แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระอภิธรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พระอภิธรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์

เจตสิก คืออะไร

เจตสิก เป็นปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง ในจำนวนปรมัตถธรรม ๔ อย่าง คือ จิต, เจตสิก, รูป และนิพพาน เจตสิกเป็นธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด (จิตฺตนิสฺสิตลกฺขณํ) เจตสิกที่อาศัยจิตเกิดขึ้นนี้ไม่เหมือนกับต้นไม้ที่อาศัยพื้นแผ่นดินเกิด เพราะพื้นแผ่นดินกับต้นไม้นั้น พื้นแผ่นดินเป็นฐานรองรับ และต้นไม้ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินที่รองรับนั้น ซึ่งพื้นแผ่นดินจะต้องปรากฏขึ้นก่อน เพื่อเป็นฐานรองรับให้ต้นไม้เกิดภายหลัง และการเกิดขึ้นของต้นไม้นั้น ก็เป็นคนละส่วนกับพื้นแผ่นดิน คือ ต้นไม้ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดิน

เจตสิกที่อาศัยจิตนั้น มีสภาพเหมือนอาจารย์กับศิษย์ คือ ทั้งอาจารย์และศิษย์ปรากฏขึ้นพร้อมกัน คือมีอาจารย์ก็ต้องมีศิษย์ หรือมีศิษย์ก็ต้องมีอาจารย์ ถ้าเว้นอาจารย์เสียแล้ว ศิษย์ย่อมมีไม่ได้ หรือถ้าเว้นศิษย์เสียแล้ว อาจารย์ก็ย่อมมีไม่ได้เช่นเดียวกัน จึงย่อมกล่าวได้ว่าธรรมชาติของเจตสิกนั้น เกิดพร้อมกับจิต หรือประกอบกับจิตเป็นนิตย์  ดังวจนัตถะว่า

เจตสิก ภวํ = เจตสิกํ (วา) เจตสิก นิยุตตํ = เจตสิกํ แปลความว่า ธรรมชาติที่เกิดกับจิต หรือธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเป็นนิตย์ ชื่อว่า เจตสิก

อาการที่เจตสิกประกอบกับจิตนั้นเรียกว่า เจโตยุตตลกฺขณํ คือ การประกอบที่บริบูรณ์ด้วยลักษณะ ๔ ประการคือ :

  • เอกุปฺปาท  เกิดพร้อมกับจิต
  • เอกนิโรธ  ดับพร้อมกับจิต
  • เอกาลมฺพน  มีอารมณ์เป็นอันเดียวกับจิต
  • เอกวตฺถุก  อาศัยวัตถุอันเดียวกับจิต

ดังคาถาสังคหะ มีแสดงไว้ว่า

คาถาสังคหะ
๑. เอกุปฺปาทนิโรธา จ เอกาลมฺพนวตุถุกา
เจโตยุตฺตา ทฺวิปญฺญาส ธมฺมา เจตสิกา มตา ฯ

แปลความว่า ธรรมชาติใด ที่เกิดพร้อมกับจิต, ดับพร้อมกับจิต, มีอารมณ์อันเดียวกับจิต และอาศัยวัตถุอันเดียวกับจิต ธรรมชาตินั้นชื่อว่าเจตสิกมีจํานวน ๕๒ ดวง

ลักษณะพิเศษของเจตสิกปรมัตถ์
เจโตยุตตลักษณะ ดังคาถาสังคหะนั้น เป็นลักษณะที่เจตสิกประกอบกับจิต หรืออาศัยจิตเกิดขึ้น ส่วนลักษณะพิเศษของเจตสิกปรมัตถ์นั้น ก็มี ๔ ประการเช่นกัน เรียกว่า ลักขณาทิจตุกะ ของเจตสิก ซึ่งมีดังนี้คือ :-

  • จิตฺตนิสฺสิตลกฺขณํ  มีการอาศัยจิตเกิดขึ้น  เป็นลักษณะ
  • อวิโยคุปฺปทานรสํ  มีการเกิดร่วมกับจิต  เป็นกิจ
  • เอกาลมฺพนปจฺจุปฏฐานํ  มีการรับอารมณ์อันเดียวกับจิต  เป็นผล
  • จิตฺตุปฺปาทปทฏฺฐานํ  มีการเกิดขึ้นแห่งจิต  เป็นเหตุใกล้

จิตและเจตสิก ต่างก็เป็นนามธรรมด้วยกัน จึงประกอบเข้ากันได้สนิทโดยที่จิตนั้นเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์ และเจตสิกเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตให้รู้อารมณ์เป็นไปต่างๆ ตามลักษณะของเจตสิก แม้เจตสิกจะเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตก็ตาม แต่ก็ต้องนับว่า จิตเป็นใหญ่หรือเป็นประธาน เพื่อให้เจตสิกได้ปรุงแต่ง หรือเพื่อให้เจตสิกอิงอาศัยจิตเกิด จิตและเจตสิกที่ประกอบเข้าด้วยกันนี้ เรียกว่า "สัมปยุตตธรรม"


🔅 จำนวนของเจตสิก

ในปริจเฉทที่ ๑ ได้กล่าวถึงจิตทั้งหมด มีจำนวน ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง ที่จำแนกจิตออกไปเช่นนั้น ไม่ได้จำแนกโดยสภาวลักษณะของจิต แต่จำแนกโดยอาศัยการปรุงแต่งของเจตสิก ที่เกิดพร้อมกับจิตเป็นต้นนั้น จึงทำให้จิตมีความสามารถในการรู้อารมณ์พิเศษแตกต่างจากกันออกไป เช่น ในเรื่องของกาม เรื่องของรูปฌาน อรูปฌาน และรู้นิพพานอารมณ์ ด้วย เหตุนี้เอง จึงจำแนกจิตออกไปได้ถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง

แต่การนับจำนวนเจตสิก ไม่เหมือนกับการนับจำนวนจิตดังกล่าวนั้น เพราะการนับจำนวนเจตสิก นับตามสภาวลักษณะของตนๆ โดยเฉพาะ ซึ่งสภาวะลักษณะของเจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ประเภท จึงนับจำนวนเจตสิกทั้งหมดได้ ๕๒ ดวง

จำแนกเจตสิก ๕๒ โดยราสี

เจตสิกทั้ง ๕๒ ดวงนี้ แบ่งออกได้เป็น ๓ ราสี (กอง, หมู่) ตามสภาวะลักษณะที่จะประกอบเข้ากันได้

คาถาสังคหะ

๒. เตรสญฺฺญสมานา จ  จุฑฺทสากุสลา ตถา
โสภณา ปญฺจวิสาติ  ทฺวิปญฺญาส ปวุจฺจเร ฯ

แปลความว่า เจตสิก ๕๒ ดวง แบ่งออกได้เป็น ๓ ราสีคือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง, อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง และโสภณเจตสิก ๒๕ ดวง

แสดงการจำแนกเจตสิกโดยราสี

ความหมายของเจตสิกตามลำดับราสี

๑. อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง
- ก. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวง
        ผัสสเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่กระทบอารมณ์
        เวทนาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์
        สัญญาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่จำอารมณ์
        เจตนาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่จัดแจงอารมณ์ที่สัมปยุตกับตน
        เอกัคคตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่สงบ และทำให้สัมปยุตธรรมตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว
        ชีวิตินทรียเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่รักษาสัมปยุตธรรม
        มนสิการเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่นำสัมปยุตธรรมมุ่งสู่อารมณ์

- ข. ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวง
        วิตกเจตสิก  หมายถึง ธรรมชาติที่ยกสัมปยุตธรรมขึ้นสู่อารมณ์
        วิจารเจตสิก  หมายถึง ธรรมชาติที่ประคองสัมปยุตธรรมไว้ในอารมณ์
        อธิโมกขเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ตัดสินอารมณ์
        วิริยเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความพยายามในอารมณ์
        ปีติเจตสิก หมายถึง  ธรรมชาติที่มีความชื่นชมยินดีในอารมณ์
        ฉันทเจตสิก หมายถึง  ธรรมชาติที่มีความพอใจในอารมณ์

๒. อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง
- ก. โมจตุกเจตสิก ๔ ดวง
        โมหเจตสิก หมายถึง  ธรรมชาติที่ปิดบังสภาพความจริงของอารมณ์ คือหลง
        อหิริกเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่มีความละอายต่อทุจริต
        อโนตตัปปเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่กลัวต่อทุจริต
        อุทธัจจเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ฟุ้งซ่าน คือจับอารมณ์ไม่มั่น

- ข. โลติกเจตสิก ๓ ดวง
        โลภเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความต้องการ และติดใจในอารมณ์
        ทิฏฐิเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความเห็นผิดในอารมณ์
        มานเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความอวดดื้อถือตัว

- ค. โทจตุกเจตสิก ๔ ดวง
        โทสเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ประทุษร้ายอารมณ์
        อิสสาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่พอใจในสมบัติ หรือคุณความดีผู้อื่น
        มัจฉริยเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความหวงแหนในสมบัติหรือคุณงามความดีของตน
        กุกกุจจเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความรำคาญใจในทุจริตที่ได้ทำไปแล้ว และในสุจริตที่ยังไม่ได้ทำ

- ง. ถีทุกเจตสิก ๒ ดวง
        ถีนเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำให้จิตใจหดหู่ท้อถอยจากอารมณ์
        มิทธเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำให้เจตสิกหดหู่ท้อถอยจากอารมณ์

- จ. วิจิกิจฉาเจตสิก ๑ ดวง
        วิจิกิจฉาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชาตินี้ ชาติหน้าเป็นต้น

๓. โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง
- ก. โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง
        สัทธาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ คือมีความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อในกรรมและผลของกรรมเป็นต้น
        สติเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความระลึกได้ในอารมณ์ทำให้จิตเป็นกุศลธรรม
        หิริเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นความเกลียด และละอายต่อทุจริตกรรม
        โอตตัปปเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่สะดุ้งกลัวต่อทุจริตกรรม
        อโลภเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่อยากได้ และไม่ติดอยู่ในอารมณ์
        อโทสเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่ประทุษร้ายอารมณ์
        ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำให้โสภณจิตเจตสิก สม่ำเสมอในกิจการของตนๆ โดยไม่ยิ่งหย่อน
        กายปัสสัทธิเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความสงบให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตปัสสัทธิเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความสงบให้จิตในการงานอันเป็นกุศล
        กายลหุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเบาให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตลหุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเบาให้จิต ในการงานอันเป็นกุศล
        กายมุทุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความอ่อนให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตมุทุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความอ่อนให้จิต ในการงานอันเป็นกุศล
        กายกัมมัญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเหมาะควรให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตกัมมัญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเหมาะควรให้จิต ในการงานอันเป็นกุศล
        กายปาคุญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความคล่องแคล่วให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตปาคุญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความคล่องแคล่วให้จิตในการงานอันเป็นกุศล
        กายุชุกตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความซื่อตรงให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตุชุกตาเจตสิก หมายถึง หมายถึง ธรรมชาติที่ทําความซื่อตรงให้จิตในงานอันเป็นกุศล

- ข. วิรติเจตสิก ๓ ดวง
        สัมมาวาจาเจตสิก หมายถึง เว้นการกล่าววจีทุจริต ๔ (ที่ไม่เป็นอาชีพ)
        สัมมากัมมันตเจตสิก หมายถึง เว้นจากกายทุจริต ๓ (ที่ไม่เป็นอาชีพ)
        สัมมาอาชีวเจตสิก หมายถึง เว้นวจีทุจริต ๔ และกายทุจริต ๓ ที่เกี่ยวด้วยอาชีพ

- ค. อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง
        กรุณาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความสงสารต่อทุกขิตสัตว์
        มุทิตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความยินดีต่อสุขิตสัตว์

- ง. ปัญญินทรีย์เจตสิก ๑ ดวง
        ปัญญา (อโมหะ) เจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่รู้สภาพธรรมทั้งหลาย ตามความเป็นจริง

ความหมายของเจตสิกที่แสดงไว้แล้วนั้น เป็นการแสดงโดยย่อ เพื่อประโยชน์แห่งการกำหนดจดจํา ต่อไปจะได้ขยายความหมายของเจตสิกธรรมทั้งหมดนั้น เพื่อให้เข้าใจในสภาวธรรมเหล่านั้นได้กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยลำดับ


วันเสาร์

พระอภิธรรม จิตตสังคหวิภาค

จิตตสังคหวิภาค แสดงเรื่องธรรมชาติของจิต ประเภทของจิต ทั้งโดยย่อและโดย พิสดาร ทำให้เข้าใจถึงจิตประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบาก จิต กิริยาจิต มหัคคตจิต และโลกุตตรจิต




🙏ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก
🔉จิตตสังคหวิภาค ๐๑
🔉จิตตสังคหวิภาค ๐๒
🔉จิตตสังคหวิภาค ๐๓
🔉จิตตสังคหวิภาค ๐๔



วันจันทร์

พระอภิธรรม ปรมัตถสัจจ


ปรมัตถธรรม
 คือ ธรรมชาติที่เป็นความจริงแท้แน่นอน ที่ดำรงลักษณะเฉพาะของตนไว้โดยไม่ผันแปรเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมที่ปฏิเสธ ความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล ความเป็นตัวตนโดยสิ้นเชิง มี ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน





🙏ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

๑. ปรมัตถสัจจ ๐๑
๒. ปรมัตถสัจจ ๐๒
๓. ปรมัตถสัจจ ๐๓
๔. ปรมัตถสัจจ ๐๔
๕. ปรมัตถสัจจ ๐๕
๖. ปรมัตถสัจจ ๐๖
๗. ปรมัตถสัจจ ๐๗
๘. ปรมัตถสัจจ ๐๘
๙. ปรมัตถสัจจ ๐๙
๑๐. ปรมัตถสัจจ ๑๐
๑๑. ปรมัตถสัจจ ๑๑
๑๒. ปรมัตถสัจจ ๑๒

อเหตุกจิต ๑๘ (หน้า๒)

 👉 อเหตุกจิต ๑๘ (หน้าแรก)



🔅 อเหตุกกิริยาจิต

อเหตุกกิริยาจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้น เพื่อทำหน้าที่การงานในการรับอารมณ์ใหม่ทางทวารทั้ง ๖ และทำหน้าที่ตัดสินปัญจารมณ์ รวมถึงจิตที่ทำหน้าที่ยิ้มแย้มของพระอรหันต์ทั้งหลายด้วย ซึ่งจิตที่เกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่การงานนี้ เป็นจิตที่สักแต่ว่ากระทำกิจการงาน ไม่ได้อาศัยเกิดขึ้นเพราะเหตุบุญ เหตุบาป จึงไม่ใช่จิตที่เป็นบุญเป็นบาปและไม่ใช่วิปากจิต ซึ่งเป็นผลของบุญหรือบาปด้วย อเหตุกกิริยาจิตนี้มีจำนวน ๓ ดวง

๑. อุเปกขาสหคตํ ปญฺจทวาราวชฺชนจิตฺตํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความรู้สึกเฉยๆ เพื่อพิจารณาอารมณ์ทางปัญจทวาร หมายความว่า จิตดวงนี้ เป็นจิตที่ทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ที่มากระทบทางทวารนั้นๆ อุปมาเหมือนนายทวารที่รักษาประตูพระราชวัง ที่คอยเปิดประตูให้แขกผ่าน เข้ามาตามฐานะของบุคคล ไม่ได้ติดตามไปทำหน้าที่อย่างอื่นเลย

๒. อุเบกขาสหคตํ มโนทวาราวชฺชนจิตฺตํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ พิจารณาอารมณ์ทางมโนทวารหมายความว่า จิตดวงนี้ เป็นจิตที่มีหน้าที่พิจารณาอารมณ์ ๖ หรือเป็นจิตที่ทำหน้าที่ตัดสินปัญจารมณ์ทางปัญจทวาร

๓. โสมนสฺสสหคตํ หสิตุปปาทจิตฺตํ จิตที่เกิดการยิ้มของพระอรหันต์ที่เกิดขึ้น เพราะการเห็นเปรต หรือเห็นเทพยดานางฟ้าที่กำลังได้รับทุกข์อยู่ เป็นการเห็นด้วยกิริยาอภิญญาจิต ที่เป็นไปพร้อมด้วยมหากิริยาญาณสัมปยุตจิตก่อนเมื่อพิจารณาแล้วหสิตุปปาทจิตจึงเกิดขึ้นดังปรากฏในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา “หสิตุปฺปาทจิตฺเตน ปน ปวตฺติยามานํ ปี เสต์ สิตกรณํ ปุพเพนิวาสอนาคตํส สพฺพญญุตญาณานํ อนุวตฺตกตา ญาณานุ ปริวตฺตํ เยวาติฯ” การยิ้มของพระอรหันต์เหล่านั้น แม้เป็นอยู่ด้วยหตุปปาทจิต ก็ชื่อว่า เป็นไปตามบุพเพนิวาสานุสติญาณ อนาคตังสญาณ สัพพัญญุตญาณฯ หมายความว่า เมื่ออภิญญาจิตเห็นสัตว์เหล่านั้นแล้ว มหากิริยาจิตก็พิจารณาว่าสภาพเช่นนั้นไม่มีแก่ท่านแล้ว หสิตุปปาทจิตจึงเกิด ทั้งนี้เพราะอภิญญาจิต ย่อมเกิดขณะเดียวเท่านั้นต่อไปจึงเป็นหน้าที่ของมหากิริยาจิต เป็นผู้พิจารณา และพิจารณาแล้วก็เสพอารมณ์ด้วยหสิตุปปาทจิต จึงทำให้อาการยิ้มชนิดที่เป็นสิตะ และหสิตะปรากฏขึ้นมา

การยิ้มและการหัวเราะ

การยิ้มและการหัวเราะ ในคัมภีร์อลังการได้จำแนกไว้ ๖ อย่าง คือ
๑. สิตะ ยิ้มอยู่ในหน้าไม่เห็นไรฟัน เป็นการยิ้มของพระพุทธเจ้า
๒. หสิตะ ยิ้มพอเห็นไรฟัน เป็นการยิ้มที่เกิดจากจิตของพระอรหันต์ หรือพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบันและปุถุชน แต่การยิ้มชนิดนี้นอกจากพระอรหันต์แล้ว ย่อมเป็นการยิ้มที่ประกอบด้วยเหตุบุญ หรือเหตุบาปเสมอ
๓. วิหสิตะ การหัวเราะมีเสียงเบาๆ เกิดได้จากจิตของปุถุชน และพระอริยบุคคล ๓ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี
๔. อติหสิตะ การหัวเราะมีเสียงดังมาก ซึ่งมีได้ในปุถุชน พระโสดาบัน และสกทาคามี
๕. อปหสิตะ การหัวเราะจนไหวโยกทั้งกาย เป็นการหัวเราะเฉพาะปุถุชน
๖. อุปหสิตะ การหัวเราะจนน้ำตาไหล เป็นการหัวเราะของปุถุชนเท่านั้น

การยิ้มและการหัวเราะทั้ง ๖ ประการที่กล่าวนี้ ก็ย่อมเห็นได้ว่า การยิ้มอยู่ภายในไม่เห็นไรฟัน ที่ชื่อว่า สิตะ ซึ่งเกิดได้เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นและการยิ้มพอเห็นไรฟันที่เกิดกับพระอรหันต์นั้น เป็นจิตที่ทำให้เกิดการยิ้มโดยไม่ประสงค์จะยึดมั่นในอารมณ์เหมือนอย่างจิตที่เกิดการหัวเราะอื่น ๆ จิตนี้ จึงมีกำลังน้อย เป็นจิตพิเศษ เรียกว่าหสิตุปปาทจิต ที่สามารถก่อให้เกิดการยิ้มได้เพียงชนิดที่เป็น สิตะ และ หสิตะ เท่านั้น และการที่จิตนี้ มีกำลังน้อยนี้เอง จึงเป็นอเหตุกจิต ส่วนจิตที่เกิดจากการหัวเราะนั้น ย่อมเป็นจิตที่มีกำลังมาก และสามารถยึดอารมณ์ไว้มั่นคง จนเป็นเหตุให้ถึงกับหัวเราะในลักษณะต่างๆ จึงเป็น สเหตุกจิต

สังขารเภทแห่งอเหตุกจิต

อเหตุกจิตทั้ง ๑๘ ดวงนี้มิได้แสดงไว้ว่าเป็นจิตประเภทอสังขาริกจิตหรือสสังขาริกจิตแต่อย่างใด ตามหลักฐานที่ปรากฏในวาทะต่างๆ อันเกี่ยวกับสังขารประเภทของอเหตุกจิตนี้ พอรวบรวมได้เป็น ๓ นัยด้วยกัน คือ 

๑. ในมูลฎีกาและในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกากล่าวว่าเป็นสังขารวิมุตติทั้ง ๑๘ ดวง เพราะไม่มีพระบาลีระบุไว้ที่ไหนเลยว่า เป็นอสังขาริก หรือสสังขาริก เมื่อไม่มีบาลีแสดงไว้ก็ต้องถือว่าเป็นสังขารวิมุตติ คือ พ้นจากความเป็นอสังขาริก และสสังขาริกไปเลยทีเดียว
๒. ในปรมัตถทีปนีฎีกา กล่าวว่า เป็นได้ทั้งอสังขาริก และ สสังขาริกทั้งหมด ๑๘ ดวง เพราะในมรณาสันนกาล คือ เวลาที่ใกล้จะตาย วิถีจิตต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นเองหรืออาจจะมีผู้ใดผู้หนึ่งชักจูงให้ดูพระพุทธรูป หรือให้ฟังเสียงสวดมนต์เป็นต้นก็ได้ จึงจัดว่า เป็นสังขารได้ทั้ง ๒ อย่าง
๓. โบราณาจารย์กล่าวว่า เป็นอสังขาริกจิตทั้ง ๑๘ ดวง เพราะการเห็นได้ยิน ได้กลิ่น รส ถูกต้องสัมผัส เหล่านี้ ย่อมเห็นเอง ได้ยินเอง ได้กลิ่นเอง รู้รสเอง ได้ถูกต้องสัมผัสเอง อาศัยอุปัตติเหตุให้จิตเหล่านี้เกิดขึ้น จึงกล่าวว่าเป็นอสังขาริกทั้ง ๑๘ ดวง

อเหตุกจิตทั้ง ๑๘ ดวง จึงสงเคราะห์เข้าในอสังขาริก เพราะอเหตุกจิตนี้ย่อมเกิดขึ้นเอง โดยอาศัยอุปัตติเหตุประชุมกันให้เกิด แม้จะมีผู้ใดมาชักจูงแนะนำก็ดี แต่ถ้าอุปัตติเหตุมีไม่ครบองค์โดยบริบูรณ์แล้ว จิตที่รู้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้น ก็หาเกิดขึ้นเองได้ไม่

อเหตุกจิต เป็นจิตที่ไม่มีเหตุ ๖ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และ อโมหเหตุ ประกอบด้วยเลย ถ้าจิตใดมีเหตุใดเหตุหนึ่งหรือหลายเหตุในเหตุ ๖ ดังกล่าวนั้นประกอบด้วยจิตเหล่านั้น เรียกว่า “สเหตุกจิต” และการประกอบด้วยเหตุของจิตเหล่านั้น เรียกว่า “สัมปยุตเหตุ” เพราะฉะนั้น อเหตุกจิต จึงหมายถึงจิตที่ไม่มีสัมปยุตเหตุ แต่ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาแต่เหตุ หรือมีเหตุเป็นแดนเกิด เหตุที่กล่าวนี้มิใช่เหตุ ๖ ที่ประกอบกับจิตที่เป็นสัมปยุตเหตุดังกล่าวแล้ว แต่เป็นเหตุที่ทำให้จิตเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุนั้น เหตุที่ทำให้จิตเกิดขึ้นนี้ เรียกว่า อุปัตติเหตุ เพราะฉะนั้น อเหตุกจิตจะปรากฏขึ้นได้ก็ต้องอาศัยอุปัตติเหตุ คือ เหตุที่จะก่อให้จิตเกิดโดยประการต่างๆ ดังนี้ คือ

 🙏 อุปัตติเหตุแห่งอเหตุกจิต ๑๘ เหตุที่ทำให้อเหตุกจิต ๑๘ ดวง เกิดขึ้นได้นั้น มีดังต่อไปนี้ คือ

เหตุให้เกิดจักขุวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. จักขุปสาท        มีประสาทตาดี
๒. รูปารมณ์           มีรูปต่างๆ
๓. อาโลกะ            มีแสงสว่าง
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (หมายถึง ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดโสตวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. โสตปสาท        มีประสาทหูดี
๒. สัททารมณ์       มีเสียงต่าง ๆ
๓. วิวรากาส          มีช่องว่าง (มีอากาศ)
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. ฆานปลาท        มีประสาทจมูกดี
๒. คันธารมณ์        มีกลิ่นต่างๆ
๓. วาโยธาตุ          มีธาตุลมพา 
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. ชิวหาปสาท      มีประสาทลิ้นดี
๒. รสารมณ์           มีรสต่างๆ
๓. อาโปธาตุ         มีธาตุน้ำ
๔. มนสิการ           มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

เหตุให้เกิดกายวิญญาณจิต ๒ ดวง

๑. กายปลาท        มีประสาทกายดี
๒. โผฏฐัพพารมณ์        มีความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง
๓. ถัทธปฐวี         มีปฐวีธาตุ
๔. มนสิการ         มีความสนใจ (ปัญจทวาราวัชนจิต)

จักขุวิญญาณจิต ๒ ดวง โสตวิญญาณจิต ๒ ดวง ฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง และกายวิญญาณจิต ๒ ดวง รวมจิต ๑๐ ดวงนี้ เรียกว่า “ทวิปัญจวิญญาณจิต

เหตุให้เกิดมโนธาตุ ๓

๑. ปัญจทวาร        มีทวารทั้ง ๕ คือ ประสาทตา หู จมูก ลิ้น และกายดี
๒. ปัญจารมณ์       มีอารมณ์ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ
๓. หทยวัตถุ          มีหทยวัตถุรูป อันเป็นที่อาศัยเกิดของจิต
๔. มนสิการ          มีความสนใจ

มโนธาตุ เป็นจิตที่รู้อารมณ์น้อยกว่าจิตดวงอื่นๆ มีอยู่ด้วยกัน ๓ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชนจิต ๑ ดวง และสัมปฏิจฉนจิต (รับอารมณ์) ๒ ดวง รวมจิต ๓ ดวงนี้ เรียกว่า “มโนธาตุ

เหตุให้เกิดมโนวิญญาณธาตุแห่งอเหตุกจิต ๕ ดวง

๑. ทวาร ๖         มีจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และ มโนทวาร
๒. อารมณ์ ๖     มีรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์
๓. หทยวตถุ      มีหทยวัตถุ (เว้นอรูปพรหม)
๔. มนสิการ        มีความสนใจ

มโนวิญญาณธาตุ เป็นจิตที่มีความสามารถรู้อารมณ์ได้มากกว่าปัญจวิญญาณและมโนธาตุ ในอเหตุกจิตมี มโนวิญญาณธาตุ ๕ ดวง คือ มโนทวาราวัชนจิต ๑ หตุปปาทจิต ๑ และสันตีรณจิต ๓ รวมเป็นมโนวิญญาณธาตุ ๕ อันที่จริงจิตทั้งหมดมี ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง นอกจากทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ดวง และมโนธาตุ ๓ ดวงแล้ว นอกนั้นจิตที่เหลือ ๗๖ หรือ ๑๐๘ ดวงทั้งหมดนั้นเป็น “มโนวิญญาณธาตุ"

เหตุต่าง ๆ ที่ทำให้จักขุวิญญาณเป็นต้นเหตุเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าเมื่อมีเหตุประชุมกันทั้ง ๔ อย่างครบบริบูรณ์แล้ว การเห็นหรือจักขุวิญญาณ เป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นทันทีไม่มีสิ่งอื่นใดจะหักห้ามการเห็นไว้ได้ และถ้าขาดเหตุหนึ่งเหตุใดไปไม่ครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ เหตุนั้นแล้ว ก็ไม่มีใครที่ไหนจะช่วยให้การเห็นเกิดขึ้นโดยตรง นอกจากจะช่วยทำเหตุที่ขาดไปนั้นให้ครบบริบูรณ์เสียก่อน การเห็นหรือจักขุวิญญาณจิตจึงจะเกิดขึ้นได้

ฉะนั้น ถ้าจะพิจารณากันให้ดีแล้ว สภาพที่เป็นไปในการเห็น การได้ยิน เป็นต้นนั้น ต้องอาศัยมีเหตุปัจจัยทำให้ปรากฏผลขึ้น และธรรมที่เป็นเหตุปัจจัยนั้นก็ล้วนมีสภาพเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ หาตัวตนไม่ได้ มีแต่รูปนามเท่านั้น แต่เพราะโมหะ คือ อวิชชา ย่อมเข้าครอบงำปิดบังสภาพความจริงต่างๆ เหล่านั้นไว้เสีย ทำให้ปุถุชนทั้งหลายหลงยินดีติดใจในอารมณ์ที่เกิดทางทวารต่าง ๆ ใน

อัฏฐสาลินี และวิสุทธิมรรคอรรถกถาได้อุปมาทวาริกจิตทั้ง ๖ไว้ว่า

ตา เหมือนงู ชอบซอกซอนไปในที่ลี้ลับ อยากเห็นสิ่งที่ปกปิดไว้
หู เหมือนจระเข้ ที่ชอบวังน้ำวนที่เย็นๆ หูก็ชอบฟังถ้อยคำที่อ่อนหวาน
จมูก เหมือนนก ที่ชอบโผผินไปในอากาศ จมูกก็ชอบสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยลมโชยมา
ลิ้น เหมือนสุนัขบ้าน ที่ชอบให้น้ำลายไหลอยู่เสมอ ลิ้นก็อยากจะลิ้มชิมรสอยู่เสมอเช่นเดียวกัน
กาย เหมือนสุนัขจิ้งจอก ที่ชอบเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์ในป่าช้าผีดิบ กายก็ชอบอบอุ่นชอบสัมผัสทางกาย
ใจ เหมือนลิง  ที่ชอบซุกซนไม่หยุดนิ่งใจก็ชอบดิ้นรนกลับกลอกไปในอารมณ์ต่าง ๆ ที่ไม่อยู่นิ่งเหมือนกัน

หน้าที่ของอเหตุกจิต ๑๘ ดวง

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ ทัสสนกิจ คือ เห็นรูปารมณ์
โสตวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ สวนกิจ คือ ได้ยินสัททารมณ์
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ ฆายนกิจ คือ รู้คันธารมณ์
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ สายนกิจ คือ รู้รสารมณ์
กายวิญญาณ ๒ ดวง ทำหน้าที่ ผุสสนกิจ คือ รู้สัมผัสโผฏฐัพพารมณ์
สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง ทำหน้าที่ สัมปฏิจฉนกิจ คือ รับปัญจารมณ์

อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ ดวง ทำหน้าที่ ๕ อย่าง คือ

  • ปฏิสนธิกิจ คือ เกิดในภพชาติใหม่
  • ภวังคกิจ คือ รักษาภพ
  • จุติกิจ คือ สิ้นจากภพ
  • สันตีรณกิจ คือ ไต่สวนอารมณ์
  • ตทาลัมพนกิจ คือ รับอารมณ์ต่อจากชวนะ
โสมนัสสันตีรณจิต ๑ ดวง ทำหน้าที่ ๒ อย่าง คือ
  • สันตีรณกิจ คือ ไต่สวนอารมณ์
  • ตทาลัมพนกิจ คือ รับอารมณ์ต่อจากชวนะ

ปัญจทวาราวัชนะ ๑ ดวง ทำหน้าที่ อาวชนกิจ คือ รับปัญจารมณ์ทางปัญจทวาร

มโนทวาราวัชนะ ๑ ดวง ทำหน้าที่ ๒ อย่าง คือ

  • อาวชนกิจ คือ รับอารมณ์ ๖ ทางมโนทวาร
  • โวฏฐัพพนกิจ คือ ตัดสินปัญจารมณ์ ว่าดี หรือไม่ดีทางปัญจทวาร

หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง ทำหน้าที่ ชวนกิจ คือ เสพอารมณ์ ทำให้เกิดการยิ้มของพระอรหันต์

ทวารของอเหตุกจิต ๑๘

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง จักขุทวาร
โสตวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง โสตทวาร
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง ฆานทวาร
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง ชิวหาทวาร
กายวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง กายทวาร

ปัญจทวาราวัชนะ ๑ ดวง อาศัยเกิดทาง ปัญจทวาร
สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง อาศัยเกิดทาง ปัญจทวาร

มโนทวารวัชนะ ๑ ดวง อาศัยเกิดทาง ทวารทั้ง ๖
สันตีรณจิต ๓ ดวง อาศัยเกิดทาง ทวารทั้ง ๖
หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดทาง ทวารทั้ง ๖

วัตถุของอเหตุกจิต ๑๘

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ จักขุวัตถุ
โสตวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ โสตวัตถุ
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ ฆานวัตถุ
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ ชิวหาวัตถุ
กายวิญญาณ ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ กายวัตถุ

สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
สันตีรณจิต ๓ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
ปัญจทวาราวัชนจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
มโนทวาราวัชนะจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ
หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง อาศัยเกิดที่ หทยวัตถุ

อารมณ์ของอเหตุกจิต ๑๘

จักขุวิญญาณ ๒ ดวง รู้รูปารมณ์ คือ เห็นสิ่งต่าง ๆ
โสตวิญญาณ ๒ ดวง รู้สัททารมณ์ คือ ได้ยินเสียงต่างๆ
ฆานวิญญาณ ๒ ดวง รู้คันธารมณ์ คือ คือ รู้กลิ่นต่างๆ
ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง รู้รสารมณ์ คือ รู้รสต่างๆ
กายวิญญาณ ๒ ดวง รู้โผฏฐัพพารมณ์ คือ เย็น ร้อน อ่อนแข็ง หย่อน ตึง

ปัญจทวาราวัชนจิต ๑ และ สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง รู้รูปารมณ์ รู้สัททารมณ์ รู้คันธารมณ์ รู้รสารมณ์ รู้โผฏฐพพารมณ์ (อารมณ์ ๕)

มโนทวาราวัชนจิต ๑ ดวง สันตีรณจิต ๓ ดวง และหสิตุปปาทจิต ๑ ดวง รู้รูปารมณ์ รู้สัททารมณ์ รู้คันธารมณ์ รู้รสารมณ์ รู้โผฏฐพพารมณ์ รู้ธรรมารมณ์ (อารมณ์ ๖)

แสดงการเกิดของอเหตุกจิต ๑๘ โดยวิถี
ปัญจทวารวิถี อติมหันตารมณ์


แผนผังอเหตุกจิต ๑๘ ดวง



อเหตุกจิต ๑๘ เป็นวิญญาณธาตุ 



วิญญาณธาตุ หมายถึง ธาตุอารมณ์ของจิต, จิตทั้งหมด ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงนั้น มีความรู้อารมณ์ไม่เท่ากัน เมื่อสรุปแล้ว มีความรู้อารมณ์ ๓ แบบ คือ

ปัญจวิญญาณธาตุ
เป็นจิตที่มีหน้าที่รู้อารมณ์มากระทบ โดยเฉพาะทวารของตนๆ โดยตรง จึงรู้อารมณ์ได้มากปานกลาง ได้แก่จิต ๑๐ ดวง คือ ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐

มโนธาตุ
เป็นจิตที่รู้อารมณ์ได้น้อยที่สุด เพราะปัญจทวาราวัชนจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นรับอารมณ์เป็นขณะแรก และสัมปฏิจฉนะ ก็เป็นจิตที่เกิดในหทยวัตถุ รับปัญจารมณ์ต่อจากปัญจวิญญาณ ซึ่งจิตทั้งสองนี้ อาศัยวัตถุต่างกันเกิดขึ้น คือ ปัญจวิญญาณจิตอาศัยปัญจวัตถุ, สัมปฏิจฉนจิต อาศัยหทยวัตถุ เพราะจิตอาศัยวัตถุต่างกัน ย่อมจะมีกำลังน้อย มโนธาตุนี้ จึงรู้อารมณ์น้อยที่สุด ได้แก่จิต ๓ ดวง คือ ปัญจทวาราวชนจิต ๑ และสัมปฏิจฉนจิต ๒

มโนวิญญาณธาตุ
เป็นจิตที่รู้อารมณ์มากที่สุดเพราะได้รับปัจจัยจากปัญจวิญญาณธาตุ และมโนธาตุย่อมมีกำลังมาก จึงรู้อารมณ์มากที่สุด ได้แก่จิต ๗๖ ดวง (เว้นทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ มโนธาตุ ๓)

🔅 อกุศลจิต กับ อเหตุกจิต
อกุศลจิต ๑๒ ดวง กับ อเหตุกจิต ๑๘ ดวง รวมจิต ๓๐ ดวงนี้ ชื่อว่า “อโสภณจิต” ที่ชื่อว่า อโสภณจิตนั้น มิได้หมายความว่า เป็นจิตที่ไม่ดีไม่งาม หรือเป็นจิตที่เป็นบาปต่ำทรามแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นการแสดงภาวะของจิตโดยปริยายว่า “อโสภณจิต” เป็นจิตที่นอกจากโสภณจิต เป็นจิตที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันกับโสภณเจตสิก

อโสภณจิต ๓๐
🔺 อกุศลจิต ๑๒
                โลภมูลจิต ๘
                - โทสมูลจิต ๒
                - โมหมูลจิต ๒

🔺 อเหตุกจิต ๑๘
               - อกุศลวิปากจิต ๗
               - อเหตุกกุศลวิปากจิต ๘
               - อเหตุกกิริยาจิต ๓

ทำไมอโสภณจิต จึงไม่ได้มีความหมายว่า เป็นจิตที่ไม่ดีไม่งามเหมือน อกุศลจิต ?
เพราะอกุศลจิตนั้นเกิดในทุกคนไม่ได้เหมือนอย่างอเหตุกจิต เช่น อกุศลจิตบางดวงเกิดไม่ได้ในพระโสดาบัน มีโลภจิตที่เกิดพร้อมกับความเห็นผิด เป็นต้น หรือพระอนาคามีบุคคล อกุศลจิตชนิดมีกามราคะหรือโทสจิต ย่อมเกิดไม่ได้อีกในสันดานของพระอนาคามีบุคคลทั้งหลาย ยิ่งพระอรหันต์ด้วยแล้ว อกุศลจิตทั้งหลายย่อมเกิดไม่ได้เลย แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพาน ย่อมยังจะต้องเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รส ถูกต้องสัมผัส และนึกคิดเป็นไปเช่นเดียวกับบุคคลอื่นทั้งหลาย แสดงว่า ท่านยังมือเหตุกจิต ซึ่งเป็นอโสภณจิต แต่ไม่ใช่จิตที่ไม่ดีไม่งาม เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายผู้สิ้นกิเลสาสวะทั้งปวงแล้ว ถ้าอโสภณจิต แปลว่า เป็นจิตที่ไม่ดีไม่งามแล้ว ก็กลายเป็นว่า พระอรหันต์ยังมีจิตที่ไม่ดีไม่งามอยู่อีก ดังนั้น อโสภณจิตจึงต้องมีความหมายเพียงจิตที่นอกจากโสภณจิต หรือจิตที่ไม่มีโสภณเจตสิกประกอบตามเหตุผลดังกล่าวแล้วเท่านั้น


วันอังคาร

โทสมูลจิต ๒

โทสมูลจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะมีโทสะเป็นเหตุ ความไม่ปรารถนาอารมณ์นั้นๆ ย่อมมีโทสะ เป็นตัวนำ หรือเป็นเหตุ โทสะ เป็นเจตสิกธรรมที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดความโกรธ ความเกลียด ความเสียใจ ความกลัดกลุ้มรำคาญใจ และความกลัว จิตที่ถูกโทสเจตสิกครอบงำนั้น ย่อมเป็นจิตประทุษร้ายอารมณ์ เพราะธรรมชาติของโทสเจตสิก มีคุณลักษณะอยู่ ๔ ประการ คือ

    จณฺฑิกลกฺขโณ มีความหยาบกระด้าง เป็นลักษณะ
    นิสฺสยาทาหนรโส มีการทำให้จิตใจตนและผู้อื่นหม่นไหม้ เป็นกิจ
    ทูสนปจฺจุปฏฺฐาโน มีการประทุษร้ายอารมณ์ เป็นอาการปรากฏ
    อาฆาตวัตถุปทฏฐาโน มีอาฆาตวัตถุ เป็นเหตุใกล้

ฉะนั้น โทสมูลจิต จึงมีหมายความว่า จิตที่เกิดขึ้น โดยมีโทสเจตสิกเป็นมูลเป็นประธาน

🔆โทสมูลจิต มี ๒ ดวง

๑. โทมุนสุสสหคตํ ปฏิฆสมปยุตตํ อสงฺขาริกํ แปลความว่า จิตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการชักชวน พร้อมด้วยความเสียใจประกอบด้วยความโกรธ
๒. โทมนสุสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตตํ สสงฺขาริกํ แปลความว่า จิตที่เกิดขึ้นโดยมีการชักชวน พร้อมด้วยความเสียใจประกอบด้วยความโกรธ

โทสมูลจิต ๒ ดวงนี้ มีสภาพธรรม ๓ ประการ คือ

๑. โทมนสุสสหคตํ เกิดพร้อมด้วยความเสียใจ ทุมนะ แปลตามศัพท์ว่า "ใจชั่ว" แปลตามอรรถว่า มีใจชั่ว คือภาวะแห่งใจชั่ว เร่าร้อน เศร้าหมอง บุคคลที่มีใจชั่วนั้นชื่อว่า “โทมนัส” ซึ่งมีองค์ธรรม ได้แก่ เวทนาเจตสิก (ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์) เป็นเวทนาประเภท ๑ ในเวทนา ๕ ข้อ คือ ทุกขเวทนา สุขเวทนา โสมนัสเวทนา โทมนัสเวทนา และอุเบกขาเวทนา

โทมนัสเวทนานี้ จะเกิดพร้อมโทสมูลจิต ๒ ดวงนี้เท่านั้น จะเกิดพร้อมกับจิตอื่นหาได้ไม่ เพราะฉะนั้น เมื่อโทสมูลจิตเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้น โทมนัสเวทนาจะต้องเกิดพร้อมด้วยเสมอ จึงเรียกว่า “โทมนสุสสหคต์”

๒. ปฏิฆสมฺปยุตตํ ประกอบด้วยความโกรธ ปฏิฆะ แปลว่า ความโกรธ ความคับแค้น หรือการกระทบกระทั่ง ซึ่งเมื่อแปลโดยอรรถแล้ว หมายถึงการกระทบกระทั่งในอารมณ์ คือ มีสภาพประทุษร้าย ทำลายอารมณ์ที่กระทบให้เสียหายไปองค์ธรรม ได้แก่ โทสเจตสิก (ธรรมชาติที่ประทุษร้ายอารมณ์) ปฏิฆะ หรือโทสะนี้เป็นภาวะที่จะต้องประกอบกับโทมนัสเวทนา จะเกิดพร้อมกับเวทนาอื่น ๆ ไม่ได้

คำที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า โทมนัส และปฏิฆะ มีสภาพต่างกัน คือ

โทมนัส เป็นเวทนาเจตสิก และเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งนับเนื่องในเวทนาขันธ์ มีการเสวยอนิฏฐารมณ์ (เป็นอารมณ์ที่ไม่ดี) เป็นลักษณะ
ปฏิฆะ นั้น เป็นโทสเจตสิก และเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งนับเนื่องในสังขารขันธ์ มีความประทุษร้ายอารมณ์ เป็นลักษณะ

รวมทั้ง ๒ ประการนี้ แม้ต่างกันโดยสภาวะลักษณะ แต่ด้วยอำนาจแห่งโทสจิตตุปบาทแล้ว โทมนัสเวทนาจะต้องเกิดร่วมกับปฏิฆะเสมอไป

๓. อสงฺขาริกํ เป็นอาการที่ปฏิฆจิตมีกำลังกล้าแข็งเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งชักชวน ส่วน สสงขาริกํ นั้น เป็นปฏิฆจิตที่เกิดขึ้นโดยมีสิ่งที่ชักชวนยั่วยุให้เกิดขึ้นจึงเป็นจิตที่มีกำลังอ่อน ทำนองเดียวกับอสังขาริกํ และ สสังขาริกํ ในโลภมูลจิตนั่นเอง

โทมนัส และ ปฏิฆะ นี้ อาศัยการที่ได้ประสบกับอนิฏฐารมณ์และอาฆาตวัตถุ ๑๐ อย่าง เป็นเหตุใกล้ให้เกิดอาฆาตวัตถุ ๑๐ ประการ
๑. อาฆาตเขาโดยคิดว่า ได้เคยทำความเสื่อมเสียแก่เรา
๒. อาฆาตเขาโดยคิดว่า กำลังทำความเสื่อมเสียให้แก่เรา
๓. อาฆาตเขาโดยคิดว่า จะทำความเสื่อมเสียให้แก่เรา
๔. อาฆาตเขาโดยคิดว่า ได้เคยทำความเสื่อมเสียให้แก่ผู้ที่เรารัก
๕. อาฆาตเขาโดยคิดว่า กำลังทำความเสื่อมเสียแก่ผู้ที่เรารัก
๖. อาฆาตเขาโดยคิดว่า จะทำความเสื่อมเสียแก่ผู้ที่เรารัก
๗. อาฆาตเขาโดยคิดว่า ได้เคยทำคุณประโยชน์แก่ผู้ที่เราเกลียดชัง
๘. อาฆาตเขาโดยคิดว่า กำลังทำคุณประโยชน์แก่ผู้ที่เราเกลียดชัง
๙. อาฆาตเขาโดยคิดว่า จะทำคุณประโยชน์แก่ผู้ที่เราเกลียดชัง
๑๐. อาฆาตในฐานะอันไม่ควร เช่น ขณะที่เดินสะดุด หรือเหยียบหนาม เป็นต้น


แต่กล่าวรวมถึง อดีตเหตุ คือเหตุใกล้ด้วยแล้ว เหตุให้เกิดโทสะหรือปฏิฆะ มี ๕ ประการ คือ

๑. โทสชฺฌาสยตา มีอัธยาศัยเป็นคนมักโกรธ
๒. อคมฺภีรปกติตา มีความคิดไม่สุขุม
๓. อปฺปสสุตตา มีการศึกษาน้อย
๔. อนิฏฐารมฺมณสมาโยโค ประสบอารมณ์ที่ไม่ดี
๕. อาฆาตวตถุสมาโยโค ประสบกับอาฆาตวัตถุ ๑๐ ประการ


เป็นที่น่าสังเกตว่า ในโทสมูลจิตนี้ เป็นจิตที่มีแต่ปฏิสัมปยุต คือ ประกอบด้วยความโกรธ แต่ไม่มีความเห็นผิดประกอบ คือทิฏฐิคตสัมปยุตที่เป็นเช่นนี้เพราะ ทิฏฐิ ความเห็นผิดนั้น ย่อมรับสภาพอารมณ์ที่น่ายินดีพอใจแต่โทสจิตนั้น มีแต่รับสภาพอารมณ์ที่ไม่พอใจ ฉะนั้น ความยินดีพอใจจะเกิดพร้อมกับความไม่พอใจในขณะเดียวกันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ โทสจิตจึงไม่มีทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดเข้าประกอบด้วย


 🙏 ผลที่เกิดจากโทสมูลจิต 🙏 

โทสมูลจิตนี้ เป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุโกรธ ไม่พอใจในอารมณ์ที่กำลังประสบอยู่ ฉะนั้น เมื่อโทสะปรากฏแก่บุคคลใดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเศร้าหมองเร่าร้อนดิ้นรน เพื่อทําลายอารมณ์ที่ไม่พอใจนั้นให้สูญหายไป หน้าตาบูดบึ้งตึงเครียดจนเป็นเหตุให้ผู้ที่ได้พบเห็นขณะนั้นได้รู้ว่ากำลังโกรธ และจิตใจพลอยเศร้าหมองเร่าร้อนไปด้วย สมัยใด มนุษย์มีสันดานมากไปด้วยโทสะ สมัยนั้น ย่อมเกิด สตฺถนตราย คือ อันตรายที่เกิดจากศัสตราวุธต่างๆ เป็นเหตุให้ทำสงครามฆ่าฟันกันตาย สรรพภัยต่าง ๆ จะปรากฏแก่ประชาชนอย่างน่ากลัว

สำหรับผลแห่งโทสะในอนาคต คือ ในภพหน้า ชาติหน้า ย่อมจะผลักส่งไปให้เกิดเป็นสัตว์นรกในนิรยภูมิ ดังบาลีที่แสดงว่า โทเสน หิ จณฺฑชาติตาย โทสสฺทิสํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติฯ สัตว์ทั้งหลายย่อมไปเกิดในนรกเป็นส่วนมากด้วยอำนาจแห่งโทสะ อันเป็นที่ทรมานสัตว์ให้เร่าร้อน เช่นเดียวกับสภาวะของโทสะที่ทรมานตนเองให้เร่าร้อนอยู่เสมอฉะนั้น

การแสดงโทสมูลจิต ต่อจากโลภมูลจิต เพราะโทสะย่อมเกิดขึ้นโดยอาศัยกามราคะ (โลภะ) ถ้าบุคคลละกามราคะได้แล้ว โทสะก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังเช่น พระอนาคามีทั้งหลาย ท่านละกามราคะได้แล้ว โทสะก็พลอยถูกละไปด้วย

วันจันทร์

โลภมูลจิต ๘

โลภมูลจิต ๘ ดวงนี้ เพราะความยินดีอยากได้ และติดใจในอารมณ์ต่างๆ จิตประเภทนี้จึงปรากฏขึ้น โลภมูลจิตนี้เป็นจิตที่ประกอบกับโลภเจตสิกเป็นประธาน เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความโลภเป็นเหตุ กล่าวคือสภาวธรรมที่เกิดพร้อมกับโลภเจตสิกนั้น จึงต้องคล้อยตามอำนาจของโลภเจตสิก ซึ่งมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ดังนี้

    อารมฺมณคหณลกฺขโณ มีการถือมั่นในอารมณ์ เป็นลักษณะ
    อภิสงฺครโส มีการยึดติดในอารมณ์ เป็นกิจ
    อปริจาคปจฺจุปฎฺฐาโน มีการไม่สละอารมณ์ เป็นผล
    สงฺโยชนีย ธมฺเมสุ อสุสาททสฺสน ปทฏฐาโน มีการเห็นสังโยชน์ธรรมเป็นที่น่ายินดีพอใจเป็นเหตุใกล้

โลภมูลจิตมีจำนวน ๘ ดวง การที่จำแนกจิตประเภทนี้ออกไปได้ถึง ๘ ดวงนั้น เพราะโลภจิตแต่ละดวงนั้น ย่อมประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ คือ ประกอบด้วยเวทนา (ความเสวยอารมณ์) ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) และสังขาร (มีการชักชวน หรือ ไม่มีการชักชวน)

🔅 โลภจิต มีจำนวน ๘ ดวงนี้ มีชื่อและความหมายดังนี้ คือ

  • ๑.โสมนสุสสหคตํ ทิฏฐิคตสมปยุตตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความยินดี ประกอบด้วยความเห็นผิด โดยไม่มีการชักชวน
  • ๒. โสมนสุสสหคตํ ทิฏฐิคตสมปยุตตํ สสงขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความยินดี ประกอบด้วยความเห็นผิดโดยมีการชักชวน
  • ๓. โสมนสสสหคตํ ทิฏฐิคตวิปปยุตตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความยินดี ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด โดยไม่มีการชักชวน
  • ๔. โสมนสุสสหคตํ ทิฏฐิคตวิปปยุตตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความยินดี ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด โดยมีการชักชวน
  • ๕. อุเปกขาสหคตํ ทิฏฐิคตสมปยุตตํ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความรู้สึกเฉย ๆ ประกอบด้วยความเห็นผิด โดยไม่มีการชักชวน
  • ๖. อุเปกขาสหคตํ ทิฏฐิคตสมปยุตตํ สสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความรู้สึกเฉยๆ ประกอบด้วยความเห็นผิด โดยมีการชักชวน
  • ๗. อุเปกขาสหคต์ ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ อสงฺขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิดโดยไม่มีการชักชวน
  • ๘. อุเปกขาสหคตํ ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ สสงขาริกํ จิตที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิดโดยมีการชักชวน

โลภมูลจิตแสดงการจําแนกโลภมูลจิต ๘


ข้อสังเกต

ในโลภมูลจิต ๘ ดวงนี้ แสดงสภาพธรรมที่ปรากฏ ๓ ประการ คือ
    ๑. สภาพที่เกี่ยวแก่ความรู้สึกในการเสวยอารมณ์ คือ โสมนสฺสสหคตํ และ อุเปกฺขาสหคตํ
            โสมนสุสสหคตํ แปลว่า เกิดพร้อมด้วยความยินดีมาก มีความปีติ อิ่มเอิบใจ
            อุเปกขาสหคต์ แปลว่า เกิดพร้อมด้วยความรู้สึกดีใจบ้างเพียงเล็กน้อย

    ๒. แสดงภาพธรรมที่จิตบางขณะประกอบด้วย ความเห็นผิด บางขณะก็มิได้ประกอบด้วยความเห็นผิด คือทิฏฐิคตสมฺปยุตฺตํ และ ทิฏฐิคตวิปปยุตตํ ทิฏฐิ แปลตามพยัญชนะว่า “ความเห็น” แต่เมื่อแปลโดยอรรถ คือ เนื้อความแห่งธรรมแล้ว ทิฏฐิในที่นี้ คือ ทิฏฐิเจตสิกที่ประกอบอยู่ในโลภมูลจิต อันเป็นอกุศลจิตฉะนั้น ทิฏฐิ จึงมีความหมายไปในทางไม่ดี คือ ย่อมมุ่งหมายถึง “มิจฉาทิฏฐิ” ที่จะนำไปสู่ มิจฉาทิฏฐิ ในมโนทุจริต (นิยตมิจฉาทิฏฐิ)
        ทิฏฐิคตสมปยุตตํ จึงมีความหมายว่า ประกอบด้วยความเห็นผิด
        ทิฏฐิคตวิปปยุตตํ หมายความว่า ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด จิตที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิดนี้ ไม่ได้หมายความว่า เป็นจิตที่มีความเห็นถูก เพียงแต่หมายถึงจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับความเห็นผิดเท่านั้น

    ๓. แสดงสภาพธรรมของจิตที่เกิดขึ้น โดยกำลังแรงกล้า และกำลังอ่อนต้องมีการกระตุ้นชักจูง คือ อสงฺขาริกํ และสสงฺขาริกํ
        อสงฺขาริกํ แปลว่า เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการชักชวนจากผู้หนึ่งผู้ใด เป็นปุพพปโยค คือ ปรารภขึ้นมาก่อน
        สสงฺขาริกํ แปลว่า เกิดขึ้นโดยอาศัยมีสิ่งชักชวน หรือปรารภตามผู้อื่น การชักชวนที่เรียกว่า สสงฺขาริกํนั้น ก็คือสังขารที่แปลว่า ปรุงแต่งนั่นเอง

การปรุงแต่งหรือชักชวน มี ๓ ทาง

กายปโยค คือ การชักชวนโดยอาศัยกิริยาอาการทางกาย เช่น จูงมือ, ชี้มือ, กวักมือ, พยักหน้า, ขยิบตา เป็นต้น
วจีปโยค คือ การชักชวนด้วยวาจา เช่น พูดชักชวน, พูดหมิ่นประมาท, ยุยง, สรรเสริญ, ส่อเสียดให้เกิดมานะ เป็นต้น
มโนปโยค คือ การชักชวนตนเอง โดยอาศัยปลุกใจให้คิดถึงเรื่องราวที่จะทำให้เกิดความยินดีพอใจ เป็นต้น ที่ปรากฏชัดเจนในการเจริญสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนาต้องอาศัยมโนปโยคแน่นอน

วิธีการชักชวนดังกล่าวแล้ว ถ้าเป็นการชักชวนของผู้อื่นก็มีได้เพียง ๒ วิธี คือกายปโยค และวิปโยค แต่ถ้าเป็นตัวเองชักชวนตัวเองแล้ว ก็ย่อมกระทำได้ทั้ง ๓ วิธี คือ กายปโยค วจีปโยค และมโนปโยค

การจำแนกโลภมูลจิต ๘ เกิดพร้อมกับสภาพธรรม ๓ ประการ

๑. โลภมูลจิต ๘ โดยการเกิดพร้อมกับเวทนา จะประกอบด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ โสมนสุสสหคตํ ๔ (ยินดีมาก) , อุเปกขาสหคตํ ๔ (ยินดีเล็กน้อย)
๒. โลภมูลจิต ๘ โดยการเกิดที่ประกอบความเห็นผิดหรือไม่ประกอบความเห็นผิด คือ ทิฏฐิคตสมปยุตตํ ๔ ทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔
๓. โลภมูลจิต ๘ โดยการเกิดขึ้นจากการปรุงแต่ง คือ อสงฺขาริกํ ๔, สสงฺขาริกํ ๔

เหตุที่เกิดโลภมูลจิต ๘ มี ๔ ประการ

๑. โลภปริวารกมุมปฏิสนฺธิกตา ปฏิสนธิมาด้วยกรรมที่มีความโลภเป็นบริวาร
๒. โลภอุสฺสนุนภวโต จวนตา จุติมาจากภพที่มีโลภะมาก
๓. อิฏฐารมุมณสมาโยโค ได้ประสบกับอารมณ์ที่ดีอยู่เสมอ
๔. อุสสาททสฺสนํ ได้เห็นสิ่งที่เป็นที่ชอบใจ

🔘 เหตุที่เกิดโลภโสมนัส (เกิดพร้อมด้วยความยินดีมาก)

๑. โสมนสฺสปฏิสนธิกตา มีปฏิสนธิพร้อมโสมนัสเวทนา
๒. อคมฺภีรปกติกา ไม่มีความสุขุมคัมภีรภาพ
๓. อิฏฐารมุมณสมาโยโค ได้ประสบกับอารมณ์ที่ดี
๔. พุยสนมุตฺติ พ้นจากความพินาศ ๕ ประการ
            ความพินาศ ๕ ประการ คือ...
            - ญาติพฺยสน ความพินาศแห่งญาติ
            - โภคพฺยสน ความพินาศแห่งทรัพย์สมบัติ
            - โรคพฺยสน ความพินาศแห่งโรคภัยเบียดเบียน
            - ทิฏฐิพฺยสน ความพินาศ เพราะความเห็นผิด
            - สีลพฺยสน ความพินาศ เพราะประพฤติผิดศีล

🔘 เหตุที่เกิดโลภอุเบกขา (เกิดพร้อมด้วยความยินดีเล็กน้อย)

    ๑. อุเปกขาปฏิสนธิกตา มีปฏิสนธิจิตพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา
    ๒. คมฺภีรปกติกา มีความสุขุมคัมภีรภาพ
    ๓. มชุมตตารมุมณสมาโยโค ได้ประสบกับอารมณ์ที่ปานกลาง
    ๔. พฺยสนมุตฺติ พ้นจากความพินาศ ๕ ประการ (เหมือนกับของโลภโสมนัส)
    ๕. มูคธาตุกตา มีสันดานเป็นคนใบ้


🔘 เหตุให้เกิดทิฏฐิดตสัมปยุต (มีความเห็นผิดประกอบด้วย)

    ๑. ทิฏฐิชฺฌาสยตา มีความเห็นผิดเป็นอัธยาศัย
    ๒. ทิฏฐิวิปฺปนฺนปุคคลเสวนตา ชอบคบหากับบุรุษผู้มีความเห็นผิด
    ๓. สทฺธมฺมวิมุขตา ไม่ได้ศึกษาพระสัทธรรม
    ๔. มิจฺฉาวิตกฺกพหุลตา ชอบคิดแต่เรื่องที่ผิด ๆ
    ๕. อโยนิโส อุมุมชุชนํ ไม่พิจารณาโดยแยบคาย

🔘 เหตุให้เกิดทิฏฐิดวิปปยุต (ไม่มีความเห็นผิดประกอบด้วย)

    ๑. สสฺสตอุจฺเฉททิฏฐิอนชฺฌาสยตา ไม่มีสัสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิเป็นอัธยาศัยมาแต่อดีตชาติ
    ๒. ทิฏฐิวิปปนฺนปุคฺคลอเสวน ไม่คบหาสมาคมกับคนมิจฉาทิฏฐิ
    ๓. สทฺธมฺมสมฺมุขตา มุ่งหน้าเข้าหาพระสัทธรรม
    ๔. สมฺมาวิตกฺกพหุลตา ชอบคิดแต่เรื่องที่ถูกที่ชอบ
    ๕. อโยนิโส น อุมมุชฺชนํ ไม่จมฝังอยู่แต่ในความพิจารณาที่ไม่แยบคาย

🔘 เหตุให้เกิดอกุศลอสังขาริก (ไม่ต้องมีสิ่งกระตุ้นชักจูง)

    ๑. อสงฺขาริกกมุมชนิตปฏิสนฺธิกตา มีปฏิสนธิจิตเกิดจากอสังขาริก
    ๒. กลลกายจิตฺตตา มีความสุขกายสบายใจ
    ๓. สีตุณหาทีนํ ขมนพหุลตา มีความอดทนต่อความเย็นร้อน เป็นต้น จนเคยชิน
    ๔. กตฺตพฺพกมเมสุ ทิฏฐานิสํสตา เคยเห็นผลในการงานที่จะพึงกระทำ
    ๕. กมฺเมสุจิณฺณวสิตา มีความชำนาญในการงานที่ทำ
    ๖. อุตุโภชนาทิสปปายลาโภ ได้รับอากาศและอาหารดี เป็นต้น

🔘 เหตุให้เกิดอกุศลสสังขาริก (ต้องมีสิ่งกระตุ้นชักจูง)

๑. สสงฺขาริกกมุมชนิตปฏิสนฺธิกตา มีปฏิสนธิจิตเกิดจากสสังขาริก
๒. อกลลกายจิตฺตตา ไม่มีความสุขกายสบายใจ
๓. สีตุณฺหาที่นํ อขมนพหุลตา ไม่มีความอดทนต่อความร้อนและเย็นเป็นต้น
๔. อกตฺตพฺพกมุเมสุ ทิฏฐานิสํสตา ไม่เคยเห็นผลในการงานที่จะกระทำ
๕. กมฺเมสุ อจิณณวสิตา ไม่มีความชำนาญในการทำงาน
๖. อุตุโภชนาทิอสปฺปายลาโภ ไม่ได้รับอากาศและอาหารที่ดี เป็นต้น


 🙏 ผลที่เกิดจากโลภมูลจิต 🙏

โลภมูลจิต เป็นจิตที่สร้างเหตุโลภ คือ ความอยากได้ หรือความปรารถนาในอารมณ์ที่น่ายินดีพอใจ เมื่อสร้างเหตุขึ้นแล้ว ผลก็ย่อมจะต้องปรากฏขึ้น เพราะอาศัยเหตุนั้นเป็นธรรมดา และผลที่จะเกิดขึ้น เพราะอาศัยเหตุโลภ หรือผลที่เกิดจากโลภมูลจิตนั้น ท่านแสดงว่า สมัยใด มนุษย์มีสันดานมากไปด้วยความโลภ สมัยนั้น ย่อมเกิดทุพพิกขนตราย คือ อันตรายที่เกิดจากความแร้นแค้น ข้าวยากหมากแพง เป็นเหตุให้ความหิวโหย อดอยากเข้าครอบงำ จนพากันล้มตายลงเป็นอันมาก สรรพทุกข์ต่าง ๆ จะปรากฏแก่ มหาชนอย่างหาประมาณมิได้ นี้เป็นผลปัจจุบัน ที่เกิดจากอำนาจของโลภมูลจิต แต่สำหรับผลที่เกิดจากโลภะในอนาคตนั้น มีแสดงว่า เยภุยฺยเยน หิ สตฺตา ตณฺหาย เปตฺติวิสยํ อุปฺปชฺชนฺติ ฯ สัตว์ทั้งหลายโดยมาก ย่อมไปเกิดเป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง ตามอำนาจแห่งโลภะอันมีความอยากได้เป็นมูลฐาน

อนึ่ง โลภมูลจิตนี้ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หมายถึง ทุกขสัจจะ เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยสมุทยสัจจะ เป็นเหตุ คือ > โลภะ ในชาติอดีตได้ทำกรรมในอดีต เป็นเหตุให้ ชาติทุกข์, ชราทุกข์, มรณทุกข์ จึงเกิดขึ้น เป็นผล
> โลภะ ในปัจจุบัน คือ ความหวัง ความต้องการ, ความอยากได้ กามคุณอารมณ์เป็นเหตุ โสกะ, ปริเทวะ, โทมนัส, อุปายาส จึงปรากฏขึ้น เป็นผล



วันอาทิตย์

๓.๑ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม

ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ได้นั้นต้องเป็นกรรมที่มีกำลังแรง ในการกระทำกรรมครั้งหนึ่งๆ วิถีจิตคือลำดับจิตที่เกิดขึ้นดับไปสืบต่อกัน ย่อมเกิดขึ้นมากมายหลายวิถี และในวิถีจิตหนึ่งๆ ก็มีชวนะจิตคือจิตที่เสพอารมณ์แล่นไปในอารมณ์ที่ปรารภจะทำกรรม

ชวนะมี ๗ ขณะ เจตนาในชวนะทั้ง ๗ นั้นเองส่งผล กล่าวคือ
ชวนะดวงที่ ๑ ส่งผลในชาตินี้ ชื่อว่า ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมที่ส่งผลในชาตินี้ แบ่งออกได้ ๒ คือ 
๑. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ ภายใน ๗ วัน
ตัวอย่างฝ่ายกุศล เช่น นายมหาทุคตะได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง เป็นกุศลที่มีกำลังมากจึงส่งผลทำให้เป็นเศรษฐี ภายใน ๗ วัน หรือ นายปุณณะกับภรรยา ซึ่งเป็นคนยากจนได้ถวายภัตตาหารแก่พระสารีบุตรที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ก็ทำให้เป็นเศรษฐีภายใน ๗ วัน 

ตัวอย่างฝ่ายอกุศล เช่น พระเทวทัตกระทำโลหิตุปบาทและทำสังฆเภท, นายนันทมานพ ที่ทำลายพระอุบลวรรณาเถรีผู้เป็นพระอรหันต์ อกุศลกรรมหนักเช่นนี้ก็ส่งผลทำให้ถูกธรณีสูบลงไปสู่อเวจีมหานรก
๒. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้แต่หลัง ๗ วันไปแล้ว มี ๓ ประการ คือ 
๒.๑ กุศล อกุศล ที่ทำในวัยเด็ก ส่งผลในวัยเด็ก วัยกลางคน หรือ วัยชรา
๒.๒ กุศล อกุศล ที่ทำในวัยกลางคน ส่ง ผลในวัยกลางคน หรือ วัยชรา
๒.๓ กุศล อกุศล ที่ทำในวัยชรา ส่งผลในวัยชรา 

เหตุที่จะทำให้ผลของทานกุศลปรากฏได้ในชาตินี้ มี ๔ คือ 
๑. วัตถุสัมปทา คือ ผู้รับต้องเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ 
๒. ปัจจยสัมปทา คือ ปัจจัยที่ทำกุศลได้มาด้วยความบริสุทธิ์ 
๓. เจตนาสัมปทา คือ มีเจตนาตั้งใจในการทำกุศลอย่างแรงกล้า 
๔. คุณาติเรกสัมปทา คือ พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้รับทานนั้นได้พร้อมด้วยคุณพิเศษ กล่าวคือ พึ่งออกจากนิโรธสมาบัติเมื่อครบด้วยองค์ทั้ง ๔ แล้ว ทานของผู้นั้นก็สำเร็จเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรมและให้ได้รับผลในชาติปัจจุบันทันที 

ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมจะส่งผลในชาตินี้ จะต้องมีลักษณะ ๔ อย่างๆ ใดอย่างหนึ่ง คือ 
๑. ไม่ถูกเบียดเบียนจากกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ ถ้าเป็นกุศลก็ต้องไม่ถูกเบียดเบียนจากอกุศล 
๒. ได้รับการเกื้อหนุนเป็นพิเศษทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ต้องได้รับการ เกื้อหนุนเป็นพิเศษ คือ

ก. ฝ่ายกุศลทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คติสัมปัตติ ๔ คือ เกิดในสุคติภูมิ มนุษย์, เทวดา
ก. ฝ่ายอกุศลทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คติวิปัตติ ๔ คือ เกิดในทุคติภูมิ

ข. กาลสัมปัตติ คือ เกิดในสมัยที่มีพระพุทธศาสนา พระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นสัมมาทิฏฐิ 
ข. กาลวิปัตติ คือ เกิดในสมัยที่ไม่มีพระพุทธศาสนา พระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ค. อุปธิสัมปัตติ คือ เกิดมาร่างกาย อวัยวะครบสมบรูณ์ 
ค. อุปธิวิปัตติ คือ เกิดมาร่างกาย อวัยวะไม่ครบหรือบกพร่อง 

ง. ปโยคสัมปัตติ คือ เพียรประกอบแต่สุจริตกรรม 
ง. ปโยควิปัตติ คือเพียรประกอบในทางทุจริตกรรม
 
๓. มีเจตนาตั้งใจอย่างแรงกล้า การกระทำกรรมใดๆก่อนที่จะกระทำสำเร็จล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา ต้องมีการพิจารณา ไตร่ตรองก่อน ถ้ามีเจตนาที่มีกำลังแรงกล้าอย่างมาก กุศลหรืออกุศลที่สำเร็จด้วยเจตนาที่แรงกล้านี้ ก็จะส่งผลเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ ให้ผลในปัจจุบันได้

๔. กระทำต่อผู้มีคุณพิเศษ การกระทำกรรมใดๆ เมื่อกระทำต่อบุคคลที่ประกอบด้วยคุณพิเศษ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือพระอนาคามี เป็นต้น ฉะนั้นการบริจาคทานจึงต้อง ทำความเข้าใจว่าเราควรมีเจตนาตั้งใจในการทำทาน แต่ปฏิคาหก คือ ผู้รับทานนั้นอย่าได้ปรารภเลย ขอให้น้อมระลึกบูชาพระรัตนตรัย บูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระอริยสงฆ์ น้อมระลึกอย่างนี้แล้วจึงให้ทาน ผลแห่งทานนั้นย่อมมีผลอย่างมากหรืออย่างสูงได้

ชวนะดวงที่ ๗ ส่งผลในชาติที่ ๒ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม 
ชวนะดวง ที่ ๒-๖ ส่งผลกรรมในชาติที่ ๓ จนกว่าจะถึงพระนิพพาน ชื่อว่า อปราปริยเวทนียกรรม 



วันพฤหัสบดี

๒.๔ กฏัตตากรรม

กฏัตตากรรม หมายถึง กรรมที่ทำไว้พอประมาณ พอประมาณในที่นี้หมายถึงไม่เท่าถึงกรรมทั้ง ๓ ข้อ ที่กล่าวมาแล้ว หรือหมายถึงกรรมในอดีตภพ ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ทำกุศลหรืออกุศลโดยไม่มีความตั้งใจ คล้ายกับว่าไม่เต็มใจทำ ทำบุญกฐินผ้าป่าก็ ทำอย่างจำใจ บุญอย่างนี้เมื่อพิจารณาแล้วก็ไม่เข้าข่ายครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม จึงกลายเป็นบุญ ชนิดกฏัตตากรรมไป

สรุป กรรมทั้ง ๔ อย่าง คือ ครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม และกฏัตตากรรม จะส่งผลเรียงไปตามลำดับดังนี้ 
ลำดับที่ ๑ คือ ครุกกรรมจะส่งผลนำไปเกิด 
ลำดับที่ ๒ คือ ถ้าไม่มีครุกกรรม อาสันนกรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในชาติต่อไป 
ลำดับที่ ๓ คือ ถ้าไม่มีครุกกรรมและอาสันนกรรม อาจิณณกรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในชาติต่อไป
ลำดับที่ ๔ คือ ถ้าไม่มีกรรมทั้ง ๓ อย่างข้างต้น กฏัตตากรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนำไปเกิดในชาติต่อไปได้เป็นลำดับสุดท้าย



๒.๓ อาจิณณกรรม

อาจิณณกรรม หมายถึง กรรมที่เคยทำไว้เสมอๆ เป็นกรรมที่บุคคลสั่งสมไว้บ่อยๆ ได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และมหากุศลกรรม ๘ อาจิณณกรรม ในบางแห่งเรียกว่า พาหุลกรรม แปลว่า กรรมที่ทำไว้มาก



กรรมที่เคยทำไว้เสมอๆ บ่อย ๆ คำว่าทำบ่อยๆ ไม่ใช่หมายถึงเพียงจะต้องทำทางกายตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นกรรมที่ทำครั้งเดียว แต่นึกถึงบ่อยๆ ก็เป็นอาจิณณกรรมแล้ว เช่นเคยสร้างโบสถ์ ตลอดชีวิตอาจทำได้ครั้งเดียว แต่ว่านึกถึงบ่อยๆ ก็จัดเป็น อาจิณณกรรมฝ่ายกุศล เพราะนึกถึงครั้งใดจิตใจก็เป็นบุญ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นอกุศลถึงแม้ทำครั้งเดียวแต่ ถ้ามีการนึกถึงบ่อยๆ ก็เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศลตัวอย่างเช่น ในสมัยพุทธกาลมีคนฆ่าหมูชื่อนายจุนทะ ฆ่าหมูทุกวัน เมื่อนายจุนทะใกล้ตาย เขาร้องเป็นเสียงหมูเมื่อตอนถูกเชือด กรรมที่เขาทำอยู่เสมอๆ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่กรรมนั้นไม่มีโอกาสส่งผล แต่เมื่อ ใกล้ตายก็มาส่งผล ฉะนั้นกรรมใดที่บุคคลได้ทำไว้บ่อยๆ ตลอดช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นแหละเป็นอาจิณณกรรม ในขณะใกล้ตายถ้าไม่มีกรรมอื่นๆมาให้ผล กรรมที่เป็นอาจิณณกรรมก็จะให้ผลนำไปเกิด