RSS

อารัมมณสังคหะ

 แสดงการรวบรวมจิตและเจตสิก โดยประเภทแห่งการรับอารมณ์ ชื่อว่า “อารัมมณสังคหะ

อารมณ์ คือ ธรรมชาติ อันเป็นที่น่ายินดีของจิตและเจตสิก หรือเป็นธรรมชาติ อันเป็นที่ยึดหน่วงของจิตและเจตสิกทั้งหลาย ดังวจนัตถะว่า (จิตฺตเจตสิกานิ) อาคนฺตวา เอตฺถ รมนฺตีติ อารมฺมณํ แปลว่า จิตและเจตสิกทั้งหลายมาแล้วย่อมยินดีในธรรมชาตินี้ ฉะนั้นธรรมชาตินี้ ชื่อว่า อารมฺมณ. (ธรรมชาติเป็นที่มายินดีของจิตและเจตสิก) (จิตฺฺตเจตสิเกหิ) อาลมฺพิยตีติ อาลมฺพนํ แปลว่า ธรรมชาติใด ที่จิตและเจตสิกทั้งหลายยึดหน่วงอยู่ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า อาลมุพน. (ธรรมชาติเป็นที่ถูกจิตและเจตสิกยึดหน่วง)

ฉะนั้น ธรรมชาติใดที่ทําให้จิตและเจตสิกข้องติดอยู่โดยอาการเป็นที่น่ายินดี หรือเป็นที่ให้ยึดหน่วงอยู่ได้ ธรรมชาตินั้นเรียกว่า อารัมมณะ หรือ อาลัมพนะ ซึ่งได้แก่ อารมณ์ ๖ อย่าง คือ :- 

อารมณ์ ๖ ประเภท
๑. รูปารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ วัณณรูป คือ สีต่าง ๆ
๒. สัททารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ สัททรูป คือ เสียงต่างๆ
๓. คันธารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ คันธรูป คือ กลิ่นต่าง ๆ
๔. รสารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ รสรูป คือ รสต่าง ๆ
๕. โผฏฐัพพารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ 

  • ปฐวี > คือ อ่อน-แข็ง
  • เตโช > คือ เย็น-ร้อน
  • วาโย > คือ หย่อน-ตึง

๖. ธรรมารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ จิต ๘๙, เจตสิก ๕๒, รูป ๒๑, นิพพาน, บัญญัติ

อธิบาย

ในบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายนั้น ถ้าไม่มีอารมณ์เป็นที่อาศัยยึดเหนี่ยวแล้ว จิตและเจตสิกแห่งสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ อุปมาเหมือน คนชรา หรือทุพพลภาพ ย่อมต้องอาศัยไม้เท้า หรือราวเชือกเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไว้ให้ทรงตัวลุกขึ้นเดินไปได้ ฉันใด จิตและเจตสิกทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ต้องมีอารมณ์เป็นเครื่องอาศัยยึดเหนี่ยวให้ปรากฏขึ้นได้ ฉันนั้น

ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงอารมณ์ ย่อมต้องผูกพันไปถึงจิต และเมื่อจะกล่าวถึงจิต ก็จะต้องมีอารมณ์เช่นเดียวกัน จิตใดที่ไม่มีอารมณ์นั้น ไม่มีเลย อารมณ์อันเป็นอาหารของจิตนั้น เมื่อจำแนกตามความสามารถในการรับอารมณ์ต่าง ๆ โดยอาศัยผ่านทางทวารนั้น มีอยู่ ๖ ประการ คือ

  • ๑. รูปารมณ์ แปลว่า รูปเป็นอารมณ์ รูปในความหมายนี้ ได้แก่ วัณณรูป คือ สีต่าง ๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตและเจตสิกได้ ทางทวารตา
  • ๒.สัททารมณ์ หมายถึง เสียงเป็นอารมณ์ ได้แก่ สัททรูป อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตและเจตสิก ทางทวารหู
  • ๓. คันธารมณ์ หมายถึง กลิ่น เป็นอารมณ์ ได้แก่ คันธรูป เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตและเจตสิก ทางทวารจมูก
  • ๔.รสารมณ์ หมายถึง รส เป็นอารมณ์ ได้แก่ รสรูป อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตและเจตสิก ทางทวารลิ้น
  • ๕. โผฏฐัพพารมณ์ องค์ธรรม ได้แก่ หมายถึง การกระทบถูกต้องกายเป็นอารมณ์ ได้แก่ ปฐวี, เตโช, วาโย คือ ความแข็ง-อ่อน, เย็น-ร้อน, หย่อนตึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตและเจตสิก ทางทวารกาย
  • ๖.ธรรมารมณ์ หมายถึง สภาพธรรมที่รู้ได้เฉพาะมโนทวาร (ทางใจ) ได้แก่ สภาพธรรม ๖ ประการ คือ จิต ๘๙, เจตสิก ๕๒, ปสาทรูป ๕, สุขุมรูป ๑๖, นิพพาน และบัญญัติ อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของจิตและเจตสิกทางใจ

รูปารมณ์, สัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์ และโผฏฐัพพารมณ์ อารมณ์ทั้ง ๕ นี้ รวมเรียกว่า ปัญจารมณ์ ซึ่งเป็น รูปธรรม ส่วนธรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ ๖ องค์ธรรมได้แก่ จิต เจตสิก และนิพพาน นั้น เป็นนามธรรม สำหรับปสาทรูป ๕, สุขุมรูป ๑๖ นั้น เป็นรูปธรรม เฉพาะบัญญัติ ไม่เป็นทั้ง รูปธรรม และนามธรรม คงเป็นแต่ บัญญัติธรรม เท่านั้นปัญจารมณ์ และ ธรรมารมณ์ รวมเรียกว่า อารมณ์ ๖ หรือ ฉอารมณ์

 🌼 อำนาจของอารมณ์

ในอารมณ์ ๖ นี้ เมื่อจำแนกโดยกำลังอำนาจของอารมณ์แล้ว อาจแบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ :-

๑. สามัญอารมณ์ คือ อารมณ์ ๖ ชนิดที่เป็นธรรมดาสามัญทั่ว ๆ ไป ไม่มีกำลังแรงเป็นพิเศษที่เหนี่ยวน้อมเอาจิตและเจตสิกไปสู่อารมณ์นั้นๆ ได้

๒.อธิบดีอารมณ์ เป็นอารมณ์ชนิดพิเศษ มีกำลังอำนาจแรงมาก สามารถทำให้นามธรรม คือ จิตและเจตสิก เข้ายึดอารมณ์นั้น ๆ ไว้อย่างหนักหน่วง อารมณ์ที่มีกำลังแรงมากเช่นนี้ เรียกว่า อารัมมณาธิปติ หรืออธิบดีอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นอธิบดีได้นี้ ก็ต้องเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนา คือ อิฏฐารมณ์ อิฏฐารมณ์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่

สภาวอิฏฐารมณ์ หมายถึง อารมณ์ที่น่ายินดีโดยธรรมชาติ หรือโดยสภาวะเช่น รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ เหล่านี้เป็นต้น ที่เป็นที่น่ายินดีแก่บุคคลโดยทั่วไป

ปริกัปปอิฏฐารมณ์ หมายถึง อารมณ์ ที่น่ายินดีชอบใจ เฉพาะบุคคล ไม่ใช่ทั่วไปแก่สัตว์ทั้งหมด อารมณ์ชนิดนี้ ไม่ใช่อารมณ์ที่น่ายินดีโดยธรรมชาติ หรือโดยสภาวะ ซึ่งไม่เป็นที่น่าปรารถนาของบุคคลส่วนมาก แต่เป็นอารมณ์ ที่น่ายินดีพอใจของบุคคล หรือสัตว์บางจำพวก หรือเฉพาะตนเท่านั้น

สภาวอิฏฐารมณ์ หรือปริกัปปอิฏฐารมณ์นี้ เมื่อสามารถทำให้นามธรรมเกิดขึ้นได้โดยอาการยึดหน่วงอารมณ์นั้นเป็นพิเศษแล้วก็ได้ชื่อว่า เป็นอธิบดีอารมณ์ ดังวจนัตถะว่า 

(จิตฺตเจตสิเกหิ) อาลมฺพิยตีติ อาลมฺพนํ

แปลว่า ธรรมชาติใด ที่จิตและเจตสิกทั้งหลายยึดหน่วงอยู่ ฉะนั้นธรรมชาตินั้น ชื่อว่า อาลมุพน ได้แก่ อารมณ์ ๖ ที่เป็นอธิบดี

 🌼 ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ ๖ กับ ทวาร

๑. จักขุทวาริกจิต ๔๖ ดวง รับรูปารมณ์ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
๒. โสตทวาริกจิต ๔๖ ดวง รับสัททารมณ์ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
๓. ฆานทวาริกจิต ๔๖ ดวง รับคันธารมณ์ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
๔. ชิวหาทวาริกจิต ๔๖ ดวง รับรสารมณ์ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
๕. กายทวาริกจิต ๔๖ ดวง รับโผฏฐัพพารมณ์ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
๖. มโนทวาริกจิต ๖๗ หรือ ๙๙ ดวง รับอารมณ์ ๖ ที่เป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต, กาลวิมุต ตามสมควร
๗. ทวารวิมุตตจิต ๑๙ ดวง ที่ทำหน้าที่ปฏิสนธิ, ภวังค์, จุติ, รับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งในบรรดาอารมณ์ ๖ ที่เรียกว่า กรรมอารมณ์, กรรมนิมิตอารมณ์ และคตินิมิตอารมณ์ ที่เป็น ปัจจุบัน, อดีตและบัญญัติอารมณ์ ที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง ๖ ขณะที่มรณาสันนชวนะ รับเอาจากภพก่อน เมื่อใกล้จะตายเป็นส่วนมาก

อธิบาย

๑ - ๕ จักขุทวาริกจิต, โสตทวาริกจิต, ฆานทวาริกจิต, ชิวหาทวาริกจิตและกายทวาริกจิต มีจิตเกิดได้ ๔๖ ดวง คือ กามจิต ๔๖ ดวง (เว้นจิต ๘ ดวง ในทวิปัญจวิญญาณ ที่เกิดไม่ได้ โดยเฉพาะทางทวารนั้นๆ)
๖. มโนทวาริกจิต ๖๗ หรือ ๙๙ ดวง คือ :-

  • - กามจิต ๔๑ ดวง (เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐, มโนธาตุ ๓)
  • - มหัคคตจิต ๑๘ ดวง (เว้นมหัคคตวิบากจิต ๙) โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐

๗. ทวารวิมุตตจิต ๑๙ ดวง คือ :-

  • - อุเบกขาสันติรณจิต ๒ ดวง
  • - มหาวิบากจิต ๘
  • - มหัคคตวิบากจิต ๙

อารมณ์ ๖ คือ รูปารมณ์, สัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์, โผฏฐัพพารมณ์ และธรรมารมณ์ ดังกล่าวแล้ว เมื่อสงเคราะห์โดยกาลแล้วแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ :-

๑.เตกาลิกอารมณ์ คือ อารมณ์๖ ที่เกี่ยวด้วยกาลทั้ง ๓ คือ
อดีต, ปัจจุบันและอนาคต องค์ธรรมได้แก่ จิต, เจตสิก, รูป จิต เจตสิก รูป ที่เป็นอดีตอารมณ์นั้น หมายถึง จิต เจตสิก รูปที่เป็นอารมณ์เหล่านี้ ผ่านพ้นไปแล้ว คือ ได้เห็นแล้ว, ได้ยินแล้ว, ได้กลิ่นแล้ว ได้รู้รสแล้ว, ได้ถูกต้องสัมผัสแล้ว และได้คิดนึกถึงอารมณ์ที่ผ่านมาแล้วนี้เรียกว่า อดีตอารมณ์

จิต เจตสิก รูป ที่เป็นอารมณ์ปัจจุบันนั้น หมายถึง จิต เจตสิก รูป ขณะที่กำลังปรากฏเป็นอารมณ์อยู่เฉพาะหน้า คือ กำลังเห็น, กำลังได้ยิน, กำลังได้กลิ่น, กำลังรู้รส, กำลังถูกต้องสัมผัส และกำลังคิดในอารมณ์ที่ปรากฏทางใจ ยังไม่ดับไป เหล่านี้เรียกว่า ปัจจุบันอารมณ์

จิต เจตสิก รูป ที่เป็นอนาคตอารมณ์นั้น หมายถึง อารมณ์ต่าง ๆ ได้แก่ จิต เจตสิก รูป เหล่านี้ จะมาปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ จะเห็น จะได้ยิน, จะได้กลิ่น, จะรู้รส, จะถูกต้องสัมผัส และจะเป็นอารมณ์ให้คิดนึกทางใจเหล่านี้ ชื่อว่า อนาคตอารมณ์

อารมณ์ที่ปรากฏขึ้นโดยกาลทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า เตกาลิกอารมณ์

๒.กาลวิมุตตอารมณ์ หมายถึง อารมณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยกาลทั้ง ๓ ได้แก่ นิพพาน และบัญญัติอารมณ์ เพราะธรรมทั้ง ๒ พวกนี้ เป็นอสังขตธรรม ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย ๔ คือ กรรม, จิต, อุตุ และอาหาร ฉะนั้น การบังเกิดขึ้นของธรรมทั้ง ๒ พวกนี้ เพราะปัจจัยปรุงแต่งไม่มี เมื่อไม่มีการเกิดแล้ว ก็กล่าวไม่ได้ว่า นิพพาน หรือบัญญัติเหล่านี้ เป็น ปัจจุบัน-อดีต-อนาคต เมื่อไม่เป็นไปในปัจจุบัน, อดีต และอนาคต เช่นนี้แล้ว ก็เรียกว่าเป็น “กาลวิมุตตอารมณ์”

 🌼 แสดงจิตที่รับอารมณ์โดยแน่นอน ๔ ประเภท และไม่แน่นอน ๓ ประเภท

คาถาสังคหะ
๑๑- ปญฺฺจวีส ปริตฺฺตมฺหิ     ฉ จิตฺตานิ มหคฺคเต  
เอกวีสติ โวหาเร     อฏฺฐ นิพฺพานโคจเร ฯ
๑๒- วีสานุตฺตรมุตฺตมฺหิ     อคฺคมคฺคผลุชุฌิเต
ปญฺจ สพฺพตฺถ ฉจฺเจติ     สตฺตธา ตตฺถ สงฺคโห ฯ

แปลความว่า
จิต ๒๕ ดวง เกิดขึ้นรับอารมณ์ ๖ ที่เป็น กามธรรม อย่างเดียว
จิต ๖ ดวง เกิดขึ้นรับธรรมารมณ์ ที่เป็น มหัคคตะ อย่างเดียว
จิต ๒๑ ดวง เกิดขึ้นรับธรรมารมณ์ ที่เป็น บัญญัติ อย่างเดียว
จิต ๘ ดวง เกิดขึ้นรับธรรมารมณ์ ที่เป็น นิพพาน อย่างเดียว
จิต ๒๐ ดวง เกิดขึ้นรับธรรมารมณ์ ๖ ที่เป็น กามธรรม, มหัคคตธรรม และบัญญัติธรรม (เว้นโลกุตตรธรรม ๙)
จิต ๕ ดวง เกิดขึ้นรับอารมณ์ ๖ ที่เป็น กามธรรม, มหัคคตธรรม, บัญญัติธรรม และโลกุตตรธรรม (เว้นอรหัตตมรรค-อรหัตตผล)
จิต ๖ ดวง เกิดขึ้นได้ในอารมณ์ ๖ ที่เป็น กามธรรม, มหัคคตธรรม, บัญญัติธรรม, และโลกุตตรธรรมทั้งหมด

ในอารัมมณสังคหะนี้ สงเคราะห์การรับอารมณ์ของจิตได้ ๗ นั้น โดยประเภทรับอารมณ์แน่นอน (เอกันตะ) ๔ และไม่แน่นอน (อเนกันตะ) ๓ ด้วยประการฉะนี้

อธิบาย อารมณ์ทั้ง ๖ ดังกล่าวนั้น เมื่อจำแนกโดยประเภทใหญ่ๆ แล้วมี ๔ ประเภท คือ :-

๑. กามอารมณ์  ได้แก่  อารมณ์ ๖
๒. มหัคคตอารมณ์  ได้แก่  ธรรมารมณ์
๓. บัญญัติอารมณ์  ได้แก่  ธรรมารมณ์
๔. โลกุตตรอารมณ์ ได้แก่  ธรรมารมณ์ 

👉 ๑. กามอารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ กามจิต ๕๔, เจตสิก ๕๒, รูป ๒๘ กล่าวคือ ขณะเมื่อจิตใจยึดหน่วงเอากามจิต ๕๔ ดวง ดวงใดดวงหนึ่งเป็นอารมณ์ก็ดี หรือยึดหน่วงเอารูปใดรูปหนึ่งใน ๒๘ รูปนั้น เป็นอารมณ์ก็ดี ย่อมได้ชื่อว่า จิตนั้นยึดหน่วงกามอารมณ์ หรือมีอารมณ์เป็นกามธรรม

👉 ๒.มหัคคตอารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ มหัคคตจิต ๒๗, เจตสิก ๓๕ หมายความว่า ขณะเมื่อจิตใจยึดหน่วงเอามหัคคตจิต ๒๗ ดวงใดดวงหนึ่งเป็นอารมณ์ก็ได้ชื่อว่า จิตนั้นยึดหน่วงมหัคคตอารมณ์ หรืออารมณ์เป็นมหัคคตธรรม กามอารมณ์ และมหัคคตอารมณ์นี้ ยังเป็นอารมณ์ที่ผูกพันอยู่ในโลกทั้ง ๓ คือ กามโลก รูปโลก และอรูปโลก จึงรวมเรียกอารมณ์ทั้ง ๒ ประเภทนี้ว่า โลกียอารมณ์ ซึ่งเมื่อจิตใดยึดหน่วงโลกียอารมณ์ ก็ชื่อว่า จิตนั้นมีอารมณ์เป็นโลกียธรรม

👉 ๓. บัญญัติอารมณ์ ได้แก่ บัญญัติธรรม ๒ ประการ คือ อัตถบัญญัติ และ สัททบัญญัติ

  • อัตถบัญญัติ ได้แก่ สมมุติบัญญัติขึ้น โดยอาศัยรูปพรรณสัณฐาน หรือลักษณะอาการ เพื่อให้รู้เนื้อความ หรือความหมายแห่งบัญญัตินั้น ๆ เช่น รูปร่างลักษณะของภูเขา, ต้นไม้, แม่น้ำลำคลอง, เรือกสวน, ไร่นา, กสิณบัญญัติ,  อานาปานบัญญัติ, สัตวบัญญัติ เหล่านี้ เป็นต้น
  • สัททบัญญัติ ได้แก่ เสียงที่เปล่งออกมาเป็นถ้อยคำ ใช้เรียกชื่อสมมุติบัญญัติของสิ่งนั้นๆ ให้รู้ความหมายกันได้ จากถ้อยคำหรือน้ำเสียงที่เปล่งออกไป เช่นเมื่อกล่าวถึงภูเขา, ต้นไม้, โต๊ะ, เก้าอี้, ผู้หญิง, ผู้ชาย คำสั่งให้ซ้ายหันขวาหัน, หน้าเดิน เหล่านี้เป็นต้น แม้ไม่ได้เห็นสิ่งที่พูดถึงอยู่ในขณะนั้น แต่ก็รู้ และเข้าใจความหมายได้จากถ้อยคำ เสียงที่เปล่งออกไปนั้น เรียกว่า สัททบัญญัติ

ฉะนั้น เมื่อจิตใจยึดหน่วงเอาบัญญัติอย่างใดอย่างหนึ่ง มาเป็นอารมณ์แล้ว ก็ได้ชื่อว่า จิตนั้นยึดหน่วงบัญญัติอารมณ์ หรือมีอารมณ์เป็นบัญญัติ

👉 ๔. โลกุตตรอารมณ์ องค์ธรรมได้แก่ มัคคจิต ๔, ผลจิต ๔, เจตสิก ๓๖ และนิพพาน ๑ ขณะเมื่อจิตใดยึดมัคคจิต ผลจิต หรือนิพพานเป็นอารมณ์ก็ดี จิตที่ยึดหน่วงอารมณ์นั้น ๆ ก็ได้ชื่อว่า จิตนั้นยึดหน่วงโลกุตตรอารมณ์ หรือ มีอารมณ์เป็นโลกุตตรธรรม

ต่อไปนี้ จะได้แสดงการจำแนกจิตที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ทั้ง ๔ ประเภท ตามในคาถาสังคหะที่ ๑๑ และ ๑๒ ตามลำดับ ดังนี้

จำแนกจิต ๖๐ หรือ ๙๒ ดวงที่รับอารมณ์แน่นอน โดยอารมณ์ ๖ และ กาล ๓

๑. จิตที่รับกามอารมณ์โดยแน่นอน มี ๒๕ ดวง ปญฺจวีส ปริตฺตมฺหิ"

  • จักขุวิญญาณ ๒ รับ รูปารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • โสตวิญญาณ ๒ รับ สัททารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • ฆานวิญญาณ ๒ รับ คันธารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • ชิวหาวิญญาณ ๒ รับ รสารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • กายวิญญาณ ๒ รับ โผฏฐัพพารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • มโนธาตุ ๓ รับ ปัญจารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • สันตีรณจิต ๓ รับ อารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต
  • มหาวิบากจิต ๘ รับ อารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต
  • หสิตุปปาทจิต ๑ รับ อารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต

๒. จิตที่รับมหัคคตอารมณ์ โดยแน่นอน มี ๖ ดวง ฉ จิตฺตานิ มหคฺคเต

  • วิญญาณัญจายตนกุศลจิต ๑  วิญญาณัญจายตนวิบากจิต ๑ รับอากาสานัญจายตนกุศล ที่เป็นอดีตอย่างเดียว
  • วิญญาณัญจายตนกิริยาจิต ๑ รับอากาสานัญจายตนกุศลและกิริยา ที่เป็นอดีตอย่างเดียว
  • เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต ๑ เนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิต ๑ รับอากิญจัญญายตนกุศลที่เป็นอดีตอย่างเดียว
  • เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยาจิต ๑ รับอากิญจัญญายตนกุศลและกิริยาที่เป็นอดีตอย่างเดียว

๓. จิตที่รับบัญญัติอารมณ์โดยแน่นอน มี ๒๑ ดวง เอกวีสติ โวหาเร

  • รูปาวจรปฐมฌานจิต ๓ มีบัญญัติธรรมารมณ์ ๒๕ อย่าง คือ กสิณบัญญัติ ๑๐, อสุภบัญญัติ ๑๐, โกฏฐาสบัญญัติ ๑, อานาปานบัญญัติ ๑, ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ๑, ทุกขิตสัตวบัญญัติ ๑, สุขิตสัตวบัญญัติ ๑, ที่เป็นกาลวิมุตอย่างเดียว
  • รูปาวจรทุตยฌาน ๓ รูปาวจรตติยฌาน ๓ รูปาวจรจตุตถฌาน ๓ มีบัญญัติธรรมารมณ์ ๑๔ อย่าง คือ กสิณบัญญัติ ๑๐, อานาปานบัญญัติ ๑, ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ๑, ทุกขิตสัตวบัญญัติ ๑, สุขิตสัตวบัญญัติ ๑ ที่เป็นกาลวิมุตอย่างเดียว
  • รูปาวจรปัญจมฌาน ๓ มีบัญญัติธรรมารมณ์ ๑๒ อย่าง คือ กสิณบัญญัติ ๑๐ อานาปานบัญญัติ ๑, มัชฌัตตสัตวบัญญัติ ๑ ที่เป็นกาลวิมุตอย่างเดียว
  • อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ มีบัญญัติธรรมารมณ์ คือ กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติที่เป็นกาลวิมุตอย่างเดียว
  • อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ มีบัญญัติธรรมารมณ์ คือ นัตถิภาวบัญญัติที่เป็นกาลวิมุตอย่างเดียว

๔. จิตที่รับโลกุตตรอารมณ์โดยแน่นอน มี ๘ (หรือ ๔๐) ดวง “อฏฺฐ นิพฺพานโคจเร"

  • โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ มีธรรมารมณ์ คือ นิพพานที่เป็นกาลวิมุตอย่างเดียว

จำแนกจิต ๓๑ ดวง ที่รับอารมณ์ ไม่แน่นอน โดยอารมณ์ ๖ และกาล ๓

๕. จิตที่รับอารมณ์ ๖ ที่เว้นจากโลกุตตรธรรม มี ๒๐ ดวง วีสานุตฺตรมุตฺตมฺหิ

  • อกุศลจิต ๑๒ มหากุศลญาณวิปปยุตจิต ๔ มหากิริยาญาณวิปปยุตจิต ๔ มีอารมณ์ ๖ ที่เป็น กามอารมณ์, มหัคคตอารมณ์ และบัญญัติอารมณ์ ที่เป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต และกาลวิมุต

๖. จิตที่รับอารมณ์ เว้นจากอรหัตตมรรค-อรหัตตผล มี ๕ ดวง อคฺคมคฺคผลุชุฌิเต ปญฺจ

  • มหากุศลญาณสัมปยุตจิต ๔ กุศลอภิญญาจิต ๑ มีอารมณ์ ๖ ที่เป็น โลกีย์, บัญญัติและโลกุตตระ (เว้นอรหัตตมรรค-อรหัตตผล) ได้ที่เป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต และกาลวิมุต

๗. จิตที่รับอารมณ์ได้ทั้งหมด มี ๖ ดวง สพฺพตฺถ ฉ จ

  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑ มหากิริยาญาณสัมปยุตจิต ๔  กิริยาอภิญญาจิต ๑ มีอารมณ์ ๖ ที่เป็นโลกีย์, บัญญัติและโลกุตระได้ทั้งหมด ไม่เว้นที่เป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต และกาลวิมุต


ขยายความในคาถาที่ ๑๑

กามอารมณ์

๑. จิตที่รับกามอารมณ์แน่นอน มี ๒๕ ดวง

ก. ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ คือ :-

  • จักขุวิญญาณ ๒ ดวง รับ รูปารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • โสตวิญญาณ ๒ ดวง รับ สัททารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • ฆานวิญญาณ ๒ ดวง รับ คันธารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง รับ รสารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว
  • กายวิญญาณ ๒ ดวง รับ โผฏฐัพพารมณ์ ที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว

ฉะนั้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ จึงรับปัญจารมณ์โดยเฉพาะที่เป็นกามธรรม และเป็นปัจจุบันอย่างเดียวเท่านั้น

ข. มโนธาตุ ๓ ได้แก่

  • ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ 
  • สัมปฏิจฉนจิต ๒ 
จิตทั้ง ๓ ดวงนั้น รับปัญจารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์ได้ คือ อาจรับ รูปารมณ์, สัททารมณ์, คันธารมณ์, รสารมณ์, โผฏฐัพพารมณ์ อารมณ์ใดก็ได้ ไม่จำกัดเฉพาะอารมณ์เดียวเหมือนจักขุวิญญาณ เป็นต้น แต่อารมณ์นั้น ๆ จะต้องปรากฏเฉพาะหน้า เป็นปัจจุบันเช่นเดียวกัน

ค. จิต ๑๒ ดวง ได้แก่

  • สันตีรณจิต ๓ 
  • มหาวิบากจิต ๘ 
  • หสิตุปปาทจิต ๑ 
จิตทั้ง ๑๒ ดวงมีอารมณ์ ๖ ที่เป็นกามธรรม จิตทั้ง ๑๒ ดวง รับอารมณ์ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่ง เฉพาะที่เป็นกามธรรมเป็นอารมณ์ และไม่จำกัดว่า ต้องเป็นปัจจุบันอารมณ์อย่างเดียว อารมณ์นั้นจะเป็นปัจจุบัน อดีต หรืออนาคต ก็ได้

จิตทั้ง ๒๕ ดวงที่ยึดหน่วงอารมณ์ ๖ ซึ่งล้วนเป็นกามธรรมอย่างเดียวโดยเฉพาะนี้ จึงชื่อว่า จิต ๒๕ ดวงนี้ ยึดหน่วงกามอารมณ์โดยแน่นอน


มหัคคตอารมณ์

๒.จิตที่รับมหัคคตอารมณ์แน่นอน ๖ ดวง คือ :-

ก. วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง มีอากาสานัญจายตนกุศลจิต ๑ กิริยาจิต ๑ เป็นอารมณ์ ได้แก่

๑. ผู้ได้อากาสานัญจายตนฌานแล้ว จะเจริญสมถภาวนา เพื่อให้ได้วิญญาณัญจายตนฌาน หรือผู้ที่ได้วิญญาณัญจายตนฌานแล้ว จะเข้าวิญญาณัญจายตนฌานสมาบัติอีกจะต้องอาศัยอากาสานัญจายตนฌานกุศล หรือกิริยาที่เคยเกิดแล้วแก่ตนนั้น มาเป็นอารมณ์ให้เสมออย่างแน่นอนวิญญาณัญจายตนฌาน จึงจะเกิดได้

๒. ติเหตุกปุถุชน หรือผลเสกขบุคคล ที่ได้วิญญาณัญจายตนฌานแล้ว เมื่อประสงค์จะเข้าวิญญาณัญจายตนฌานกุศล ก็ต้องมีอากาสานัญจายตนฌานกุศลที่เกิดแล้วแก่ตนในภพนี้ เป็นอารมณ์

๓. เมื่อติเหตุกปุถุชน หรือผลเสกขบุคคล ได้ตายลง ก็จะไปบังเกิดเป็นอรูปพรหมในวิญญาณัญจายตนภูมิ, ปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตนวิบากจิต โดยมีอากาสานัญจายตนกุศล ที่เคยเกิดแล้วแก่ตนในภพก่อนนั้นเป็นอารมณ์แม้ขณะเมื่อวิญญาณัญจายตนวิบาก ทำหน้าที่ภวังคกิจหรือจุติกิจ ก็ต้องมีอากาสานัญจายตนกุศล ที่เคยเกิดแก่ตนแล้วในภพก่อนเป็นอารมณ์ เช่นเดียวกัน

๔. ติเหตุกปุถุชน หรือผลเสกขบุคคลก็ดี เมื่อได้เจริญวิปัสสนาต่อไปจนบรรลุอรหัตตมรรค-อรหัตตผล เป็นพระอเสกขบุคคลในชาตินี้แล้ว เมื่อเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ฌานจิตที่เกิดใหม่นี้ เป็นวิญญาณัญจายตนกิริยา วิญญาณัญจายตนกิริยาที่เกิดขึ้นนี้ ย่อมมีอารมณ์เป็นอากาสานัญจายตนกุศลที่เคยเกิดแล้วแก่ตนในภพนี้ เป็นอารมณ์

๕. พระอรหันต์ผู้เป็นฌานลาภีบุคคล เมื่อได้รูปปัญจมฌานแล้ว ประสงค์จะเจริญฌานต่อไป ต้องเข้าอากาสานัญจายตนฌานก่อน เมื่ออากาสานัญจายตนฌานจิตเกิด ย่อมเป็นอากาสานัญจายตนกิริยาแล้วเจริญวิญญาณัญจายตนฌานต่อไปโดยมีอากาสานัญจายตนกิริยาเป็นอารมณ์ ฉะนั้นเมื่อวิญญาณัญจายตนกิริยาจิตเกิด ย่อมต้องมีอากาสานัญจายตนกิริยา ที่เคยเกิดแล้วแก่ตนในภพนี้เป็นอารมณ์

รวมความว่า วิญญาณัญจายตนกุศลจิต ๑ วิบากจิต ๑ กิริยาจิต ๑ รวม ๓ ดวงนี้ มีอากาสานัญจายตนกุศล ที่เกิดแก่ตนในภพนี้ หรือภพก่อนเป็นอารมณ์ และมีอากาสานัญจายตนกิริยา ที่เกิดในภพนี้ เป็นอารมณ์

ข. เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง มีอากิญจัญญายตนกุศลจิต ๑ และกิริยาจิต ๑ เป็นอารมณ์นั้น ได้แก่ เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต ๑ วิบากจิต ๑ กิริยาจิต ๑ มีอากิญจัญญายตนกุศลจิต ๑ หรือกิริยาจิต ๑ ที่เคยเกิดแก่ตนมาแล้วในภพนี้ หรือภพก่อนเป็นอารมณ์

คำอธิบายทำนองเดียวกันกับข้อ ๒ ก.

รวมความว่า จิต ๖ ดวง คือ วิญญาณัญจายตนฌานจิต ๓ และเนวสัญญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ มีมหัคคตจิต ๔ ดวง (อากาสานัญจายตนกุศลจิต ๑ กิริยาจิต ๑ และอากิญจัญญายตนกุศลจิต ๑ กิริยาจิต ๑) เป็นอารมณ์ จึงชื่อว่า จิต ๖ ดวง ยึดหน่วงมหัคคตอารมณ์


บัญญัติอารมณ์

๓. จิตที่รับบัญญัติอารมณ์แน่นอน ๒๑ ดวง คือ :-

ก. รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง มีบัญญัติเป็นอารมณ์ คือ รูปาวจรจิต ๑๕ ดวงนั้น เป็นจิตที่เกิดขึ้นจากการเพ่งอารมณ์บัญญัติกัมมัฏฐาน ๒๖ ประการ ได้แก่ กสิณบัญญัติ ๑๐, อสุภบัญญัติ ๑๐, อานาปานบัญญัติ ๑, โกฏฐาสบัญญัติ, ปิยมนาปสัตวบัญญัติ ๑, ทุกขิตสัตวบัญญัติ ๑, สุขิตสัตวบัญญัติ ๑ และมัชฌัตตสัตวบัญญัติ ๑ (สัตวบัญญัติอารมณ์ คือ อารมณ์ของพรหมวิหาร ๔)

ข. อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓ ดวง มีกสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติเป็นอารมณ์อย่างเดียว กสิณคฆาฏิมากาสบัญญัตินั้น หมายถึง ความว่างตรงที่ยกดวงกสิณออกหรือความว่างที่เพิกแล้วจากดวงกสิณ บัญญัติความว่างนี้แหละ เมื่อน้อมมาเป็นอารมณ์ จึงได้ชื่อว่า กสิณคฆาฏิมากาสบัญญัติ และจิตที่มีอารมณ์เป็นกสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัตินี้ชื่อว่า อากาสานัญจายตนฌานจิต มีจำนวน ๓ ดวง คือ อากาสานัญจายตนกุศลจิต ๑, วิบากจิต ๑, กิริยาจิต ๑ ซึ่งมีอารมณ์เป็นบัญญัติอย่างนี้โดยเฉพาะอย่างเดียว

ค. อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ดวง มีนัตถิภาวบัญญัติ เป็นอารมณ์อย่างเดียว นัตถิภาวบัญญัติ หมายถึง ความไม่มีอะไร แม้นิดหนึ่ง หน่อยหนึ่ง ก็ไม่มี เอาบัญญัติสัญญาที่สมมุติว่า ไม่มีอะไรเลย น้อมมาเป็นอารมณ์กำหนด นี้แหละ จิตที่รับอารมณ์บัญญัตินี้ จึงชื่อว่า อากิญจัญญายตนกุศลจิต ๑, วิบากจิต ๑, กิริยาจิต ๑

รวมความว่า จิต ๒๑ ดวง คือรูปาวจรจิต ๑๕, อากาสานัญจายตนฌานจิต ๓, อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ ล้วนมีบัญญัติอารมณ์ทั้งสิ้น

นิพพานอารมณ์

๔. โลกุตตรจิต ๘ ดวง คือ มัคคจิต ๔ ผลจิต ๔ มีนิพพานเป็นอารมณ์อย่างเดียว นิพพานนั้น หมายถึง สภาพความดับสิ้นไปจากตัณหาซึ่งเป็นเครื่องร้อยรัดสัตว์ทั้งหลายไว้ไม่ให้พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ มัคคจิต ๔ ผลจิต ๔ นี้ เป็นจิตที่ตัดทำลายเครื่องร้อยรัด ฉะนั้น จิตเหล่านั้น จะผูกพันอยู่กับอารมณ์ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่งให้ติดอยู่กับความเป็นไปในโลกไม่ได้ จึงต้องยึดหน่วงเอาอารมณ์พิเศษที่สัตว์ใดๆ ในโลกไม่เคยพบเคยเห็นด้วยตนเองมาก่อน เว้นแต่อริยบุคคลเท่านั้น ฉะนั้น โลกุตตรจิต ๔ ดวงนี้ จะมีภาวะอย่างอื่นเป็นอารมณ์ไม่ได้ นอกจากมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้อย่างเดียวเท่านั้น


กาลวิมุตตอารมณ์

กามอารมณ์ ย่อมเป็นอารมณ์ที่เป็นไป ทั้งในปัจจุบัน, อดีต และอนาคตได้ในกาลทั้ง ๓ บริบูรณ์ 

ส่วนมหัคคตอารมณ์นั้น เป็นได้ทั้ง ๓ กาล แต่ที่เป็นอารมณ์แก่วิญญาณัญจายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เป็นอดีตกาลอย่างเดียว

สำหรับบัญญัติอารมณ์ และนิพพานอารมณ์นั้น ไม่มี แสดงว่าไม่เป็นปัจจุบัน อดีต หรืออนาคต อารมณ์แต่อย่างใดเลย เพราะบัญญัติอารมณ์นี้เป็นธรรมที่ไม่มีสภาวะ จึงไม่มีสภาพที่จะผันแปรเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม่มีความเที่ยง หรือความไม่เที่ยง ไม่มีการเกิด การดับ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงและความไม่เที่ยง ตลอดจนความบังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่เข้าอยู่ในกาลทั้ง ๓ เพราะไม่มีปัจจุบัน, อดีต และอนาคต บัญญัติอารมณ์จึงเป็นกาลวิมุต

นิพพานเป็นธรรมที่มีสภาวะอันยอดเยี่ยม, มีสภาพของความเที่ยง มั่นคงถาวร ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแปรผันไปเป็นความไม่เที่ยง และนิพพานนั้น ไม่มีการเกิด-ดับ ฉะนั้น จึงไม่เข้าอยู่ในกาลทั้ง ๓ เพราะไม่มีอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต นิพพาน จึงเป็นกาลวิมุต รวมความว่า ธรรมที่เป็นกาลวิมุต หรือมีอารมณ์เป็นกาลวิมุตนั้นมีอยู่ ๒ ประการ คือ บัญญัติ และนิพพาน

ในคาถาสังคหะที่ ๑๑ นั้น แสดงการจำแนกจิต ๖๐ ดวง ที่ได้รับอารมณ์ ๖ ตามกาล ๓ และกาลวิมุต โดยลำดับจิตทั้ง ๖๐ ดวง ที่รับอารมณ์ได้แน่นอนเรียกว่า เอกันตะ นี้ ก็คือ

  • จิตที่รับ กามอารมณ์ แน่นอน จำนวน ๒๕ ดวง
  • จิตที่รับ มหัคคตอารมณ์ แน่นอน จำนวน ๖ ดวง
  • จิตที่รับ บัญญัติอารมณ์ แน่นอน จำนวน ๒๑ ดวง
  • จิตที่รับ นิพพาน แน่นอน จำนวน ๘ ดวง

จำนวนจิตทั้งหมด มี ๘๙ (หรือ ๑๒๑) ดวง เมื่อรับอารมณ์ที่แน่นอนได้ ๖๐ ดวงแล้ว คงเหลืออีก ๒๙ ดวง ที่รับอารมณ์ได้หลายๆ อย่าง และไม่แน่นอนเรียกว่า รับอารมณ์ อเนกันตะ และอารมณ์หลายๆ อย่างที่เป็นอารมณ์ของจิต ๒๙ ดวงได้นั้น เรียกว่า สัพพารมณ์

ขยายความในคาถาที่ ๑๒

สัพพารมณ์

จำนวนจิต ๒๙ ดวงที่เหลือจากจำนวนจิต ๖๐ ดวง ที่ได้กล่าวแล้วในคาถาที่ ๑๑ เป็นจิตที่สามารถรับอารมณ์ต่างๆ ได้หลายอารมณ์ นอกจากจิต ๒๙ ดวงที่เหลือ ยังนับรวมจิตพิเศษ คือ อภิญญากุศลจิต ๑ ดวง และอภิญญากิริยาจิต ๑ ดวง เมื่อนับรวมกับจำนวนจิตที่เหลือ ๒๙ ดวง จึงเป็น ๓๑ ดวง ในคาถาที่ ๑๒ นี้ จึงได้แสดงว่า จำนวนจิต ๓๑ ดวงนี้ เป็นจิตที่รับอารมณ์ต่าง ๆ ได้หลายอย่าง หลายกาล ไม่จำกัดว่าเป็นปัจจุบัน, อดีต, อนาคต หรือแม้ตลอดจนกาลวิมุตด้วย จึงเรียกอารมณ์ที่จิต ๓๑ ดวง เข้าไปรับรู้นี้ว่า “สัพพารมณ์”

๕. จิต ๒๐ ดวง มีอารมณ์ที่พ้นจากโลกุตตรอารมณ์นั้น ได้แก่

  • อกุศลจิต ๑๒
  • มหากุศลญาณวิปปยุตจิต ๔
  • มหากิริยาญาณวิปปยุตจิต ๔

จิต ๒๐ ดวง ย่อมรับอารมณ์ทั้ง ๖ อย่างหนึ่งอย่างใด ที่เป็นโลกียอารมณ์ คือ เป็นกามอารมณ์, มหัคคตอารมณ์ หรือบัญญัติอารมณ์ ก็ได้ เว้นแต่โลกุตตรอารมณ์อย่างเดียวเท่านั้น

อกุศลจิต ๑๒ เป็นจิตที่ไม่ดีงาม ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ จึงไม่สามารถมีโลกุตตรธรรม ๙ คือ มัคคจิต ๔ ผลจิต ๔ และนิพพาน ๑ เป็นอารมณ์ได้

ในมหากุศลจิต ๔, มหากิริยาจิต ๔ ชนิดที่เป็นญาณวิปปยุต ก็ไม่สามารถรับโลกุตตรอารมณ์ได้ เพราะจิตทั้ง ๘ ดวงนี้ เป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จิตที่ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ย่อมรับโลกุตตรธรรม คือ มัคคจิต ๔, ผลจิต ๔ และนิพพาน ๑ ไม่ได้ เช่นเดียวกัน

จิต ๒๐ ดวงนี้ จึงรับอารมณ์อื่น ๆ ที่นอกจากโลกุตตรอารมณ์ได้

๖. จิต ๕ ดวง ที่ยึดหน่วงอารมณ์ต่าง ๆ ได้ เว้นแต่อรหัตตมรรค-อรหัตตผล จิต ๕ ดวงนั้น ได้แก่

  • มหากุศลญาณสัมปยุตจิต ๔
  • อภิญญากุศลจิต ๑ 
ย่อมรับอารมณ์ ๖ ที่เป็นโลกีย์และบัญญัติ ตลอดจนโลกุตตรอารมณ์ก็ได้ เว้นแต่จะเอาอรหัตตมรรค-อรหัตตผลมาเป็นอารมณ์ไม่ได้ เพราะผู้ที่จะน้อมเอาอรหัตตมรรค-อรหัตตผลมาเป็นอารมณ์ได้นั้น บุคคลนั้นต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว

๗. จิต ๖ ดวง ที่ยึดหน่วงอารมณ์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด คือ 

  • มโนทวาราวัชชนจิต ๑
  • มหากิริยาญาณสัมปยุตจิต ๔
  • อภิญญากิริยาจิต ๑

จิต ๖ ดวงนี้ รับอารมณ์ได้ทั้งหมดไม่มียกเว้น เพราะเป็นจิตของพระอรหันต์ย่อมจะได้รับอารมณ์ ทั้งที่เป็นกามอารมณ์, มหัคคตอารมณ์, บัญญัติอารมณ์และโลกุตตรอารมณ์ได้ทั้งสิ้น ไม่มีการยกเว้นอารมณ์ใดเลย

จิตทั้ง ๓๑ ดวง ดังกล่าวในคาถาที่ ๑๒ นี้ เป็นจิตที่รับอารมณ์หลายอย่าง ไม่แน่นอนว่า จะต้องเป็นอารมณ์นั้นๆ จึงชื่อว่า เป็นอเนกันตะ คือรับอารมณ์ได้ไม่แน่นอน



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทวารสังคหะ

คือ การรวบรวมช่องทางรู้อารมณ์ของจิตและเจตสิก ชื่อว่า “ทวารสังคหะ” คำว่า “ทวาร” แปลว่า ประตู สำหรับเป็นที่เข้าออกของบุคคลทั้งหลายได้ใช้ผ่านเข้าออก เพื่อทำกิจการงานต่างๆ ได้ จิตและเจตสิกที่จะทำกิจการงานเพื่อรู้อารมณ์ต่าง ๆ ได้ ก็ต้องอาศัยประตูหรือทวารเช่นเดียวกัน มีจักขุปสาทเป็นต้น ชื่อว่า “ทวาร” เพราะเป็นเหมือนหนึ่งประตูที่ใช้เป็นทางเข้าออกของวิถีจิต ให้เกิดการงาน เห็นอารมณ์ขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีจักขุปสาท คือ จักขุทวารแล้ว ก็จะเห็นอารมณ์ใด ๆ ไม่ได้เลย กล่าวคือ ถ้าสัตว์ทั้งหลายไม่มีปสาทรูปทั้ง ๕ และภวังคจิตเสียแล้ว วิถีจิตใด ๆ ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อวิถีจิตเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว กรรม คือ การกระทำ, การพูด, การนึกคิดที่ดี หรือไม่ดีก็ตามย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่ผิดอะไรกันกับพืช หรือวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เท่านั้น

ทวาร หรือประตู ที่จิตไปรู้อารมณ์ต่าง ๆ ได้นั้น มี ๖ ทวาร คือ :-

๑. จักขุทวาร องค์ธรรมได้แก่ จักขุปสาท
๒. โสตทวาร องค์ธรรมได้แก่ โสตปสาท
๓. มานทวาร องค์ธรรมได้แก่ ฆานปสาท
๔. ชิวหาทวาร องค์ธรรมได้แก่ ชิวหาปสาท
๕.กายทวาร องค์ธรรมได้แก่ กายปสาท
๖. มโนทวาร องค์ธรรมได้แก่ ภวังคจิต ๑๙

เมื่อประตูเข้า-ออกของจิตเจตสิก มีอยู่หลายทางเช่นนี้ พระอนุรุทธาจารย์ได้จัดลำดับของจิต เจตสิกที่อาศัยเกิดทางทวารต่าง ๆ ไว้ ดังต่อไปนี้

คาถาสังคหะ 

(๙) เอกทฺวาริกจิตฺตานิ   ปญฺจฉทฺวาริกานิ จ
ฉทฺวาริกวิมุตฺตานิ   วิมุตฺตานิ จ สพฺพถา ฯ

แปลความว่า จิตอาศัยเกิดทางทวารเดียวก็มี, อาศัยเกิดได้ใน ๕ ทวารก็มี, อาศัยเกิดได้ทั้ง ๖ ทวารก็มี, บางทีก็อาศัยทวารทั้ง ๖ เกิดบ้าง หรือ บางทีไม่ได้อาศัยทวารทั้ง ๖ บ้าง และจิตที่เกิดขึ้นโดยพ้นจากทวารทั้ง ๖ ก็มีอยู่ทุกประการ

อธิบาย

การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ย่อมมีได้ ทั้งอาศัยทวารและไม่ต้องอาศัยทวารซึ่งตามที่แสดงไว้ในคาถาสังคหะที่ ๙ นี้ มีรวมอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๕ ประการ คือ

๑. เอกทวาริกจิต คือ จิต เจตสิก ที่อาศัยเกิดได้ทางทวารเดียว
๒. ปัญจทวาริกจิต คือ จิต เจตสิก ที่อาศัยเกิดได้ทางทวารทั้ง ๕
๓. ฉทวาริกจิต คือ จิต เจตสิก ที่อาศัยเกิดได้ทางทวารทั้ง ๖
๔. ฉทวาริกวิมุตตจิต คือ จิต เจตสิก ที่อาศัยเกิดได้ทางทวารทั้ง ๖ บ้าง บางทีก็เกิดโดยไม่ต้องอาศัยทวารบ้าง (พ้นทวาร)
๕. ทวารวิมุตตจิต คือ จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยทวารทั้ง ๖ นั้นเลย

จิตที่อาศัยเกิดตามทวารต่างๆ ทั้ง ๖ ทวารนั้น ที่เกิดทางปัญจทวาร คืออาศัยเกิดทางตา, หู, จมูก, ลิ้น และกาย มีองค์ธรรม ได้แก่ ปสาทรูป ๕ เป็น รูปทวาร ซึ่งเป็นทางให้ทวิปัญจวิญญาณ เกิดขึ้นรับปัญจารมณ์ อันได้แก่ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัสถูกต้อง และเป็นเหตุให้วิถีจิตเกิดขึ้นทางปัญจทวารวิถีอีกด้วย ส่วนจิตที่เกิดทางมโนทวารนั้น เป็นนามทวาร อันได้แก่ ภวังคจิต ซึ่งเป็นทางให้มโนวิญญาณธาตุเกิดขึ้นในอารมณ์ทั้ง ๖ และเป็นเหตุให้วิถีจิตเกิดขึ้นทางมโนทวารวิถี 

ตามคาถาสังคหะที่กล่าวมาแล้วนั้น เพื่อแสดงการอาศัยทวารต่างๆ เกิดขึ้นของจิต เจตสิกเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยรูปทวาร ๕ ทวาร นามทวาร ๑ ทวารเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงจำนวนของจิตที่อาศัยเกิดได้ทางทวารต่าง ๆ เหล่านั้น การแสดงถึงจำนวนของจิตที่อาศัยเกิดทาง ทวารใดทวารหนึ่งนั้น มีแสดงไว้ ดังต่อไปนี้

คาถาสังคหะ 

(๑๐) ฉตฺตึสติ ตถา ตีณิ   เอกตึส ยถากฺกมํ
ทสธา นวธา เจติ   ปญฺจธา ปริทีปเย ฯ

แปลความว่า เมื่อกำหนดจำนวนจิต ๕ ประเภทเหล่านั้น มีตามลำดับดังนี้คือ ๓๖-๓-๓๑-๑๐-๙

อธิบาย

คาถาสังคหะที่ ๑๐ นี้ แสดงถึงจำนวนจิตที่เกิดได้ทางทวารต่าง ๆ ๕ ประเภท ดังที่แสดงไว้ในคาถาสังคหะที่ ๙ ซึ่งมีจำนวนดังนี้ คือ :-

๑. เอกทวาริกจิต จิตที่อาศัยเกิดได้ทวารเดียว มี ๓๖ ดวง ได้แก่
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐
อัปปนาชวนจิต ๒๖

๒.ปัญจทวาริกจิต จิตที่อาศัยเกิดได้ทางปัญจทวาร มี ๓ ดวง ได้แก่
ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑
สัมปฏิจฉนจิต ๒

๓. ฉทวาริกจิต จิตที่อาศัเกิดได้ทางทวารทั้ง ๖ มี ๓๑ ดวง ได้แก่
โสมนัสสันตีรณจิต ๑
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
กามชวนจิต ๒๙

๔. ฉทวาริกวิมุตตจิต จิตที่บางที่อาศัยทวารทั้ง ๖ เกิดบางทีไม่ได้อาศัยทวารทั้ง ๖ มี ๑๐ ดวง ได้แก่
อุเบกขาสันตีรณจิต ๒
มหาวิบากจิต ๘

(อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ เมื่อทำหน้าที่สันติรณกิจ หรือตทาลัมพนกิจ 
มหาวิบากจิต ๘ เมื่อทำหน้าที่ตทาลัมพนกิจ

จิต ๑๐ ดวงที่กล่าวมานี้ เมื่อทำหน้าที่ดังกล่าวข้างต้น ต้องอาศัยทวารเป็นทางเกิด แต่ถ้าทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ, ภวังคกิจ, จุติกิจ อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ กิจนี้แล้ว ก็ไม่อาศัยทวารเลย)

๕. ทวารวิมุตตจิต จิตที่เกิดพ้นจากทวารทั้ง ๖ โดยไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย มีจำนวน ๙ ดวง ได้แก่ มหัคคตวิบากจิต ๙ ดวง


ตามที่กล่าวแล้วข้างต้นนี้ เป็นการแสดงจำนวนจิตที่ต้องอาศัยทวารเกิดและที่ไม่ต้องอาศัยทวารใดๆ เกิดโดยแน่นอนแต่อย่างเดียว แต่เมื่อจะแสดงรายละเอียดของจำนวนจิตที่เกิดได้แต่ละทวาร ทั้งที่เกิดได้แน่นอน (เอกันตะ) และที่ไม่แน่นอน (อเนกันตะ) ย่อมแสดงได้ ดังนี้



แสดงทวาริกจิต และ ทวารวิมุตตจิต
โดยแน่นอน และ ไม่แน่นอน

๑. เอกทวาริกจิต มีจำนวน ๘๐ ดวง
เอกทวาริกจิต เอกันตะ (โดยแน่นอน) มี ๓๖ ดวง ได้แก่
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐
อัปปนาชวนจิต ๒๖
เอกทวาริกจิต อเนกันตะ (ไม่แน่นอน) มี ๔๔ ดวง ได้แก่
มโนธาตุ ๓
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
กามชวนจิต ๒๙
ตทาลัมพนจิต ๑๑

การแสดงจำนวนจิตโดยเอกทวาริกจิตข้างบนนี้ เป็นการแสดงรวมทั้ง ๖ ทวาร แต่นับเฉพาะจิตที่เกิดได้แต่ละทวารเพียงทวารเดียว ซึ่งเมื่อจะจำแนกโดยพิสดารแล้ว ก็อาจจำแนกออกไปได้อีก คือ

ก. จักขุทวาริกจิต มี ๔๖ ดวง
จักขุทวาริกจิต เอกันตะ 
มี ๒ ดวง ได้แก่
 - จักขุวิญญาณ ๒
จักขุทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๔๔ ดวง ได้แก่
- มโนธาตุ ๓
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
กามชวนจิต ๒๙
ตทาลัมพนจิต ๑๑

ข. โสตทวาริกจิต มี ๔๖ ดวง
โสตทวาริกจิต เอกันตะ มี ๒ ดวง ได้แก่
โสตวิญญาณ ๒
โสตทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๔๔ ดวง ได้แก่
- มโนธาตุ ๓
- มโนทวาราวัชชนจิต ๑
- กามชวนจิต ๒๙
- ตทาลัมพนจิต ๑๑

ค. ฆานทวาริกจิต มี ๔๖ ดวง
ฆานทวาริกจิต เอกันตะ มี ๒ ดวง ได้แก่
ฆานวิญญาณ ๒
ฆานทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๔๔ ดวง ได้แก่
มโนธาตุ 
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
กามชวนจิต ๒๙
ตทาลัมพนจิต ๑๑

ง. ชิวหาทวาริกจิต มี ๔๖ ดวง
ชิวหาทวาริกจิต เอกันตะ มี ๒ ดวง ได้แก่
- ชิวหาวิญญาณ ๒
ชิวหาทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๔๔ ดวง ได้แก่
- มโนธาตุ ๓
- มโนทวาราวัชชนจิต ๑
- กามชวนจิต ๒๙
- ตทาลัมพนจิต ๑๑

จ. กายทวาริกจิต มี ๔๖ ดวง
กายทวาริกจิต เอกันตะ มี ๒ ดวง ได้แก่
- กายวิญญาณ ๒
กายทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๔๔ ดวง ได้แก่
- มโนธาตุ ๓
- มโนทวาราวัชชนจิต ๑
- กามชวนจิต ๒๙
- ตทาลัมพนจิต ๑๑

ฉ. มโนทวาริกจิต มี ๖๗ ดวง
มโนทวาริกจิต เอกันตะ มี ๒๖ ดวง ได้แก่
- อัปปนาชวนจิต ๒๖
มโนทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๔๑ ดวง ได้แก่
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
กามชวนจิต ๒๙
ฅ- ตทาลัมพนจิต ๑๑


๒. ปัญจทวาริกจิต มี ๔๔ ดวง
ปัญจทวาริกจิต เอกันตะ มี ๓ ดวง ได้แก่
มโนธาตุ ๓
ปัญจทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๔๑ ดวง ได้แก่
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
กามชวนจิต ๒๙
ตทาลัมพนจิต ๑๑


๓. ฉทวาริกจิต มี ๔๑ ดวง
ฉทวาริกจิต เอกันตะ มี ๓๑ ดวง ได้แก่
-โสมนัสสันตีรณจิต ๑
-มโนทวาราวัชชนจิต ๑
-กามชวนจิต ๒๙
ฉทวาริกจิต อเนกันตะ มี ๑๐ ดวง ได้แก่
-อุเบกขาสันตีรณจิต ๒
-มหาวิบาก ๘

๔. ทวาริกวิมุตตจิต มี ๑๙ ดวง
ทวาริกวิมุตตจิต เอกันตะ มี ๙ ดวง ได้แก่
-มหัคคตวิบากจิต ๙
ทวาริกวิมุตตจิต อเนกันตะ มี ๑๐ ดวง ได้แก่
-อุเบกขาสันตีรณจิต ๒
-มหาวิบากจิต ๘


เจตสิก กับ ทวาร


๑. วิรตีเจตสิก๓ ดวง คือ สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะเ มื่อประกอบกับโลกุตตรจิต ย่อมเกิดเฉพาะทางมโนทวาร
๒. อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง คือ กรุณาและมุทิตาเจตสิก เมื่อประกอบกับมหัคคตจิต หรือกามาวจรจิต ก็ตาม ก็ย่อมเกิดเฉพาะทางมโนทวาร ทางเดียวเช่นกัน
๓. เจตสิกทั้งหมด ๕๒ ดวง เมื่อประกอบกับจิต ๘๐ ดวง (เว้นมหัคคตวิบากจิต ๔) ย่อมเกิดกับจิตได้ในทวารทั้ง ๖ ทั้งที่แน่นอน (เอกันตะ) และไม่แน่นอน (อเนกันตะ)
๔.เจตสิก ๓๕ ดวง คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรดี ๓) ที่ประกอบกับมหัคคตวิบากจิต ๔ นั้น เป็นเจตสิกที่เกิดโดยพ้นทวาร (ทวารวิมุต)

การที่จะทราบว่าเจตสิกใด เกิดทางทวารใดนั้น อาศัยการพิจารณาดูว่าเจตสิกใด ประกอบกับจิตใดบ้าง ถ้าจิตนั้นอาศัยเกิดทางทวารใด เจตสิกที่ประกอบกับจิตนั้น ๆ ก็อาศัยเกิดทางทวารเดียวกับจิตนั่นเอง

🕀 จำแนกเจตสิกโดยทวาร

๑. เอกทวาริกเจตสิก มี ๕๒ ดวง คือ
เอกทวาริกเจตสิก เอกันตะ มี  ๒ ดวง ได้แก่
- อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง (เกิดได้ทางมโนทวารทางเดียว)     
เอกทวาริกเจตสิก อเนกันตะ มี ๕๐ ดวง ได้แก่
- เจตสิก ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญาเจตสิก ๒)

๒. ปัญจทวาริกเจตสิก มี ๕๐ ดวง คือ
ปัญจทวาริกเจตสิก เอกันตะ ไม่มี (เจตสิกที่ประกอบเฉพาะมโนธาตุ ๓ ไม่มี)
ปัญจทวาริกเจตสิก อเนกันตะ มี ๕๐ ดวง ได้แก่
- เจตสิก ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา)

๓. ฉทวาริกเจตสิก มี ๕๐ ดวง คือ
ฉทวาริกเจตสิก เอกันตะ มี ๑๗ ดวง ได้แก่
- อกุศลเจตสิก ๑๔
- วิรตีเจตสิก ๓
ฉทวาริกเจตสิก อเนกันตะ มี ๓๓ ดวง ได้แก่
- อัญญสมานาเจตสิก ๑๓
-โสภณเจตสิก ๒๐ (เว้นวิรตี ๓, อัปปมัญญา ๒)

๔. ทวาริกเจตสิก มี ๕๒ ดวง คือ
ทวาริกเจตสิก เอกันตะ มี ๑๗ ดวง ได้แก่
- อกุศลเจตสิก ๑๔
- วิรตีเจตสิก ๓
ทวาริกเจตสิก อเนกันตะ มี ๓๕ ดวง ได้แก่
- อัญญสมานาเจตสิก ๑๓
- โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรตี ๓)

๕. ทวารวิมุตตเจตสิก มี ๓๕ ดวง คือ
ทวารวิมุตตเจตสิก เอกันตะ ไม่มี
ทวารวิมุตตเจตสิก อเนกันตะ มี ๓๕ ดวง ได้แก่
- อัญญสมานาเจตสิก ๑๓
- โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรตี ๓)


🔆อธิบาย

๑. เอกทวาริกเจตสิก มีอัปปมัญญาเจตสิก ๒ (กรุณาเจตสิก มุทิตาเจตสิก) เกิดได้ทางมโนทวารเดียวกันโดยแน่นอน เพราะอัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวงนี้ เกิดขึ้นรับสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ วิถีจิตที่จะรับบัญญัติอารมณ์ได้ ต้องเป็นวิถีจิตที่เกิดทางมโนทวารอย่างเดียว ฉะนั้น อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวงนี้ จึงเกิดได้ทางมโนทวาร อย่างเดียวแน่นอน

ส่วนเจตสิกที่เหลืออีก ๕๐ ดวงนั้น เกิดในทวารได้ไม่แน่นอน คือ เกิดในทวารอื่น ๆ อีกก็ได้ เช่นเกิดได้ทั้งทวาริกเจตสิก และ ทวารวิมุตตเจตสิก

๒. ปัญจทวาริกเจตสิก เจตสิกที่เกิดได้เฉพาะในปัญจทวาร คือ ประกอบกับมโนธาตุ ๓ โดยเฉพาะนั้น ไม่มี

ส่วนเจตสิก ๕๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญาเจตสิก ๒) ย่อมเกิดได้ในปัญจทวารโดยไม่แน่นอน คือ อาจเกิดในทวารอื่น ๆ อีกด้วยก็ได้

๓. ฉทวาริกเจตสิก เจตสิกที่เกิดได้ในทวารทั้ง ๖ โดยแน่นอน หมายถึง เจตสิกที่จะเกิดขึ้นพ้นจากทวารทั้ง ๖ ทวารหนึ่งทวารใดไม่ได้ มีจำนวน ๑๗ ดวง ได้แก่

  • อกุศลเจตสิก ๑๔ เมื่อประกอบกับอกุศลจิต ๑๒ ย่อมเกิดในทวาร ๖ เสมอ
  • วิรตีเจตสิก ๓ ที่ประกอบกับมหากุศล ๘ ย่อมเกิดได้ในทวาร ๖ เสมอ

ส่วนเจตสิก ๓๓ ดวง คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๐ (เว้นวิรตี ๓, อัปปมัญญา ๒) ย่อมประกอบกับจิตที่เกิดในทวารทั้ง ๖ ก็ได้,  ประกอบกับจิตที่เกิดพ้นจากทวารก็ได้ จึงเป็นฉทวาริกเจตสิกที่ไม่แน่นอน

๔. ทวาริกเจตสิก หมายถึง เจตสิกที่เกิดขึ้นได้ โดยต้องอาศัยทวารเกิด เจตสิกที่เกิดโดยอาศัยทวารเกิดแน่นอนนั้น ได้แก่ เจตสิก ๑๗ ดวง ที่เป็นฉทวาริกเจตสิกโดยแน่นอนนั่นเอง ส่วนที่อาศัยทวารเกิดโดยไม่แน่นอน ได้แก่ เจตสิก ๓๕ ดวง คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรดี ๓) เจตสิก ๓๕ ดวงนี้ อาจประกอบกับจิตที่พ้นจากทวาร คือ ภวังคจิต ๑๙ (มีมหากุศลวิบาก ๘ สันตีรณอกุศล ๑ สันตีรณกุศล ๑ และวิบากฌาณจิต ๙ อนึ่ง ภวังคจิตย่อมมีจำนวนเท่ากับปฎิสนธิจิต คือ มหาวิบาก๘ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก๑ อุเบกขาสันตรีณอกุศวิบาก๑ รูปาวจรวิบาก๕ และอรูปาวจรวิบาก ๔ - วิบากจิตใดที่ทำกิจปฏิสนธิ วิบากจิตนั้นก็ทำกิจภวังค์ และทำกิจจุติ ในภพนั้นๆ) และประกอบจิตอื่น ที่นอกจากจิต ๑๙ ดวง (อุเบกขาสันติรณจิต ๒, มหาวิบาก ๔, มหัคคตวิบาก ๙) นั้นก็ได้

๕. ทวารวิมุตตเจตสิก เจตสิกที่เกิดพ้นทวารโดยแน่นอนนั้น ไม่มี เพราะเจตสิกที่ประกอบกับมหัคคตวิบากจิต ๔ โดยเฉพาะนั้น ไม่มี

ส่วนเจตสิกที่เกิดพ้นจากทวารโดยไม่แน่นอนนั้น มี ๓๕ ดวง ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรตี ๓) ที่ประกอบกับมหัคคตวิบากจิต ๙

อนึ่ง สำหรับอัปปมัญญเจตสิก ๒ ดวง ที่เกิดพ้นจากทวารนั้น จะเกิดได้เฉพาะขณะที่ประกอบกับรูปาวจรวิบากจิต ๔ (ปฐมฌาน-จตุตถฌาน) เท่านั้น มหัคคตปัญจมฌานวิบากจิตที่เหลือ คงมีเจตสิกประกอบได้ ๓๐ ดวง (เว้นอัปปมัญญา ๒)


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๒. อุเทสวาระ

[ ๑ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น หาระ ๑๖ เป็นไฉน ? คือ เทสนาหาระ, วิจยหาระ, ยุตติหาระ, ปทัฏฐานหาระ, ลักขณหาระ, จตุพยูหหาระ, อาวัฏฏหาระ, วิภัตติหาระ, ปริวัตตนหาระ, เววจนหาระ, ปัญญัตติหาระ, โอตรณหาระ, โสธนหาระ, อธิฏฐานหาระ, ปริกขารหาระ และ สมาโรปนหาระ

       คาถาที่กล่าวตามอุทเทสแห่งหาระนั้น (สำหรับจดจำหาระ ๑๖)

หาระ มี ๑๖ คือ เทสนาหาระ, วิจยหาระ, ยุตติหาระ, ปทัฏฐานหาระ, ลักขณหาระ, จตุพยูหหาระ, อาวัฏฏหาระ, วิภัตติหาระ, ปริวัตตนหาระ, เววจนหาระ, ปัญญัตติหาระ, โอตรณหาระ, โสธนหาระ, อธิฏฐานหาระ, ปริกขารหาระ และ สมาโรปนหาระ

หาระ ๑๖ ที่ข้าพเจ้าแสดงนั้นไม่มีการปะปนระคนกัน โดยเนื้อความ. การจำแนกโดยนัยอันสมควรจะมีโดยพิสดาร (ต่อไป)

[ ๒ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น นัย ๕ เป็นไฉน ? คือ นันทิยาวัฏฏนัย, ติปุกขลนัย, สีหวิกกีฬิตนัย, ทิสาโลจนนัย, และ อังกุสนัย.

       คาถาที่กล่าวตามอุทเทสแห่งนัยนั้น (สำหรับจดจำนัย ๕)

พึงทราบว่านัยทั้งปวงมี ๕ ดังนี้ คือ นัยที่ ๑ ชื่อว่า นันทิยาวัฏฏะ, นัยที่ ๒ ชื่อว่า ติปุกขละ, นัยที่ ๓ อันสามารถนำมาซึ่งอรรถแห่งพระบาลี ชื่อว่า สีหวิกกีฬิตะ, ท่านกล่าวนัยที่ ๔ อันประเสริฐว่า ทิสาโลจนะ, นัยที่ ๕ ชื่อว่า อังกุสะ

[ ๓ ] ในคาถาว่า “โสฬสหารา (หาระ ๑๖)” เป็นต้นนั้น มูลบท ๑๘ เป็นไฉน ? คือ กุศลบท ๙ และอกุศลบท ๙.

       ในบรรดากุศลบทและอกุศลบทเหล่านั้น อกุศลบท ๙ เป็นไฉน ? คือ ตัณหา, อวิชชา, โลภะ, โทสะ, โมหะ, สุภสัญญา, สุขสัญญา, นิจจสัญญา, และ อัตตสัญญา. ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลทั้งหมดย่อมถึงการรวมเข้าในอกุศลบทเหล่านี้.

ในบรรดากุศลบทและอกุศลบทเหล่านั้น กุศลบท ๙ เป็นไฉน ? คือ สมถะ, วิปัสสนา, อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ, อสุภสัญญา, อสุขสัญญา, อนิจจสัญญา, และ ออัตตสัญญา. ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลทั้งหมดย่อมถึงการรวมเข้าในกุศลบทเหล่านี้.

       ๙ บทเหล่านี้ คือ ตัณหา, อวิชชา, โลภะ, โทสะ, โมหะ และ วิปัลลาส ๔ (สุภสัญญา, สุขสัญญา, นิจจสัญญา, อัตตสัญญา) เป็นอินทรียภูมิ.

       ๙ บทเหล่านี้ คือ สมถะ, วิปัสสนา, กุศลมูล 3 (อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ) และสติปัฏฐาน ๔ (อสุภสัญญา, อสุขสัญญา, อนิจจสัญญา, อนัตตสัญญา) เป็นอินทรียภูมิ.

สมถะเป็นต้นที่เป็นฝ่ายกุศล ข้าพเจ้าพรรณนาประกอบด้วย ๙ บท และตัณหาเป็นต้นที่เป็นฝ่ายอกุศล ข้าพเจ้าพรรณนาประกอบด้วย ๙ บท. ๑๘ บทเหล่านี้แลชื่อว่า มูลบท.

อุทเทสวาระ จบ 


ขยายความโดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

อุเทสวาระ  คือหัวข้อของเนื้อหา หรือเป็นมาติกาที่จะนำไปขยาย

ในอุเทสวาระให้เอาหาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘ มามาบอกว่าหาระ ๑๖ คืออะไร, นัย ๕ คืออะไร, มูลบท ๑๘ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง อันนี้ไม่แปลให้เพราะต้องท่องอย่างเดียว แต่ในนิทเทศวาระจะบอกอีกครั้งนึงอันนี้คือถ้าไปแปลเฉย ๆ แปลแบบธรรมดา ๆ โดยที่ไม่รู้อรรถะมันแปลแล้วไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่ในอรรถกถาท่านก็แปลให้อะนะ แต่ของอาตมาแปลไม่ได้ ก็เป็นภาษาบาลีทั้งหมดเลย เราจะค่อยไปทําความเข้าใจต่อเมื่อเรียนนิทเทศวาระ

สรุปว่าหาระ ๑๖ ก็ควรจำ เทศนา วิจโย ยุตฺติ ปทฎฺฐาโน ลกฺขโณ จตุพยูโห อาวฎโฎ วิภตฺติ ปริวตฺตโน เนี่ยนะท่องเป็นภาษาบาลีก็อาจจะคุ้นหน่อย ใครถนัดภาษาไทยก็เอา

หาระ ๑๖ ประกอบด้วย

๑. เทศนาหาระ คือ แนวทางในการแสดงประกอบด้วย อัสสาทะ อาทีนวะ นิสสรณะ จุดมุ่งหมาย อุบายและการชักชวน
๒. วิจยหาระ คือ แนวทางในการจำแนกบท คำถาม และคำตอบ
๓. ยุตติหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบความเหมาะสมโดยพยัญชนะและอรรถ
๔. ปทัฎฐานหาระ คือ แนวทางในการแสดงปทัฎฐาน (เหตุใกล้) โดยอนุโลมนัยและปฎิโลมนัย
๕. ลักขณหาระ คือ แนวทางในการแสดงธรรมอื่นที่มิได้กล่าวไว้โดยตรง
๖. จตุพยูหหาระ คือ แนวทางในการอธิบายวิธี ๔ กลุ่ม คือ
    - รูปวิเคราะห์
    - ความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า, พระสาวก
    - เหตุของการแสดงธรรม
    - การเชื่อมโยงพระสูตร
๗. อาวัฎฎหาระ คือ แนวทางในการเวียนไปสู่ธรรมที่เสมอกันและไม่เสมอกัน
๘. วิภัตติหาระ คือ แนวทางในการจำแนกสภาวะธรรม (เหตุใกล้ , ภูมิ) โดยทั่วไปและไม่ทั่วไป
๙. ปริวัตตนหาระ คือ แนวทางในการเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม
๑๐. เววจนหาระ คือ แนวทางในการแสดงคำไวพจน์ (คำความหมายเหมือนกัน)
๑๑. ปัญญัตติหาระ คือ แนวทางในการแสดงบัญญัติ
๑๒. โอตรณหาระ คือ แนวทางในการหยั่งลงสู่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ และปฎิจสมุปบาท
๑๓. โสธนหาระ คือ แนวทางในการตรวจสอบบท อรรถของบท คำถามและคำตอบ
๑๔. อธิฎฐานหาระ คือ แนวทางในการโดยสามัญทั่วไปหรือโดยพิเศษ
๑๕. ปริกขารหาระ คือ แนวทางในการแสดงเหตุปัจจัย
๑๖. สมาโรปนหาระ คือ แนวทางในการยกขึ้นแสดงด้วยเหตุใกล้ คำไวพจน์ การภาวนา และการละกิเลส

หาระ ๑๖ ที่ข้าพเจ้าแสดงนั้นไม่มีการปะปนระคนกัน โดยเนื้อความ การจำแนกโดยนัยอันสมควรจะมีโดยพิสดาร (ต่อไป) อันนี้ให้เข้าใจหัวข้อเฉย ๆ ถ้าเป็นหนังสือสมัยนี้เราก็เรียกว่าสารบัญ ตรงนี้นะคือในภาษาบาลีเขาไม่ได้พิมพ์แบบเราที่จะบอกสารบัญอยู่ในหน้านี้ บทนี้ เพราะฉะนั้นอุเทสวาระก็คือสารบัญนั่นเอง ส่วนสังคหวาระก็คือคํานํา อุเทสวาระคือสารบัญหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งจะเรียกว่า "มาติกา" ก็ได้ หัวข้อหรือแม่บท ในพระไตรปิฎกเนี่ยเค้าจะไม่อยู่ๆ แล้วแสดงอธิบายไปโดยที่ไม่มีแม่บท จะต้องวางหัวข้อไว้ก่อนหรือเรียกว่าแม่บทแล้วจะขยายไปตามแม่บท พอจบแล้วขึ้นหัวข้อใหม่แล้วขยายไปตามนั้นอันนี้คือลักษณะพระไตรปิฎกเป็นแบบนั้น

นัย ๕  ก็คือ
๑. นันทิยาวัฏฏนัย คือนัยที่เหมือนการเวียนของดอกกฤษณาที่เวียนจากด้านในไปด้านนอก โดยเวียนจากธรรมฝ่ายหลักไปสู่ธรรมคล้อยตาม กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยตัณหาและอวิชชาโดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และการนำเนื้อความของพระพุทธพจน์ฝ่ายโวทานด้วยสมถะและวิปัสสนา โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
๒. ติปุกขลนัย คือนัยที่งามด้วยส่วนทั้ง ๓ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ในฝ่ายสังกิเลส (ฝ่ายเศร้าหมอง) และงามด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ ในฝ่ายโวทาน (ฝ่ายหมดจด) กล่าวคือการประกอบเนื้อความของพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยอกุศลมูล ๓ อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะโดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และประกอบเนื้อความพุทธพจน์ของฝ่ายโวทานด้วยกุศลมูล ๓ อันได้แก่ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ โดยจำแนกตามสัจจะ ๔
๓. สีหวิกกีฬิตนัย คือนัยที่เหมือนการย่างกายของราชสีห์คือพระผู้มีพระภาคเพราะแสดงวิปัลลาสและอินทรีย์ ๕ ที่เป็นปฎิปักษ์ต่อวิปัลลาสเหล่านั้น กล่าวคือ การประกอบเนื้อความของพุทธพจน์ฝ่ายสังกิเลสด้วยสุภสัญญาเป็นต้น โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ และประกอบเนื้อความของพุทธพจน์ฝ่ายโวทานด้วยอสุภสัญญาเป็นต้น โดยจำแนกตามสัจจะ ๔ 
๔. ทิสาโลจนนัย คือนัยที่สอดส่องกุศลธรรมเป็นต้นโดยความเป็นหัวข้อหลักแห่งนัย ๓
๕. อังกุสนัย คือนัยที่เหมือนตาขอซึ่งเกี่ยวธรรมมารวมกันไว้ในนัย ๓ อย่างแรก

มูลบท ๑๘ แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ
กุศลบท กับ อกุศลบท อย่างละ ๙

อกุศลบท
ชุดที่ ๑ ตัณหา, อวิชา
ชุดที่ ๒ โลภะ, โทสะ, โมหะ
ชุดที่ ๓ วิปลาส ๔ (สุภสัญญา, สุขสัญญา, นิจจสัญญา, และ อัตตสัญญา)

ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลทั้งหมดย่อมถึงการรวมเข้าในอกุศลบทเหล่านี้ อันนี้คือหัวข้อของอกุศล สารพัดอกุศลเนี่ยมีประธานอยู่ ๙ บทนี้แหละ 

กุศลบท
ชุดที่ ๑ สมถะ, วิปัสสนา
ชุดที่ ๒ อโลภะ, อโทสะ, อโมหะ
ชุดที่ ๓ สติปัฏฐาน ๔ (อสุภสัญญา, อสุขสัญญา, อนิจจสัญญา และ อนัตตสัญญา

ถ้าแยกคู่นะคือ ตัณหากับอวิชา จะอยู่ในกลุ่มนันทิยาวัฎฎนัย โลภะ, โทสะ,โมหะ อยู่ในกลุ่มติปุกขลนัย สุภสัญญาเป็นต้นอยู่ในสีหวิกกีฬิตนัย ส่วนสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอกุศลคือกุศล กุศลบทนี้ก็แบ่งออกเป็น ๙ อีกเหมือนกัน คือสมถะกับวิปัสสนา สมถะนี่เป็นตัวกําจัดตัณหา วิปัสสนาเป็นตัวกําจัดอวิชชา อโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็เป็นเครื่องกําจัดโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็สุภสัญญาเป็นต้น ก็คือสติปัฏฐานนั่นแหละเป็นตัวที่กําจัดวิปลาส อย่างอสุภสัญญาก็คือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อสุขสัญญาก็คือเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อนิจจสัญญาก็คือจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อนัตตสัญญาก็คือธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั่นเอง ก็คือสติปัฏฐาน ๔ เป็นเครื่องกําจัดวิปลาส ๔ 

สรุป
ในอุเทศวาระแบ่งเป็น ๓ กลุ่มนะจํา ๓ กลุ่มเอาไว้ คือ
กลุ่มที่ ๑. หาระ ๑๖ เป็นหลักในการพิจารณาพยัญชนะ (ศัพท์)
กลุ่มที่ ๒. นัย ๕ นันทิยาวัฏฏนัย ติปุกขลนัย สีหวิกกีฬิตนัย ๓ นัยนี้เป็นหลักในการพิจารณาอรรถะ ทิสาโลจนนัย และอังกุสนัย เรียกว่า กรรมนัยหรือโวหารนัย เป็นเพียงการตรวจดูธรรมที่แสดงแล้วโดยอรรถนัย ๓ อย่างข้างต้นเท่านั้น ไม่มีการพรรณนาอรรถต่างหาก
กลุ่มที่ ๓. มูลบท ๑๘ ประกอบด้วยอกุศลมูล ๙ กุศลมูล ๙

อันเนี้ยอุเทสวาระเค้ามีอยู่เท่านี้เลยตามหัวข้อ  หาระและนัยเหล่านี้ ผู้ศึกษาสามารถนำไปใช้ในสูตรทั้งปวงได้ เพราะท่านกำหนดจากพระบาลีแล้วนำมาวางเป็นกฎเกณฑ์ เป็นหลักในการศึกษา ดังนั้นคัมภีร์เนตติจึงจัดเป็นสังวรรณนาสูตรที่ขยายความตามสมควรแก่พระบาลีที่เป็นสังวัณเณตัพพสูตร หรือสูตรที่ควรขยาย

ไม่ทราบใครพอจับอะไรได้บ้างไหม จริงอ่ะนะจับได้ ๓ อย่างเนี่ยใช้ได้ เอาอย่างแรกก่อนนะคัมภีร์หมายความว่าอย่างไร คัมภีร์นี้ในเนติเพราะนําไปสู่มรรค ผล นิพพาน อันนี้ก็ใช้ได้แล้วหนึ่ง สองศาสนามีกี่อย่าง ๓ ปริยัติ, ปฏิบัติ, ปฏิเวช ปริยัติมีสอง คืออรรถกับพยัญชนะ คัมภีร์เนตติแปลว่านําไปสู่มรรคผลนิพพานคัมภีร์เนตติเนี่ยมีหัวข้ออยู่ ๓ กลุ่ม หาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คัมภีร์พุทธวงศ์ ตอนที่ ๑๕ วงศ์พระสุมนพุทธเจ้า

🔅 ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก

ตอนที่ ๑๕ (ความยาว ๑.๓๙ ชม.)


พระพุทธเจ้าลำดับที่ ๔ ต่อมาจากวงศ์ของพระมงคลพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนโดยธรรมทั้งปวง

พระประวัติ
พระสุมนะพุทธเจ้า ประสูติเป็นพระสุมนะราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งเมขละนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทัตตะ และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางสิริมา สุมนะราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๙,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง ชื่อ สิริวัฒนะ โสมวัฒนะ และอิทธิวัฒนะ มีพระมเหสีพระนามว่า พระนางวฏังสิกาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๓๖๐,๐๐๐ นาง วันหนึ่ง พระสุมนะทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา เมื่อพระนางวฏังสิกาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อนูปมะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยคชยาน โดยมีผู้ออกบรรพชาตาม จำนวน ๓๐ โกฏิ

สุมนะราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ อโนมนิคม เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางอนุปมา ธิดาของอโนมเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอนุปมาชีวก ปูลาดใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) เป็นโพธิบัลลังก์ กำจัดเหล่ามารให้พ้นไป และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น พระสุมนะพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓๐ โกฏิ พร้อมสรณกุมารพระอนุชาต่างมารดา และภาวิตัตตมาณพบุตรปุโรหิต ที่ราช
อุทยาน ในเมขละนคร ทำให้พระภิกษุ ๓๐ โกฏินั้น พร้อมพระอนุชาและบุตรปุโรหิต สำเร็จเป็นพระอริยบุคล พระสุมนะพุทธเจ้ามีพระวรกายสูง ๙๐ ศอก พระพุทธรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายส่องแสงสว่างไสวไปทั่วหมื่นโลกธาตุ เมื่อพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานที่พระวิหารอังคาราม พระศาสนาดำรงอยู่ ๙๐,๐๐๐ ปีแล้วอันตรธานไป

ธรรมาภิสมัยในพุทธกาล ของพระสุมนะพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมย่ำยีพวกเดียรถีย์ ณ สุนันทวดีนคร ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑,๐๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงนิโรธปัญหาแก่พระเจ้าอรินทมะ ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๙๐,๐๐๐ โกฏิ

ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๙๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐,๐๐๐ โกฏิ



ความเกี่ยวข้องกับพระพุทธโคดม
สมัยของพระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดเป็น พญานาคราช มีนามว่า พญาอดุลยวาสุกรี ปกครองนาคพิภพ เมื่อได้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ก็มีใจปีติยินดีอย่างยิ่ง จึงออกจากนาคพิภพ พร้อมทั้งเหล่าบริวาร เฝ้าพระพุทธองค์พร้อมทั้งพระอริยสงฆ์ สั่งให้บริวารนาคพิภพ ทำการประโคมดนตรีที่ไพเราะเลิศ และได้อุทิศถวายผ้าภูษาทิพย์มีสีงามประเสริฐแด่พระพุทธองค์และเหล่าพระอริยสงฆ์ ทรงถึงพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง

ครังนั้นพระสุมนะพุทธเจ้า ตรัสพุทธพยากรณ์ว่า
"พญาอดุลยนาคราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ ๒ อสงไขยกับอีกเศษแสนกัป จะได้ตรัสรุเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดม ในภัทรกัปหนึ่ง" หลังจากนั้นพระนิยตโพธิสัตว์ ก็เพียรสร้างบารมีเรื่อยๆ มา จนสิ้นอายุขัย


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

คัมภีร์พุทธวงศ์ ตอนที่ ๑๔ วงศ์พระมงคลพุทธเจ้า

🔅 ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก

ตอนที่ ๑๔ (ความยาว ๑.๔๖ ชม.)


พระพุทธเจ้าลำดับที่ ๓ ต่อมาจากพระโกณฑัญญะพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า มังคละ ทรงกำจัดความมืดในโลก

พระชาติ
ทรงเป็นกษัตริย์โดยพระชาติของนครชื่อว่า อุตระ
พระชนกพระนามว่า อุตระ
พระชนนีพระนามว่า อุตรา
พระมเหสีพระนามว่า ยสวดี
พระราชโอรสพระนามว่า สีวละ
มีพระสนมนารีกำนัลใน ๓๐,๐๐๐ นาง
มีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อว่า ยสวา สุจิมา และสิริมา

ออกบวช
พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการแล้ว เสด็จออกผนวชด้วยอัสสวราชยานต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม ก็ได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ เมื่อพรหมทูลอาราธนาแล้วจึงทรงประกาศธรรมจักร

ธรรมาภิสมัย ๓ วาระ
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ทรงแสดงธรรมที่ภพของท้าวสักกะจอมอสูร ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ทวยเทพ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ทรงแสดงธรรมแก่พระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า สุนันทะ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่พระเจ้าสุนันทะและบริวารประมาณ ๙๐ โกฏิ

ประชุมพระสาวก ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ พระสาวกมาประชุมกัน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๒ พระสาวกมาประชุมกัน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
ครั้งที่ ๓ พระสาวกมาประชุมกัน ๙๐ โกฏิ

บุคคลสำคัญ
พระอัครสาวก : พระสุเทวเถระและพระธรรมเสนเถระ
พระอุปัฏฐาก : พระปาลิตะเถระ
พระอัครสาวิกา : พระสีวลาเถรีและพระโสกาเถรี
อัครอุปัฏฐาก : นันทอุบาสกและวิสาขอุบาสก
อุปัฏฐายิกา : อนุฬาอุบาสิกาและสุมนาอุบาสิกา

ไม้โพธิพฤกษ์
ต้นกากะทิง

พระชนมายุ พระวรกาย และพระรัศมี
ทรงมีพระชนมายุ ๙๐,๐๐๐ ปี
สูง ๘๐ ศอก
พระรัศมีแผ่ซ่านออกไปหลายแสนโลกธาตุ

เสด็จนิพพาน
พระมังคลพุทธเจ้าเสด็จนิพพาน ณ พระราชอุทยานชื่อ เวสสระ พระสถูปของพระองค์สูง ๓๐ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ในพระราชอุทยานนั้น

พระพุทธพยากรณ์พระโคตมพุทธเจ้า
สมัยนั้น พระพุทธเจ้าโคดมเป็นพราหมณ์มีนามว่า สุรุจิ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงมนต์ รู้จบไตรเพท ได้เข้าเฝ้าพระมงคลพุทธเจ้า ได้ถึงพระองค์เป็นสรณะและได้บูชาพระสงฆ์ อันมีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยของหอมและดอกไม้ อังคาสด้วยน้ำนมโค พระมงคลพุทธเจ้า ทรงประทานพยากรณ์ว่า “ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก” พราหมณ์สุรุจิได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใสอย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้ยิ่งขึ้นเพื่อบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ ถวายเรือนแก่พระพุทธเจ้า แล้วออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า เล่าเรียนพระสูตรและพระวินัย ทำพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งาม ครั้งนั้นเจริญพรหมวิหารภาวนา ถึงที่สุดในอภิญญาแล้วได้ไปยังพรหมโลก


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

๑. สังคหวาระ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

[๐] ชาวโลกพร้อมทั้งทวยเทพผู้รักษาโลก ย่อมนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐพระองค์ใดในกาลทุกเมื่อ บัณฑิตทั้งหลายพึงทราบคำสอนอันประเสริฐ ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระองค์นั้น

       (ศาสนาทั้ง ๓ ประการ เรียกว่าคำสอนอันประเสริฐ, ในบรรดาศาสนา ๓ ประการเหล่านั้น ปริยัติศาสนาชื่อว่า สูตร). สูตรมี ๑๒ บท, สูตรทั้งปวงนั้นจัดเป็นพยัญชนบท (ศัพท์) และอรรถบท (อรรถ) ซึ่งทั้ง ๒ อย่างนั้น พึงทราบโดยสังเขปว่า ศัพท์คืออะไร อรรถคืออะไร

       คัมภีร์เนตติที่มีหาระ ๑๖, นัย ๕, มูลบท ๑๘ ซึ่งช่วยให้เข้าใจปริยัติศาสนานี้ พระมหากัจจายนเถระได้แสดงไว้

หาระ ทั้งหลายช่วยในการพิจารณาศัพท์ของสูตร, นัย ๓ อย่าง (คือ นันทิยาวัฏฏนัย ติปุกขลนัย สีหวิกกีฬิตนัย) ช่วยในการพิจารณาอรรถของสูตร, หาระ และ นัย ทั้ง ๒ อย่างนั้น สามารถนำไปใช้ในสูตรทั้งปวงได้, คัมภีร์เนตติที่เป็นสังวรรณนาสูตรนี้ ย่อมขยายความตามสมควรแก่สังวัณเณตัพพสูตร (สูตรที่ควรขยาย)

ผู้ศึกษาพึงทราบพระบาลีและอรรถแห่งพระบาลีทั้งสองอย่างนั้น ในการศึกษานั้น หาระ และนัยที่จะกล่าวเป็นลำดับต่อไปนี้ เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจ อรรถแห่งพระพุทธพจน์ อันมีองค์ ๙

       สังคหวาระ จบ

เรียบเรียงการขยายความโดย พระอาจารย์ สมบัติ นันทิโก

๑. สังคหวาระ คือการสรุปใจความของคัมภีร์

คัมภีร์เนตติปกรณ์คือคัมภีร์ที่ทําให้รู้จักอรรถกับพยัญชนะนั่นเองว่าเออศัพท์เนี่ยสามารถมองได้กี่แง่กี่มุมเหมือนกับว่าใครไปเลือกซื้อของอย่างหนึ่ง ปกติย่อมไม่ใช่เห็นแล้วซื้อเลย จะต้องเอามาเลือกดูโดยรอบเสียก่อน ดูจนรอบหมดแล้วก็ต้องสอบถามราคา ถามราคาเทียบกับที่อื่น ทั้งหมดแล้วจึงตัดสินใจซื้อ ฉันใด เราอ่านพระไตรปิฎกก็เหมือนกัน ผู้ที่เรียนเนติปกรณ์จะมองคําสอนในพระไตรปิฎกโดยรอบ ทีนี้ไอ้การที่จะมองโดยรอบเค้าก็มีวิธีมอง วิธีพิจารณาที่จะให้เห็นโดยรอบนั่นก็คือหาระกับนัยยะ ใจความของพระไตรปิฎกก็มีอยู่สองอย่างนี้เท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นคืออรรถกับพยัญชนะ อรรถ มี ๖ พยัญชนะ มีอีก ๖
หาระ คือ คําอธิบายพยัญชนะ 
นัย คือ คำอธิบายอรรถ

ทีนี้มาขึ้นตัวคัมภีร์ เนตติปกรณ์นี้โดยสรุปในเนื้อหามีหาระ ๑๖ มีนัย ๕ และก็มีมูลบท ๑๘ ซึ่งช่วยให้เข้าใจปริยัตติศาสนา ชื่อว่าสูตร สูตรมี ๑๒ บท, สูตรทั้งปวงนั้นจัดเป็นพยัญชนบท (ศัพท์) และอรรถบท (อรรถ) ซึ่งทั้ง ๒ อย่างนั้น พึงทราบโดยสังเขปว่า ศัพท์คืออะไร อรรถคืออะไร โดยพระมหากัจจายนะเถระแสดงไว้แล้ว ในคาถา เป็นคําประกาศถึงลักษณะปริยัติศาสนา คืออรรถกับพยัญชนะ ส่วนคัมภีร์เนติปกรณ์จะกล่าวถึงหาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘ ที่เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจในอรรถกับพยัญชนะทั้งหมด หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือวิชาว่าด้วยการตีความตามคําสอนก็ไม่ผิด คือศึกษาแล้วก็มีหลักในการไปตีความคําสอน

ทีนี้ท่านก็สรุปว่าหาระทั้ง ๑๖ นะช่วยกันพิจารณาศัพท์ของสูตร ส่วนนัย ๕ สามนัยแรกคือ นันทิยาวัฎฎนัย ๑ ติปุกขลนัย ๑ สีหวิกกีฬิตนัย ๑ อันนี้ช่วยพิจารณาอรรถของสูตร ที่เหลืออีกสองนัยใช้ดึงมาเข้าในสามนัย (มีอธิบายในภายหลัง) หาระและนัย สามารถนําไปใช้ได้ในสูตรทั้งหมด สรุปว่าคัมภีร์เนตติปกรณ์สามารถนำไปใช้ได้ในพระไตรปิฎกทั้งหมดเลย

พระไตรปิฎกเอาหลักเนตติปกรณ์ไปพิจารณา

คัมภีร์เนตติปกรณ์ที่เป็นสังวรรณนาสูตรนี้ ย่อมขยายความตามสมควรแก่สังวัณเณตัพพสูตร ก็สองคําเองนะ สังวรรณนากับสังวัณเณ สังวรรณนาแปลว่าคําอธิบาย สังวัณเณตัพพะแปลว่าควรอธิบาย อย่างเช่นสังวัณเณตัพพหมายถึงพระไตรปิฎกคือก็ต้องอธิบายอีกครั้งหนึ่ง สังวรรณนาคือเนตติปกรณ์ เป็นตัวอธิบายพระไตรปิฎก หรือถ้าพูดในหนึ่งก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนเทศน์ พระมหากัจจายนะเป็นคนอธิบาย ว่านั้นเถอะสังวัณเณตัพพตัวนั้นหมายถึงพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธพจน์ สังวรรณนาหมายถึงพระมหากระจายนะผู้แสดงอธิบายให้เห็น ก็คํานวณว่าต้องตีความให้คนเค้ารู้ เดี๋ยวเราคนไม่รู้ไปตีความกันเอาเองก็เดือดร้อนเหมือนกัน

ผู้ศึกษาพึงทราบพระบาลีและอรรถแห่งพระบาลีทั้งสองอย่างนั้นในการศึกษานั้น หาระและนัยที่จะกล่าวเป็นลําดับต่อไปนี้ เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจอรรถแห่งพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ 
  • ๑. สุตตะ ได้แก่ พระ​สูตร​ทั้ง​หลาย รวม​ถึง​พระ​วินัย​ปิฎก และ​นิท​เทส
  • ๒. เคยยะ คือ พระ​สูตร​ทั้งหมด​ที่มีคาถา​
  • ๓. เวย​ยา​กรณะ คือ พระ​อภิธรรม​ปิฎก และพระพุทธ​พจน์​ที่​ไม่​จัด​เข้า​ใน​องค์ ๘
  • ๔. คาถา คือ พระ​ธรรมบท เถร​คาถา เถรี​คาถา และ​คาถา​ล้วนๆ ที่​ไม่มี​ชื่อ​สูตร​ใน​สุต​นิ​บาต
  • ๕. อุทาน คือ พระ​สูตร ๘๒ สูตร ที่​พระ​พุทธองค์​ทรง​เปล่ง​​ด้วย​โสมนัส​ญาณ
  • ๖. อิ​ติวุ​​ตกะ คือ พระ​สูตร ๑๑๐ สูตร ที่ขึ้นต้น​ด้วย​คำ​ว่า​ วุตฺตํ เหตํ ภคว​ตา (ข้อ​นี้​สมจริง​ดัง​คำที่​พระ​ผู้มี​พระ​ภาค​​ตรัส​ไว้​แล้ว)
  • ๗. ชาตกะ คือ เรื่อง​อดีต​ชาติ​ของ​พระ​ผู้มีพระ​ภาค​และ​พระสา​วก​
  • ๘. อัพ​ภูต​ธรรม คือ พระ​สูตร​ที่​ประ​กอ​บด้ว​ยอัจฉ​ริ​ยอัพ​ภูต​ธรรม (ธรรมที่ยิ่งด้วยคุณพิเศษอันน่าอัศจรรย์)
  • ๙. เวทัล​ละ คือ พระ​สูตร​ที่​เมื่อ​ถาม​แล้ว จะได้​ความ​รู้​แจ้ง และความ​ยิน​ดี​ยิ่งๆ ขึ้น
อรรถะก็คืออรรถ ๖ ประการ พระพุทธพจน์เนี่ยถ้าว่าไปจะนับว่าเป็น ๑ ก็ได้ นับ ๒ ก็ได้ นับ ๓ ก็ได้นับ ๕ ก็ได้นับ ๙ ก็ได้ คําสอนของพระพุทธเจ้าถ้า นับ ๑ ก็คือมีจุดประสงค์อันเดียว เพื่อวิมุตติรส เหมือนน้ําทะเลเนี่ยนะทะเลถึงจะไปลงที่ประเทศไหนก็ตามถ้าดื่มน้ําเค็มเหมือนกันหมด ที่กล่าวไปหมายถึงว่าพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่แรกตรัสรู้จนถึงก่อนวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานก็มีจุดมุ่งหมายอยู่อันเดียว คือ วิมุตติรส ความหลุดพ้นแห่งจิต เพราะไม่ถือมั่น แปลว่ามีจุดประสงค์ที่ชัดเจนคืออรหัตผล นับ ๒ แบ่งเป็นธรรมกับวินัย ธรรม คือรักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปสู่อบาย ส่วนวินัยก็คืออุบายเป็นเครื่องฝึกกายวาจาเป็นต้นนั่นเอง แบ่งเป็น ๓ ก็คือไตรปิฎก ๓ ปิฎก ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา วินัยปิฎกเป็นศีล สุตตันปิฏกเป็นสมาธิ อภิธรรมปิฏกเป็นปัญญา ศีลกําจัดโทสะสมาธิกําจัดราคะ ปัญญากําจัดโมหะ ถ้าแบ่งเป็น ๕ ก็เรียกว่าองค์นิกาย ๕ ทีฆนิกาย (หมวดยาว ๓๔ สูตร) มัชฌิมนิกาย (หมวดปานกลาง ๑๕๒ สูตร) สังยุตตนิกาย (หมวดประมวลเนื้อหา ๗๗๖๒ สูตร)  อังคุตตรนิกาย (หมวดยิ่งด้วยองค์มี ๙๕๕๗ สูตร) ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อย ในพระสูตรมี ๑๕ คัมภีร์ พระวินัยก็สงเคราะห์ลงในขุททกนิกาย พระอภิธรรมก็สงเคราะห์ลงในขุททกนิกาย) แต่ถ้าว่าโดยองค์ มีองค์ ๙ คือ สุตะ เคยยะ เวย​ยา​กรณะ คาถา อุทาน อิติวุตกะ ชาตกะ อัพ​ภูต​ธรรม เวทัล​ละ ทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ คือสังคหวาระ เนื้อความโดยสรุปของคัมภีร์เนติปกรณ์

ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือโดยเฉพาะปริยัติ เนี่ยแบ่งออกเป็น ๒  คืออรรถกับพยัญชนะ 
อรรถนี้แบ่งออกเป็น ๖ พยัญชนะแบ่งออกเป็น ๖ พระมหากระจายนะท่านแสดงคัมภีร์เนติปกรณ์กล่าวถึงหาระ ๑๖ นัย ๕ มูลบท ๑๘ ก็เพื่อให้ผู้ศึกษาพระไตรปิฏกเข้าใจในอรรถ ๖ กับพยัญชนะ ๖ ให้มากยิ่งขึ้น ทีนี้ย้อนมาถึงคําว่า คัมภีร์เนติปกรณ์ มีความหมายว่าอย่างไร ? พระบาลีนั่นแหละคือศัพท์, คือพยัญชนะ เนื้อความแห่งพระบาลีนั่นแหละคืออรรถ พระพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรมย่อมสมบูรณ์ทั้งอรรถและพยัญชนะ ใช้ถ้อยคําสมบูรณ์หมด เนื้อความก็เข้าใจถูกต้อง เขามีอย่างนี้ว่า "คําพูดใดที่ไม่มีอรรถคําพูดนั้นไร้ประโยชน์" คําพูดใดที่ตั้งคําพูดไว้ไม่ดี เนื้อความ เนื้อหาก็คลาดเคลื่อน แต่พระพุทธเจ้าสอนไม่เป็นอย่างนั้น ของพระพุทธองค์สมบูรณ์ทั้งคําพูด สมบูรณ์ทั้งเนื้อหา ทีนี้ดูในคัมภีร์เนติปกรณ์ซึ่งประกอบไปด้วยหาระ ๑๖ นัย ๕ และมูลบท ๑๘ นักศึกษาควรจดจํา ถ้าจําไม่ได้ก็เข้ามาดูบ่อย ๆ คําว่าคําภีร์เนตติ แปลว่า สามารถนําเวไนยสัตว์ทั้งหลายไปสู่มรรคผลนิพพาน

คือตัวที่นําสัตว์เนี่ยเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้สัตว์บรรลุมรรคผลนิพพาน คําว่าเนตติ แปลว่า นําไป เช่นตัณหาเนี่ยก็ชื่อว่าเนตติเหมือนกัน นำไปเหมือนกัน แต่ตัณหานี่นําไปสู่กามภพ รูปภพและอรูปภพตัณหาชื่อว่าเนตติ ตัณหานําไปเกิดใหม่ ฉันใด คัมภีร์เนตติปกรณ์ก็นําไปเหมือนกัน แต่นําไปสู่มรรคผลนิพพาน ตัณหานําไปเกิด แต่คัมภีร์เนตติปกรณ์นําไปเพื่อเลิกเกิด จุดหมายคือ "นํา" เหมือนกันแต่คนละทางกัน เปรียบเทียบอุปมาว่าถ้าตัดต้นไม้ ใช้อะไรตัด ก็ใช้ขวานตัดใช่มั้ย เครื่องมือในการช่วยตัด ถ้าจะเดินทางไปไกลๆ ตามทางนี้อาศัยอะไร ก็อาศัยรถเป็นเครื่องมือในการช่วยเดินทาง ผู้ที่จะมีความรู้เข้าใจคําสอนพระพุทธเจ้าเหมือนกันก็ใช้คัมภีร์เนตติปกรณ์นี้แหล่ะ เป็นเครื่องมือช่วยนําให้เข้าใจคําสอน หรือคัมภีร์เป็นที่แนะนําเวไนยสัตว์ทั้งหลายไปสู่มรรคผลนิพพาน ซึ่งหมายความว่านักศึกษาทั้งหลายที่ปรารถนามรรคผลนิพพานต้องมาเรียนคัมภีร์นี้นะ แต่บางท่านก็บอก เอ๊ะ..เรียนคัมภีร์นี้คำภีร์เดียวก็พอหรือ ? (ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก) คือหมายถึงว่าสําหรับผู้ที่อยากจะขยายพุทธพจน์ย่อให้พิสดารได้ คือไม่คิดอะไรแง่เดียว ไม่มองอะไรสิ่งเดียว ควรศึกษาเนตติปกรณ์ เพราะเนตติปกรณ์เป็นคัมภีร์ที่ไม่ได้มองอะไรแง่เดียว แต่มองรอบด้านจริงๆ โดยการมองรอบทั้งอรรถและพยัญชนะเป็นอย่างดี 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS