วันอังคาร

พุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า

อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำโดยง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่นพึงตั้งธรรมห้าอย่างไว้ในใจ คือ
๑.เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ
๒.เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ
๓.เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา
๔.เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส
๕.เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตนและผู้อื่น

ภารกิจสำคัญของการศึกษาคือการฝึกอบรมบุคคลให้พัฒนาปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงและสภาวะของสิ่งทั้งหลาย มีทัศนคติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง ปฏิบัติและจัดการกับสิ่งทั้งหลายตามที่ควรจะเป็น เพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์ตน คือ ความมีชีวิตอยู่อย่างสำเร็จผลดีที่สุด มีจิตใจเป็นอิสระ มีสุขภาพจิตสมบูรณ์ และประโยชน์ต่อผู้อื่น คือ สามารถช่วยสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ชนทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้ ลีลาการสอน เมื่อมองกว้างๆ การสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง จะดำเนินไปจนถึงผลสำเร็จ โดยมีคุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็น

ลีลาในการสอน ๔ อย่าง ดังนี้

๑. สันทัสสนา อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูเห็นกับตา
๒. สมาทปนา จูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติ
๓. สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก
๔. สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติ อาจผูกเป็นคำสั้นๆ ว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือ ชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน 

วิธีสอนแบบต่างๆ วิธีสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายแบบหลายอย่าง ที่น่าสังเกตหรือพบบ่อย คงจะได้แก่วิธีต่อไปนี้
๑. แบบสากัจฉา หรือสนนทนา วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยไม่น้อยกว่าวิธีใดๆ โดยเฉพาะในเมื่อผู้มาเฝ้าหรือทรงพบนั้น ยังไม่ได้เลื่อมใสในพระศาสนา ยังไม่รู้ ไม่เข้า ใจหลักธรรม 
๒. แบบบรรยาย วิธีสอนแบบนี้ น่าจะทรงใช้ในที่ประชุมใหญ่ ในการแสดงธรรมประจำวัน ซึ่งมีประชาชน หรือพระสงฆ์จำนวนมาก และส่วนมากเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจ กับมีความเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว มาฟังเพื่อหาความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมและหาความสงบสุขทางจิตใจ นับได้ว่าเป็นคนประเภทและระดับใกล้เคียงกัน พอจะใช้วิธีบรรยายอันเป็น แบบกว้างๆ ได้
๓. แบบตอบปัญหา ผู้ที่มาถามปัญหานั้น นอกจากผู้ที่มีความสงสัยข้องใจในข้อธรรมต่างๆ แล้ว โดยมากเป็นผู้นับถือลัทธิศาสนาอื่น บ้างก็มาถามเพื่อต้องการรู้คำสอนทาง ฝ่ายพระพุทธศาสนา หรือเทียบเคียงกับคำสอนในลัทธิของตน บ้างก็มาถามเพื่อลองภูมิ บ้างก็เตรียมมาถามเพื่อข่มปรามให้จน หรือให้ได้รับความอับอาย
๔. แบบวางกฎข้อบังคับ ในการสอนแบบนี้พึงสังเกตว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทโดยความเห็นชอบของสงฆ์ หมายความว่า ทรงบัญญัติ โดยชี้แจงให้เห็นแล้วว่า ถ้าไม่รับจะเกิดผลเสียอย่างไร เมื่อรับจะมีผลดีอย่างไร จนสงฆ์รับคำของพระองค์ว่า ดีแล้ว ไม่ทรงบังคับเอาโดยพลการ

 

กลวิธีและอุบายประกอบการสอน 

  • ๑. ยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จำแม่น เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งขึ้น 
  • ๒. การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ปรากฎความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้น 
  • ๓. การใช้อุปกรณ์ในการสอน ในสมัยพุทธกาล หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็ต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ หรือเตรื่องใช้ต่างๆ ที่ผู้คนใช้กันอยู่ 
  • ๔. การทำเป็นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอน เป็นทำนองสาธิตให้ดู 
  • ๕. การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ เป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ 
  • ๖. อุบายเลือกคนและการปฏิบัติรายบุคคล ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นในถิ่นหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน 
  • ๗. การรู้จักจังหวะและโอกาส ผู้เรียนยังไม่พร้อม ก็ต้องมีความอดทน ไม่ชิงหักหาญหรือดึงดันทำ แต่ต้องตื่นตัวอยู่เสมอเมื่อถึงจังหวะหรือเป็นโอกาส 
  • ๘. ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียได้ ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การ สอนได้ผลดีที่สุด ก็จะทำในทางนั้น 
  • ๙. การลงโทษและให้รางวัล สำหรับผู้สอนทั่วไป อาจต้องคิดคำนึงว่า การลงโทษ ควรมีหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร แต่ผู้ที่สอนคนได้สำเร็จผลโดยไม่ต้องอาญาโทษเลย ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสอนมากที่สุด 
  • ๑๐. กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลัก วิธีการ และกลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่อง เฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป 

ข้อสรุปที่เกี่ยวกับการสอน มีดังนี้ 

๑. ปัญญาเป็นสิ่งสร้างสรรค์ขึ้นภายในตัวผู้เรียนเอง 
๒. ผู้สอนทำหน้าที่เป็นกัลลยาณมิตร ช่วยชี้นำทางการเรียน 
๓. วิธีสอน อุบาย และกลวิธีต่างๆ เป็นสื่อหรือเป็นเครื่องผ่อนแรงการเรียนการสอน 
๔. อิสรภาพทางความคิด เป็นอุปกรณ์สำคัญในการสร้างปัญญา

พระโพธิสัตว์เป็นอย่างไร

พระโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คำว่า "โพธิสัตว์" แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานเชื่อว่ามีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่รายละเอียดความเชื่อแตกต่างกันไป

ประเภทของพระโพธิสัตว์ 

พระธัมมปาละ ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ในปรมัตถทีปนี) ว่าพระโพธิสัตว์มี  ๓ ประเภท คือ

๑. พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

๒. พระปัจเจกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

๓. พระสาวกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระอนุพุทธะ

นอกจากนี้ ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตถทีปนี) พระธัมมปาละยังจำแนกพระมหาโพธิสัตว์ออกเป็นอีก ๓ ประเภท คือ

 ๑. ปัญญาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๗ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๙ อสงไขย รวมเป็น ๑๖ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

๒. สัทธาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๔๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๑๔ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๑๘ อสงไขย รวมเป็น ๓๒ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก ๘ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

 ๓. วิริยาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๒๘ อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน




ปกิณกะธรรม

🔆 ปฐมเหตุโลกและชีวิต
🔆 สวรรค์อยู่ที่ไหน
🔆 สวรรค์อยู่ที่ไหน
🔆 ข้อคิดเรื่อง เวสสันดรชาดก
🔆 บทปลงมนุษย์เอ๋ย
🔆 รู้จักพระไตรปิฎกเพื่อเป็นชาวพุทธที่แท้ (ย่อความ)
🔆 ปฏิจจสมุปบาทอย่างง่ายๆสำหรับผู้เริ่มศึกษา
🔆 ความรัก ๒ ระดับ ของบุคคลสำคัญสมัยพุทธกาล
🔆 กาลามสูตร ตรรกวิทยาและความศรัทธา
🔆 องุ่นเปรี้ยวและการมองโลกในแง่ร้าย กับ การปฏิบัติธรรม
🔆 ความสำคัญของสัมมาสมาธิในพุทธศาสนา
🔆 การฝึกสมาธิเบื้องต้นเพื่อความสุขในชีวิตประจำวัน
🔆 ๗ สิ่งที่พึงระวังในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
🔆 การทำทานและผลของทาน
🔆 จากขันธ์ ๕ และไตรลักษณ์ สู่อนัตตลักขณสูตร
🔆 นางขุชชุตตราสาวพิการหลังค่อม
🔆 การเวียนว่ายตายเกิด
🔆 ปล่อยว่าง (อัญญาณุเบกขา)
🔆 วิปัสสนูปกิเลส
🔆 พุทธวงศ์ ๒๕ พระองค์
🔆 ญาณทัสสนะ วน ๓ รอบ มี ๑๒ อาการ พระญาณก่อนการตรัสรู้
🔆 สมสีสีบุคคล
🔆 จากอินเดียสู่เอเซีย
🔆 บารมี ๑๐ สำหรับผู้ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า
🔆 ที่มาของการแบ่งนิกายในศาสนาพุทธ
🔆 เถรวาท-มหายาน 
🔆 พระโพธิสัตว์
🔆 มหายานปัญจขันธศาสตร์
🔆 พุทธวิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า
🔆 จิตกับตัณหา
🔆 ภวังคจิต
🔆 กิเลส ๑,๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘
🔆 คุณแห่งการฉันทอาหารหนเดียว
🔆 นวโกวาท (ฉบับประชาชน)
🔆 ความประเสริฐของมนุษย์
🔆 ชาวบ้านก็เป็นภิกษุได้
🔆 อธิยายเรื่องกรรม
🔆 ทำไมเทวดาจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์

เถรวาท-มหายาน ต่างกันอย่างไร

 คำถามที่คนจำนวนมากมักถามกัน: พุทธมหายานกับเถรวาทต่างกันอย่างไร ? หากต้องการเห็นสิ่งต่าง ๆ ใน ๒ นิกาย เราต้องย้อนกลับไปที่ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาและพิจารณาการเกิดขึ้นและการพัฒนาของนิกายทั้ง ๒ นี้

หลังจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์มีพระชันษา ๓๕ ชันษาจนถึงพระมหาปรินิพพานเมื่อชันษา ๘๐ ท่านใช้ชีวิตในการเทศนาสั่งสอนด้วยความทุ่มเททั้งกลางวันและกลางคืน พระพุทธองค์จะใช้เวลาในการนอนเพียงแค่วันละ ๒ ชั่วโมง การนอนของพุทธองค์ก็เพียงเพื่อให้กายดำรงอยู่ได้โดยปกติเท่านั้น ไม่ใช่การนอนเพราะความอยากนอน

พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนธรรมะกับคนทุกประเภท กษัตริย์, เจ้าชาย, พราหมณ์, ชาวนา, ขอทาน ฯ โดยพระพุทธเจ้าจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าจะใช้วิธีการใด คุณลักษณะใดในการสอน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอนของพุทธองค์




คำสอนของพุทธองค์ทั้งหมดเรียกว่าพุทธวจนะ มี ๒ ส่วนคือ
ส่วนแรก คือการวางกฏระเบียบต่างๆเรียกว่าพระวินัย
ส่วนสอง คือคำเทศนาหรือวาทกรรมต่างๆเรียกว่าพระธรรม

การประชุมสงฆ์หรือการสังคายนาครั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจให้ตรงกันเกี่ยวกับหลักคำสอนและมีแนวทางปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

การสังคายนาครั้งที่ ๑

สามเดือนหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ได้มีการประชุมคณะสงฆ์เพื่อทำการสังคายนาที่กรุงราชคฤห์ โดยมีพระมหากัสสปะซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุดและเป็นประธานในการประชุม โดยคัดเลือกพระอรหันต์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านที่แตกต่างกันคือด้านของพระธรรมและด้านของพระวินัย ตัวอย่างท่านหนึ่งคือพระอานนท์ซึ่งเป็นพระสหายและอัครสาวกของพระพุทธเจ้าที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดพุทธองค์ที่สุดเป็นเวลานานถึง ๒๕ ปี พระอานนท์สามารถท่องสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสได้ด้วยความทรงจำได้ทั้งหมด อีกท่านหนึ่งคือพระอุบาลี อัครสาวกที่ทรงจำพระวินัยได้ทั้งหมด ในการสังคายนาครั้งแรกมีเพียงธรรมสองส่วนนี้เท่านั้นคือ พระธรรมและพระวินัย ยังไม่ไม่มีการจัดหมวดหมู่พระอภิธรรมร่วมอยู่ด้วย ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ มีการอภิปรายเกี่ยวกับพระวินัยกฎ โดยก่อนที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พุทธองค์ได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า ในกาลต่อไปหากหมู่คณะสงฆ์ต้องการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนธรรมวินัยที่พุทธองค์บัญญัติกฏข้อเล็กน้อยก็สามารถทำได้ แต่ในครั้งนั้นพระอานนท์ท่านก็ยังไม่บรรลุอรหันต์ จิตใจยังมีแต่ความเศร้าโศกเพราะพระพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพานจึงไม่ได้คิดถามพระพุทธเจ้าว่ากฎวินัยเล็กน้อยคืออะไร 

ในขณะที่หมู่สงฆ์ในการสังคายนานั้นก็ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าการกำหนดหรือจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เล็กน้อย จะเปลี่ยนอะไรหรืออย่างไรได้บ้าง ในที่สุดพระมหากัสสปะจึงวินิจฉัยว่าไม่ควรเปลี่ยนแปลงกฎวินัยที่พระพุทธเจ้าวางไว้และไม่ควรเพิ่มกฎขึ้นมาใหม่ ให้ดำรงค์ไว้ตามเดิมทั้งหมดที่พุทธองค์ได้บัญญัติไว้ดีแล้ว ในการสังคายนาครั้งนี้พระธรรมถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆและแต่ละส่วนได้รับมอบหมายให้ภิกษุผู้อาวุโสเป็นผู้ถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ของตนด้วยการท่องจำ และเมื่อมีการตรวจสอบความถูกต้องก็จะมาสวดสาธยายธรรมหรือต่อคำกัน ซึ่งหากท่องจำได้ครบถ้วนถูกต้องก็จะสวดหรือสาธยายออกมาได้เหมือนกัน หากพบความไม่เหมือนกันก็จะทำการแก้ไขตรวจสอบว่าของใครถูก ของใครไม่ถูก (นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีบทสวดมนต์)

การสังคายนาครั้งที่ ๒

เกิดขึ้นหลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๑ ราวหนึ่งร้อยปี การสังคายนาครั้งนี้นี้จัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับพระวินัยบางข้อ โดยถือว่าการสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังมหาปรินิพพานของพระพุทธเจ้า สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ทางสังคมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ในช่วง ๑๐๐ ปีต่อมา มีการเปลี่ยนแปลงไปมากจึงสมควรเปลี่ยนแปลงกฏวินัยเล็กๆน้อยได้ แต่ก็มีภิกษุอีกจำนวนหนึ่งเห็นว่าพระวินัยที่พุทธองค์บัญญัติไว้ดีแล้ว ไม่สมควรมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ในขณะที่ภิกษุอีกกลุ่มก็ยืนยันที่จะเปลี่ยนกฏในพระวินัยบางข้อ ในที่สุดภิกษุกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ขอแยกตัวออกมาตั้งคณะสงฆ์ใหม่เป็น มหาสังฆิกะ โดยแยกตัวออกไปทำสังคายนาต่างหาก ในระยะแรกนิกายนี้ไม่ได้รุ่งเรืองอะไรมาก เนื่องจากมีความขัดแย้งกับฝ่ายเถรวาทอย่างรุนแรง แต่ต่อมากลับมีการแพร่หลายมีผู้นับถือมากขึ้นที่เมืองปาฏลีบุตร เวสาลี แคว้นมคธ ไปจนถึงอินเดียใต้ และยังมีนิกายที่แยกแตกตัวออกไปอีก ๕ นิกาย คือ นิกายโคกุลิกวาท นิกายเอกัพโยหาริกวาท นิกายปัญญตติกวาท นิกายพหุสสุติกวาท และนิกายเจติยวาท และถือเป็นต้นกำเนิดของมหายานในปัจจุบัน

การสังคายนาครั้งที่ ๓ 

หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป ๒๓๔ ปี ในช่วงเวลาของจักรพรรดิอโศก การสังคายนาครั้งที่สามถูกจัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับความแตกต่างของความคิดเห็นในหมู่ภิกษุสงฆ์ของนิกายที่แตกต่างกัน ความแตกต่างนี้ไม่ได้ต่างกันในเฉพาะพระวินัยแต่ยังรวมถึงความแตกต่างในพระธรรมด้วย ในตอนท้ายของสภานี้พระโมคคัลลีบุตรติสสะ ประธานสังคายนาได้รวบรวมหนังสือชื่อกถาวัตถุเพื่อหักล้างมุมมองและทฤษฎีที่ผิด ๆ ที่เป็นเท็จซึ่งมีอยู่ในบางนิกาย (พระอภิธรรมปิฎกรวมอยู่ในกถาวัตถุของสภานี้)

หลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๓ ลูกชายของพระเจ้าอโศกที่บวชเป็นภิกษุนามว่าพระมหินทะได้นำ พระธรรมที่ถูกรวบรวมไปยังศรีลังกาพร้อมกับข้อคิดที่อ่านจากการสังคายนาครั้งที่ ๓ นี้ไปเก็บรักษาไว้ที่ลังกาจนถึงทุกวันนี้โดยสมบูรณ์ครบถ้วนทุกหน้า ด้วยภาษาบาลีซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาษามคธที่พระพุทธเจ้าตรัส

ที่มาของมหายาน

ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐-๖๐๐ นิกายมหายานและหินยานทั้งสองนิกายปรากฏอยู่ใน สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นพระสูตรที่สำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนิกชนมหายานโดยเฉพาะในประเทศเอเชียตะวันออก พระสูตรนี้มีสาระสำคัญกล่าวถึงยาน ๓ อย่าง อันจะพาสรรพสัตว์ข้ามพ้นห้วงวัฏสงสารได้ ประกอบด้วย
๑. สาวกยาน (ศฺราวกยาน)
๒. ปัจเจกพุทธยาน (ปฺรตฺเยกพุทฺธยาน)
๓. โพธิสัตวยาน (โพธิสตฺตฺวยาน)

ยานทั้งสามนี้มิใช่หนทาง ๓ สายที่แตกต่างกัน อันจะนำไปสู่เป้าหมาย ๓ อย่างต่างกันแต่ทว่าทั้ง ๓ ยานนี้เป็นหนทางหนึ่งเดียวที่จะนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน

ประมาณ พ.ศ. ๖๐๐-๗๐๐ มหายานได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในนาคารชุนะ เป็นตำราปรัชญาของมหายานเกี่ยวกับปรัชญาศูนยตวาท ที่กล่าวถึงทางสายกลางของทั้งสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีอยู่อย่างเที่ยงแท้) และอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) และปรัชญานี้พิสูจน์ถึงทุกสิ่งเป็นโมฆะ เป็นสูญยตา

ประมาณ พ.ศ. ๘๐๐-๙๐๐ มีนิกายโยคาจาร หรือนิกายวิชญานวาท นำโดยพระอสังคะและพระวสุพันธุ ภิกษุทั้ง ๒ เป็นผู้เผยแผ่คำสอนแนวอภิธรรม มีจารึกจากบันทึกของพระถังซำจั๋ง ระบุว่า แรกเริ่มนั้น ท่านอสังคะเป็นพระในนิกายมหีศาสกะ ต่อมาเกิดความซาบซึ้งในคำสอนของฝ่ายมหายาน ขณะที่น้องชายต่างบิดาของท่านคือ ท่านวสุพันธุ แรกเริ่มนั้นเป็นพระในสังกัดนิกายวรวาทสตวาท แต่ต่อมาท่านแปลงเป็นฝ่ายมหายาน หลังได้พบกับ พระอสังคะพี่ชายของท่าน

พุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้าสู่ศรีลังกาในช่วงประมาณ พ.ศ. ๗๐๐-๘๐๐ นิกายหินยานยังถูกเผยแผ่ในอินเดียและมีการดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ โดยปราศจากรูปแบบของพุทธศาสนาดั้งเดิมที่มีอยู่ในศรีลังกา (ปัจจุบันนิกายหินยานได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว) ดังนั้นในปีพ.ศ ๒๔๙๓ สมาคมโลกของชาวพุทธเปิดตัวในโคลัมโบตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่านิกายหินยานควรถูกยกเลิกไป นี่คือประวัติโดยย่อของเถรวาทมหายานและหินยาน

มหายานและเถรวาท

ทีนี้มหายานกับเถรวาทต่างกันอย่างไร?
จากการศึกษาพบว่าเถรวาทกับมหายานแทบจะไม่แตกต่างกันเลยในเรื่องของคำสอนพื้นฐาน

- ทั้งสองยอมรับพระโคดมพุทธเจ้าเป็นบรมครู
- อริยสัจสี่เหมือนกันทุกประการในทั้งสองนิกาย
- ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ เหมือนกันทุกประการ
- ปฎิจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา เหมือนกันทั้งสองนิกาย
- ทั้งสองปฏิเสธความเชื่อว่าเอกภพนี้มีพระผู้สร้าง
- ทั้งสองยอมรับกฏไตรลักษณ์ 
- ทั้งสองยอมรับศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางสู่นิพพาน

นี่คือคำสอนที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้าและเป็นที่ยอมรับของทั้งสองโนิกายโดยไม่มีการขัดแย้งกัน

มีเฉพาะบางจุดที่แตกต่างกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ อุดมคติของพระโพธิสัตว์ หลายคนกล่าวว่ามหายาน มีไว้เพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งนำไปสู่ความเป็นพุทธะในขณะที่เถรวาทนั้นมีไว้สำหรับสาวกผู้ต้องการการหลุดพ้นจากวัฎสงสารเฉพาะตัวเอง

เถรวาทพิจารณาพระโพธิสัตว์ในฐานะมนุษย์ แต่มหายานให้ความสำคัญและยกย่องกับการบำเพ็ญเยี่ยงพระโพธิสัตว์ การอุทิศทั้งชีวิตเพื่อสร้างสมบารมีให้เต็ม เพื่ออุบัติเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่เพื่อนำความผาสุกมาสู่โลกอีกครั้ง

วันอาทิตย์

พระโพธิสัตว์ ๕๔๗ ชาติ



พุทธประวัติ

พุทธประวัติ คือ ประวัติเรื่องราวต่าง ๆ ของพระโคตมพุทธเจ้า ตลอดถึงเรื่องราวต่างของบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ จนถึงดับขันธปรินิพพาน

สารบัญหน้าเว็บย่อย
๐๑.ศากยวงศ์
๐๒.พระโพธิสัตว์จุติ
๐๓.ประสูติ
๐๔.คำทำนายโหราจารย์
๐๕.เสด็จออกบรรพชา
๐๖.ตรัสรู้
๐๗.เสวยวิมุติสุข
๐๘.ปฐมเทศนา
๐๙.พุทธกิจ ๔๕ พรรษา
 - ๐๙.๑ พรรษาที่ ๑   🔊
 - ๐๙.๒ พรรษาที่ ๒-๔   🔊
 - ๐๙.๓ พรรษาที่ ๕   🔊
 - ๐๙.๔ พรรษาที่ ๖   🔊
 - ๐๙.๕ พรรษาที่ ๗   🔊
 - ๐๙.๖ พรรษาที่ ๘    🔊
 - ๐๙.๗ พรรษาที่ ๙   🔊
 - ๐๙.๘ พรรษาที่ ๑๐   🔊 
 - ๐๙.๙ พรรษาที่ ๑๑-๔๕ 
๑๐.ปรินิพพาน

สถานที่หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์๔ สังเวชนียสถาน
แห่งที่๑ เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช ปักไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังทราบว่าตรงจุดนี้ เป็นที่ที่พระบรมศาสดาออกจากพระครรภ์ของพระมารดา ปัจจุบันสถานที่นี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย และสถานที่ประสูตินี้ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนอินเดีย-เนปาลประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ปัจจุบันสังเวชนียสถานแห่งนี้ ภาษาทางราชการเรียกว่า "ลุมมินเด" แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังเรียกว่า "ลุมพินี"



แห่งที่ ๒ วิหารตรัสรู้ สถานที่ตรัสรู้นี้ แต่เดิมทีเดียวในสมัยพุทธกาลนั้น คือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ ซึ่งมีเมืองราชคฤห์ เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้นี้เรียก ตำบลพุทธคยา ขึ้นอยู่กับจังหวัดคยา (ห่างจากจังหวัดคยา ๑๒ กิโลเมตร) รัฐพิหาร มีเมืองหลวงชื่อ ปัฎนะ หรือ ปัฎนา (หรือชื่อเดิมว่า ปาฎลีบุตร) ;

แห่งที่ ๓ ธัมเมกขสถูป คือสถานที่แสดงปฐมเทศนา หรือสถานที่พระตถาคตเจ้าทรงยังพระอนุตรธัมจักให้เป็นไป สถานที่นี้อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ปัจจุบันเรียกสารนาถ ห่างจากเมืองประมาณ ๘ กิโลเมตร ซึ่งเมืองพาราณสีนี้อยู่ห่างจากเมืองพุทธคยา สถานที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร

แห่งที่ ๔ สถูปและวิหารปรินิพพานที่เมืองกุสินารา คือ สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุาทิเสสนิพพานธาตุดับไม่มีส่วนเหลือ คือทั้งกิเลส ทั้งเบญจขันธ์ดับหมด ตามปกติพระอรหันต์ทั่วไปๆไปจะนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรกนั้นเป็นการดับกิเลส ส่วนเบญจขันธ์ยังอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพาน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่จิตเข้าสู่แดนพระนิพพานเท่านั้น เป็นจิตที่สะอาด ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์แล้ว ดังเช่นพระพุทธเจ้า นิพพานครั้งแรกนี้เมื่อวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ส่วนนิพพานครั้งที่ ๒ ก็คือ อนุปาทิเสสนิพาน ดังได้กล่าวแล้วนั้นเอง สถานที่นิพพานที่พุทธประวัติระบุว่า สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันมีสถูปและวิหารเป็นสัญลักษณ์ เป็นอุทยานที่ได้รับการรักษาจากทางการอินเดียเป็นอย่างดี มีต้นสาละและไม้อื่นปลูกอยู่ทั่วไป ให้ความร่มรื่นพอสมควร

๔. ดิรัจฉานภูมิ

ดิรัจฉาน หมายความว่า ไปขวาง คือเดินไปตามขวาง หรือขวางจากมรรคผลนิพพาน
ดิรัจฉาน มี ๒ ชนิด คือ ดิรัจฉานที่ไม่เห็นได้ด้วยตาเป็นปกติ เช่น พญานาค กินนรา พญาครุฑ เป็นต้น และที่เห็นได้ด้วยตาเป็นปกติ เช่น สุนัข แมว ช้าง ปลา เป็นต้น

ดิรัจฉาน จำแนกโดยขา มี ๔ จำพวก คือ
๑. อปทติรัจฉาน ได้แก่ ดิรัจฉานที่ไม่มีขา เช่น ปลา งู เป็นต้น
๒. ทวิปทติรัจฉาน ได้แก่ ดิรัจฉานที่มี ๒ ขา เช่น นก เป็นต้น
๓. จตุปปทติรัจฉาน (อ่านว่า จะ-ตุป-ปะ-ทะ-ติ-รัด-ฉาน) ได้แก่ ดิรัจฉานที่มี ๔ ขา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น
๔. พหุปปทติรัจฉาน (อ่านว่า พะ-หุป-ปะ-ทะ-ติ-รัด-ฉาน) ได้แก่ดิรัจฉานที่มีขามากกว่า ๔ ขา เช่น ปู แมงมุม ตะขาบ เป็นต้น

ดิรัจฉานโดยทั่วไป มีทั้งอดอยาก อ้วนพี มีความเดือดร้อน ที่มีสุขมากก็มีเหมือนกันแต่มีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จะมีความเดือดร้อนมาก มีความสุขน้อย 
ดิรัจฉานมีสัญชาตญาณ หรือสัญญา ๓ อย่าง คือ
๑. กามสัญญา คือ รู้จักเสวยกามคุณ
๒. โคจรสัญญา คือ รู้จักกินนอน
๓. มรณสัญญา คือ รู้จักกลัวตาย



สัญญาทั้ง ๓ นี้มีแก่สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย คือสัตว์รู้จักสืบพันธุ์ รู้จักกิน รู้จักนอน และกลัวตายแต่มนุษย์นั้นมีสัญญาต่างกันกับสัตว์ดิรัจฉาน คือ มนุษย์มีธรรมสัญญา มนุษย์จึงรู้ดี รู้ชอบ รู้ผิด รู้ถูก รู้จักบุญ รู้จักบาป สัตว์ดิรัจฉานทั่วไปไม่มีธรรมสัญญาอย่างมนุษย์ แต่ดิรัจฉานที่เป็นพระโพธิสัตว์จะมีธรรมสัญญา พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จะไม่เกิดเป็นดิรัจฉานที่มีขนาดเล็กกว่านกกระจาบ และมีขนาดไม่ใหญ่กว่าช้าง

นาคและครุฑ เรื่องนาคและครุฑ ได้มีกล่าวไว้ใน นาคสังคยุต ว่า กำเนิดนาคมี ๔ คือ นาคเกิดจากฟองไข่ นาคเกิดจากครรภ์ นาคเกิดจากเถ้าไคล นาคเกิดผุดขึ้น (อย่างเทพหรือสัตว์นรก) นาคเหล่านี้ประณีตกว่ากันขึ้นไปโดยลำดับ นาคโดยมากกลัวหมองูและครุฑ ต้องคอยซ่อนกายซ่อนตัวอยู่เสมอ แต่นาคบางพวกคิดว่าตนมาเกิดเป็นนาคก็เพราะเมื่อชาติก่อนมีความประพฤติดีบ้างชั่วบ้างทั้งสองอย่าง ถ้าบัดนี้ประพฤติสุจริตก็จะพึงไปเกิดในสวรรค์ได้ในชาติต่อไป จึงตั้งใจประพฤติสุจริตกายวาจาใจ รักษาอุโบสถศีล นาคผู้รักษาอุโบสถนี้ ย่อมปล่อยกายตามสบาย ไม่กลัวหมองูหรือครุฑจะจับ 
เหตุที่ให้ไปเกิดเป็นนาค เพราะกรรมสองอย่าง ดีบ้างชั่วบ้าง และเพราะปรารถนาไปเกิดในกำเนิดเช่นนั้นด้วยชอบใจว่า นาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีสุขมาก บางทีชอบใจ ตั้งปรารถนาไว้ดังนั้นแล้วก็ให้ทานต่างๆ เพื่อให้ไปเกิดเป็นนาคสมความปรารถนา

ครุฑ
หรือ สุบรรณ ที่กล่าวไว้ใน สุปัณณสังยุต ว่ามีกำเนิดสี่ และประณีตกว่ากันโดยลำดับเช่นเดียวกัน เหตุที่จะให้ไปเกิดเป็นครุฑก็เช่นเดียวกัน ข้อที่กล่าวไว้เป็นพิเศษ ก็คือ อำนาจในการจับนาค ครุฑย่อมจับนาคที่มีกำเนิดเดียวกับตน และที่มีกำเนิดต่ากว่าได้ จะจับนาคที่มีกำเนิดสูงกว่าไม่ได้
เรื่องนาคเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหลายแห่ง ในคัมภีร์พระวินัย มหาวรรค ได้กล่าวถึงพญานาคมาแผ่พังพานเป็นร่มกันฝนถวายพระพุทธเจ้า ในปฐมโพธิกาลกล่าวถึงนาค มีใจความโดยย่อว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจลินท์ (ไม้จิก) ๗ วัน ในสมัยนั้นมหาเมฆที่ไม่ใช่กาลตั้งขึ้น ฝนตกพร่ำเจือด้วยลมหนาว ๗ วัน นาคราช ชื่อว่า มุจลินท์ ออกจากภพของตนเข้ามาวงพระกายของพระองค์ด้วยขนด ๗ รอบ แผ่พังพานปกเบื้องบนเพื่อป้องกันฝนและลมมิให้ถูกพระกาย ครั้นฝนหายแล้ว คลายขนดออก จำแลงเพศเป็นมาณพหนุ่มมายืนเฝ้า ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ พระองค์ทรงทราบแล้วได้ทรงเปล่งอุทานมีความว่า “ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้พอใจแล้ว ได้ประสบธรรมแล้วเห็นแจ้งอยู่ ความไม่เบียดเบียนคือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัดคือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้เป็นสุข ความกำจัดอัสมิมานะ คือความถือว่าตัวตนให้หมดได้เป็นสุขอย่างยิ่ง” จากคัมภีร์พระวินัยปิฎก กล่าวถึงเรื่องนาคจำแลงมาบวช มีใจความโดยย่อว่า

นาคตนหนึ่งอึดอัดรังเกียจในชาติกาเนิดนาคของตน คิดว่าทำไฉนจะพ้นไปเกิดเป็นมนุษย์โดยเร็วได้ เห็นว่าพระสมณะศากยบุตรเหล่านี้ประพฤติธรรมอันสมควรสม่ำเสมอ เป็นพรหมจารี มีวาจาสัจ มีศีลมีธรรม ถ้าได้บวชในพระเหล่านี้ ก็จะมีผลานิสงส์ให้พ้นชาติกำเนิดนาคไปเกิดเป็นมนุษย์เร็วดั่งปรารถนาเป็นแน่แท้ ครั้นคิดเห็นดั่งนี้แล้วจึงจำแลงเพศเป็นมาณพคือชายหนุ่มน้อย เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบวช ภิกษุทั้งหลายก็ให้มาณพจำแลงนั้นบรรพชาอุปสมบท นาคนั้นอยู่ในกุฏิท้ายวัดกับภิกษุรูปหนึ่ง ตกถึงเวลาใกล้รุ่ง ภิกษุรูปนั้นลงจากกุฏิไปเดินจงกรมในที่แจ้ง ฝุายนาคเมื่อภิกษุออกไปแล้วก็ปล่อยใจม่อยหลับไป ร่างจำแลงก็กลับเป็นงูใหญ่เต็มกุฏิขนาดล้นออกไปทางหน้าต่าง ภิกษุร่วมกุฏิเดินจงกรมพอแล้วกลับขึ้นกุฏิ ผลักบานประตูจะเข้าไปมองเห็นงูใหญ่นอนขดอยู่เต็มห้องขนดล้นออกไปทางหน้าต่าง ก็ตกใจร้องลั่นขึ้น ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ใกล้เคียงก็พากันวิ่งมาไต่ถามว่ามีเหตุอะไร ภิกษุนั้นได้เล่าให้ฟัง ขณะนั้นนาคตื่นขึ้นเพราะเสียงเอะอะ ก็จำแลงเพศเป็นคนครองผ้ากาสาวพัสตร์นั่งอยู่บนอาสนะของตน พวกภิกษุถามว่าเป็นใคร ก็ตอบตามจริงว่าเป็นนาค พระองค์ตรัสให้ประชุมภิกษุสงฆ์แล้วตรัสแก่นาคว่า “เกิดเป็นนาคไม่มีโอกาสที่จะงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ได้แล้ว จงไปรักษาอุโบสถในวัน ๑๔-๑๕ ค่ำ และในวัน ๘ ค่ำ แห่งปักษ์นั้นเถิด ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ก็จักพ้นจากชาติกำเนิดนาคและจะได้เป็นมนุษย์โดยเร็ว” นาคได้ฟังดั่งนั้นมีทุกข์เสียใจว่าตนหมดโอกาสที่จะงอกงามในพระธรรมวินัยนี้ น้ำตาไหลร้องไห้หลีกออกไป พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า มีเหตุปัจจัย ๒ ประการที่ทำให้นาคปรากฏภาวะของตน คือ อยู่ร่วมกับนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน และปล่อยใจสู่ความหลับ พระองค์ทรงถือเรื่องนี้เป็นเหตุ ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามอุปสมบทสัตว์ดิรัจฉานแต่เมื่อกล่าวถึงกาลเวลาทั้งหมดที่นาคจะต้องปรากฏตัว ก็มีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑.เวลาปฏิสนธิ
๒.เวลาลอกคราบ
๓.เวลาอยู่กับนางนาคผู้มีชาติเสมอกัน
๔.เวลาปล่อยใจเข้าสู่ความหลับ
๕.เวลาตาย



© 2008. Template by Dicas Blogger.

TOPO