากันให้ดีแล้ว สภาพที่เป็นไปในการเห็น การได้ยิน เป็นต้นนั้น ต้องอาศัยมีเหตุปัจจัยทำให้ปรากฏผลขึ้น และธรรมที่เป็นเหตุปัจจัยนั้นก็ล้วนมีสภาพเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ หาตัวตนไม่ได้ มีแต่รูปนามเท่านั้น แต่เพราะโมหะ คือ อวิชชา ย่อมเข้าครอบงำปิดบังสภาพความจริงต่างๆ เหล่านั้นไว้เสีย ทำให้ปุถุชนทั้งหลายหลงยินดีติดใจในอารมณ์ที่เกิดทางทวารต่าง ๆ ใน

อัฏฐสาลินี และวิสุทธิมรรคอรรถกถาได้อุปมาทวาริกจิตทั้ง ๖ไว้ว่า

ตา เหมือนงู ชอบซอกซอนไปในที่ลี้ลับ อยากเห็นสิ่งที่ปกปิดไว้
หู เหมือนจระเข้ ที่ชอบวังน้ำวนที่เย็นๆ หูก็ชอบฟังถ้อยคำที่อ่อนหวาน
จมูก เหมือนนก ที่ชอบโผผินไปในอากาศ จมูกก็ชอบสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยลมโชยมา
ลิ้น เหมือนสุนัขบ้าน ที่ชอบให้น้ำลายไหลอยู่เสมอ ลิ้นก็อยากจะลิ้มชิมรสอยู่เสมอเช่นเดียวกัน
กาย เหมือนสุนัขจิ้งจอก ที่ชอบเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์ในป่าช้าผีดิบ กายก็ชอบอบอุ่นชอบสัมผัสทางกาย
ใจ เหมือนลิง  ที่ชอบซุกซนไม่หยุดนิ่งใจก็ชอบดิ้นรนกลับกลอกไปในอารมณ์ต่าง ๆ ที่ไม่อยู่นิ่งเหมือนกัน

หน้าที่ของอเหตุกจิต ๑๘ ดวง

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ ทัสสนกิจ คือ เห็นรูปารมณ์
โสตวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ สวนกิจ คือ ได้ยินสัททารมณ์
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ ฆายนกิจ คือ รู้คันธารมณ์
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ สายนกิจ คือ รู้รสารมณ์
กายวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ ผุสสนกิจ คือ รู้สัมผัสโผฏฐัพพารมณ์
สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง ทำหน้าที่ สัมปฏิจฉนกิจ คือ รับปัญจารมณ์

อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ ดวง ทำหน้าที่ ๕ อย่าง คือ

  • ปฏิสนธิกิจ คือ เกิดในภพชาติใหม่
  • ภวังคกิจ คือ รักษาภพ
  • จุติกิจ คือ สิ้นจากภพ
  • สันตีรณกิจ คือ ไต่สวนอารมณ์
  • ตทาลัมพนกิจ คือ รับอารมณ์ต่อจากชวนะ
โสมนัสสันตีรณจิต ๑ ดวง ทำหน้าที่ ๒ อย่าง คือ
  • สันตีรณกิจ คือ ไต่สวนอารมณ์
  • ตทาลัมพนกิจ คือ รับอารมณ์ต่อจากชวนะ

ปัญจทวาราวัชนะ ๑ ดวง ทำหน้าที่ อาวชนกิจ คือ รับปัญจารมณ์ทางปัญจทวาร

มโนทวาราวัชนะ ๑ ดวง ทำหน้าที่ ๒ อย่าง คือ

  • อาวชนกิจ คือ รับอารมณ์ ๖ ทางมโนทวาร
  • โวฏฐัพพนกิจ คือ ตัดสินปัญจารมณ์ ว่าดี หรือไม่ดีทางปัญจทวาร

หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง ทำหน้าที่ ชวนกิจ คือ เสพอารมณ์ ทำให้เกิดการยิ้มของพระอรหันต์

ทวารของอเหตุกจิต ๑๘

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง จักขุทวาร
โสตวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง โสตทวาร
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง ฆานทวาร
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง ชิวหาทวาร
กายวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง กายทวาร

ปัญจทวาราวัชนะ ๑ ดวง อาศัยเกิดทาง ปัญจทวาร
สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง ปัญจทวาร

มโนทวารวัชนะ ๑ ดวง อาศัยเกิดทาง ทวารทั้ง ๖
สันตีรณจิต ๓ ดวง อาศัยเกิดทาง ทวารทั้ง ๖
หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดทาง ทวารทั้ง ๖

วัตถุของอเหตุกจิต ๑๘

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ จักขุวัตถุ
โสตวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ โสตวัตถุ
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ ฆานวัตถุ
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ ชิวหาวัตถุ
กายวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ กายวัตถุ

สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
สันตีรณจิต ๓ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
ปัญจทวาราวัชนจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
มโนทวาราวัชนะจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ

อารมณ์ของอเหตุกจิต ๑๘

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง รู้รูปารมณ์ คือ เห็นสิ่งต่าง ๆ
โสตวิญญาณ ๒ ดวง รู้สัททารมณ์ คือ ได้ยินเสียงต่างๆ
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง รู้คันธารมณ์ คือ คือ รู้กลิ่นต่างๆ
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง รู้รสารมณ์ คือ รู้รสต่างๆ
กายวิญญาณ ๒ ดวง รู้โผฏฐัพพารมณ์ คือ เย็น ร้อน อ่อนแข็ง หย่อน ตึง

ปัญจทวาราวัชนจิต ๑ และ สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง รู้รูปารมณ์ รู้สัททารมณ์ รู้คันธารมณ์ รู้รสารมณ์ รู้โผฏฐพพารมณ์ (อารมณ์ ๕)

มโนทวาราวัชนจิต ๑ ดวง สันตีรณจิต ๓ ดวง และหสิตุปปาทจิต ๑ ดวง รู้รูปารมณ์ รู้สัททารมณ์ รู้คันธารมณ์ รู้รสารมณ์ รู้โผฏฐพพารมณ์ รู้ธรรมารมณ์ (อารมณ์ ๖)

แสดงการเกิดของอเหตุกจิต ๑๘ โดยวิถี
ปัญจทวารวิถี อติมหันตารมณ์


แผนผังอเหตุกจิต ๑๘ ดวง



อเหตุกจิต ๑๘ เป็นวิญญาณธาตุ 



วิญญาณธาตุ หมายถึง ธาตุอารมณ์ของจิต, จิตทั้งหมด ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงนั้น มีความรู้อารมณ์ไม่เท่ากัน เมื่อสรุปแล้ว มีความรู้อารมณ์ ๓ แบบ คือ

ปัญจวิญญาณธาตุ
เป็นจิตที่มีหน้าที่รู้อารมณ์มากระทบ โดยเฉพาะทวารของตนๆ โดยตรง จึงรู้อารมณ์ได้มากปานกลาง ได้แก่จิต ๑๐ ดวง คือ ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐

มโนธาตุ
เป็นจิตที่รู้อารมณ์ได้น้อยที่สุด เพราะปัญจทวาราวัชนจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์เป็นขณะแรก และสัมปฏิจฉนะ ก็เป็นจิตที่เกิดในหทยวัตถุ รับปัญจารมณ์ต่อจากปัญจวิญญาณ ซึ่งจิตทั้งสองนี้ อาศัยวัตถุต่างกันเกิดขึ้น คือ ปัญจวิญญาณจิตอาศัยปัญจวัตถุ, สัมปฏิจฉนจิต อาศัยหทยวัตถุ เพราะจิตอาศัยวัตถุต่างกัน ย่อมจะมีกำลังน้อย มโนธาตุนี้ จึงรู้อารมณ์น้อยที่สุด ได้แก่จิต ๓ ดวง คือ ปัญจทวาราวชนจิต ๑ และสัมปฏิจฉนจิต ๒

มโนวิญญาณธาตุ
เป็นจิตที่รู้อารมณ์มากที่สุดเพราะได้รับปัจจัยจากปัญจวิญญาณธาตุ และมโนธาตุย่อมมีกำลังมาก จึงรู้อารมณ์มากที่สุด ได้แก่จิต ๗๖ ดวง (เว้นทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ มโนธาตุ ๓)

🔅 อกุศลจิต กับ อเหตุกจิต
อกุศลจิต ๑๒ ดวง กับ อเหตุกจิต ๑๘ ดวง รวมจิต ๓๐ ดวงนี้ ชื่อว่า “อโสภณจิต” ที่ชื่อว่า อโสภณจิตนั้น มิได้หมายความว่า เป็นจิตที่ไม่ดีไม่งาม หรือเป็นจิตที่เป็นบาปต่ำทรามแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นการแสดงภาวะของจิตโดยปริยายว่า “อโสภณจิต” เป็นจิตที่นอกจากโสภณจิต เป็นจิตที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันกับโสภณเจตสิก

อโสภณจิต ๓๐
🔺 อกุศลจิต ๑๒
                โลภมูลจิต ๘
                - โทสมูลจิต ๒
                - โมหมูลจิต ๒

🔺 อเหตุกจิต ๑๘
               - อกุศลวิปากจิต ๗
               - อเหตุกกุศลวิปากจิต ๘
               - อเหตุกกิริยาจิต ๓

ทำไมอโสภณจิต จึงไม่ได้มีความหมายว่า เป็นจิตที่ไม่ดีไม่งามเหมือน อกุศลจิต ?
เพราะอกุศลจิตนั้นเกิดในทุกคนไม่ได้เหมือนอย่างอเหตุกจิต เช่น อกุศลจิตบางดวงเกิดไม่ได้ในพระโสดาบัน มีโลภจิตที่เกิดพร้อมกับความเห็นผิด เป็นต้น หรือพระอนาคามีบุคคล อกุศลจิตชนิดมีกามราคะหรือโทสจิต ย่อมเกิดไม่ได้อีกในสันดานของพระอนาคามีบุคคลทั้งหลาย ยิ่งพระอรหันต์ด้วยแล้ว อกุศลจิตทั้งหลายย่อมเกิดไม่ได้เลย แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพาน ย่อมยังจะต้องเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รส ถูกต้องสัมผัส และนึกคิดเป็นไปเช่นเดียวกับบุคคลอื่นทั้งหลาย แสดงว่า ท่านยังมือเหตุกจิต ซึ่งเป็นอโสภณจิต แต่ไม่ใช่จิตที่ไม่ดีไม่งาม เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายผู้สิ้นกิเลสาสวะทั้งปวงแล้ว ถ้าอโสภณจิต แปลว่า เป็นจิตที่ไม่ดีไม่งามแล้ว ก็กลายเป็นว่า พระอรหันต์ยังมีจิตที่ไม่ดีไม่งามอยู่อีก ดังนั้น อโสภณจิตจึงต้องมีความหมายเพียงจิตที่นอกจากโสภณจิต หรือจิตที่ไม่มีโสภณเจตสิกประกอบตามเหตุผลดังกล่าวแล้วเท่านั้น


วันพุธ

ความเบื้องต้น

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และได้ทรงสอนมนุษย์ เทพยดา และพรหมเป็นเวลา ๕ พรรษาแล้ว ก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ใต้ต้นมะม่วง ชื่อว่า คัณฑามพฤกษ์ ใกล้นครสาวัตถี เพื่อประสงค์จะทรมานบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลาย เมื่อเสร็จการแสดงยกมปาฏิหาริย์แล้ว ทรงพิจารณาว่าพระพุทธเจ้าในอดีตเมื่อสิ้นสุดยมกปฏิหาริย์แล้วเสด็จไปไหน ก็ทรงเห็นว่าเสด็จไปดาวดึงส์พิภพ จึงเหยียบยืนบนพื้นปฐพีด้วยพระบาทข้างหนึ่งวางพระบาทที่สองลงบนยอดเขายุคันธร แล้วยกพระบาทแรกก้าวไปเหยียบยอดเขาสิเนรุ ทรงประทับนั่งบนพระแท่นบัณฑุกัมพลแล้วทรงแสดงอภิธรรมกถาตั้งแต่ต้นพรรษา แก่เทพยดาในหมื่นจักรวาลที่มาประชุมกัน

ในเวลาภิกขาจาร (การเที่ยวบิณฑบาต) ทรงนิมิตพุทธนิมิตขึ้นแสดงธรรมแทน ทรงชำระพระทนต์ และชำระพระโอษฐ์ที่สระอโนดาต รับบิณฑบาตในหมู่ชนชาวอุตรกุรุแล้วกลับมาเสวยที่ริมสระอโนดาต พระสารีบุตรเถระขึ้นไปเฝ้าทุกวัน พระองค์โปรดประทานอภิธรรมกถา สังเขปนียแต่ทรงแสดงแก่เทพยดาและพรหมโดยวิตถารนัย ตลอดสมัย ๓ เดือน ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดาถึง ๘๐ โกฏิ ด้วยประการฉะนี้

อภิธรรมกถา มีการแสดง ๓ นัย คือ

๑. พระพุทธองค์แสดงแก่เทวดาและพรหมในดาวดึงส์ด้วยวิตถารนัย คือ นัยพิศดาร
๒. พระพุทธองค์ แสดงแก่ พระสารีบุตร ที่ริมสระอโนดาต ด้วยสังเขปนัยโดยย่อ
๓. พระสารีบุตร แสดงแก่สานุศิษย์ ๕๐๐ ที่เคยเกิดเป็นค้างคาวด้วยนาติวิตถารนาสังเขปนัย (กึ่งย่อถึงพิสดาร)

พระอานนท์ทรงจํามาแสดง ปรากฏอยู่ในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เป็นนาติวิตถารนาสังเขปนัย ที่รวบรวมไว้ในพระอภิธรรมปิฎกนั้นเอง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๙๐๐ เศษ มีเถระผู้มีความรู้ความสามารถแตกฉานในพระไตรปิฎกท่านหนึ่ง มีนามว่า พระอนุรุทธเถระ เป็นชาวเมืองกาวิลกัญจ์ แขวงเมืองมัทราช ทางทิศใต้ของประเทศอินเดีย ท่านได้มาศึกษาพระอภิธรรมอยู่ที่เมืองอนุราธปุรี สำนักวัดตุมูลโสมาราม ประเทศลังกา มีความสันทัดจัดเจนแตกฉานมาก นามของท่านปรากฏโดยทั่วไป ท่านได้อาศัยบาลี อรรถกถา ฎีกาและอนุฎีกา อันเป็นหลักสำคัญแล้วรวบรวมร้อยกรอง ย่อความมาจากพระอภิธรรมปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนามีเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องสภาวธรรมอันลึกซึ้ง ละเอียดลออพิสดารเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยากแก่การศึกษา และยากที่จะอธิบายให้บังเกิดความเข้าใจ ท่านได้อุตส่าห์พยายามย่อคัมภีร์อันแสนที่จะลุ่มลึก โดยแยกแยะลำดับเรื่องออกมาให้ง่ายแก่การศึกษาและจดจํา ชื่อว่า “อภิธัมมัตถสังคหะ” เพื่อหวังประโยชน์อันไพศาลที่จะให้ประชาชนเกิดปัญญาทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยดวงจิตที่เต็มไปด้วยความกรุณา

เป็นการยากยิ่ง ที่ผู้ใดจะศึกษาโดยตรงจากคัมภีร์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ ให้บังเกิดความเข้าใจโดยมิต้องอาศัยพระอภิธัมมัตถสังคหะ ซึ่งรจนาขึ้นโดยพระอนุรุทธาจารย์ให้เป็นพื้นฐานรองรับเสียก่อน เริ่มตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑ ไปจนถึงปริจเฉทที่ ๔ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับความนับถือ ในฐานะเป็นพระคันถรจนาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์พระอภิธัมมัตถสังคหะ อันท่านผู้ศึกษาที่มีความเข้าใจได้เหตุผลจะเว้นกราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของท่านด้วยความซาบซึ้งเสียมิได้ การที่ท่านได้รจนาอภิธัมมัตถสังคหะ จากคัมภีร์พระอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ คัมภีร์ออกมาเป็นอีกคัมภีร์หนึ่ง เพื่อให้ผู้ศึกษาบังเกิดความเข้าใจไม่สับสน โดยเรียงลำดับจากง่ายๆ ขึ้นไปนี้เอง ได้เป็นเหตุให้บางท่านที่มิได้เคยศึกษาพระอภิธรรมมาก่อน ทั้งอ่านอภิธัมมัตถสังคหะด้วยตนเองก็ยังไม่อาจเข้าใจ จึงได้กล่าวหาว่าอภิธัมมัตถสังคหะนั้นมิใช่เป็นพุทธพจน์ เพราะเป็นการแต่งขึ้นโดยพระอนุรุทธาจารย์ในภายหลัง เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง

ความจริง ผู้บรรยายอภิธรรมส่วนมาก และผู้ศึกษาอภิธรรมที่มีความเข้าใจพอสมควร ย่อมประจักษ์แก่ใจตนเองว่า พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ กับพระอภิธัมมัตถสังคหะ ที่ท่านอุรุทธาจารย์รจนาขึ้นนั้น มิได้มีเนื้อความใดแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นองค์ธรรม หรือตัวเลขมากมาย ที่บังคับควบคุมเอาไว้ไม่ให้กระจัดกระจายนั้น ก็มิได้ขัดแย้งกันเลย ทั้งเมื่อท่านจะแต่งคัมภีร์นี้ท่านก็ยังได้สรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียก่อน พร้อมด้วยแสดงความเคารพตั้งแต่เริ่มต้นปริจเฉทที่ ๑


อย่างไรก็ดี ท่านผู้ศึกษาก็ย่อมเป็นผู้มีความคิดพิจารณา เป็นผู้มีเหตุผลของตนเอง เมื่อท่านได้ศึกษาไปไม่ต้องจบปริจเฉทที่ ๑ ท่านก็จะทราบได้ด้วยตนเองว่า พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นั้น ไม่มีผู้ใดในโลกจะแต่งขึ้นมาเองได้ เว้นไว้แต่จะต้องอาศัยพระสัพพัญญุตญานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วท่านก็จะทราบได้ด้วยตนเองอีกว่า ผู้กล่าวหาว่า พระอภิธรรมมิใช่พุทธพจน์นั้น เพราะไม่เคยได้ศึกษา จึงไม่มีความเข้าใจในพระอภิธรรมเลย พระอภิธรรมจะเกิดขึ้นในโลกได้นั้น จะต้องอาศัยพระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ดังมีสาธกบาลี ที่ได้แสดงไว้ในปิฎกปริวารพระบาลีว่า "พุทฺธจนฺเท อนุปฺปนฺเน พุทฺธาทิจฺเจ อนุคฺคเต เตสํ สภาวธมุมานํ นามมตฺตํ น นายติ" แปลว่า พระจันทร์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่อุบัติขึ้น พระอาทิตย์คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ปรากฏขึ้น ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ เพียงแต่ชื่อของสภาวธรรมเหล่านั้นได้เลย

ท่านพระอรรถกถาจารย์ แสดงไว้ในอัฏฐสาลินีอรรถกถาว่า “อภิธมฺโม นาม น อญฺเญสํ วิสโย สพฺพญฺญุตตพุทธานํ เยววิสโย เตสํ วเสน เทเสตพฺพเทสนา" แปลว่า ที่ชื่อว่า พระอภิธรรม เพราะไม่ใช่เป็นวิสัยของผู้อื่น เป็นวิสัยแห่งพระสัพพัญญูของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และการแสดงพระอภิธรรมที่ปรากฏขึ้นได้โดยอำนาจแห่งพระสัมพัญญูของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั่นเอง

ท่านพระอนุรุทธาจาร รจนาพระอภิธัมมัตถสังคหะนั้น ท่านได้แบ่งออกเป็น ๙ ปริจเฉทด้วยกัน คือ

ปริจเฉทที่ ๑ แสดงเรื่องจิตปรมัตถ์ ชื่อ จิตตสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๒ แสดงเรื่องเจตสิกปรมัตถ์ ชื่อ เจตสิกสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๓ แสดงการรวบรวมธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับจิต และเจตสิก คือ เวทนา เหตุกิจ ทวาร อารมณ์ และวัตถุ ชื่อว่า ปกิณณกสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๔ แสดงเรื่องการงานของจิต คือวิถีจิต ชื่อ วิถีสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๕ แสดงเรื่องจิตที่พ้นวิถี ตลอดจนธรรมที่สัมพันธ์กัน ชื่อ วิถีมุตตสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๖ แสดงเรื่องรูปปรมัตถ์และนิพพาน ชื่อ รูปสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๗ แสดงธรรมที่สงเคราะห์เข้าเป็นหมวดหมู่ รวมกันได้ ชื่อว่า สมุจจยสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๘ แสดงปรมัตถธรรมที่เป็นปัจจัยอุปการะกันตลอดจนบัญญัติธรรม ชื่อ ปัจจยสังคหวิภาค
ปริจเฉทที่ ๙ แสดงการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา ชื่อว่า กัมมัฏฐานสังคหวิภาค


การเข้าถึงพระพุทธศาสนามี ๓ ประการ

๑. ปริยัติศาสนา
ได้แก่ การศึกษาค้าสอนให้เกิดความเข้าใจ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ โดยย่อแล้ว ปริยัติศาสนา ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกให้เข้าใจ นั่นเอง
๒. ปฏิบัติศาสนา ได้แก่ การปฏิบัติธรรม ตามที่ได้ศึกษามาจากปริยัติมีอยู่ ๓ อย่าง คือ ปฏิบัติด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
๓. ปฏิเวธศาสนา ได้แก่ ผลที่เกิดขึ้นจากปริยัติ และปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ นวโลกุตรธรรม ๙ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนในเรื่องอะไร? ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา นับตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ได้แสดงธรรมโปรดแก่เวไนยสัตว์ เพื่อให้พ้นจากทุกข์ด้วยความหมดจรดจากกิเลส ซึ่งเมื่อรวมคำสอนทั้งสิ้นแล้ว ก็ได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์สงเคราะห์ไว้เป็นปิฎก แบ่งออกเป็น ๓ ปิฏกด้วยกัน เรียกว่า พระไตรปิฎก ได้แก่

๑. พระวินัยปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๒. พระสุตตันตปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๓. พระอภิธรรมปิฎก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

พระวินัยปิฎก แสดงเรื่องอะไร? พระวินัยปิฎก เป็นธรรมที่แสดงถึงเรื่องระเบียบ หรือข้อบังคับ วางหลักให้ประพฤติปฏิบัติเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม เหมือนดอกไม้ที่เขานํามาร้อย เอาไว้มิให้กระจัดกระจาย ผู้ที่มิได้ประพฤติตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับ หรือล่วงละเมิด ย่อมถูกลงโทษตามสมควร พระวินัยปิฎกนี้ มีอยู่ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แยกออกเป็น ๕ คัมภีร์ด้วยกัน คือ: -

๑. คัมภีร์อาทิกัมมิกะ
๒. คัมภีร์ปาจิตติยะ
๓. คัมภีร์มหาวรรค
๔. คัมภีร์จุลวรรค
๕. คัมภีร์ปริวาร

คัมภีร์ทั้ง ๕ นี้ มีชื่อย่อ เพื่อให้จําง่ายๆ โดยเอาพยางค์หน้ามาตั้งชื่อว่า อา, ปา, มะ, จุ, ปะ

พระสุตตันตปิฎก แสดงเรื่องอะไร? พระสุตตันตปิฎก เป็นธรรมที่แสดงถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสมมุติสัจจะ อันเป็นความจริงส่วนหนึ่งสำหรับชาวโลก เป็นธรรมที่ยกสัตว์บุคคลขึ้นมาตั้ง เพื่อสรรสร้างให้บังเกิดความประพฤติที่ดีงาม อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความเรียบร้อยมีอยู่ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎกนี้ บางทีก็เรียกกันอย่างสั้นๆ ว่า พระสูตร ซึ่งจำแนกออกเป็น ๕ นิกายด้วยกัน คือ: -

๑. ทีฆนิกาย
๒. มัชฌิมนิกาย
๓. สังยุตตนิกาย
๔. อังคุตตรนิกาย
๕. ขุททกนิกาย

นิกายทั้ง ๕ นี้ มีชื่อย่อ เพื่อให้จําง่าย ๆ โดยเอาพยางค์หน้ามาตั้งว่า ที, มะ, สัง, อัง, ขุ

พระอภิธรรมปิฎก แสดงเรื่องอะไร? พระอภิธรรมปิฎก เป็นธรรมที่แสดงปรมัตถสัจจะ ปฏิเสธสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เป็นเนื้อความที่จริงแท้แน่นอน ไม่มีการแปรปรวนกลับกลอก ไม่ว่าเวลาไหน หรือในที่ใด คล้ายวิชาวิทยาศาสตร์ที่เราศึกษาถึงความร้อน แสงเสียง แม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยเรื่องของสภาวธรรมที่เป็นความจริง เมื่อรู้แล้วทำให้เกิดปัญญา สามารถละกิเลส นำตนให้พ้นทุกข์ได้ มีอยู่ ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มากเท่ากับพระวินัย และพระสูตร รวมกัน พระอภิธรรมปิฎก ในจํานวน ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แยกออกเป็น ๗ คัมภีร์

๑. ธัมมสังคนี ว่าด้วย หมวดหมู่แห่งปรมัตถธรรม
๒. วิภังค์ ว่าด้วย การแยกปรมัตถธรรมออกเป็นส่วนๆ
๓. ธาตุกถา ว่าด้วย เรื่องของธาตุแห่งปรมัตถธรรม
๔. บุคคลบัญญัติ ว่าด้วย บัญญัติ บุคคล และปรมัตถ์
๕. กถาวัตถุ ว่าด้วย คําถาม-คําตอบในปรมัตถ์
๖. ยมก ว่าด้วย การแสดงปรมัตถ์เป็นคู่ๆ
๗. มหาปัฏฐาน ว่าด้วย เหตุปัจจัยของปรมัตถ์

คัมภีร์ทั้ง ๗ นี้ มีชื่อให้เรียกสําหรับให้จำได้ง่ายกว่า สัง, วิ, ธา, ปู, กะ, ยะ, ปะ

พระอภิธัมมัตถสังคหะ คืออะไร? อภิธัมมัตถสังคหะ แยกออกเป็น อภิธัมมะ-อรรถะ-สังคหะ

อภิ - อันประเสริฐยิ่ง
ธัมมะ - ธรรมชาติที่ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่ชีวิต หรือธรรมชาติที่ทรงสภาพไว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อัตถะ - เนื้อความ
สัง - โดยย่อ
คหะ - รวบรวม

อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นชื่อคัมภีร์อรรถกถา ที่ได้ประมวลเนื้อความจาก พระอภิธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้ง ๗ คัมภีร์เข้าไว้โดยย่อ เมื่อย่อคัมภีร์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ลงไปให้สั้นที่สุดแล้ว ก็ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน บัญญัติ

พระบาลี คืออะไร? บาลี หมายถึง ถ้อยคําที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศนาโปรดแก่เวไนยสัตว์ซึ่งได้แก่ พระพุทธพจน์โดยตรง

อรรถกถา ได้แก่อะไร? อัตถะ - เนื้อความ กถา - กล่าวหรือถ้อยคํา รวมกันเข้าแล้วก็แปลว่า กล่าวเนื้อความนั้น คือกล่าวเนื้อความตามบาลีนั้นอีกทีหนึ่ง ผู้ขยายความตามบาลีนั้น เรียกว่า อรรถกถาจารย์ ท่านได้ขยายความจากบาลีออกมา เพื่อจะให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ให้แจ่มแจ้งขึ้น เพื่อสะดวกแก่การศึกษาเล่าเรียน อรรถกถาจารย์ได้รับความยกย่องจากบรรดาผู้ศึกษาทั้งหลาย เพราะเป็นผู้มีความรู้แตกฉาน โดยมากเป็นพระอริยบุคคล และทรงพระไตรปิฎก

ฎีกา ได้แก่อะไร? เมื่ออรรถกถาอธิบายขยายความออกมาแล้ว ผู้ศึกษาก็ยังเข้าใจไม่ได้อยู่อีก ท่านฎีกาจารย์จึงเป็นผู้ขยายความอรรถกถานั้นอีกชั้นหนึ่ง ต่อจากนี้ ก็มีอนุฎีกาจารย์ และเกจิอาจารย์ เป็นผู้ขยายความในข้อธรรมทั้งหลายที่ฎีกาจารย์ได้ทำไว้เพื่อให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นอีกเป็นชั้น ๆ ไป

พระอภิธรรม แสดงถึงอะไร? พระอภิธรรมนั้น เป็นธรรมที่แสดงถึงความจริง ๒ ประเภท คือ ปรมัตถธรรม กับ บัญญัติธรรม
๑. ปรมัตถธรรม หรือ ปรมัตถสัจจะ คือ ธรรมชาติอันประเสริฐ ที่เป็นความจริง ซึ่งปฏิเสธสัตว์และชีวิต ได้แก่ ธรรมชาติที่เป็นความจริง ที่ไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีความวิปริตด้วยประการใด ๆ มีอยู่ ๔ ประการ ได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป, นิพพาน การรู้ปรมัตถธรรม มีประโยชน์อย่างยิ่ง คือทำให้พ้นทุกข์ได้แน่นอน
๒. บัญญัติธรรม หรือ สมมุติสัจจะ เป็นสิ่งที่บัญญัติแต่งตั้งขึ้น แล้วเป็นที่ยอมรับของหมู่ชน จึงได้เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาว่า เป็นความจริง เพื่อจะได้ใช้เรียกชื่อได้ถูกต้อง ตามความนิยมของคนหมู่หนึ่ง หรือประเทศหนึ่ง

ปรมัตถธรรม มีลักษณะอย่างไร? ปรมัตถธรรม มีลักษณะปฏิเสธสัตว์ และ ชีวิต (นิสสฤต นิชชีวสมม) เป็นสภาวธรรมที่มีจริงเป็นจริง มีลักษณะประจำอยู่ ๒ ลักษณะ คือ

๑. สามัญลักษณะ เป็นธรรมชาติที่มีลักษณะสามัญทั่วๆ ไป หรือมีลักษณะปกติธรรมดา ที่เหมือนกันของรูปธรรม และนามธรรม ในสามัญลักษณะ ที่ว่าเป็นตามธรรมดา หรือเป็นไปตามธรรมชาตินั้นเป็นไปใน ๓ ลักษณะเหล่านี้ คือ: -
        ก. อนิจจลักษณะ เป็นลักษณะที่มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีความไม่มั่นคงต้องเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ
        ข. ทุกขลักษณะ เป็นลักษณะที่ทนไม่ได้ หรืออยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเสื่อมสลาย
        ค. อนัตตลักษณะ เป็นลักษณะที่ว่างเปล่าจากตัวตน คือไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ ทั้งไม่อยู่ในอำนาจการบังคับบัญชาของใคร

ปรมัตถธรรมโดยย่อนั้น มีอยู่ ๔ ประการ คือ จิต, เจตสิก, รูป, และนิพพาน จิต, เจตสิก, รูป ทั้ง ๓ นี้ มีสามัญลักษณะ เพราะประกอบไปด้วย อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ส่วน พระนิพพานนั้น ไม่ได้อยู่ในลักษณะครบทั้ง ๓ ประการ มีสามัญลักษณะเพียงประการเดียว คือ อนัตตลักษณะ เท่านั้น สําหรับบัญญัติธรรม ไม่ประกอบด้วยไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะทั้ง ๓ เลย เพราะเป็นเพียงบัญญัติหรือสมมุติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันเท่านั้น หาได้มีจริงๆ ไม่

๒. วิเสสลักษณะ เป็นธรรมชาติพิเศษที่มีประจำตัว ปรมัตถธรรมแต่ละอย่างก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ๆ ของตน ที่ไม่เหมือนกันเลย วิเสสลักษณะมี ๔ ประการ คือ ลักษณะ, รส, ปัจจุปัฏฐาน และ ปทัฏฐาน
        ก. ลักษณะ ได้แก่ เครื่องแสดงออก หรือคุณสมบัติที่มีประจำตัวโดยเฉพาะ 
        ข. รสะ ได้แก่ หน้าที่การงานที่กระทำ หรือความสำเร็จที่มีอยู่ในตัวของปรมัตถธรรมทั้งหลาย รสะ จึงแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ: 
                ๑) กิจรสะ ได้แก่ หน้าที่การงานของปรมัตถธรรมทั้งหลาย เช่น จิต มีหน้าที่การงานที่เป็นกิจรสะ ก็คือ เป็นประธานในสัมปยุตธรรมทั้งปวง หรือกิจรสะของเตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ ย่อมมีหน้าที่การงานในการเผาไหม้ และกระทำสิ่งต่าง ๆ ให้สุกได้ เป็นหน้าที่ของไฟ
                ๒) สัมปัตติรสะ ได้แก่คุณสมบัติที่มีอยู่ประจำของปรมัตถธรรมทั้งหลาย เช่น จิต มีคุณสมบัติอยู่ประจำที่เป็นสัมปัตติรสะ ก็คือ มีเจตสิก ประกอบ เป็นสัมปยุตธรรมด้วย สัมปัตติรสะของพระนิพพาน คือ มีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงเป็นนิจจัง หรือสัมปัตติรสะของเตโชธาตุ คือ ความร้อน ย่อมยังแสงสว่างให้สำเร็จเป็นคุณสมบัติ เป็นต้น

        ค. ปัจจุปัฏฐาน ได้แก่ ผลที่เกิดขึ้นจากรสะนั่นเอง หรือเป็นความปรากฏขึ้นจากกิจการนั้นๆ
        ง. ปทัฏฐาน ได้แก่ เหตุใกล้ที่เป็นเหตุให้ธรรมนั้นๆ ปรากฏขึ้น

วิเสสลักษณะ ๔ ประการดังกล่าวนี้ ชื่อว่า ลักขณาจตุกะ ซึ่งมีความหมายว่า ธรรมที่มีองค์ ๔ ประการ มีลักษณะ เป็นต้น

จิต เจตสิก รูป มีวิเสสลักษณะ ๔ ประการ ครบบริบูรณ์
นิพพาน มีวิเสสลักษณะ ๓ ประการเท่านั้น คือ มีลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน แต่ไม่มีปทัฏฐาน คือ เหตุใกล้ให้เกิดด้วยเหตุว่า พระนิพพานนั้น เป็นธรรมที่พ้นไปจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง

สำหรับบัญญัติธรรมนั้น ไม่มีวิเสสลักษณะเลย