บทความ

๑.๑ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

รูปภาพ
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ กายอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ หมายความว่า กายทุกส่วนทุกเนื้อเยื่อ  ตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้าเป็นที่ตั้งแห่งสติให้เกิดขึ้นได้ทั้งหมด กายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ง่ายที่สุด เพราะเป็น ของหยาบ หากพิจารณาถึงข้อปฏิบัติอันเป็นที่สุดของการพิจารณาดูกายแล้ว ต้องพิจารณาเห็นกาย ทั้งหมดตามที่กล่าวไว้ถึง ๑๔ บรรพนั้นว่าเป็นของน่ารังเกียจ อุบายวิธีในการพิจารณาเพื่อจะให้เห็น กายชัดที่สุดนั้นเริ่มจากการพิจารณากายส่วนนอกสุดก่อน เช่น การหายใจออก-เข้า การยืน เดิน นั่ง นอน  แล้วเอาสติเข้าไปกำหนดรู้กาย (การกำหนดรู้ลมหายใจ คือกำหนดรู้วาโยธาตุ เป็นต้น) แล้วต่อไปก็เป็นเหตุให้รู้ กายในส่วนที่น่ารังเกียจนั้นว่าน่ารังเกียจจริงๆ แล้วมีปัญญากำหนดรู้มากขึ้นๆ จนรู้แจ้งว่ากายทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มี ๑๔ บรรพ (หัวข้อ) ได้แก่ อานาปานบรรพ อิริยาบถบรรพ สัมปชัญญบรรพ ปฏิกูลบรรพ ธาตุบรรพ นวสีวถิกาบรรพ ๙ (ป่าช้า ๙ ข้อ) รวมเป็น ๑๔ บรรพ ซึ่งจะแสดงต่อไป ๑.๑ อานาปานบรรพ จากการศึกษาเรื่อง อนุสสติ ๑๐ ได้ศึกษาอา นาปานสติในแง่ของการเจริญ สมถกร...

๑. สติปัฏฐาน

รูปภาพ
สติปัฏฐาน หมายความว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งสติ เรียกว่าสติปัฏฐาน เช่น กายเป็นที่ตั้งของ สติ และสตินั้นก็เป็นที่ตั้งได้ด้วยและเป็นตัวสติด้วย คำว่า สติ คือการระลึกได้ ฉะนั้น สติปัฏฐานจึงมุ่ง หมายถึง สติที่มีการระลึกได้ใน กาย เวทนา จิต ธรรม เหตุที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง ก็เพราะทรงเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์ที่มีจริตต่าง กัน คือ ๑. ตัณหาจริตอย่างอ่อน มี กายานุปัสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ที่หยาบจะเป็นหนทางแห่ง การปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และในการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในหมวดที่มีนิมิตเกิดขึ้นได้ไม่ยากนักก็เหมาะสม กับพวกสมถยานิกะประเภทยังอ่อน (พวกที่ปฏิบัติสมถะ) ๒. ตัณหาจริตอย่างกล้า มี เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ละเอียดจะเป็นหนทาง แห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับพวกสมถยานิกะประเภทแก่กล้า ๓. ทิฏฐิจริตอย่างอ่อน มี จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์ละเอียดแต่ก็แยกรายละเอียด ออกไปไม่มากนัก จะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติแล้วเกิดผลได้ และเหมาะสมกับผู้ที่เป็นวิปัสสนายานิกบุคคล ประเภทยังอ่อน ๔. ทิฏฐิจริตแก่กล้า มี ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ซึ่งมีอารมณ์อันละเอียดล...

๑๐. อรูปกรรมฐาน ๔

รูปภาพ
อรูปกรรมฐาน หรือเรียกว่าอารุปปกัมมัฏฐาน ผลของการสำเร็จอรูปกรรมฐานทำให้ไปเกิดใน พรหมโลก เป็นอรูปพรหมคือพรหมไม่มีรูปร่าง กรรมฐานชนิดนี้ต่างจากกรรมฐานอื่นๆ ทั้งหมดตรงที่ว่า ต้องเจริญกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๙ อย่าง ยกเว้นอากาสกสิณ (กสิณที่ว่าง) จนเชี่ยวชาญช่ำชอง ได้ถึง รูปฌาน ๔ (โดยจตุกกนัย) หรือต้องถึงรูปฌานที่ ๕ (โดยปัญจกนัย) ถึงจะเจริญอรูปกรรมฐานได้ อรูปกรรมฐาน จึงไม่ใช่กรรมฐานที่คนไม่มีพื้นฐาน ไม่ได้ฌานจะปฏิบัติได้ (การเจริญอรูปกรรมฐานได้แสดงไว้ใน เรื่อง อรูปฌาน ไว้แล้ว ฉะนั้นในบทนี้จะแสดงเพียงโดยย่อเท่านั้น) อรูปกรรมฐาน ๔ ได้แก่ ๑. อากาสานัญจายตนะ กำหนดช่องว่างหรืออากาศหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์ ๒. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์ ๓. อากิญจัญญายตนะ กำหนดภาวะไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ วิธีการเจริญอรูปกรรมฐาน อรูปกรรมฐานที่ ๑ เมื่อผู้ปฏิบัติเจริญกสิณ ๙ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้สำเร็จรูปฌานแล้ว  และมีความช่ำชองในการเจริญฌานของตน และให้เพิกกสิณนั้นเสีย การเพิกกสิณ คือ การไม่เอากสิณ  นิมิตนั้นมาเป็น...

๙. จตุธาตุววัฏฐาน ๑

รูปภาพ
จตุธาตุววัฏฐาน หรือเรียกว่าธาตุกรรมฐาน หมายความว่า การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ที่ปรากฏใน ร่างกายจนกระทั่งเห็นเป็นแต่เพียงกองแห่งธาตุ โดยปราศจากความจำว่าเป็นหญิง ชาย เรา เขา สัตว์ บุคคล ใดๆ เสีย องค์ธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิกที่ในมหากุศลจิต มหากิริยาจิต คำว่า ธาตุ หมายถึง การธำรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็น มหาภูตรูป เพราะเป็นรูปใหญ่ เป็นประธาน เป็นที่รองรับรูปทั้งหมดที่เหลือ คือ เพราะการรวมกันของธาตุดิน  ความแข็งจึงเกิดได้ เพราะการรวมกันของธาตุน้ำ ความเอิบอาบจึงเกิดได้ เพราะการรวมกันของธาตุไฟ  ความร้อนจึงเกิดได้ เพราะการรวมกันของธาตุลม ความเบาแห่งการเคลื่อนไหวจึงเกิดได้ การ กำหนดจตุธาตุววัฏฐานนี้ ผู้เจริญจะต้องพิจารณาธาตุ ๔ ที่มีอยู่ภายในตน ธาตุ ๔ ที่มีอยู่ ภาย ตนนี้ มี ๔๒ คือ ธาตุดิน ๒๐ - ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง - เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก  ไต - หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด - ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่  อาหารเก่า มันสมอ ลักษณะของธาตุดิน คือ มีความแข็ง ความแกร่ง ความ หนา ความไม่เคลื่อนไหว ความ มั่นคง ความรองรับ ธาตุน้ำ ๑๒ - ดี เสลด หนอง เลือด  เหงื่อ...

๘. อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑

รูปภาพ
  อาหาเรปฏิกูลสัญญา อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร โดยกำหนดหมายว่าอาหารที่ บริโภคเป็นสิ่งปฏิกูล องค์ธรรมได้แก่ สัญญาเจตสิกที่ในมหากุศลจิต มหากิริยาจิต อาหาร เป็นเหตุธรรมที่อุดหนุนให้ผลเกิดขึ้นและช่วยให้ธรรมอื่นเกิดขึ้น คำว่า อาหาร มี ความหมายกว้างขวางออกไปหลายนัย ในพระบาลีให้ความหมายของคำว่า อาหาร ไว้ว่า “ธรรมใด นำมา ซึ่งรูปอันเกิดจากโอชา นำมาซึ่งเวทนา นำมาซึ่งปฏิสนธิวิญญาณ และนำมาซึ่งเจตสิกกับกัมมชรูป ธรรม นั้นชื่อว่า อาหาร” ๑. กพฬีการาหาร (นำมาซึ่งรูปที่เกิดจากโอชา) กพฬีการาหาร (อ่านว่า กะ-พะ-ลี-กา-รา-หาน ) ได้แก่ โอชา สารอาหารหรือวิตามิน ที่ได้จากข้าว น้้า  พืชผักต่าง ๆ ตลอดจนทุกสิ่งที่เรากลืนกินเข้าไป สารอาหารนี้จะเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงอยู่ได้ องค์ธรรมได้แก่ โอชาที่อยู่ในอาหารต่าง ๆ ๒. ผัสสาหาร (นำมาซึ่งเวทนา) ผัสสาหาร นำมาซึ่งเวทนา คือการเสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง สุขบ้าง หรือไม่ทุกข์ ไม่สุขให้เกิดขึ้น  เวทนาทั้งหลายนี้ ถ้าไม่มีผัสสะแล้วก็จะเกิดไม่ได้เลย เพราะผัสสะนี้เป็นเหตุให้เกิดเวทนา จึงชื่อว่าผัสสะ เป็นอาหารของเวทนา (หรือผัสสะนำมาซึ่งกา...