เห็นได้ชัดว่า ธรรมในศิลาจารึกอโศก ส่วนใหญ่ และที่กล่าวถึงบ่อย เป็นเรื่องของการปฏิบัติชอบต่อกัน หรือต่อบุคคลประเภทต่างๆ ที่แต่ละคนควรดูแลรับผิดชอบหรือช่วยเหลือกัน ซึ่งใกล้เคียงกันมากกับพระสูตรที่ยกมาให้ดูแล้ว จึงขอยกข้อความในศิลาจารึกนั้นมาให้ดูบ้าง ขอเริ่มด้วยจารึกหลักศิลา ฉบับที่ ๒ ซึ่งตรัสเล่าความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการทำศิลาจารึกประกาศธรรมไว้ด้วย อันเป็นเรื่องที่น่ารู้
วันอังคาร
ดูพุทธพจน์แล้ว อ่านธรรมโองการเทียบ
วันจันทร์
ธรรมวิชัย: หลักการใหญ่ที่นำเข้าสู่พุทธธรรม
ทีนี้ก็มาดูข้อความแสดงนโยบายธรรมวิชัยมหาราช ที่พระเจ้าอโศกทรงนำออกมาสู่ปฏิบัติการจริง ดังที่พระองค์ประกาศไว้ในจารึกศิลา ฉบับที่ ๑๓ ซึ่งคัดตัดมาพอเป็นตัวอย่าง
แม้ว่าธรรมวิชัยอย่างนี้จะเป็นหลักการและนโยบายใหม่ แต่คำว่า “ธรรมวิชัย” มิใช่เป็นคำใหม่ และมิใช่มีในพระไตรปิฎกเท่านั้น แต่มีในหลักรัฐศาสตร์โบราณของชมพูทวีปด้วย จึงควรเข้าใจความต่างให้ชัดในตำราอรรถศาสตร์ ของพราหมณ์จาณักยะ (เรียกว่า เกาฏิลยะบ้าง วิษณุคุปตะบ้าง) ผู้เป็นที่ปรึกษาและมหาเสนาบดีของพระเจ้าจันทรคุปต์ (พระอัยกาของพระเจ้าอโศกเอง, พ.ศ.๑๖๑) จัดแบ่งผู้ชนะสงคราม คือผู้พิชิตหรือผู้มีชัย เป็น ๓ ประเภท ดังนี้
🔅อโศกธรรม หรือครัฐวินัย
หลักธรรมที่ตรัสสอนหรือแสดงสำหรับสังคมคฤหัสถ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิราช หัวหน้าหมู่ชน หรือหัวหน้าครอบครัวทั่วไป รวมทั้งพระโพธิสัตว์ มีระดับและลักษณะที่พึงสังเกต ดังนี้
ก) โดยทั่วไป กล่าวถึงประเภทของบุคคลที่พึงช่วยเหลือเกื้อกูล หรือปฏิบัติในการสัมพันธ์ต่อกันให้ถูกต้อง เช่น มารดาบิดา คนงาน ฯลฯ ไม่ค่อยกล่าวถึงหัวข้อธรรม หรือหลักที่เป็นนามธรรม
ข) หลักการทางธรรม วิธีปฏิบัติ และจุดหมายของการปฏิบัติ อยู่ในขอบเขตแห่งบุญ ทาน และการลุถึงสวรรค์ (รวมทั้งพรหมโลก)
ขอยกคำสอนระดับนี้มาให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น ครั้งหนึ่ง ตรัสแก่ พระเจ้าปเสนทิโกศล เกี่ยวกับการเป็นอยู่ครอบครองทรัพย์สมบัติของ คฤหบดีว่า "ดูกรมหาบพิตร ในถิ่นของอมนุษย์ มีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใสเย็นจืดสนิท สอาด มีท่าที่ขึ้นลงเรียบร้อย น่ารื่นรมย์ (แต่) น้ำนั้นคนจะตักเอาไปก็ไม่ได้ จะดื่มก็ไม่ได้ จะอาบก็ไม่ได้ หรือจะทําการใดตามต้องการก็ไม่ได้ มหาบพิตร เมื่อเป็น เช่นนี้ น้ำที่มิได้กินใช้โดยชอบนั้น พึงถึงความหมดสิ้นไปเปล่า โดยไม่ถึงการบริโภค แม้ฉันใด ดูกรมหาบพิตร อสัตบุรุษได้โภคะอันโอฬารแล้ว ไม่ทำตนให้เป็นสุข ฯลฯ โภคะเหล่านั้นของเขา อันมิได้กินใช้โดยชอบ ย่อมถึงความหมดสิ้นไปเปล่า โดยไม่ถึงการบริโภค ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรมหาบพิตร ส่วนสัตบุรุษ ได้โภคะอันโอฬารแล้ว ย่อมทำตนให้เป็นสุข ให้เอิบอิ่ม ย่อมทำมารดาบิดา บุตร ภรรยา...คนรับใช้กรรมกรและคนสนองงาน...มิตรสหาย เพื่อนร่วมกิจการ ให้เป็นสุข ให้เอิบอิ่ม ย่อมประดิษฐานไว้ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ซึ่งทักษิณาอันมีผลสูงขึ้นไป มีจุดที่คำนึงหมายอันดี มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ โภคะเหล่านั้นของเขา ที่บริโภคอยู่โดยชอบอย่างนี้ ราชาทั้งหลายก็มิได้รับเอาไป โจรทั้งหลายก็มิได้ลักไป ไฟก็มิได้ไหม้หมดไป น้ำก็มิได้พัดพาไป อัปริยทายาททั้งหลายก็มิได้ขนเอาไป เมื่อเป็นเช่นนี้ โภคะเหล่านั้นของเขา ที่กินใช้อยู่ โดยชอบ ย่อมถึงการบริโภค ไม่ถึงความหมดสิ้นไปเปล่า ดูกรมหาบพิตร เหมือนดังว่า ในที่ไม่ไกลตามหรือนิคม มีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใส เย็น จืดสนิท สอาด มีท่าที่ขึ้นลงเรียบร้อย น่ารื่นรมย์ นั้นคนจะตักเอาไปก็ได้ จะดื่มก็ได้ จะอาบก็ได้ หรือจะทำการใดตามต้องการก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้น้ำที่กินใช้อยู่โดยชอบนั้น พึงถึงการบริโภค ไม่ถึงความหมดสิ้นไปเปล่า แม้ฉันใด สัตบุรุษได้โภคะอันโอฬารแล้ว ย่อมทำ ตนให้เป็นสุข ฯลฯ ฉันนั้นเหมือนกัน"
พระผู้มีพระภาคองค์พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตจบแล้ว ได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า "น้ำมีในถิ่นที่ของอมนุษย์ คนย่อมอดน้ำนั้น อันจะดื่มมิได้ คนทรามได้ทรัพย์แล้ว ตนเองก็ไม่บริโภค ทั้งก็ไม่ให้ปันแก่ใคร ฉันใดก็ฉันนั้น ส่วนวิญญูชนมีปัญญาได้โภคะแล้ว ย่อมบริโภคและใช้ทำกิจการ เลี้ยงดูหมู่ญาติ เป็นคนอาจหาญ ใครก็ไม่ติเตียน ย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์ พระโพธิสัตว์ก็มีจริยาแห่งการประพฤติธรรมทำนองเดียวกันนี้"
"ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตในปริมชาติ ในปริมภพ ในถิ่นกำเนิดก่อน เมื่อเป็นมนุษย์ในบุพสมัย เป็นผู้มีสมาทานมั่นในกุศลธรรมทั้งหลาย ถือปฏิบัติไม่ถอยหลัง ในกายสุจริต ในวจีสุจริต ในมโนสุจริต ในการแจกจ่ายบำเพ็ญทาน ในการสมาทานศีล ในการรักษาอุโบสถ ในการปฏิบัติชอบต่อมารดา ในการปฏิบัติชอบต่อบิดา ในการปฏิบัติชอบต่อสมณะ ในการปฏิบัติชอบต่อพราหมณ์ ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ใหญ่ในสกุล และในธรรมอันเป็นอธิกุศลอย่างอื่นๆ เพราะกรรมนั้น อันได้ทำ ได้สั่งสม ได้พอกพูน เป็นกรรมอันไพบูลย์ เบื้องหน้าแต่กายแตกทำลายตายไป ตถาคตก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" (ที.ปา.๑๑/๑๓๑)
ความเป็นคนดี ที่มีคำเรียกว่า “สัตบุรุษ” มีความหมายสัมพัน กับความดีงามและประโยชน์สุขของตระกูลวงศ์และชุมชนหรือหมู่ชน ดังพุทธพจน์ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย คนดี (สัตบุรุษ) เกิดมาในหมู่ชน ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชน จำนวนมาก (คือ) ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่มารดาบิดา แก่บุตรภรรยา...แก่คนรับใช้ กรรมกรและคนสนองงานแก่มิตรสหายเพื่อนร่วมกิจการแก่สมณพราหมณ์ เปรียบเหมือนมหาเมฆ ช่วยให้ ข้าวกล้าเจริญงอกงาม เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนจำนวนมาก"
อีกพระสูตรหนึ่ง (อง อาจก. ๒๓/๑๒๘) เนื้อความเหมือนกับพระสูตร ข้างบนนี้ แต่มีบุคคลที่จะได้รับประโยชน์เพิ่มเข้ามา ๓ พวก คือ “แก่ บรรพชนผู้ล่วงลับ...แก่พระราชา...แก่เทวดาทั้งหลาย... พระสูตรที่แสดงธรรมสำหรับสังคมคฤหัสถ์อย่างนี้ มีมากพอสม ควร แต่ยกมาเป็นตัวอย่างเท่านี้คิดว่าเพียงพอแล้ว เพราะสาระ ทำนองเดียวกัน สาระนั้นก็คือ การอยู่ร่วมกันด้วยดี ในครอบครัว ในชุมชน ในสังคม โดยเอาใจใส่ดูแลคนอื่นที่ตนเกี่ยวข้อง ประพฤติปฏิบัติที่ทำหน้าที่ต่อกัน ทำประโยชน์แก่กัน ไม่หวงแหนทรัพย์สมบัติ แต่นำออกมาใช้ ประโยชน์ด้วยทาน คือเผื่อแผ่ให้ปัน ในการบำรุงเลี้ยงช่วยเหลือกันตามวิธีปฏิบัติข้างต้นนั้น นำชีวิตไปในทางแห่งสวรรค์ รวมทั้งข้อเน้นที่จะให้ผลดีเกิดขึ้นเป็นประโยชน์ทั้งในโลกนี้และ โลกหน้า ตามคติ อิธโลก-ปรโลก ซึ่งพบได้ทั่วในพระไตรปิฎก หลักธรรมสำหรับสังคมคฤหัสถ์ตามคำสอนในพระไตรปิฎกที่ว่ามานี้เอง คือแหล่งแห่งธรรมที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสอนในศิลาจารึกของพระองค์ ที่บางท่านเรียกว่าอโศกธรรม
พระสูตรใหญ่ที่เหมือนกับประมวลธรรมสำหรับชีวิตและสังคม คฤหัสถ์ไว้ ก็คือสิงคาลกสูตร (บางทีเรียกว่า สิคาโลวาทสูตร, ที.ปา.๑๑/ ๑๗๒) ที่ท่านให้ถือเป็นวินัยของคฤหัสถ์ (คิหิวินัย) แม้จะตรัสธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติไว้หลายด้าน แต่หลักใหญ่ที่เป็น เป้าหมายของพระสูตรนั้น ก็คือหลักทิศ ๖ ที่รู้จักกันดี อันแสดงธรรม หรือหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อกัน ระหว่าง
มารดาบิดา - บุตรธิดา
อาจารย์ - ศิษย์
สามี - ภรรยา
มิตร - มิตร
นายงาน - คนงาน
สมณพราหมณ์ - กุลบุตร (พระสงฆ์-ชาวบ้าน)
ในสิงคาลกสูตร นี้ ตลอดทั้งหมด ก็เช่นเดียวกับพระสูตรทั้งหลายที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างบนนั้น ไม่กล่าวถึงหลักธรรมสำคัญอย่าง อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท ฌาน นิพพาน ใดๆ ที่พวกนักปราชญ์ฝรั่งและ อินเดียหลายท่านนั้นคาดหวังเลย แม้แต่ศีล ๕ ก็ยังไม่ปรากฏชื่อออกมาในสิงคาลกสูตร นี่คือเรื่องธรรมดาที่พึงเข้าใจ ชื่อเรียกนั้นเป็นสื่อสำหรับลัดความเข้าใจ คนที่รู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว พอออกชื่อมา เขาก็มองเห็นเนื้อหาทะลุตลอดหมด ไม่ต้องมาแจกแจงกันอีก ชื่อเรียกหลักธรรมต่างๆ จึงมีไว้ใช้ให้สะดวกสำหรับการสอนและ การศึกษายิ่งขึ้นไป จุดสำคัญอยู่ที่เอ่ยชื่อให้ตรงกับสภาวะที่จะสื่อ ไม่ใช่เรื่องสําหรับมายึดว่าเป็นของใครๆ ด้วยเหตุนี้แหละ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสอนคฤหัสถ์หรือคนนอก ที่ชื่อเรียกจะไม่ช่วยในการสื่อแก่เขา พระองค์ก็ตรัสเนื้อหาของธรรมนั้นๆ ไป แม้จะต้องใช้เวลามากหน่อย การที่คนผู้มาอ่านทีหลังไม่พบชื่อของธรรมนั้นๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่ว่าแล้ว แม้แต่ในจักรวัตติสูตร ที่เป็นแหล่งหลักของธรรมวิชัยและคติจักกวัตติราชานี้เอง ในตอนเดินเรื่อง ถึงจะกล่าวเนื้อหาของศีล ๕ แต่ก็ไม่ออกชื่อ (กุศลกรรมบถ อกุศลกรรมบถ ก็เอ่ยเฉพาะตอนที่ตรัส แบบสรุปความแก่พระสงฆ์)
ในข้อปฏิบัติขององค์พระจักรพรรดิธรรมราชา ก็เน้นที่การคุ้มครองประชาราษฎร์ คือเน้นที่คน โดยจำแนกเป็นหมู่เหล่าต่างๆ ๘ พวก ถึงตรงนี้ก็เลยขอแทรกข้อควรทราบจากจักกวัตติสูตร ที่ว่าชื่อ กันอีกสูตรหนึ่ง (องตึก ๒๐/๔๕๓) ว่า พระพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ มีคําเรียกพระนามที่ตรงกันว่าทรงเป็น “ธรรมราชา” ซึ่งมีความหมาย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ ๒ ชั้น คือ เป็น “ราชาผู้ทรงธรรม และ “ผู้มีธรรมเป็นราชา" สำหรับความหมายแรกนั้นชัดอยู่แล้ว แต่ความหมายที่ ๒ พระ พุทธเจ้าทรงอธิบายว่า
“ธรรม” เป็นราชาของพระองค์ และของพระเจ้าจักรพรรดิ คือ พระพุทธเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงเคารพธรรม ยึดธรรมเป็นหลักนำ ถือธรรมเป็นใหญ่ เป็นธรรมาธิปไตย แต่พร้อมนั้นก็ตรัสแสดง แง่ที่ต่าง ระหว่างพระพุทธเจ้า กับพระเจ้าจักรพรรดิด้วย ซึ่งก็เป็นจุดสังเกตที่สำคัญ กล่าวคือ พระเจ้าจักรพรรดิ จัดสรรการดูแลรักษาคุ้มครองที่เป็นธรรมแก่ประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ (ทรงจำแนกไว้ ๘ ประเภท คือ อันโตชน ขัตติยะ อนุยนต์ พลกาย พราหมณ์คหบดี ชาวนิคมชนบท สมณพราหมณ์ มิคปักษี) ยังจักรให้หมุนไปโดยธรรม ซึ่งคนสัตว์ที่มุ่งร้ายใดๆ ไม่อาจทำ ให้หมุนกลับได้ แต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดสรรการดูแลรักษาคุ้มครองที่เป็น ธรรม ให้แก่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยให้รู้ว่ากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อย่างไหนควรเสพ อย่างไหนไม่ควรเสพ ยัง ธรรมจักรให้หมุนไปโดยธรรม ซึ่งสมณะ พราหมณ์ เทพ มาร พรหม หรือใครก็ตามในโลก ไม่อาจทำให้หมุนกลับได้
แม้ในการบรรยายความเสื่อมของสังคมมนุษย์ ซึ่งเป็นเนื้อหาส่วนที่ยืดยาวของจักกวัตติสูตรแรก ท่านก็แสดงภาวะเสื่อมโทรมนั้นโดยชี้ถึงการที่มนุษย์ไม่ดูแลรับผิดชอบทำหน้าที่ต่อกัน ขอให้ดูตัวอย่างสักตอน "ภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ขวบ จักอาจมีสามี
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ปฏิบัติชอบต่อมารดา ไม่ปฏิบัติชอบต่อบิดา ไม่ปฏิบัติชอบต่อสมณะ ไม่ปฏิบัติชอบต่อพราหมณ์ ไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล อีกทั้งเขาเหล่านั้นก็จักได้รับการยกย่องเชิดชู และได้รับ ๆ.. การสรรเสริญ เหมือนดั่งที่คนผู้ปฏิบัติชอบต่อมารดา ปฏิบัติชอบต่อบิดา ปฏิบัติชอบต่อสมณะ ปฏิบัติชอบต่อพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล ได้รับการยกย่อง เชิดชู และได้รับการสรรเสริญ ในบัดนี้
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยา ของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกัน เหมือนดังแพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็รักผูกความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับบุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักมีความแค้นเคืองพลุ่งขึ้นมา มีความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า เสมือนนายพรานเนื้อเห็นเนื้อเข้าแล้ว เกิดความอาฆาตพรุ่งขึ้น มีความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่าอย่างแรงกล้า ฉะนั้น" (ที.ปา.๑๑/๔๖)
อโศกมหาราช - อโศกธรรม
เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก เกี่ยวกับศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกคือ นักปราชญ์เมืองฝรั่งและในอินเดียส่วนมาก อ่านหรือศึกษาศิลาจารึกนั้นแล้ว มักลงความเห็นว่า พระเจ้าอโศกมหาราช แม้จะทรงเป็นพุทธมามกะที่มีศรัทธาแรงกล้าและเอาพระทัยใส่ในการดูแลรักษาพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง แต่ในเวลาที่ทรงเผยแผ่สั่งสอนธรรมในศิลาจารึกได้ทรงพยายามวางพระองค์เป็นกลางๆ ไม่ตรัสถึงหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเลย แต่ทรงสอนธรรมที่เป็นหลักความประพฤติทั่วไปอันมีหรือเป็นที่ยอมรับในทุกๆ ศาสนา
ยกบาลีมาดูเป็นตัวอย่าง
พุทธพจน์ที่มีข้อความอย่างนี้ คือที่มาแห่งหลักการหรือนโยบายการปกครองอย่างใหม่ ที่เรียกว่า “ธรรมวิชัย” ของพระเจ้าอโศกมหาราช ข้อความสำคัญที่ว่าเป็นดังคำจำกัดความของ “ธรรมวิชัย” คือตอนที่ว่า “มีชัยโดยธรรม ไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา” อย่างที่กล่าวแล้ว พุทธพจน์ส่วนนี้ตรัสในโอกาสต่างๆ เป็นอันมาก แต่ที่ยกมาให้ดูข้างบนนี้ ตรัสโยงกับเรื่องบุญ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในศิลาจารึกอโศกนั้นด้วย
วันศุกร์
ศิลาจารึกอโศก เป็นของพระเจ้าอโศกมหาราชแน่หรือ
ธรรมโองการนี้ ในศิลาจารึกเองก็บอกไว้ว่าได้โปรดให้ติดประกาศทั่วไปทุกหนแห่ง แต่เฉพาะที่นักโบราณคดีขุดค้นพบแล้ว ๓ แห่ง (จารึกหลักศิลา ฉบับย่อยที่ ๑-๒-๓) มีข้อความยาวสั้นกว่ากันบ้าง แต่ทุกแห่งมีตอนสำคัญ คือ ย่อหน้า ๒-๓ ที่มีความเริ่มต้นว่า “สงฆ์ (อันข้าฯ) ได้ทำให้สามัคคี”
ในวันที่ ๗ พระราชา (อโศก) โปรดให้ประชุมภิกษุสงฆ์ที่อโศการาม ... ทรงทราบว่า พวกนี้มิใช่ภิกษุ พวกนี้เป็นอัญเดียรถีย์ พระราชทานผ้าขาวแก่บุคคลเหล่านั้นให้สึกเสีย ... ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า “พระคุณเจ้าเจริญ บัดนี้ พระศาสนาบริสุทธิ์แล้ว ขอภิกษุสงฆ์จงทำอุโบสถเถิด” พระราชทานอารักขาแล้ว เสด็จคืนสู่พระนคร สงฆ์ซึ่งสามัคคีกันแล้ว ได้กระทำอุโบสถ
วันพฤหัสบดี
ทรัพย์และอำนาจ สู่ความหมายและคุณค่าใหม่
ในที่นี้มีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ คติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อทรัพย์สินเงินทอง ดังต่อไปนี้
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมีวัดมากมายเหลือเกิน ซึ่งพระเจ้าอโศกสร้างไว้ ยังมีซากเหลืออยู่ พระเจ้าอโศกสร้างวิหารทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทั่วราชอาณาจักร และวัดเหล่านั้นก็ได้เป็นศูนย์กลางทางการศึกษา บางแห่งได้เจริญเติบโตจนเป็นมหาวิทยาลัย เช่นที่เรากำลังจะไป คือ นาลันทา ซึ่งเดิมก็เป็นวิหารหนึ่ง แล้วได้ขยายเป็นมหาวิหาร คือ วัดใหญ่ โดยเกิดจากการรวมกันของวัดเล็กวัดน้อยที่เป็นศูนย์การศึกษา แล้วพัฒนาขึ้นมาจนเป็น มหาวิทยาลัยนาลันทา ชื่อในภาษาบาลี เรียกว่า นาลันทามหาวิหาร ก็คือวัดใหญ่นั่นเอง ซึ่งเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของวัดที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยนาลันทาเมื่อเดินทางกันต่อไป
คนที่มีความคิดดีๆ มีเจตนาดี มีสติปัญญาดี แต่ถ้าไม่มีทรัพย์ ไม่มีอำนาจ ไม่มียศ ก็ไม่สามารถสร้างสรรค์ความดีงามหรือประโยชน์สุขได้มาก เราคิดขึ้นมาว่าจะทำการที่ดีเป็นประโยชน์สักอย่าง แต่ไม่มีเงิน ไม่มีบริวาร ไม่มีอำนาจ จะทำได้แค่ไหน ทำได้นิดเดียวก็จบ แต่ถ้ามีทรัพย์ มีอำนาจ มีบริวาร มีความคิดดี มีสติปัญญาดี ก็สามารถออกผลกระจายขยายออกไปได้กว้างขวาง เหมือนดังพระเจ้าอโศกมหาราช
• ถ้าอยู่เป็นคฤหัสถ์ ก็ให้ใช้ทรัพย์และอำนาจเป็นเครื่องมือของธรรม ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างสรรค์ความดีงาม หรือ
มคธผ่านสู่ยุคอโศก
เมืองปาตลีบุตรได้เป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธก่อนพระเจ้าอโศกตั้ง นาน คือหลังพุทธกาลไม่นาน แล้วก็เป็นสืบมา พระเจ้าอโศกนี้มิใช่อยู่ใน วงศ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู หรือพระเจ้าพิมพิสาร แม้จะอยู่แคว้นมคธ และครองแคว้นมคธก็จริง แต่เป็นกษัตริย์วงศ์อื่น
ตักศิลา เป็นชื่อเมืองอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน เป็นมหาวิทยาลัยและเป็นศูนย์กลางของศิลปวิชาการ ในอดีตของอินเดียตั้งแต่ก่อนพุทธกาล |
พระเจ้าจันทรคุปต์ กำลังหนีซอกซอนมาในชนบทถึงหมู่บ้านนั้นพอดี เมื่อได้ยินเสียงยายด่าหลานอย่างนี้ ก็ได้ความคิดขึ้นมาทันที จึงเปลี่ยนแผนการรบใหม่ว่า จะไปรบโดยตรงบุกทะลวงเข้าไปคงไม่ไหว กำลังเราน้อยกว่า ต้องใช้วิธีแบบกินขนมเบื้อง คือเล็มจากขอบเข้ามา จึงค่อยๆ ไปซ่องสุมกำลังใหม่ โดยทำสัมพันธไมตรีกับเผ่าเล็กเผ่าน้อย รวมไพร่พลได้มากขึ้นแล้ว จึงเข้ามาที่อาณาจักรมคธ ด้วยวิธีล้อมเข้ามาจากรอบนอกตามลำดับ ในที่สุด พระเจ้าจันทรคุปต์ก็รบชนะแคว้นมคธ แล้วก็เข้าครอบครองแผ่นดินมคธ ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์โมริยะ ในภาษาบาลี ส่วนในภาษาสันสกฤตเรียก เมารยะ และครองเมืองปาตลีบุตรนี้สืบมา
แผ่นจารึกธรรมและรัฐบัญญัติสมัยพระเจ้าอโศกที่เธาลีคีรี เมืองภุพเนศวร รัฐโอริสสา |
วันพุธ
ถ้าไม่ประมาท ก็ไม่เสื่อม
ในพระสูตรนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องนี้ไว้ เพื่อเป็นพระดำรัสเตือนพระภิกษุทั้งหลายให้ไม่ประมาท ครั้งนั้น พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชี พระองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้ “ภิกษุทั้งหลาย เวลานี้ กษัตริย์ลิจฉวทั้งหลาย ยังนอนหนุนหมอนไม้ ไม่ประมาท มีความเพียรในการฝึกซ้อม ศิลปะ พระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตรราชาแห่งมคธ ย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้โอกาส แต่ในกาลข้างหน้า พวกกษัตริย์ลิจฉวี จะกลายเป็นผู้สำรวย อ่อนแอ เมือเท้าอ่อนนุ่ม นอนบนเตียงฟูกฟู หนุนหมอนใหญ่หนาอ่อนนุ่ม จนตะวันขึ้นแล้วพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตรราชาแห่งมคธ ก็จะได้ช่อง ได้โอกาส"
“ภิกษุทั้งหลาย เวลานี้ เหล่าภิกษุยังนอนหนุนหมอนไม้ไม่ประมาท มีความขะมักเขม้นในการบำเพ็ญเพียร มาร ร้ายย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้โอกาส แต่ในกาลนานไกลข้างหน้า เหล่าภิกษุจะเป็นผู้สำรวย อ่อนแอ มีมือเท้าอ่อนนุ่ม นอนบนเตียงฟูกฟู หนุน หมอนใหญ่หนาอ่อนนุ่ม จนตะวันขึ้น มารร้ายก็จะได้ช่อง ได้โอกาส" “เพราะเหตุดังนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้หนุนหมอนไม้ ไม่ประมาท มีความขะมักเขม้นใน การบำเพ็ญเพียร ภิกษุทั้งหลาย เธอจึงศึกษาอย่างนี้" (สํ.นิ. ๑๖/๖๗๔-๖)
นี้คือเรื่องราวต่างๆ ที่น่าศึกษา ให้เข้าใจถึงความเสื่อมและความ เจริญของบ้านเมือง ตลอดจนสังคมต่างๆ เป็นคติสอนใจพุทธศาสนิกชน จากเรื่องราวที่เป็นมาในประวัติศาสตร์ คิดว่าจะไม่พูดยาว แต่ที่พูดมาก็มากแล้ว ทั้งนี้ต้องการจะให้เห็น ภาพกว้างๆ เกี่ยวกับความเป็นมาของอดีตว่า ดินแดนนี้มีความสำคัญอย่างไร เป็นอันว่า ปาตริคาม ที่พระเจ้าอชาตศัตรูได้เริ่มให้มหาอำมาตย์มาสร้างขึ้นในตอนท้ายพุทธกาลนั้น ได้เป็นเมืองหน้าด่าน และมีชื่อว่า เมืองปาตลีบุตร ต่อมาหลังพุทธกาล เมื่อสิ้นวงศ์ของพระเจ้าอชาตศัตรูแล้ว ก็มี การย้ายเมืองหลวงจากราชคฤห์ มาอยู่ที่ปาตลีบุตร ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาที่แคว้นวัชชีได้สิ้นอำนาจไปแล้ว แคว้นมคธก็เจริญสืบมาจนกระทั่งปาตลีบุตรได้มาเป็นเมืองหลวงของพระเจ้าอโศก
วัชซีสูญอำนาจ - มคธขึ้นเป็นศูนย์อำนาจ
เมืองปัตนะ นี้ ชื่อเดิมคือ เมืองปาตลีบุตร ซึ่งได้มาเป็นเมืองหลวงของพระเจ้าอโศกมหาราช และเป็นที่ตั้งของวัดอโศการามที่เรานั่งอยู่ ซึ่งเป็นที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ดังได้กล่าวแล้ว เมือง ปาตลีบุตร (บางทีเขียน ปาฏลีบุตร) มีเรื่องที่น่าสนใจเชื่อมโยงกับพุทธกาลนิดหน่อย คือในสมัยพุทธกาลนั้น เมืองปาตลีบุตรเพิ่งจะเริ่มก่อสร้างในตอนที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน อาณาจักรมคธในสมัยพุทธกาลมีเมืองหลวงชื่อว่า เมืองราชคฤห์ซึ่งเราจะไปในวันสองวันนี้ ราชคฤห์เป็นเมืองหลวงเดิมของแคว้นมคธในสมัยที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ และพระพุทธเจ้าก็ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์นั้น เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เมืองราชคฤห์ก็ได้เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพราะเป็นที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๑
วันอังคาร
มองผ่านๆ ข้ามพุทธกาล สู่ยุคอโศก
ขอเจริญพรญาติโยมผู้มีศรัทธาทุกท่าน บัดนี้โยมก็ได้เดินทางเข้าสู่ประเทศอินเดียแล้ว เราได้เดินทางกัน มาเป็นระยะทางพอสมควร จนมาถึงถิ่นที่เรียกว่า เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา สถานที่ซึ่งเรามาแวะชมอยู่นี้ เป็นที่สำคัญจุดหนึ่ง คือ เป็นที่ตั้ง ของวัดอโศการาม ซึ่งเป็นวัดที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างขึ้น วัดอโศการามนั้นมีความสำคัญ คือ เป็นที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ที่พระ เถระ ๑,๐๐๐ รูป ประชุมกันทบทวนร้อยกรองพระธรรมวินัย โดยมีพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภก เมื่อพุทธศักราชประมาณ ๒๓๔ หรือ ๒๓๕ ปี ตัวเลขอาจมีผู้ถกเถียงกันอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปก็ถือยุติประมาณนี้
วันนี้เรามาถึงเมืองปัตนะ และแวะนมัสการที่อโศการามนี้เป็นจุดแรก เมื่อมาถึงที่นี้แล้ว ก็ขอถือโอกาสพูดถึงเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับดินแดนพุทธศาสนาให้ได้ภาพรวมกว้างๆ ก่อน ขอให้โยมกำหนดไว้ในใจก่อนว่า ตอนนี้เรากำลังพูดกันถึงเรื่องราวหลังพุทธกาลในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งครองราชย์เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๑๘-๒๖๐ วัดอโศการาม คือที่ตรงนี้ มีความสำคัญมากต่อพระพุทธศาสนา คือ เมื่อเป็นที่ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ มีการร้อยกรองพระธรรมวินัยเรียบร้อยแล้วก็ถือว่าพระพุทธศาสนามีความมั่นคง ครั้งนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงดำเนินงานก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง คือทรงอุปถัมภ์การส่งพระศาสนทูตไปประกาศพระศาสนาในดินแดนต่างๆ ซึ่งเราได้รับทราบมาตามตำนานว่า มี ๙ สายด้วยกัน
🔅ชมพูทวีปในพุทธกาล
เราย้อนกลับไปสมัยพุทธกาล เมื่อก่อนพุทธศักราช คือเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นประเทศอินเดียเรียกว่า ชมพูทวีป ชมพูทวีปเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล ในสมัยก่อนพุทธกาลและถึงพุทธกาลนั้น มีอาณาจักรหรือแว่นแคว้นมากมาย ท่านนับไว้ ๑๖ ประเทศ หรือ ๑๖ แว่นแคว้น ใช้คำในภาษาบาลีว่า มหาชนบท คือมีมหาชนบททั้งหมด ๑๖ ด้วยกัน คำว่า “ชนบท” นั้น ในภาษาบาลี ไม่ได้หมายความแค่ว่าบ้านนอก แต่คล้ายๆ กับคำว่า “country” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งใช้ได้ ๒ ความหมาย ในความหมายทั่วไป Country ก็คือประเทศ แต่ถ้าพูดว่า the country ก็หมายถึงบ้านนอก “ชนบท” ในภาษาบาลีก็คล้ายกัน โดยทั่วไปแปลว่าถิ่นที่อยู่ของ มนุษย์ คือ แว่นแคว้น หรือประเทศ แต่เมื่อใช้ในความแวดล้อมบางอย่าง ก็เป็นชนบทในความหมายแบบไทย คือ บ้านนอก ในสมัยพุทธกาลและก่อนนั้น ถือว่าอินเดียหรือชมพูทวีปนี้ มี แว่นแคว้นใหญ่อยู่ ๑๖ มหาชนบทด้วยกัน ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกว่ามี อังคะ มคธ กาสี โกศล วัชชี มัลละ เจดี วังสะ กรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ และกัมโพชะ (เช่น องุติก,๒๐/๕๑๐) นี่คือชื่อดินแดนในชมพูทวีปทั้งหมด ๑๖ ประเทศด้วยกัน แว่นแคว้นดินแดนเหล่านี้ กล่าวได้ว่าเรียงจากตะวันออกไปตะวันตก
เริ่มด้วย อังคะ ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันนี้เป็นบังคลาเทศ หรือ ต่อจากบังคลาเทศ เทียบง่ายๆ ก็ไล่มาตั้งแต่ตะวันออกของเมืองกัลกัตตา ที่เครื่องบินเรามาลง นี่คือแคว้นที่ ๑ ต่อจากนั้นก็ถึงแคว้นมคธ คือที่เรามายืนอยู่ขณะนี้ แล้วก็ไปกาสี ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อพาราณสี เลยไปอีกก็ถึงเมืองสาวัตถีในแคว้นโกศล ส่วนวัชชี เราจะไม่ได้แวะเข้าไป นอกจากนั้น มัลละ เจตี เป็นต้น ก็ว่าเรื่อยไป จนถึงกุรุ ซึ่งอยู่แถวเมืองเดลี ต่อจากนั้น ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี ก็เอาเดลีเป็นจุดกําหนด ออกไปทางเหนือ ทางใต้ และข้างๆ ส่วนคันธาระ กัมโพชะ ก็โน่น แถวปากีสถาน จนถึงอาฟกานิสถาน เป็นอันว่าไล่คร่าวๆ ไปตั้งแต่ตะวันออกจนถึงตะวันตก นี้คือ อินเดียในสมัยโบราณ
เป็นธรรมดาเรื่องของการเมืองย่อมมีการแข่งขันแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน ประเทศที่มีอำนาจมากกว่าก็บุกรุกทำสงครามขยายดินแดนจนกระทั่งกว่าจะมาถึงยุคพุทธกาล ใน ๑๖ แว่นแคว้นนั้น บางประเทศก็หมดอำนาจไป หรือถูกยุบรวมเข้ากับแคว้นอื่น จึงปรากฏว่าในสมัยพุทธกาล ๑๖ แว่นแคว้นนั้นเหลือประเทศที่ ใหญ่โตอยู่จริงๆ ๔-๕ ประเทศเท่านั้น อย่างอังคะแถวบังคลาเทศก็เข้าไปอยู่ใต้อำนาจของมคธแล้ว มคธนี้กลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ ส่วนกาสีที่มีเมืองหลวงคือเมืองพาราณสีที่เรากำลังจะไป ก็ขึ้นอยู่ใต้อำนาจของแคว้นโกศลไปแล้ว กาสีนี้มีเรื่องมาในชาดกมากเหลือเกิน พอเริ่มเรื่องก็ว่า อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติใน เมืองพาราณสี (ในแคว้นกาสี) แต่พอถึงสมัยพุทธกาล กาสีก็ได้ตกไปอยู่ใต้อำนาจของแคว้นโกศล แคว้นโกศลและวัชชี ก็เป็นแคว้นที่ใหญ่มาก และมีอำนาจมาก ในสมัยพุทธกาล
ต่อไปก็แคว้นวังสะ ซึ่งจะได้ยินชื่อมากในเรื่องวาสิฏฐี หรือกามนิต วังสะมีเมืองหลวงชื่อว่าโกสัมพี พอออกชื่อโกสัมพี โยมที่เรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาสมัยก่อนก็นึกออก และอีกแคว้นหนึ่งคือ อวันตี ซึ่งมีเมือง อุชเชนีเป็นเมืองหลวง ก็คือถิ่นของกามนิต-วาสิฏฐีนี่แหละ แคว้นมหาอำนาจในตอนนั้นกล่าวได้ว่า ก็คือ มคธ วัชชี โกศล วังสะ และอวันตี อย่างไรก็ตาม แคว้นที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในยุค พุทธกาลจะอยู่ด้านนี้มาก ซึ่งเป็นด้านที่เรามาถึงก่อน คือด้านตะวันออก เฉียงเหนือของอินเดีย ได้แก่แคว้นมคธ แคว้นวัชชี และแคว้นโกศล ซึ่ง มีเสียงกล่าวถึงบ่อยที่สุด ส่วนแคว้นอื่นๆ ที่ว่าใหญ่ โดยเฉพาะแคว้นมคธมีชื่ออยู่ยั่งยืนที่สุด อยู่ในสมัยพุทธกาล พอถึงยุคหลังพุทธกาลก็ค่อยๆ หมดไป ในสมัยพุทธกาลนั้น จะเห็นว่าแคว้นมคธกับแคว้นวัชชีแข่งอำนาจกันมาก แคว้นโกศลก็รบกับแคว้นมคธนิดหน่อย แต่ต่อมาโกศลหายไป วัชชีก็หายไป โดยเฉพาะที่น่าสังเกตก็คือ แคว้นที่มีการปกครองต่างแบบกัน คือ แคว้นมคธกับแคว้นวัชชี เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แคว้นมคธเป็นแคว้นที่ปกครองแบบราชาธิปไตย อยู่ติดกันกับแคว้นวัชชี ซึ่งปกครองแบบสามัคคีธรรม ฝรั่งเรียกว่า ปกครองแบบ republic หรือ สาธารณรัฐ ในการปกครองแบบสามัคคีธรรมนั้น ไม่ใช่มีผู้ปกครองเด็ดขาดเพียงผู้เดียว แต่ใช้วิธีที่ว่ามีชนชั้นปกครองจำนวนหนึ่ง ซึ่งมากทีเดียว อาจถึง ๗,๗๐๗ องค์ หมุนเวียนกันขึ้นมาปกครอง เวลาจะบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องมีการประชุมในสภา ซึ่งมีหอประชุมที่เขาเรียกว่า สัณฐาคาร (บางทีเขียน สันถาคาร) เมื่อมีเรื่องราวที่จะต้องตัดสินใจหรือวินิจฉัยกัน เช่นจะรบหรือไม่รบกับต่างประเทศ หรือเกิดเรื่องเกิดราวสำคัญขึ้น หรือมีราชการ อะไรที่สำคัญจะต้องตัดสินวินิจฉัย อย่างเช่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับ ชขันธปรินิพพาน กษัตริย์มัลละซึ่งปกครองแบบนี้ ก็ต้องมาประชุมกันในสัณฐาคารเพื่อพิจารณาว่าจะปฏิบัติอย่างไรในการปลงพระสรีระของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น
แคว้นวัชชีนี้ก็ปกครองแบบสามัคคีธรรม ซึ่งต้องประชุมกันในสัณฐาคาร พวกกษัตริย์วัชชีมีชื่อเรียกกันว่า ลิจฉวี ถ้าใครเป็นนักเรียนสมัยก่อนก็จะได้ยินชื่อลิจฉวีในเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ กษัตริย์ลิจฉวี ก็อยู่ในแคว้นวัชชี ที่จริงในวัชชียังมีกษัตริย์พวกอื่นๆ อีก เช่น วิเทหา เป็นต้น แต่ที่มีชื่อมากปลายพุทธกาลก็มีลิจฉวีนี่แหละที่สําคัญ เป็นพวกที่เข้มแข็งมาก มีการปกครองอย่างเก่าแบบสามัคคีธรรม คือร่วมกันปกครอง อย่างไรก็ตาม คำว่า “การปกครองแบบสามัคคีธรรม” นี้ เป็น การจับเอาสาระมาเรียกกันภายหลัง แต่ในคัมภีร์ ท่านเรียกราชาที่ร่วมกันปกครองแบบนี้ว่า “คุณราช” (เช่น วินย.อ.๑/๒๔๗, ม.อ.๓/๑๓. ส.อ.๓/๑๐๒) แคว้นวัชชีนี้แข่งอำนาจกันกับแคว้นมคธอย่างยิ่งทีเดียว แต่ หลังพุทธกาลไม่นานก็ปรากฏว่าวัชชีได้สูญเสียอำนาจแก่แคว้นมคธ
ตอนต้นพุทธกาล มคธมีพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าพิมพิสาร ครั้นถึงปลายพุทธกาล พระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ได้ส่งอำมาตย์ชื่อวัสสการพราหมณ์เข้าไปยุแหย่ ทำให้กษัตริย์ลิจฉวีที่ปกครองแคว้นวัชชีนั้นแตกความสามัคคีกันหมด เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพไป พวกกษัตริย์วัชชี คือเจ้าลิจฉวี ทั้งหลายมีความอ่อนแอ ไม่พร้อมใจกัน ไม่พร้อมที่จะรบ ก็เลยพ่ายแพ้ อาณาจักรวัชชีก็เลยพินาศ สูญสิ้นอำนาจ และตกเป็นเมืองขึ้นของแคว้นมคธ นี้เป็นเหตุการณ์หลังพุทธกาลไม่นาน มคธจึงกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่แคว้นโกศลก็ได้สูญเสียอำนาจไป จนในที่สุดเหลือมคธอยู่แคว้นเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงยุคพระเจ้าอโศก ซึ่งเป็นเวลาหลังพุทธกาลนานตั้ง ๒๐๐ กว่าปี มคธก็ได้กลายเป็นแคว้นเดียวที่ใหญ่ที่สุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช อาณาจักรมคธของพระเจ้าอโศก ใหญ่กว้างยิ่งกว่าประเทศอินเดียในปัจจุบัน เป็นอินเดียยุคที่มีดินแดนกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ แต่ก็ใหญ่ออกไปทางสอง ปีก คือทางทิศตะวันออก และทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ออกไปทาง ปากีสถาน และอาฟกานิสถาน ส่วนทางใต้ครอบคลุมไปไม่หมด เพราะพระเจ้าอโศกทรงหยุด แผ่ขยายอาณาจักรหลังจากทําสงครามชนะแคว้นกลิงคะ (บางทีเขียน กาลิงคะ) คือถึงถิ่นที่ปัจจุบันเรียกว่าแคว้นโอริสสา (Orissa) แล้วก็หยุด อยู่แค่นั้น เพราะทรงหันมายึดหลักพระพุทธศาสนา และได้ทรงเปลี่ยน นโยบายใหม่ จากสังคามวิชัย คือเอาชนะด้วยสงคราม มาเป็นธรรมวิชัย คือเอาชนะด้วยธรรม
🔔
การเอาชนะด้วยสงครามนี้ ในจารึก (พบในจารึกศิลา ฉบับที่ ๑๓) เรียกว่า สายวิชัย หรือ สรุสกวิชัย คือเป็น violent conquest หรือ military conquest แต่ยังมีการถกเถียงกัน เนื่องจากบางท่านเห็นว่า ศัพท์นั้นอาจแปลอย่างอื่นได้