พระอภิธรรม มหาปัฏฐาน (ปัจจัย ๒๔)


🙏ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๑
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๒
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๓
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๔
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๕
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๖
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๗
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๘
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๙
🔉พระอภิธรรม มหาปัฎฐาน ๑๐


พระอภิธรรม ปฎิจสมุปบาท

👉 หัวข้อปฎิจสมุปบาทที่สามารถอ่านได้

🔅 ปฎิจจสมุปบาท (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์)
        หน้า๑ ความหมายของคำว่า "ปฏิจจสมุปบาท"
        หน้า๒ กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท ๑๒ หัวข้อ

🔅 ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ (เสถียร โพธินันทะ)
        หน้า๑ สมบูรณภาพนิยม
        หน้า๒ ปัจจยธรรม ปัจจยะสมุปปัณณธรรม
        หน้า๓ ปฎิจจสมุปบัณณะคืออะไร
        หน้า๔ มัชฌิมาปฏิปทาคืออะไร
        หน้า๕ อวิชชากับภวตัณหา
        หน้า๖ เหตุแห่งภพ
        หน้า๗ 
เหตุแห่งภพ (๒)



🙏ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๑
🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๒
🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๓
🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๔
🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๕
🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๖
🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๗
🔉ปฎิจสมุปบาท ตอนที่ ๘


อัญญสมานาเจตสิก ๑๓

คำว่า “อัญญสมาน” นี้ เมื่อแยกศัพท์แล้วได้ ๒ ศัพท์ คือ :-

อัญญ หมายถึง ธรรมอื่น
สมาน หมายถึง เหมือนกัน

อัญญสมาน จึงหมายถึง เหมือนธรรมอื่น ธรรมอื่นในที่นี้ หมายถึง เจตสิกธรรม ที่เป็นทั้งโสภณเจตสิกและอกุศลจิต ฉะนั้น อัญญสมานาเจตสิก จึงหมายถึงเจตสิกที่มีสภาพเหมือนธรรมอื่น กล่าวคืออัญญสมานาเจตสิก ย่อมประกอบกับโสภณเจตสิก และอกุศลเจตสิกได้ทั้ง ๒ พวก

ส่วนโสภณเจตสิก ซึ่งไม่เหมือนกับอกุศลเจตสิก หรืออกุศลเจตสิกซึ่งไม่เหมือนโสภณเจตสิก ทั้ง ๒ พวกนี้ จึงไม่อาจประกอบกันได้ เหมือนอย่างอัญญสมานาเจตสิก

อัญญสมานาเจตสิก ๑๓

แผนผังอัญญสมานาเจตสิก


อัญญสมานาเจตสิกนี้ มีอยู่ ๒ นัย คือ

🔆 นัยที่ ๑. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก 
สัพพจิตสาธารณเจตสิก เมื่อแยกศัพท์ออกแล้วได้ ๓ ศัพท์ คือ สพฺพ + จิตฺต + สาธารณ
        สัพฺพ หมายถึง ทั้งหมด
        จิตฺต หมายถึง จิต
        สาธารณ หมายถึง ทั่วไป
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก จึงหมายถึง เจตสิกที่ประกอบได้ทั่วไปแก่จิตทั้งหมด เจตสิกประเภทนี้มี ๗ ดวงคือ

๑. ผัสสเจตสิก

ผัสสเจตสิก เป็นธรรมชาติที่กระทบถูกต้องอารมณ์ ลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของผัสสเจตสิก มีอยู่ ๔ ประการ ที่เรียกว่า ลักขณาทิจตุกะ คือ :

    ผุสฺสนลกฺขโณ มีการกระทบอารมณ์ เป็นลักษณะ
    สงฺฆฏฺฏนรโส มีการประสาน(อารมณ์-ทวาร วิญญาณ) เป็นกิจ
    สนฺนิปาตปัจจุปัฏฐาโน มีการประชุมพร้อมกัน เป็นผลปรากฏ
    อาปาตคตวิสัยปทุฏฐาโน มีอารมณ์ที่ปรากฏเฉพาะหน้า เป็นเหตุใกล้

ผัสสเจตสิกที่มีการกระทบอารมณ์เป็นลักษณะนั้น เพราะผัสสะนั้นมีอรรถว่า กระทบถูกต้อง ผัสสะนี้เป็นอรูปธรรม การกระทบนั้นจึงเป็นไปโดยการกระทบอารมณ์นั้น เหมือนคนที่เห็นผู้อื่นรับประทานของเปรี้ยว แล้วเกิดน้ำลายไหล คล้ายกับว่า ตนเองกำลังกระทบกับของเปรี้ยว ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นไปโดยอาการที่ผัสสะกระทบกับอารมณ์นั่นเอง แม้ผัสสะ ซึ่งเป็นอรูปธรรม จะเป็นตัวกระทบอารมณ์เป็นลักษณะ และเมื่อกระทบแล้ว ย่อมดับไป ไม่มีอะไรเหลือเป็นส่วนติดค้างอยู่ก็จริง แต่ผัสสะนั้นก็เป็นตัวประสานจิตกับอารมณ์ให้เกิดรู้ขึ้นมา เหมือนประสานรูปกับตาให้เห็น ประสานเสียงกับหูให้ได้ยิน เป็นต้น จึงชื่อว่าผัสสะ มีการประสานจิตกับอารมณ์เป็นกิจ เมื่อผัสสะเป็นสิ่งประสานจิตกับอารมณ์แล้วสภาพธรรมอันเป็นผลของผัสสะนั้น จึงเกิดขึ้น ๓ ประการคือ อารมณ์ ๑ ทวาร ๑ และวิญญาณ ๑

กล่าวคือ เกิดการประชุมพร้อมกันแห่งสภาวธรรม ประการดังกล่าวแล้วนั้นจึงชื่อว่า ผัสสะ มีการประชุมพร้อมกันแห่งสภาวธรรม ๓ ประการเป็นผลปรากฏ ผัสสะ ย่อมมีอารมณ์เป็นเหตุใกล้ กล่าวคือ เมื่อมีอารมณ์มาครอง(ทวาร) ประกอบด้วยการเอาใจใส่ที่เหมาะสม อันอินทรีย์ปรุงแต่งดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุใกล้ให้ผัสสะเกิดขึ้น โดยไม่มีอะไรขัดขวาง

๒. เวทนาเจตสิก

เวทนาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ ธรรมชาติที่ชื่อว่า เวทนานั้นมีอรรถว่า รับรู้ คือเสวยรสแห่งอารมณ์ จริงอยู่แม้สัมปยุตธรรมอื่นนอกจากนี้ ก็ย่อมมีการเสวยอารมณ์ได้ด้วยเหมือนกัน แต่เป็นการเสวยอารมณ์เพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น ผัสสะ มีการเสวยอารมณ์ชั่วขณะกระทบถูกต้อง สัญญาก็มีการเสวยเพียงจำเก็บอารมณ์เท่านั้น เจตนาก็เพียงการตั้งใจต่ออารมณ์เท่านั้น มิได้มีการเสวยโดยลิ้มรสของอารมณ์ โดยตรงเหมือนอย่างเวทนา เพราะฉะนั้นเวทนาจึงนับว่าเป็นเจ้าของ เป็นใหญ่ มีอำนาจในการเสวยอารมณ์โดยตรง ในอัฏฐสาลินีอรรถกถาเปรียบเวทนาเหมือนพระราชา สัมปยุตธรรมนอกจากนี้เหมือนพ่อครัวผู้ปรุงโภชนะที่มีรสดีต่างๆ แล้วเก็บใส่ภาชนะประทับตรา นำเข้าถวายพระราชา พระองค์ทรงเป็นเจ้าของ เป็นใหญ่ มีอำนาจเสวยได้ตามพระราชประสงค์ ส่วนสัมปยุตธรรมนอกนั้นเสวยรสอารมณ์ได้เพียงบางส่วน เหมือนพ่อครัวหรือต้นเครื่อง เพียงแต่ดมกลิ่น ชิมทดลองพระกระยาหารแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า เวทนา เป็นธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ทั้งหมด โดยตรงและแน่นอน

ลักษณะของเวทนา ตามนัยของปฏิจจสมุปบาท

    อนุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ เป็นลักษณะ
    วิสยรสสมฺโภครสา มีการเสวยรสของอารมณ์ เป็นกิจ
    สุขทุกฺขปจฺจุปฏฺฐานา มีสุข และมีทุกข์ เป็นผลปรากฏ
    ผสฺสปทฏฺฐานา มีผัสสะ เป็นเหตุใกล้

การรับรู้หรือการเสวยอารมณ์ของเวทนานั้น ถ้าจะจำแนกความรู้สึกในการเสวยอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์, อนิฏฐารมณ์ และมัชฌัตตารมณ์แล้ว ได้ความรู้สึกสุขสบายเรียกว่า สุขเวทนา, ความรู้สึกเป็นทุกข์ไม่สบายเรียกว่าทุกขเวทนา, ความรู้สึกเฉยๆ คือไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา การจำแนกเวทนาเป็น ๓ ประเภท ตามความรู้สึกในการเสวยอารมณ์นี้เรียกว่า จำแนกโดย อารัมมณานุภวนลักขณนัย แต่ถ้าจำแนกโดยความเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์คือ การเสวยอารมณ์ที่เกี่ยวกับกายและเกี่ยวกับใจแล้ว ก็จำแนกออกเป็น ๕ ประเภทคือ :-

ทางกาย มี ๒ ได้แก่
ความรู้สึกสบายกาย เรียกว่า สุขเวทนา
ความรู้สึกไม่สบายกาย เรียกว่า ทุกขเวทนา

ทางใจ มี ๓ ได้แก่
ความรู้สึกสบายใจ เรียกว่า โสมนัสเวทนา
ความรู้สึกไม่สบายใจ เรียกว่า โทมนัสเวทนา
ความรู้สึกเฉยๆ เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

การจำแนกเวทนาโดยความเป็นใหญ่ในการเสวยอารมณ์ออกเป็น ๕ ประเภทนี้ เรียกว่า จำแนกโดย อินทริยเภทนัย จะได้แสดงลักษณะพิเศษเฉพาะตนของเวทนาทั้ง ๕ ประการ ตามนัยดังกล่าวนี้ คือ :-
    

  • ๑. สุขเวทนาเจตสิก คือ ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์สบายทางกาย มีลักขณาทิจตุกะ แสดงว่า
    อิฏฐโผฏฺฐพฺพานุภวนลกฺขณา มีการสัมผัสกับโผฏฐัพพารมณ์ที่ดี เป็นลักษณะ
    สมปยุตฺตานํ พยุหนรสา มีการทำให้สัมปยุตธรรมเจริญ เป็นกิจ
    กายิกอสฺสาทปจฺจุปฏฺฐานา มึความยินดีทางกาย เป็นผล
    กายินฺทริยปทฏฺฐานา มีกายปสาท เป็นเหตุใกล้
  • ๒. ทุกขเวทนาเจตสิก คือธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ไม่สบายทางกาย มีลักขณาทิจตุกะ คือ :-
    อนิฏฐโผฏฐพฺพานุภวนลกขณา มีการสัมผัสกับโผฏฐัพพารมณ์ที่ไม่ดี เป็นลักษณะ
    สมฺปยุตฺตานํ มิลาปนรสา มีการทำสัมปยุตธรรมให้เศร้าหมอง เป็นกิจ
    กายิกาพาธ ปจฺจุปฏฺฐานา  มีความอาพาธทางกาย เป็นผล
    กายินฺทริยปทฏฺฐานา มีกายปสาท เป็นเหตุใกล้
  • ๓. โสมนัสเวทนาเจตสิก คือ ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์สบายใจ มีลักขณาทิจตุกะ คือ :-
    อิฏฐารมุมณานุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ที่ดี เป็นลักษณะ
    อิฏฐาการสมฺโภครสา มีการประจวบกับอาการที่น่าปรารถนา เป็นกิจ
    เจตสิกอสฺสาทปจฺจุปฏฺฐานา มีความแช่มชื่นยินดีทางใจ เป็นผล
    ปสฺสทฺธิปทฏฺฐานา มีความสงบกายใจ เป็นเหตุใกล้
  • ๔. โทมนัสเวทนาเจตสิก คือ ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ไม่สบายใจ มีลักขณาทิจตุกะ คือ :-
    อนิฏฐารมุมณานุภวนลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ที่ไม่ดี เป็นลักษณะ
    อนิฏฐาการสมฺโภครสา มีการประจวบกับอาการที่ไม่น่าปรารถนา เป็นกิจ
    เจตสิกาพาธปัจจุปฏฺฐานา มีความอาพาธทางใจ เป็นผล
    หทยวตฺถุปทฏฺฐานา มีหทัยวัตถุ เป็นเหตุใกล้
  • ๕. อุเบกขาเวทนาเจตสิก คือธรรมชาติที่เสวยอารมณ์เฉยๆ ทางใจ ไม่โทมนัสและไม่โสมนัส มีลักขณาทิจตุกะ คือ :
    มชฺฌตฺต เวทยิตลกฺขณา มีการเสวยอารมณ์ปานกลาง เป็นลักษณะ
    สมปยุตฺตานํ นาติอุปพยูหน มิลาปนรสา มีการรักษาสัมปยุตธรรม ไม่ให้เจริญและไม่ให้เศร้าหมอง เป็นกิจ
    สนฺตภาวปจฺจุปฏฺฐานา มีความสงบ เป็นผล
    นิปฺปีติกจิตฺตปทฏฺฐานา มีจิตที่ไม่มีความปีติยินดี เป็นเหตุใกล้

อย่างไรก็ตาม สุข ทุกข์, โสมนัส, โทมนัส หรืออุเบกขา ก็ล้วนแต่ อาการเสวยรสแห่งอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้น เวทนาเจตสิก จึงกล่าวได้ว่าเป็นธรรมชาติที่เสวยอารมณ์

๓. สัญญาเจตสิก

สัญญาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่จำอารมณ์ เช่น จำอารมณ์นี้ว่า เป็นสีเขียว, สีแดง หรือยาว, สั้น, กลม, แบน หรือเหลี่ยมเป็นต้น มีลักขณาทิจตุกะดังนี้คือ :-

  • สัญชานน ลักฺขณา มีความจํา เป็นลักษณะ
  • ปุนสญฺชานน ปจฺจยนิมิตุตกรณรสา มีการทำเครื่องหมายเพื่อให้รู้ต่อไป เป็นกิจ
  • ยภาคหิต นิมิตฺตัวเสน อภินิเวสกรณ์ปัจจุปฏฺฐานา มีความจำเครื่องหมายที่กำหนดให้ไว้ เป็นผล
  • ยถาอุปฏจิตวิสยปทฏฺฐานา มีอารมณ์ที่ปรากฏ เป็นเหตุใกล้

๔. เจตนาเจตสิก

เจตนาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่จัดแจงเอาธรรมที่สัมปยุตกับตนไว้ในอารมณ์คือ มีภาวะที่กระตุ้นเตือนให้สัมปยุตธรรมที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ตั้งใจทำกิจของตนๆ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • เจตนาภาวลกฺขณา มีความตั้งใจ เป็นลักษณะ
  • อายูหนรสา มีการประมวลมา เป็นกิจ
  • สวิธานปจฺจุปฏฺฐานา มีการจัดแจง เป็นผล
  • เลสขนฺธตฺตยปทฏฐานา มีนามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้

มีความตั้งใจเป็นลักษณะนั้น ก็คือ ความมุ่งหวัง เพื่อให้ธรรมที่สัมปยุตด้วยตนเป็นไปในอารมณ์ มีการประมวลมาเป็นกิจ มุ่งหมายถึงมีหน้าที่ประมวลมาซึ่ง กรรม มีกุศลกรรม และอกุศลกรรมเป็นกิจ มีความจัดแจงเป็นผล หมายถึงความขวนขวายในการปรุงแต่งธรรมที่เป็นสังขตะ จึงจำแนกไว้ในประเภท สังขารขันธ์ เพราะอรรถว่าปรุงแต่งสิ่งที่เป็นสังขตธรรม เป็นผล

มีนามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์ และวิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้ คือนามขันธ์ ๔ นั้น เมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกัน และช่วยอุดหนุนซึ่งกันและกัน ฉะนั้น เมื่อเจตนาเจตสิก ซึ่งเป็นสังขารขันธ์เกิดขึ้น นามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ จึงเป็นเหตุใกล้ให้เกิด

๕. เอกัคคตาเจตสิก

เอกัคคตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่สงบ และทำให้สัมปยุตธรรมตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • อวิกฺเขปลกฺขณา มีการไม่ฟุ้งซ่าน เป็นลักษณะ
  • สหชาตานํ สมฺปิณฺฑนรสา มีการรวบรวมสหชาติธรรม เป็นกิจ
  • อุปสมปจฺจุปฏฺฐานา มีความสงบ เป็นผล
  • สุขปทฏฺฐานา มีสุขเวทนา เป็นเหตุใกล้

๖. ชีวิตินทรียเจตสิก

ชีวิตินทรียเจตสิก เป็นธรรมชาติที่รักษาสัมปยุตธรรม ที่ชื่อว่า “ชีวิต” เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องดำรงอยู่แห่งสัมปยุตธรรมทั้งหลาย และชื่อว่า “อินทรีย์” เพราะประกอบด้วยความเป็นใหญ่ในการอนุบาลธรรมที่เกิดร่วมกัน เพราะเป็นเครื่องดำรงอยู่ และเป็นใหญ่ในการอนุบาลสัมปยุตธรรม จึงชื่อว่า ชีวิตินทรียเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • สหชาตานํ อนุปาลนลกขณํ มีการรักษาสหชาติธรรม เป็นลักษณะ
  • เตสํ ปวตฺตนรสํ มีความตั้งอยู่ และเป็นไปได้แห่งสัมปยุตธรรม เป็นกิจ
  • เตสญฺเญ ถปนปจจุปฏฺฐานํ มีการดำรงอยู่ได้แห่งสหชาตธรรม เป็นผล
  • เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐานํ มีนามขันธ์ที่เหลือทั้ง ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้

ชีวิตินทรียเจตสิก ที่มีการอนุบาลสัมปยุตธรรมที่เกิดร่วมกันนั้น เหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงดอกบัวให้ดำรงความสดอยู่ ฉะนั้น

๗. มนสิการเจตสิก

การกระทำ ชื่อว่า “การะ” การกระทำไว้ในใจ ชื่อว่า “มนสิการ” มนสิการเจตสิก เป็นธรรมชาติที่เหนี่ยวนำสัมปยุตธรรม เข้าสู่อารมณ์อยู่เสมอ เช่น เมื่อรูปารมณ์มากระทบจักขุปสาทแล้ว จักขุวิญญาณจิตก็เกิดขึ้นพร้อมด้วยมนสิการเจตสิก ขณะเดียวกันนั้นเอง มนสิการเจตสิกก็เป็นผู้นำให้จิตและเจตสิกดวงอื่นๆ ที่เกิดพร้อมกับตนนั้น มุ่งเข้าสู่รูปารมณ์ ในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา ได้อุปมามนสิการเจตสิกนี้ เป็นเหมือนนายสารถีที่ชักม้าไปสู่ทิศทางที่ตนต้องการ คือให้มุ่งหน้าตรงต่ออารมณ์นั้นเอง มนสิการเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • สารณลกฺขโณ มีการทำให้สัมปยุตธรรมแล่นไปในอารมณ์ เป็นลักษณะ
  • สมฺปยุตฺตานํ อารมุมเณ สโยชนรโส มีการประกอบสัมปยุตธรรมไว้กับอารมณ์ เป็นกิจ
  • อารมุมณภิมุขีภาวปจฺจุปฏฺฐาโน มีการทำสัมปยุตธรรมให้มุ่งตรงอารมณ์เสมอ เป็นผล
  • อารมฺมณปทฏฺฐาโน มีอารมณ์ (อดีต ปัจจุบัน อนาคต และกาลวิมุตติ) เป็นเหตุใกล้

มนสิการ แปลว่า การกระทำในใจ คือ ความใส่ใจว่าโดยทั่วไปแล้ว มนสิการ มี ๓ อย่าง คือ :-

๑. วิถีปฏิปาทกมนสิการ คือมนสิการที่ทำให้วิถีจิตเกิดทางปัญจทวาร ได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่เริ่มรับอารมณ์ใหม่เข้า มากระทบทวารทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย ทำให้จักขุทวารวิถี เป็นต้นเกิดขึ้น จึงชื่อว่า วิถีปฏิปาทกมนสิการ คือเป็นผู้นำจิตให้ขึ้นสู่วิถี
๒. ชวนปฏิปาทกมนสิการ คือมนสิการ ที่ทำให้ชวนจิตเกิดขึ้นเสพอารมณ์ โดยความเป็นกุศล, อกุศล หรือกิริยาชวนจิต ตามธรรมดา ปัญจทวารวิถี หรือมโนทวารวิถี ที่มีชวนจิตเกิดขึ้นได้นั้น เพราะอาศัยมโนทวาราวัชชนจิตเป็นเหตุ ถ้าไม่มีมโนทวาราวัชชนจิตแล้ว ชวนจิตก็เกิดขึ้นไม่ได้ เหตุนี้ มโนทวาราวัชชนจิตจึงชื่อว่า ชวนปฏิปาทกมนสิการ คือเป็นผู้นำจิตให้ขึ้นสู่ชวนะ
๓. อารัมมณปฏิปาทกมนสิการ คือ มนสิการที่ทำให้สัมปยุตธรรมคือ จิต, เจตสิก แล่นไปในอารมณ์ องค์ธรรม ได้แก่ มนสิการเจตสิก มนสิการที่เป็นเจตสิกปรมัตถ์นั้น มุ่งหมายเอาอารัมมณปฏิปาทกมนสิการ นั่นเอง


🔆 นัยที่ ๒ ปกิณณกเจตสิก

คำว่า ปกิณณก นั้น เมื่อแยกศัพท์ออกแล้วได้ ๓ ศัพท์ คือ :-

    ป แปลว่า โดยทั่วไป
    กิณฺณ แปลว่า กระจัดกระจายไป
    ก ไม่มีคำแปลโดยเฉพาะ

ฉะนั้น คำว่า “ปกิณฺณก” จึงแปลว่า กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป “ปกิณณกเจตสิก” จึงหมายความว่า เจตสิกที่กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วๆไป คือปกิณณกเจตสิกบางดวงประกอบกับอกุศลจิตบ้าง, กุศลจิตบ้าง, วิบากจิตหรือกิริยาจิตบ้าง เป็นการประกอบได้ทั่วไป ทั้งฝ่าย อโสภณะ และโสภณะ หรือทั้งโลกียะ และโลกุตตระ แต่การประกอบของปกิณณกเจตสิกนี้ ประกอบได้แต่เพียงบางดวงเท่านั้น ไม่ใช่ประกอบได้กับจิตทั้งหมด เหมือนอย่างสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ซึ่งประกอบกับจิตทั่วไป และประกอบได้ทั้งหมด ปกิณณกเจตสิกนี้ มีจำนวน ๖ ดวง คือ :-

๑. วิตกเจตสิก

วิตกเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ยกจิตเข้าไว้ในอารมณ์ คือ ยกเอาสัมปยุตธรรมที่เกิดร่วมกันนั้นมาจดจ่อที่อารมณ์ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว วิตก คือการตรึกอยู่ในอารมณ์ ซึ่งมีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • อารมุมเณจิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณ มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะ
  • อาหนปฺปริยาหนรโส มีการกระทำให้จิตกระทบอารมณ์บ่อยๆ เป็นกิจ
  • อารมุมเณจิตฺตสฺส อานยน ปัจจุปัฏฺฐาโน มีจิตที่นำเข้าไว้ในอารมณ์ เป็นผล
  • อารมุมณปทฏฺฐาโน(วา) มีอารมณ์ (หรือ) เลสขนฺธตฺตยปทุฏฐาโน มีนามขันธ์ ๓ ที่เหลือ เป็นเหตุใกล้

สภาพของวิตกเจตสิกนั้น เป็นเหมือนนำสัมปยุตธรรมเหล่านั้นบรรจุเข้าไว้ในอารมณ์ อุปมาเหมือนคนบางคนที่อาศัยญาติ หรือมิตรสหาย ซึ่งเป็นข้าราชบริพารพาเข้าสู่ราชมณเฑียรได้ ฉันใด จิตก็เช่นเดียวกัน ย่อมต้องอาศัยวิตกเจตสิก จึงขึ้นสู่อารมณ์ได้ฉันนั้น

ความแตกต่างระหว่าง เจตนา, มนสิการ และวิตกเจตสิก

สภาวะของเจตสิกธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ มีลักษณะและกิจหน้าที่คล้ายคลึงกันอยู่มาก จึงสมควรที่จะได้ทราบความต่างกัน ดังต่อไปนี้ คือ :

- ลักษณะและกิจของเจตนาเจตสิก ก็คือ การกระตุ้นเตือนสัมปยุธรรมที่เกิดพร้อมกับตนให้เข้าจับอารมณ์นั้น เป็นลักษณะ และพยายามให้สัมปยุตธรรมที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ให้ติดต่อกับอารมณ์นั้นๆ เป็นกิจ หมายความว่า หน้าที่ของ เจตนา ทำให้จิตและเจตสิก สำเร็จการงานเป็นกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

- ลักษณะและกิจของมนสิการเจตสิก ก็คือ การทำให้สัมปยุตธรรมมุ่งตรงสู่อารมณ์อยู่เสมอ เป็นลักษณะ และทำให้สัมปยุตธรรมประกอบในอารมณ์เป็นกิจ หมายความว่า หน้าที่ของ มนสิการ ทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ให้มุ่งตรงสู่อารมณ์อยู่เสมอ ไม่ให้หันเหไปทางอื่น

- ลักษณะและกิจของวิตกเจตสิกก็คือ ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ เป็นลักษณะมีการตั้งต้นกระทบในอารมณ์นั้นบ่อยๆเป็นกิจ หมายความว่า หน้าที่ของ วิตก ทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับตนนั้น ให้ก้าวขึ้นสู่อารมณ์อยู่เสมอ ไม่ให้ย่อท้อถอยหลัง

อุปมา เจตนา, มนสิการ และวิตก เหมือนกับเรือแข่ง ซึ่งมีฝีพายอยู่ ๓ คน คนหนึ่งพายหัว, คนหนึ่งพายกลาง และอีกคนหนึ่งถือท้าย จริงอยู่แม้จะทำงานพายเรืออย่างเดียวกัน แต่คนหัวกับคนท้าย จะต้องมีหน้าที่พิเศษเพิ่มขึ้น โดยคนหัวมีความมุ่งให้เรือถึงหลักชัย และเมื่อถึงแล้ว ต้องพยายามคว้าธงเอามาให้ได้ด้วย คนหัวนี้จึงเปรียบได้กับ เจตนา ที่พยายามทำให้สำเร็จการงานต่างๆ คนพายกลางมีหน้าที่แต่เร่งฝีพายให้เรือถึงหลักชัยอย่างเดียว ซึ่งเปรียบได้กับ วิตก ซึ่งทำหน้าที่ให้จิตและเจตสิกก้าวขึ้นสู่อารมณ์ ส่วนคนถือท้ายมุ่งให้เรือตรงเข้าสู่หลักชัย ซึ่งเปรียบได้กับมนสิการ ซึ่งทำหน้าที่ให้สัมปยุตธรรมเข้าประกอบในอารมณ์ ความต่างกันของเจตนา มนสิการ และวิตก จึงมีดังกล่าวนี้

๒. วิจารเจตสิก

วิจารเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ประคองสัมปยุตธรรมให้อยู่กับอารมณ์ เพราะวิจารนั้น มีการเคล้าคลึงอารมณ์ เป็นลักษณะ และเมื่อเจตสิกธรรมนี้ปรากฏขึ้น จึงทำให้สัมปยุตธรรมที่เกิดพร้อมกับตนนั้น เคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ไม่ปล่อยไปด้วย มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ :-

  • อารมุมณานุมุชชนลกฺขโณ มีการเคล้าคลึงอารมณ์ เป็นลักษณะ
  • ตตฺถ สหชาตานุโยชนรโส มีการประกอบสหชาตธรรมไว้ในอารมณ์นั้น เป็นกิจ
  • จิตฺตอนุปฺปพนฺธปจจุปฏฺฐาโน มีการตามผูกพันจิตไว้ในอารมณ์ เป็นผล
  • อารมุมณปทฏฐาโน (วา) มีอารมณ์เป็นเหตุใกล้ (หรือ) เสสขนฺธตฺตยปทฏฐาโน มีนามขันธ์ ๓ ที่เหลือเป็นเหตุใกล้

สภาพธรรมของวิตกและวิจารนี้ใกล้ชิดติดกัน คือ การยกจิตไว้ในอารมณ์ครั้งแรกชื่อว่า “วิตก” การตามผูกพันจิตไว้ในอารมณ์ชื่อว่า “วิจาร” อุปมาเหมือนการเคาะระฆัง เสียงระฆังที่ดังปรากฏขึ้นครั้งแรกเปรียบได้กับวิตก เสียงระฆังที่ดังกังวานสืบต่อไปเปรียบได้กับ วิจาร หรืออุปมาเหมือน นกเขาใหญ่ที่บินไปในอากาศ เมื่อกระพือปีกโผขึ้นสู่อากาศครั้งแรกเปรียบเหมือน วิตก เมื่อบินติดลมแล้ว ก็กางปีกร่อนไปในอากาศ เปรียบเหมือน วิจาร ดังนั้น จึงเห็นว่าวิจารเจตสิกนี้ รับอารมณ์ได้สุขุมกว่าวิตก และแม้จะเกิดพร้อมกัน ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามหลังวิตก ความต่างกันของเจตสิกทั้งสองนี้ จะปรากฏชัดเจนในองค์แห่งปฐมฌาน และทุติยฌาน ของฌานลาภีบุคคล

๓. อธิโมกขเจตสิก

อธิโมกขเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีสภาพทำลายจิตที่รวนเร เป็นสองฝักสองฝ่ายในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ มีการตัดสินอารมณ์เด็ดขาด ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะเป็นอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม จะตัดสินถูกหรือผิดก็ตามและไม่ว่าการงานที่สุจริตหรือทุจริตก็ตาม ที่ได้ตัดสินใจสำเร็จลงได้นั้น ก็ด้วยอำนาจของอธิโมกขเจตสิก ฉะนั้น ลักขณาทิจตุกะของอธิโมกขเจตสิก คือ :-

  • สนฺนิฏฐานลกฺขโณ มีการตัดสินใจเด็ดขาด เป็นลักษณะ
  • อสํสปฺปนรโส มีการตั้งมั่นไม่รวนเรในอารมณ์ เป็นกิจ
  • วินิจฺฉยปจฺจุปฏฐาโน มีการตัดสิน เป็นผล
  • สนฺนิฎเฐยยธมฺมปทฏฐาโน มีธรรม (อารมณ์) ที่จะต้องตัดสินใจ เป็นเหตุใกล้

ในอัฏฐสาลินี แสดงไว้ว่า ความน้อมใจเชื่อ ชื่อว่า อธิโมกข์, และอรรถของอธิโมกข์ก็คือ มีความตกลงใจ เป็นลักษณะ, มีการไม่แส่ไป เป็นรส, มีการตัดสินใจ เป็นปัจจุปัฏฐาน, มีธรรมที่จะต้องตกลงใจ เป็นปทัฏฐาน อธิโมกข์นั้นจึงเข้าใจว่าเหมือนเสาเขื่อน เพราะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ อธิโมกข์นี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อวิจิกิจฉา เพราะวิจิกิจฉาเป็นสภาพที่ลังเลสงสัยในอารมณ์ แต่อธิโมกข์ มีหน้าที่ทำลายความลังเลสงสัย

๔. วิริยเจตสิก

วิริยเจตสิก เป็นธรรมชาติเพียรพยายามต่ออารมณ์ คือ อดทนต่อสู้กับความยากลำบาก ที่เกี่ยวกับการงานต่างๆ ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี และไม่ว่างานนั้นจะยากลำบากมากน้อยสักเพียงใดก็ตาม ถ้าไม่ประกอบด้วยวิริยะแล้วย่อมสำเร็จไม่ได้ วิริยะจึงชื่อว่า ความเพียร อันได้แก่ความอุตสาหะซึ่งมีความหมายว่า สามารถอดทนต่อความยากลำบากที่กำลังได้รับอยู่ ดังวจนัตถะว่า “อุทุกขลาเภสหนํ อุสฺสาโห” ความสามารถอดทน เมื่อได้รับความลำบากชื่อว่า อุตสาหะ ได้แก่ วิริยเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

  • อุสฺสาหนลกฺขณํ มีความอดทนต่อสู้กับความลำบาก เป็นลักษณะ
  • สหชาตานํ อุปตฺถมฺภนรสํ มีการอุดหนุนธรรมที่เกิดพร้อมกับตนไม่ให้ถอยหลัง เป็นกิจ
  • อสีสํทนปจจุปฏฐานํ มีการไม่ท้อถอย เป็นผลปรากฏ
  • สํเวควตฺถุ ปทุฏฐานํ (วา) มีความสลดคือ สังเวควัตถุ ๘ เป็นเหตุใกล้ หรือ วิริยารมฺภ วตฺถุ ปทฏฺฺฐานํ (หรือ) มีวิริยารัมภวัตถุ ๘ เป็นเหตุใกล้

อธิบาย บรรดาสัมปยุตธรรมทั้งหลายคือ จิตและเจตสิก ที่เกิดพร้อมกับวิริยเจตสิกนี้ ย่อมมีอุตสาหะ พากเพียร ไม่ท้อถอย เพราะอำนาจของวิริยะนั้นเองที่ช่วยอุดหนุนไว้ อุปมาเหมือนบ้านเก่าที่จวนจะพัง เอาเสาปักค้ำจุนไว้ให้ตั้งมั่นทานลมอยู่ได้ ฉะนั้น ส่วนการที่วิริยะจะเกิดขึ้นได้นั้นย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยเหตุที่มีสังเวควัตถุ ๘ ประการ คือ :-

๑. ชาติทุกข์
๒. ชราทุกข์
๓. พยาธิทุกข์
๔. มรณทุกข์
๕. อบายทุกข์
๖. วัฏฏมูลกในอดีต
๗. วัฏฏมูลกในอนาคต
๘. อาหารปริเยฏฐมูลกในปัจจุบัน

สังเวควัตถุ ๘ ที่เป็นเหตุให้วิริยะเกิดได้นั้น ย่อมมุ่งหมายถึงวิริยะที่เป็นฝ่ายดีคือ โสภณะเท่านั้น หมายถึงเมื่อพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และสัตว์ทั้งหลายต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิ บางพวกเกิดเบื่อหน่ายที่จะต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ ก็พยายามสร้างกุศลให้พ้นจากวัฏฏะ บางพวกก็กลัวภัยในอบายภูมิ ๔ ก็เพียรพยายามสร้างกุศลที่สามารถทำให้พ้นจากอบายได้ บางพวกเห็นโทษภัยของการเกิดในปัจจุบัน ต้องแสวงหาอาหารอยู่เป็นนิตย์ ก็เพียร สร้างกุศล ให้พ้นจากการเกิด สังเวควัตถุจึงเป็นเหตุใกล้ให้วิริยะฝ่ายดีเกิดขึ้น ฉะนั้นสภาวะที่เป็นตัวสังเวคนี้ จึงได้แก่ปัญญา ที่เกิดพร้อมด้วย โอตตัปปะ เป็นประธาน

วิริยารัมภวัตถุ ๘ ได้แก่

๑. กมุม เกี่ยวกับการงานเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :-
    ก. การงานที่ทำสำเร็จแล้ว
    ข. การงานที่จะลงมือทำ
๒. มคฺค เกี่ยวกับการเดินทางเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :
    ก. การเดินทางที่เพิ่งมาถึง
    ข. การเตรียมจะเดินทางไป
๓. เคลญฺญ เกี่ยวกับสุขภาพเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :-
    ก. มีร่างกายที่เริ่มสบายขึ้น
    ข. มีร่างกายที่เริ่มไม่สบาย
๔. ปิณฺฑ เกี่ยวกับอาหารเป็นอารมณ์ให้วิริยะเกิด มี ๒ คือ :-
    ก. มีอาหารไม่สมบูรณ์
    ข. มีอาหารบริบูรณ์

วิริยารัมภวัตถุ ๘ ที่เป็นเหตุใกล้ให้วิริยะเกิดได้นั้น มุ่งหมายเอาวิริยะทั่วไปที่สัมปยุตกับจิตทั้งฝ่ายดี และไม่ดีก็ได้ ฉะนั้น ถ้าผู้มีอโยนิโสมนสิการและมีโกสัชชะมาก วิริยารัมภวัตถุ ๘ อย่างนี้ จะกลับกลายเป็นกุสิตวัตถุ คือ วัตถุที่เป็นเหตุให้เกิดความเกียจคร้านขึ้นได้คือ เมื่อคิดถึงเรื่องต่างๆ ดังกล่าวแล้วนั้นก็เกิดความท้อแท้เบี่ยงบ่ายไปตามอำนาจของกิเลสได้ จิตที่ไม่มีวิริยเจตสิกประกอบเรียกว่า “อวิริยจิต” มี ๑๖ ดวง ได้แก่

ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐
สัมปฏิจฉนจิต ๒
สันตีรณจิต ๓
ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑

๕. ปีติเจตสิก

ปีติเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีความปลาบปลื้มใจในอารมณ์ ได้แก่สภาพที่แช่มชื่น อิ่มเอิบใจ เมื่อได้รับอารมณ์นั้นๆ มีลักขณาทิจตุกะดังนี้คือ :

  • สมฺปิยายนลักฺขณา มีความแช่มชื่นใจในอารมณ์ เป็นลักษณะ
  • กายจิตฺตปินฺนรสา (วา) มีการทำให้อิ่มกายอิ่มใจ หรือ ผรณรสา มีการทำให้ซาบซ่านทั่วร่างกาย เป็นกิจ
  • โอคยุยปัจจุปัฏฐานา มีความฟูใจ เป็นผล
  • เสสขนฺธตฺตยปทุฏฐานา มีนามขันธ์ ๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้

อธิบาย ธรรมชาติของปีตินี้ เมื่อเกิดขึ้นกับใคร ย่อมทำให้ผู้นั้นรู้สึกปลาบปลื้มใจมีหน้าตา และกาย วาจา ชื่นบาน แจ่มใส เป็นพิเศษ บางทีก็ทำให้รู้สึกซาบซ่านในร่างกายนั่นเอง และทำให้จิตใจของผู้นั้นแช่มชื่น เข้มแข็งไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายต่ออารมณ์ อาการปรากฏของปีตินี้คือ การทำจิตใจฟูเอิบอิ่มขึ้นมา ส่วนปีติที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมต้องอาศัยนามขันธ์ ๓ คือ เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์ และวิญญาณขันธ์ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด เวทนาขันธ์ที่เป็นเหตุใกล้ให้ปิติเกิดขึ้นย่อมอาศัย สุขเวทนา เท่านั้นเป็นเหตุให้ปิติเกิด ด้วยเหตุนี้เอง บางทีเราเข้าใจว่า ปีติ และ สุข นั้น เป็นอันเดียวกันแยกจากกันไม่ได้ ซึ่งความจริงนั้น เป็นสภาวะที่ต่างกันคือ ปีติ เป็นธรรมชาติที่มีความยินดีเพราะได้ประสบอิฏฐารมณ์ “ปีติในที่ใด สุขก็มีในที่นั้น แต่สุขในที่ใด ปีติอาจจะไม่มีในที่นั้นก็ได้” ปีติ เป็น สังขารขันธ์ แต่ สุข เป็น เวทนาขันธ์

อุปมา ปีติเหมือนบุรุษเดินทางไกลไปในที่กันดาร มีเหงื่อโทรมกายกระหายน้ำ ครั้นเห็นบุรุษอีกคนหนึ่งเดินมา ก็ถามว่า มีน้ำดื่มที่ไหนบ้าง บุรุษผู้นั้นตอบว่า พอพ้นดงก็พบสระน้ำ ท่านไปที่นั้นก็จะได้น้ำดื่ม บุรุษผู้เดินทางไกลนั้นตั้งแต่ได้ยินว่า มีสระน้ำจนกระทั่งได้เห็นสระน้ำนั้น ก็จะเกิดปีติมีอาการแช่มชื่นเบิกบานในอารมณ์ที่ได้ยินว่า มีสระน้ำ หรือได้เห็นสระน้ำนั้น นี้เป็นธรรมชาติของปีติ แต่ถ้าบุรุษนั้นได้ดื่มน้ำหรือได้อาบน้ำ ก็จะรู้สึกว่าสุขสบายดีจริง ฉะนั้น สุขจึงดำรงอยู่ด้วยการเสวยรสแห่งอารมณ์ เราจึงเห็นความต่างกันของปีติและสุขได้ชัดเจนว่า ปีติเกิดจากความปลาบปลื้มใจในอารมณ์ ส่วนสุขเกิดจากการตามเสวยอารมณ์ที่ดี

เมื่อปีติเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทางใจเช่นนี้ จึงมีลักษณะใกล้เคียงกับโสมนัสเวทนาขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นปีติก็ไม่ใช่โสมนัสอยู่นั่นเอง เพราะโสมนัสเป็นเวทนาขันธ์ เกิดได้ในจิต ๖๒ ดวง ปีติเป็นสังขารขันธ์เกิดกับจิตได้เพียง ๕๑ ดวง จตุตถฌานลาภีบุคคล ย่อมเห็นความต่างกันแห่งโสมนัสและปีตินี้ได้ชัดเจน

ปีติเจตสิก ธรรมชาติที่ปลาบปลื้มอิ่มเอิบใจนั้นมี ๕ ประการคือ :-
๑. ขุททกาปีติ ปลาบปลื้มเพียงเล็กน้อย พอรู้สึกขนลุก
๒. ขณิกาปีติ ปลาบปลื้มชั่วขณะเหมือนสายฟ้าแลบ เกิดขึ้นและก็หายไป แต่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ
๓. โอกนฺติกาปีติ ปลาบปลื้มเป็นพักๆ และมีการไหวเอนโยกโคลงเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
๔. อุพฺเพงฺคาปีติ ปลาบปลื้มจนตัวลอย
๕. ผรณาปีติ ปลาบปลื้มชนิดอิ่มเอม ซาบซ่านไปทั่วร่างกายเกิดในอัปปนาจิต และตั้งอยู่ได้นาน ดังเช่น รูปพรหมทั้งหมด ไม่ต้องกินอาหาร อยู่ได้ด้วยผรณาปีติ

อนึ่ง อาการรู้สึกขนลุกอาจเกิดจากการประสบอารมณ์ที่น่ากลัว เช่นกลัวผีก็รู้สึกขนลุกเหมือนกัน แต่เป็นไปด้วยอำนาจโทสะ ชนิดปฏิกกมโทสะ คือ โทสะชนิดถอยหลัง ไม่ใช่ขุททกาปีติ

๖. ฉันทเจตสิก

ฉันทเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีความพอใจในอารมณ์ ได้แก่ สภาพที่มีความพอใจในอารมณ์ที่ต้องการ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้ คือ

  • กตฺตุกมฺยตาลกฺขโณ มีความปรารถนาเพื่อจะรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ
  • อารมฺมณปริเยสนรโส มีการแสวงหาอารมณ์ เป็นกิจ
  • อารมฺมเณน อตฺถิกตา ปัจฺจุปัฏฺฐาโน มีความปรารถนาอารมณ์ เป็นผล
  • อารมฺมณปทุฏฐาโน มีอารมณ์ เป็นเหตุใกล้

อธิบาย ฉันทเจตสิก ที่มีความปรารถนาเพื่อจะกระทำเป็นลักษณะนั้นหมายถึงมีความปรารถนารูปารมณ์ เพื่อจะเห็น, ปรารถนาสัททารมณ์เพื่อจะได้ยิน, ปรารถนาคันธารมณ์ เพื่อจะได้กลิ่น เป็นต้น รวมความแล้วความต้องการเห็น, ได้ยิน ได้กลิ่น, รส, ถูกต้องสัมผัส, คิด อารมณ์นี้เองเป็นลักษณะของฉันทะ เมื่อมีความต้องการอารมณ์ต่างๆ เป็นลักษณะแล้ว ก็ต้องมีการแสวงหาอารมณ์ที่ต้องการต่างๆ นั้น มาสนองความต้องการ การแสวงหาอารมณ์ต่างๆ นี้ จึงเป็นกิจของฉันทะ เมื่อพิจารณาอาการของฉันทะนั้น ก็จะได้รู้ด้วยปัญญาว่า ฉันทะมีความปรารถนาอารมณ์เป็นผลปรากฏ และอารมณ์นั้นเองที่เป็นเหตุใกล้ให้ฉันทะเกิดขึ้น

ข้อสังเกต ฉันทะกับโลภะนั้น มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก คือ มีความต้องการอารมณ์ด้วยกัน แต่ความต้องการอารมณ์ที่เป็นฉันทะนั้น ไม่เหมือนกับความต้องการอารมณ์ที่เป็นโลภะ กล่าวคือ ความต้องการอารมณ์ที่เป็นโลภะนั้น ย่อมยึดและติดใจอยู่ในอารมณ์นั้น ส่วนความต้องการอารมณ์ที่เป็นฉันทะนั้น ไม่ยึดและไม่ติดใจอยู่ในอารมณ์นั้น อุปมาเหมือนบุคคลที่ต้องการรับประทานขนม กับบุคคลที่ต้องการรับประทานยา ความต้องการขนมนั้น เป็นความต้องการที่เป็นโลภะ เพราะเป็นความต้องการที่ยึดติดอยู่ในรสารมณ์ ส่วนความต้องการยานั้นเป็นความต้องการชนิดที่เป็นฉันทะ เพราะไม่ยึดติดอยู่ในรสารมณ์ เมื่อหายป่วยแล้ว ก็ไม่มีความต้องการรับประทานยาอีก



เจตสิก คืออะไร

เจตสิก เป็นปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง ในจำนวนปรมัตถธรรม ๔ อย่าง คือ จิต, เจตสิก, รูป และนิพพาน เจตสิกเป็นธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด (จิตฺตนิสฺสิตลกฺขณํ) เจตสิกที่อาศัยจิตเกิดขึ้นนี้ไม่เหมือนกับต้นไม้ที่อาศัยพื้นแผ่นดินเกิด เพราะพื้นแผ่นดินกับต้นไม้นั้น พื้นแผ่นดินเป็นฐานรองรับ และต้นไม้ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินที่รองรับนั้น ซึ่งพื้นแผ่นดินจะต้องปรากฏขึ้นก่อน เพื่อเป็นฐานรองรับให้ต้นไม้เกิดภายหลัง และการเกิดขึ้นของต้นไม้นั้น ก็เป็นคนละส่วนกับพื้นแผ่นดิน คือ ต้นไม้ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดิน

เจตสิกที่อาศัยจิตนั้น มีสภาพเหมือนอาจารย์กับศิษย์ คือ ทั้งอาจารย์และศิษย์ปรากฏขึ้นพร้อมกัน คือมีอาจารย์ก็ต้องมีศิษย์ หรือมีศิษย์ก็ต้องมีอาจารย์ ถ้าเว้นอาจารย์เสียแล้ว ศิษย์ย่อมมีไม่ได้ หรือถ้าเว้นศิษย์เสียแล้ว อาจารย์ก็ย่อมมีไม่ได้เช่นเดียวกัน จึงย่อมกล่าวได้ว่าธรรมชาติของเจตสิกนั้น เกิดพร้อมกับจิต หรือประกอบกับจิตเป็นนิตย์  ดังวจนัตถะว่า

เจตสิก ภวํ = เจตสิกํ (วา) เจตสิก นิยุตตํ = เจตสิกํ แปลความว่า ธรรมชาติที่เกิดกับจิต หรือธรรมชาติที่ประกอบกับจิตเป็นนิตย์ ชื่อว่า เจตสิก

อาการที่เจตสิกประกอบกับจิตนั้นเรียกว่า เจโตยุตตลกฺขณํ คือ การประกอบที่บริบูรณ์ด้วยลักษณะ ๔ ประการคือ :

  • เอกุปฺปาท  เกิดพร้อมกับจิต
  • เอกนิโรธ  ดับพร้อมกับจิต
  • เอกาลมฺพน  มีอารมณ์เป็นอันเดียวกับจิต
  • เอกวตฺถุก  อาศัยวัตถุอันเดียวกับจิต

ดังคาถาสังคหะ มีแสดงไว้ว่า

คาถาสังคหะ
๑. เอกุปฺปาทนิโรธา จ เอกาลมฺพนวตุถุกา
เจโตยุตฺตา ทฺวิปญฺญาส ธมฺมา เจตสิกา มตา ฯ

แปลความว่า ธรรมชาติใด ที่เกิดพร้อมกับจิต, ดับพร้อมกับจิต, มีอารมณ์อันเดียวกับจิต และอาศัยวัตถุอันเดียวกับจิต ธรรมชาตินั้นชื่อว่าเจตสิกมีจํานวน ๕๒ ดวง

ลักษณะพิเศษของเจตสิกปรมัตถ์
เจโตยุตตลักษณะ ดังคาถาสังคหะนั้น เป็นลักษณะที่เจตสิกประกอบกับจิต หรืออาศัยจิตเกิดขึ้น ส่วนลักษณะพิเศษของเจตสิกปรมัตถ์นั้น ก็มี ๔ ประการเช่นกัน เรียกว่า ลักขณาทิจตุกะ ของเจตสิก ซึ่งมีดังนี้คือ :-

  • จิตฺตนิสฺสิตลกฺขณํ  มีการอาศัยจิตเกิดขึ้น  เป็นลักษณะ
  • อวิโยคุปฺปทานรสํ  มีการเกิดร่วมกับจิต  เป็นกิจ
  • เอกาลมฺพนปจฺจุปฏฐานํ  มีการรับอารมณ์อันเดียวกับจิต  เป็นผล
  • จิตฺตุปฺปาทปทฏฺฐานํ  มีการเกิดขึ้นแห่งจิต  เป็นเหตุใกล้

จิตและเจตสิก ต่างก็เป็นนามธรรมด้วยกัน จึงประกอบเข้ากันได้สนิทโดยที่จิตนั้นเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์ และเจตสิกเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตให้รู้อารมณ์เป็นไปต่างๆ ตามลักษณะของเจตสิก แม้เจตสิกจะเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตก็ตาม แต่ก็ต้องนับว่า จิตเป็นใหญ่หรือเป็นประธาน เพื่อให้เจตสิกได้ปรุงแต่ง หรือเพื่อให้เจตสิกอิงอาศัยจิตเกิด จิตและเจตสิกที่ประกอบเข้าด้วยกันนี้ เรียกว่า "สัมปยุตตธรรม"


🔅 จำนวนของเจตสิก

ในปริจเฉทที่ ๑ ได้กล่าวถึงจิตทั้งหมด มีจำนวน ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง ที่จำแนกจิตออกไปเช่นนั้น ไม่ได้จำแนกโดยสภาวลักษณะของจิต แต่จำแนกโดยอาศัยการปรุงแต่งของเจตสิก ที่เกิดพร้อมกับจิตเป็นต้นนั้น จึงทำให้จิตมีความสามารถในการรู้อารมณ์พิเศษแตกต่างจากกันออกไป เช่น ในเรื่องของกาม เรื่องของรูปฌาน อรูปฌาน และรู้นิพพานอารมณ์ ด้วย เหตุนี้เอง จึงจำแนกจิตออกไปได้ถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง

แต่การนับจำนวนเจตสิก ไม่เหมือนกับการนับจำนวนจิตดังกล่าวนั้น เพราะการนับจำนวนเจตสิก นับตามสภาวลักษณะของตนๆ โดยเฉพาะ ซึ่งสภาวะลักษณะของเจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ประเภท จึงนับจำนวนเจตสิกทั้งหมดได้ ๕๒ ดวง

จำแนกเจตสิก ๕๒ โดยราสี

เจตสิกทั้ง ๕๒ ดวงนี้ แบ่งออกได้เป็น ๓ ราสี (กอง, หมู่) ตามสภาวะลักษณะที่จะประกอบเข้ากันได้

คาถาสังคหะ

๒. เตรสญฺฺญสมานา จ  จุฑฺทสากุสลา ตถา
โสภณา ปญฺจวิสาติ  ทฺวิปญฺญาส ปวุจฺจเร ฯ

แปลความว่า เจตสิก ๕๒ ดวง แบ่งออกได้เป็น ๓ ราสีคือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง, อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง และโสภณเจตสิก ๒๕ ดวง

แสดงการจำแนกเจตสิกโดยราสี

ความหมายของเจตสิกตามลำดับราสี

๑. อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง
- ก. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวง
        ผัสสเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่กระทบอารมณ์
        เวทนาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์
        สัญญาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่จำอารมณ์
        เจตนาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่จัดแจงอารมณ์ที่สัมปยุตกับตน
        เอกัคคตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่สงบ และทำให้สัมปยุตธรรมตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว
        ชีวิตินทรียเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่รักษาสัมปยุตธรรม
        มนสิการเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่นำสัมปยุตธรรมมุ่งสู่อารมณ์

- ข. ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวง
        วิตกเจตสิก  หมายถึง ธรรมชาติที่ยกสัมปยุตธรรมขึ้นสู่อารมณ์
        วิจารเจตสิก  หมายถึง ธรรมชาติที่ประคองสัมปยุตธรรมไว้ในอารมณ์
        อธิโมกขเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ตัดสินอารมณ์
        วิริยเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความพยายามในอารมณ์
        ปีติเจตสิก หมายถึง  ธรรมชาติที่มีความชื่นชมยินดีในอารมณ์
        ฉันทเจตสิก หมายถึง  ธรรมชาติที่มีความพอใจในอารมณ์

๒. อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง
- ก. โมจตุกเจตสิก ๔ ดวง
        โมหเจตสิก หมายถึง  ธรรมชาติที่ปิดบังสภาพความจริงของอารมณ์ คือหลง
        อหิริกเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่มีความละอายต่อทุจริต
        อโนตตัปปเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่กลัวต่อทุจริต
        อุทธัจจเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ฟุ้งซ่าน คือจับอารมณ์ไม่มั่น

- ข. โลติกเจตสิก ๓ ดวง
        โลภเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความต้องการ และติดใจในอารมณ์
        ทิฏฐิเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความเห็นผิดในอารมณ์
        มานเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความอวดดื้อถือตัว

- ค. โทจตุกเจตสิก ๔ ดวง
        โทสเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ประทุษร้ายอารมณ์
        อิสสาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่พอใจในสมบัติ หรือคุณความดีผู้อื่น
        มัจฉริยเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความหวงแหนในสมบัติหรือคุณงามความดีของตน
        กุกกุจจเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความรำคาญใจในทุจริตที่ได้ทำไปแล้ว และในสุจริตที่ยังไม่ได้ทำ

- ง. ถีทุกเจตสิก ๒ ดวง
        ถีนเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำให้จิตใจหดหู่ท้อถอยจากอารมณ์
        มิทธเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำให้เจตสิกหดหู่ท้อถอยจากอารมณ์

- จ. วิจิกิจฉาเจตสิก ๑ ดวง
        วิจิกิจฉาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชาตินี้ ชาติหน้าเป็นต้น

๓. โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง
- ก. โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง
        สัทธาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ คือมีความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อในกรรมและผลของกรรมเป็นต้น
        สติเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความระลึกได้ในอารมณ์ทำให้จิตเป็นกุศลธรรม
        หิริเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นความเกลียด และละอายต่อทุจริตกรรม
        โอตตัปปเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่สะดุ้งกลัวต่อทุจริตกรรม
        อโลภเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่อยากได้ และไม่ติดอยู่ในอารมณ์
        อโทสเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ไม่ประทุษร้ายอารมณ์
        ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำให้โสภณจิตเจตสิก สม่ำเสมอในกิจการของตนๆ โดยไม่ยิ่งหย่อน
        กายปัสสัทธิเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความสงบให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตปัสสัทธิเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความสงบให้จิตในการงานอันเป็นกุศล
        กายลหุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเบาให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตลหุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเบาให้จิต ในการงานอันเป็นกุศล
        กายมุทุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความอ่อนให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตมุทุตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความอ่อนให้จิต ในการงานอันเป็นกุศล
        กายกัมมัญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเหมาะควรให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตกัมมัญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความเหมาะควรให้จิต ในการงานอันเป็นกุศล
        กายปาคุญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความคล่องแคล่วให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตปาคุญญตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความคล่องแคล่วให้จิตในการงานอันเป็นกุศล
        กายุชุกตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่ทำความซื่อตรงให้เจตสิกขันธ์ ๓ ในการงานอันเป็นกุศล
        จิตตุชุกตาเจตสิก หมายถึง หมายถึง ธรรมชาติที่ทําความซื่อตรงให้จิตในงานอันเป็นกุศล

- ข. วิรติเจตสิก ๓ ดวง
        สัมมาวาจาเจตสิก หมายถึง เว้นการกล่าววจีทุจริต ๔ (ที่ไม่เป็นอาชีพ)
        สัมมากัมมันตเจตสิก หมายถึง เว้นจากกายทุจริต ๓ (ที่ไม่เป็นอาชีพ)
        สัมมาอาชีวเจตสิก หมายถึง เว้นวจีทุจริต ๔ และกายทุจริต ๓ ที่เกี่ยวด้วยอาชีพ

- ค. อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง
        กรุณาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความสงสารต่อทุกขิตสัตว์
        มุทิตาเจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่มีความยินดีต่อสุขิตสัตว์

- ง. ปัญญินทรีย์เจตสิก ๑ ดวง
        ปัญญา (อโมหะ) เจตสิก หมายถึง ธรรมชาติที่รู้สภาพธรรมทั้งหลาย ตามความเป็นจริง

ความหมายของเจตสิกที่แสดงไว้แล้วนั้น เป็นการแสดงโดยย่อ เพื่อประโยชน์แห่งการกำหนดจดจํา ต่อไปจะได้ขยายความหมายของเจตสิกธรรมทั้งหมดนั้น เพื่อให้เข้าใจในสภาวธรรมเหล่านั้นได้กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยลำดับ


โลกุตรจิตพิสดาร ๔๐ ดวง

การนับโลกุตรจิตนั้น มี ๒ นัย

    ๑)โลกุตรจิต นับโดยย่อ มีจำนวน ๘ ดวง
    ๒) โลกุตรจิต นับโดยพิสดาร มีจำนวน ๔๐ ดวง

โลกุตรจิต โดยย่อ ๘ ดวงนั้น ได้แสดงไว้แล้ว ซึ่งได้แก่ มัคคจิต ๔ และผลจิต ๔ รวมเป็น ๘ ดวง โลกุตรจิตที่นับโดยย่อนี้ หมายถึงโลกุตรจิตที่ประกอบด้วย อารัมมนูปนิชฌาน โดยที่ ผู้ปฏิบัติพิจารณาการเกิดดับของสังขารธรรม รูป นาม เป็นอารมณ์ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสกพระอรหันต์ โลกุตรจิตที่ไม่มี อารัมมนูปนิชฌานนี้ อนุโลมนับรวมอยู่ในปฐมฌาน โดยเหตุที่ว่า มีเจตสิกที่เป็นองค์ของปฐมฌานประกอบอยู่ครบ แต่พระโยคาวจรผู้เป็นสุขวิปัสสกไม่สามารถพิจารณาองค์ฌานให้เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ และไม่อาจละองค์ฌาน มีวิตก วิจาร เป็นต้นได้ และไม่สามารถ เข้าปฐมฌานได้ หรือพระโยคาวจรฌานลาภีบุคคล ที่นิยมวิปัสสนา ไม่นิยมฌานที่ตนได้ แต่พิจารณาสังขารธรรม มีรูป นาม เป็นอารมณ์ ก็เป็นสุขวิปัสสกเหมือนกัน 

ความแตกต่างขแฉองโลกุตรจิตตามประเภททา ืมมมมืืของฌาน จึงไม่มีในโลกุตรจิตที่ไม่ได้ประกอบ ด้วยอารัมมนูปนิชฌาน จึงมีได้เพียง ๔ ดวง ตามจำนวนที่นับโดยย่อเท่านั้น ส่วนโลกุตรจิตที่นับโดยพิสดารนั้น หมายถึง โลกุตรจิตโดยย่อ ๔ ดวงนั้น เมื่อประกอบกับอารัมมนูปนิชฌาน และมีความเบื่อหน่ายในองค์ฌานอย่างใด อย่างหนึ่ง ซึ่งมี ๕ ชั้น คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน และ ปัญจมฌาน จึงเป็นจำนวน ๔๐ ดวง หมายความว่า จิตของพระอริยบุคคลที่ได้ฌาน ด้วยนั้น เมื่อโลกุตรจิตเกิดขึ้น โดยอาศัยฌานจิตเป็นบาท จิตแต่ละดวงนั้นประกอบด้วย ฌานแต่ละชั้น จึงต่างกันเป็นชั้นละประเภท โลกุตรจิต ๘ ดวง ประกอบด้วยฌาน ๔ ชั้น จึงเป็นจำนวน ๘ X ๕ = ๔๐ ดวง

โลกุตรจิตพิสดาร มีจำนวน ๔๐ ดวงนี้ จำแนกได้เป็นมัคคจิตพิสดาร ๒๐ ดวง และผลจิตพิสดารอีก ๒๐ ดวง ดังพระบาลีแสดงว่า
๑๐. จตุมคฺคปุปเภเทน    จตุธา กุสลนุตถา
ปากนฺตสฺส ผลตฺตาติ       อฎฐธานุตฺตรํ มตํฯ
            ฯลฯ                             ฯลฯ
๑๔. ฌานงฺคโยคเภเทน   กเตวเกกนฺต ปญฺจธา
วุจฺจตานุตฺตรํ จิตฺตํ            จตฺตาฬีสวธนฺติ จฯ

พึงทราบว่า โลกุตรจิตโดยย่อ มี ๘ ดวง คือ กุศลจิตว่าโดยประเภทแห่งมรรคมี ๔ วิบากจิตก็มี ๔ เพราะเป็นผลของมรรคทั้ง ๔ โลกุตรจิต ๘ เมื่อแสดงโดยพิสดารมี ๔๐ ดวงนั้น เพราะว่าโดยประเภทแห่งการประกอบขององค์ฌานแล้ว โลกุตรจิตดวงหนึ่ง ๆ มีฌาน ๔ ฉะนั้น โลกุตรจิต ๘ จึงเป็น ๔๐

ข้อสังเกต
โลกุตรจิตไม่ได้จำแนกไปตามอรูปฌานอีก ๔ ฌาน เพราะอรูปฌานทั้ง ๔ นั้น นับเป็นปัญจมฌาน และเมื่อว่าโดยองค์ฌาน ก็มีเพียง ๒ คือ อุเบกขา กับ เอกัคคตา และเหมือนกันกับรูปาวจรปัญจมฌาน ต่างกันแต่อารมณ์เท่านั้น ส่วนองค์ฌานคงเท่ากัน ดังนั้น จึงนับว่า ฌานทั้ง ๙ ฌาน มีองค์ฌานเพียง ๕ ชั้น โลกุตรจิต ๘ ดวง จำแนก ตามฌาน ๕ ชั้น จึงมี ๔๐ ดวง

🔅 จิตเภท

จิตเภท หมายถึง การจำแนกจิตออกเป็นประเภทต่างๆ จิตทั้งหมดเมื่อนับโดยย่อมีจำนวน ๘๙ ดวง และนับโดยพิสดารมี ๑๒๑ ดวง เมื่อจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ แล้วมีอยู่ด้วยกัน ๙ นัย คือ : -
  • ๑. ชาติเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิตโดยชาติ มี ๔ ชาติ ได้แก่ อกุศลชาติ, กุศลชาติ, วิปากชาติ และกิริยาชาติ
  • ๒. ภูมิเภทนัย คือ จำแนกประเภทของจิตโดยภูมิ มี ๔ ได้แก่ กามภูมิ, รูปภูมิ, อรูปภูมิ และโลกุตรภูมิ
  • ๓. โสภณเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิตโดยอโสภณะ และโสภณะ
  • ๔. โลกเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิต โดยโลกียะ และโลกุตระ
  • ๕. เหตุเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิต โดยอเหตุกะ และสเหตุกะ
  • ๖. ฌานเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิต โดยอฌาน และฌาน
  • ๗. เวทนาเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิต โดยเวทนา ๕ ได้แก่ สุขเวทนา, ทุกขเวทนา, โสมนัสเวทนา, โทมนัสเวทนา และอุเบกขาเวทนา
  • ๘. สัมปโยคเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิต โดยสัมปยุต และวิปปยุต
  • ๙. สังขารเภทนัย คือ การจำแนกประเภทของจิตโดยอสังขาริกและสสังขาริก



🔅 ๑. จำแนกจิต ๘๙ โดยชาติเภทนัย
จิต ๘๙ ดวงนั้น เมื่อจำแนกโดยชาติ หรือตระกูลแห่งการเกิดขึ้นของจิตแล้วมี ๔ ชาติด้วยกัน ดังนี้
คาถาสังคหะ
๑๑. ทุวาทสากุสลาเนว        กุสลาเนกวีสติ
              อตุตีเสว วิปากานิ        กุริยาจิตฺตานิ วีสติฯ

แปลความว่า จิตทั้งหมด ๘๙ ดวงนั้น เมื่อจำแนกโดยชาติเภทนัยแล้ว มี ๔ ชาติ คือ อกุศลชาติ ๑๒ กุศลชาติ ๒๑ วิปากชาติ ๓๖ และกิริยาชาติ ๒๐
        อกุศลชาติ ๑๒  เป็นชาติที่เป็นแดนเกิดแห่งโทษ และให้ผลเป็นความทุกข์ได้แก่ อกุศลจิต ๑๒ ดวง
        กุศลชาติ ๒๑    เป็นชาติอันเป็นแดนเกิดที่ปราศจากโทษ และให้ผลเป็นความสุข ได้แก่ กุสลจิต ๒๑ คือ : -
มหากุศลจิต            ๘ ดวง 
มหัคคตกุศลจิต       ๙ ดวง
โลกุตรกุศลจิต        ๔ ดวง

        วิปากชาติ ๓๖ เป็นชาติที่เป็นผลของบาปและบุญ ได้แก่
อกุศลวิบากจิต          ๗ ดวง
อเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ ดวง
มหาวิบากจิต             ๘ ดวง
มหัคคตวิบากจิต        ๙ ดวง
โลกุตรวิบากจิต          ๔ ดวง

        กิริยาชาติ ๒๐  เป็นชาติของจิตที่ไม่เป็นบุญและบาป และทั้งไม่ใช่เป็นผลของบุญหรือบาปด้วย เป็นจิตที่สักแต่ว่ากระทำกิจตามหน้าที่เท่านั้น ได้แก่
อเหตุกกิริยาจิต         ๓ ดวง
มหากิริยาจิต             ๘ ดวง 
มหัคคตกิริยาจิต        ๙ ดวง      

วิปากชาติ และกิริยาชาตินี้ เรียกว่า อัพยากตชาติ หมายถึง เป็นชาติของจิตที่ไม่ใช่อกุศลชาติ และกุศลชาติทั้ง ๒

🔅 ๒. จำแนกจิต ๘๙ โดยภูมิเภทนัย
จิตทั้ง ๘๙ ดวง เมื่อจำแนกโดยภูมิ คือสถานที่เกิด หรือที่อยู่อาศัยของจิตแล้วมี ๔ ภูมิด้วยกัน ดังนี้

คาถาสังคหะ
๑๒. จตุปญฺญาสธา กาเม    รูเป ปณฺณรสิริเย
จิตฺตานิ ทฺวาทสารูเป           อฎฐธานุตฺตโร ตถาฯ

ฺแปลความว่า จิตทั้งหมด ๘๙ ดวงนั้น เมื่อจำแนกโดยภูมิแล้ว ได้กามาวจรภูมิ ๕๔ รูปาวจรภูมิ ๑๕ อรูปาวจรภูมิ ๑๒ และโลกุตรภูมิ ๘ เท่านั้น

กามาวจรภูมิ ๕๔ เป็นภูมิอันเป็นที่เกิดของกามาวจรจิต ได้แก่
  • อกุศลจิต    ๑๒ ดวง
  • อเหตุกจิต    ๑๘ ดวง
  • มหากุศลจิต    ๘ ดวง
  • มหาวิบากจิต    ๘ ดวง
  • มหากิริยาจิต    ๘ ดวง
รูปาวจรภูมิ ๑๕ เป็นภูมิอันเป็นที่เกิดของรูปาวจรจิต ได้แก่
  • รูปาวจรกุศลจิต  ๕ ดวง
  • รูปาวจรวิบากจิต  ๕ ดวง
  • รูปาวจรกิริยาจิต  ๕ ดวง
อรูปาวจรภูมิ ๑๒ เป็นภูมิอันเป็นที่เกิดของอรูปาวจรจิต ได้แก่
  • อรูปาวจรกุศลจิต  ๔ ดวง
  • อรูปาวจรวิบากจิต  ๔ ดวง
  • อรูปาวจรกิริยาจิต  ๔ ดวง
โลกุตรภูมิ ๘ เป็นที่เกิดของจิตที่พ้นจากภูมิทั้ง ๓ ข้างต้น ได้แก่
  • โลกุตรกุศลจิต  ๔ ดวง
  • โลกุตรวิบากจิต  ๔ ดวง
หมายเหตุ ความหมายของคำว่า ภูมิ แปลได้หลายนัย คือ แปลว่า แผ่นดิน, ที่อยู่อาศัย, พื้นเพหรือชั้นก็ได้ ความหมายของภูมิในที่นี้ หมายถึง ชั้น อันเป็นที่อาศัยของจิตต่าง ๆ ซึ่งจำแนกด้วยอำนาจของตัณหา ที่เรียกว่าอวัตถาภูมิ



จำแนกประเภทการนับจำนวนจิต
คาถาสังคหะ
๑๓. อิตฺถเมกูนนวุติปฺ    ปเภทํ ปน มานสํ
เอกวีสสตํ วาถ    วิภชนุติ วิจกฺขณาฯ

แปลความว่า จิตทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว มีการนับ ๒ ประเภท คือ นับจิตมี ๘๙ ดวง ประเภทหนึ่ง และนับจิตมี ๑๒๑ ดวง อีกประเภทหนึ่ง จำนวนที่ต่างกันของจิต ๒ ประเภทนั้น ต่างกันที่โลกุตรจิตแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนกามาวจรจิต, รูปาวจรจิต หรืออรูปาวจรจิต มีจำนวนเท่าเดิม ไม่มีจำนวนที่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด


🔅 ๓. จำนวนจิต ๘๙ โดยโสภณเภทนัย
การจำแนกจิต เป็นประเภทจิตที่ดีงาม ที่เรียกว่า “โสภณจิต” และจิตประเภทอื่นที่นอกจากโสภณจิต ที่เรียกว่า “อโสภณจิต” นั้น จำแนกออกได้ดังนี้

โสภณจิต มี ๕๙ ดวง ได้แก่
  • กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตรจิต ๘ ดวง
อโสภณจิต มี ๓๐ ดวง ได้แก่
  • อกุศลจิต ๑๒ ดวง
  • อเหตุกจิต ๑๘ ดวง
🔅 ๔. จำแนกจิต ๘๙ โดยโลกเภทนัย
การจำแนกจิตเป็นประเภทจิตที่ยังต้องท่องเที่ยว วนเวียนไปในโลกทั้ง ๓ คือ กามโลก, รูปโลก และอรูปโลก ที่เรียกว่า “โลกียจิต” กับจิตที่พ้นจากการท่องเที่ยวไปในโลก เรียกว่า “โลกุตรจิต” จำแนกได้ดังนี้

โลกียจิต มี ๘๑ ดวง ได้แก่
  • กามาวจรจิต ๕๔ ดวง
  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง
โลกุตรจิต มี ๘ ดวง ได้แก่
  • โลกุตรจิต ๘ ดวง
🔅 ๕. จํานวนจิต ๘๙ โดยเหตุเภทนัย
การจำแนกจิตโดยเหตุเภทนัย หมายถึง การจำแนกจิต ๘๙ ดวง โดยประเภทที่ไม่มีสัมปยุตเหตุ เรียกว่า “อเหตุกจิต” ส่วนประเภทที่มีสัมปยุตเหตุ เรียกว่า “สเหตุกจิต”

อเหตุกจิต เป็นจิตที่ไม่มีทั้งเหตุบาป และเหตุบุญประกอบ คือ ไม่มี โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหเหตุ และไม่มีอโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ ประกอบด้วยเลย ได้แก่ อเหตุกจิต ๑๘ ดวง คือ
  • อกุศลวิบากจิต ๗
  • อเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ 
  • อเหตุกกิริยาจิต ๓
สเหตุกจิต เป็นจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ทั้งเหตุบาปและเหตุบุญตามสมควร คือ สเหตุกจิตบางดวง มีเหตุประกอบเพียงเหตุเดียว เรียกว่า “เอกเหตุกจิต” บางดวงก็มีเหตุประกอบได้ ๒ เหตุ เรียกว่า “ทวิเหตุกจิต” และบางคราวก็มีเหตุประกอบได้ถึง ๓ เหตุ เรียกว่า “ติเหตุกจิต” จิตประกอบด้วยเหตุอย่างมากที่สุดได้เพียง ๓ เหตุเท่านั้น ดังนั้น สเหตุกจิตทั้ง ๓ ประเภท จึงจำแนกออกได้ดังนี้ คือ : -
    ๑) เอกเหตุกจิต มี ๒ ดวง ได้แก่ โมหมูลจิต ๒ มี โมหเหตุ เพียงเหตุเดียว
    ๒) ทวิเหตุกจิต มี ๒๒ ดวง ได้แก่
  • โลภมูลจิต ๘ มี โลภเหตุ กับ โมหเหตุ
  • โทสมูลจิต ๒ มี โทสเหตุ กับ โมหเหตุ
  • มหากุศลญาณวิปปยุตจิต ๔ มี อโลภเหตุ กับ อโทสเหตุ
  • มหาวิบากญาณวิปปยุตจิต ๔ มี อโลภเหตุ กับ อโทสเหตุ
  • มหากิริยาญาณวิปปยุตจิต ๔  มี อโลภเหตุ กับ อโทสเหตุ
    ๓) ติเหตุกจิต มี ๔๗ ดวง ได้แก่
  • มหากุศลญาณสัมปยุตจิต ๔ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • มหาวิบากญาณสัมปยุตจิต ๔ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • มหากิริยาญาณสัมปยุตจิต ๔ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • รูปาวจรกุศลจิต ๕ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • รูปาวจรวิบากจิต ๕ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • รูปาวจรกิริยาจิต ๕ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • อรูปาวจรกุศลจิต ๔ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • อรูปาวจรวิบากจิต ๔ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
  • โลกุตรจิต ๘ มี อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ
รวมความว่า จิต ๘๙ ดวง เมื่อจำแนกโดยเหตุเภทนัยแล้ว ได้แก่ “อเหตุกจิต ๑๘ ดวง” และ “สเหตุกจิต ๗๑ ดวง


🔅 ๖. จำแนกจิต ๘๙ โดยฌานเภทนัย
การจำแนกจิตโดยประเภทแห่งฌานนั้น หมายถึง การจำแนกจิตที่ประกอบด้วยอารัมมนูปนิชฌาน หรือประกอบด้วยองค์ฌาน เรียกว่า “ฌานจิต” และจิตที่ไม่ได้ประกอบด้วยอารัมมนูปนิชฌาน หรือไม่ได้ประกอบด้วยองค์ฌานที่เรียกว่า “อฌานจิต” จำแนกได้ดังนี้

ฌานจิต มี ๓๕ ดวง ได้แก่
  • รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
  • อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง
  • โลกุตรจิต ๘ ดวง
อฌานจิตมี ๕๔ ดวง ได้แก่
  • อกุศลจิต ๑๒ ดวง
  • อเหตุกจิต ๑๘ ดวง
  • กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง
ข้อสังเกต สำหรับโลกุตรจิตที่จัดเป็น ฌานจิต นั้น แม้โลกุตรจิตของพระโยคาวจรผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ เมื่อมัคคจิตเกิดเป็นอัปปนาจิตที่มีองค์ของปฐมฌานร่วมด้วย จึงสงเคราะห์เป็นฌานจิตด้วย แต่ถ้าเป็นมรรค-ผลของฌานลาภีบุคคลแล้ว โลกุตรจิต ซึ่งต้องนับโดยพิสดาร ๔๐ ดวง โลกุตรจิตนี้ ต้องจัดเป็น “ฌานจิต” โดยแน่นอน

จําแนกโลกุตรจิตโดยองค์ฌาน
อวสานคาถา
๑๔. ฌานงฺคโยคเภเทน    กเตฺวเกกนฺตุ ปญฺจธา
วุจฺจตานุตฺตรํ จิตฺตํ    จตุตาฬีสวิธนฺติ จฯ  
 
แปลความว่า โลกุตรจิต ๘ เมื่อแสดงโดยพิสดาร ๔๐ ดวง เพราะว่าโดยประเภทแห่งการประกอบขององค์ฌานแล้ว โดยโลกุตรจิตดวงหนึ่ง ๆ มีฌาน ๕ ฉะนั้น โลกุตรจิต ๘ จึงเป็น ๔๐ คาถาบทนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า โลกุตรจิต ๘ นั้น เมื่อแสดงโดยพิสดารย่อมจำแนกออกไปตามจำนวนองค์ฌานที่ประกอบ จึงจัดว่า โลกุตรจิต โดยพิสดารนั้นเป็น “ฌานจิต” แน่นอน


สงเคราะห์โลกุตรจิตกับฌาน
คาถาสังคหะ
๑๕. ยถา จ รูปาวจรํ    คยุหตานุตฺตรํ ตถา
ปฐมาทิชฺฌานเภเท    อารุปฺปญฺจาปิ ปญฺจเมฯ

แปลความว่า โลกุตรจิต ๘ นั้น ถือเสมือนว่า ปฐมฌาน เป็นต้น ฉันใด แม้อรูปาวจร ก็ถือเสมือนว่า ปัญจมฌาน ฉันนั้น หมายความว่า โลกุตรจิตที่พระอริยบุคคลได้บรรลุมรรคผลนั้น ย่อมมีองค์ฌานประกอบด้วยทั้งสิ้น ไม่ว่าพระอริยบุคคลนั้น จะได้เคยสำเร็จฌานมาก่อนหรือไม่ก็ตาม ถ้าเคยสำเร็จฌานมาก่อน องค์ฌานย่อมเกิดพร้อมกันในขณะมรรคผลปรากฏ แต่ถ้าไม่เคยได้กระทำฌานมาก่อน และไม่มีบุพพาธิการอบรมฌานไว้ องค์ฌานย่อมไม่มีโอกาสปรากฏ แต่จะอย่างไรก็ตาม องค์ฌานทั้ง ๕ คือ วิตก วิจาร, ปีติ, สุข และเอกัคคตา ย่อมมีอยู่พร้อมกันในขณะที่มรรคจิต หรือผลจิตเกิดขึ้น จึงนับได้ว่าโลกุตรจิตถือเสมือนว่าตั้งอยู่ใน ปฐมฌานด้วย



🔅 ๗. จำแนกจิต ๘๙ โดยเวทนาเภทนัย
การจำแนกจิตโดยเวทนาเภทนัย หมายถึงการจำแนกจิตทั้ง ๘๙ ดวง ที่เกิดพร้อมกับเวทนาต่าง ๆ ซึ่งได้แก่เวทนา ๕ ประการ คือ
๑. สุขเวทนา จิตที่เกิดพร้อมกับสุขเวทนา (สุขกาย) ได้แก่สุขสหคตกายวิญญาณจิต ๑ ดวง
๒. ทุกขเวทนา จิตที่เกิดพร้อมกับทุกขเวทนา (ทุกข์กาย) ได้แก่ทุกขสหคตกายวิญญาณจิต ๑ ดวง
๓. โสมนัสเวทนา จิตที่เกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนามี ๓๘ ดวง ได้แก่

          กามโสมนัส ๑๘
  • โสมนัสโลภมูลจิต ๔ ดวง
  • โสมนัสสันตีรณจิต ๑ ดวง
  • โสมนัสหสิตุปปาทจิต ๑ ดวง                                  
  • โสมนัสมหากุศลจิต ๔ ดวง
  • โสมนัสมหาวิบากจิต ๔ ดวง
  • โสมนัสมหากิริยาจิต ๔ ดวง
         ฌานโสมนัส ๒๐
  • รูปาวจรปฐมฌาน ๓ ดวง
  • รูปาวจรทุติยฌาน ๓ ดวง
  • รูปาวจรตติยฌาน ๓ ดวง
  • รูปาวจรจตุตถฌาน ๓ ดวง
  • โลกุตรจิต ๘ ดวง
เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้ว การจำแนกจิต ๘๙ โดยเวทนานั้น โลกุตรจิต ๘ ดวงนั้น ย่อมเกิดพร้อมกับโสมนัสเวทนา แต่ถ้าจำแนกจิต ๑๒๑ ดวง โดยประเภทแห่งเวทนาแล้ว ก็จัดเป็นโสมนัสโลกุตรจิต ๓๒ ดวง คือ โลกุตรจิตที่ประกอบด้วยองค์ฌานแห่งปฐมฌาน ๘ ดวง, ทุติยฌาน ๘ ดวง, ตติยฌาน ๘ ดวง และจตุตถฌาน ๘ ดวง เป็นโสมนัสโลกุตรจิต ส่วนปัญจมฌาน ย่อมเกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนา 

๔. โทมนัสเวทนา จิตที่เกิดพร้อมกับโทมนัสเวทนา ได้แก่ โทสมูลจิต ๒ ดวง
๕. อุเบกขาเวทนา จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา มี ๔๗ ดวง คือ

         กามอุเบกขา ๓๒
  • อุเบกขาโลภมูลจิต ๔ ดวง
  • อุเบกขาโมหมูลจิต ๒ ดวง
  • อุเบกขาอเหตุกจิต ๑๔ ดวง
  • อุเบกขามหากุศลจิต ๔ ดวง
  • อุเบกขามหาวิบากจิต ๔ ดวง
  • อุเบกขามหากิริยาจิต ๔ ดวง

    มหัคตอุเบกขา ๑๕

  • รูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓ ดวง
  • อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง

🔅 ๘. จำแนกจิต ๘๙ โดยสัมปโยคเภทนัย

การจำแนกจิตโดยสัมปโยคเภทนัย คือ การจำแนกจิตที่มีสภาพธรรมบางอย่างประกอบ เรียกว่า “สัมปยุต” และไม่มีสภาพธรรมอย่างนั้นประกอบ เรียกว่า “วิปปยุต เมื่อจำแนกจิต ๘๙ โดย “สัมปยุต” และ “วิปปยุต” แล้ว ได้ดังนี้ คือ

สัมปยุตจิต มี ๕๕ ดวง แบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ
๑. ทิฏฐิคตสัมปยุตจิต มี ๔ ดวง ได้แก่ โลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิคตสมปยุต ๔ ดวง
๒. ปฏิฆสัมปยุตจิต มี ๒ ดวง ได้แก่ โทสมูลจิต ๒ ดวง
๓. วิจิกิจฉาสัมปยุตจิต มี ๑ ดวง ได้แก่ โมหมูลจิตดวงที่ ๑ ที่มีวิจิกิจฉาสัมปยุต
๔. อุทธัจจสัมปยุตจิต มี ๑ ดวง ได้แก่ โมหมูลจิตดวงที่ ๒ ที่มีอุทธัจจสัมปยุต
๕. ญาณสัมปยุตจิต มี ๔๗ ดวง ได้แก่
            - กามาวจรโสภณญาณสัมปยุตจิต ๑๒ ดวง
            - มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
            - โลกุตรจิต ๘ ดวง

วิปปยุตจิต มี ๓๔ ดวง แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. ทิฏฐิคตวิปปยุตจิต มี ๔ ดวง ได้แก่ โลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตจิต ๔ ดวง
๒. ญาณวิปปยุตจิต มี ๑๒ ดวง ได้แก่ กามาวจรโสภณญาณวิปปยุตจิต ๑๒ ดวง
๓. วิปปยุตจิต มี ๑๘ ดวง ได้แก่ อเหตุกจิต ๑๘ ดวง สําหรับอเหตุกจิต ๑๘ ดวงนั้น ไม่มีทิฏฐิ, ปฏิฆะ, วิจิกิจฉา, อุทธัจจะหรือฌานแม้อย่างใดอย่างหนึ่งประกอบในอเหตุกจิตเลย จึงจัดเป็นวิปปยุตจิต เพราะไม่มีสัมปยุตธรรม ๕ อย่างดังกล่าวนั้นเลย

🔅 ๙. การจำแนกจิต ๘๙ โดยสังขารเภทนัย
การจำแนกจิตโดยสังขารเภทนัย ก็คือ การจำแนกจิตที่เกิดขึ้นโดยอุตสาหะของตนเอง หรือจิตที่เกิดขึ้นได้โดยต้องอาศัยมีการชักชวน จิตที่เกิดขึ้นโดยอุตสาหะแห่งตน ไม่มีการชักชวนนั้นชื่อว่า “อสังขาริกจิต” และจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยมีการชักชวนนั้น ชื่อว่า “สสังขาริกจิต” เมื่อจำแนกโดยประเภทแห่งสังขารแล้ว ได้ดังนี้

อสังขาริกจิต มี ๓๗ ดวง ได้แก่
  • อกุศลอสังขาริกจิต ๗
  • อเหตุกจิต ๑๘
  • กามาวจรโสภณอสังขาริกจิต ๑๒
สสังขาริกจิต มี ๕๒ ดวง ได้แก่
  • อกุศลสสังขาริกจิต ๕ ดวง
  • กามาวจรโสภณสสังขาริกจิต ๑๒ ดวง
  • มหัคคตจิต ๒๗ ดวง
  • โลกุตรจิต ๘ ดวง
สำหรับพระอริยบุคคลเคยได้ฌานมาก่อนแล้วฌานใดฌานหนึ่ง ตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงปัญจมฌาน เมื่อสำเร็จมรรคผล องค์ฌานนั้น ๆ ก็เกิดพร้อมด้วยแม้ในอรูปฌานทั้งหมด ก็ปรากฏเหมือนปัญจมฌาน และฌานจิตทั้งหมดสงเคราะห์เป็นสสังขาริกจิต

ฌานจิต ๖๗
คาถาสังคหะ
๑๖. เอกาทสวิธํ ตสฺมา    ปฐฺมาทิกมีริตํ
ฌานเมเกกมนฺเต ตุ    เตวีสติวิธํ ภเวฯ

แปลความว่า ปฐมฌาน เป็นต้น ท่านกล่าวว่า แต่ละฌานมี ๑๑ ดวง ที่สุด คือ 
ปัญจมฌานนั้น มี ๒๓ ดวง
หมายความว่า ในจำนวนจิตพิสดาร ๑๒๑ ดวงนั้น นับตามจิตที่เข้าถึงฌานแล้วมีดังนี้คือ 

ปฐมฌานจิ ๑๑ ดวง 
คือ เป็นโลกียจิต ๓ โลกุตรจิต ๘ 
ทุติยฌานจิต ๑๑ ดวง คือ เป็นโลกียจิต ๓ โลกุตรจิต ๘         
ตติยฌานจิต ๑๑ ดวง คือ เป็นโลกียจิต ๓ โลกุตรจิต ๘ 
จตุตถฌานจิต ๑๑ ดวง คือ เป็นโลกียจิต ๓ โลกุตรจิต ๘ 
ปัญจมฌานจิต ๒๓ ดวง คือ เป็นโลกียจิต ๑๕ โลกุตรจิต ๘ 

รวมฌานจิตทั้งหมด ๖๗ ดวง ได้แก่
มหัคคตจิต ๒๗ ดวง 
 
โลกุตรจิต ๔๐ ดวง





จำแนกกุศลจิต และ วิบากจิตโดยพิสดาร
คาถาสังคหะ
๑๗. สตฺตตึสวิธํ ปุญฺญํ    ทฺวิปญฺญาสวิธนฺตถา
ปากมิจฺจาหุ จิตฺตานิ    เอกวีสสตมฺพุธาติฯ

แปลความว่า กุศลจิต ๓๗ และวิบากจิต ๕๒ อย่างนี้ บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นการกล่าวโดยจิตพิสดาร
หมายความว่า ตามคาถาสังคหะที่ ๑๑ ได้แสดงแล้วว่า กุศลจิต ๒๑ และวิบากจิต มี ๓๖ นั้น เป็นการแสดงชาติของจิตโดยย่อ ๘๙ เท่านั้น แต่เมื่อมีการแสดงชาติของจิตโดยพิสดาร ๑๒๑ ดวงแล้ว ได้ดังนี้

กุศลจิต 
๓๗ ดวงนั้น ได้แก่
  • กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง
  • มหัคคตกุศลจิต ๙ ดวง
  • โลกุตรกุศลจิต ๒๐ ดวง
วิบากจิต ๕๒ ดวงนั้น ได้แก่
  • กามาวจรวิบาก ๒๓ ดวง
       - อกุศลวิบากจิต ๗ ดวง
       - อเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ ดวง
       - มหาวิบาก ๘ ดวง
  • มหัคคตวิบาก ๙ ดวง
  • โลกุตรวิบาก ๒๐ ดวง
เมื่อขยายความตามคาถาที่ ๑๗ อันเป็นคาถาสุดท้ายแห่งพระอภิธัมมัตถสังคหะ จึงขอแสดงการจำแนกจิตโดยพิสดารไว้ดังนี้ คือ : -

จำแนกจิต ๑๒๑ โดยชาติเภทนัย
อกุศลชาติ ได้แก่ อกุศลจิต ๑๒ ดวง
กุศลชาติ ได้แก่ กุศลจิต ๓๗ ดวง
วิบากชาติ ได้แก่ วิบากจิต ๕๒ ดวง
กิริยาชาติ ได้แก่ กิริยาจิต ๒๐ ดวง

จำแนกจิต ๑๒๑ โดยภูมิเภทนัย
กามภูมิ ได้แก่ กามาวจรจิต ๕๔ ดวง
รูปภูมิ ได้แก่ รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
อรูปภูมิ ได้แก่ อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง
โลกุตรภูมิ ได้แก่ โลกุตรจิต ๔๐ ดวง

จำแนกจิต ๑๒๑ โดยโสภณเภทนัย
อโสภณะ ได้แก่ อโสภณจิต ๓๐ ดวง
โสภณะ ได้แก่ โสภณจิต ๙๑ ดวง

จําแนกจิต ๑๒๑ โดยโลกเภทนัย
โลกียะ ได้แก่ โลกียจิต ๘๑ ดวง
โลกุตระ ได้แก่ โลกุตรจิต ๔๐ ดวง

จำแนกจิต ๑๒๑ โดยเหตุเภทนัย
อเหตุกะ ได้แก่ อเหตุกจิต ๑๘ ดวง
สเหตุกะ ได้แก่ สเหตุกจิต ๑๐๓ ดวง

จำแนกจิต ๑๒๑ โดยฌานเภทนัย
จิตที่ไม่ประกอบด้วยฌาน ได้แก่ อฌานจิต ๕๔ ดวง
จิตที่ประกอบด้วยฌาน ได้แก่ ฌานจิต ๖๗ ดวง

จำแนกจิต ๑๒๑ โดยเวทนาเภทนัย
สุขเวทนา ได้แก่ สุขสหคตจิต ๑ ดวง
ทุกขเวทนา ได้แก่ ทุกขสหคตจิต ๑ ดวง
โสมนัสเวทนา ได้แก่ โสมนัสสหคตจิต ๖๒ ดวง
โทมนัสเวทนา ได้แก่ 
โทมนัสสหคตจิต ๒ ดวง
อุเบกขาเวทนา ได้แก่ อุเบกขาสหคตจิต ๕๔ ดวง

จําแนกจิต ๑๒๑ โดยสัมปโยคเภทนัย
สัมปโยค มี ๒ อย่าง คือ “สัมปยุต” และ “วิปปยุต
สัมปยุต ได้แก่ สัมปยุตจิต ๘๗ ดวง
วิปปยุต ได้แก่ วิปปยุตจิต ๓๔ ดวง

จําแนกจิต ๑๒๑ โดยสังขารเภทนัย
อสังขาร ได้แก่ อสังขาริกจิต ๓๗ ดวง
สสังขาร ได้แก่ สสังขาริกจิต ๘๔ ดวง



ข้อสังเกตพิเศษ
อเหตุกจิต ๑๘ สงเคราะห์เข้าใน วิปปยุตจิต
ฌานจิต ๖๗ สงเคราะห์เข้าใน สัมปยุตจิต

โมหมูลจิต ๒ สงเคราะห์เข้าใน อสังขาริกจิต
อเหตุกจิต ๑๘ สงเคราะห์เข้าใน อสังขาริกจิต

ฌานจิต ๖๗ สงเคราะห์เข้าใน สสังขาริกจิต


อวสานคาถา
อิจฺจานุรุทฺธรจิเต    อภิธมฺมตฺถสงฺคเห
ปฐโม ปริจฺเฉโทยํ    สมาเสเนว นิฏฐิโต ฯ

ปริจเฉทที่ ๑ “จิตตสังคหวิภาค” ในปกรณ์อันรวบรวมซึ่งอรรถแห่งพระอภิธรรม ที่พระอนุรุทธาจารย์ได้รจนาไว้ จบแล้วโดยย่อเพียงเท่านี้