อรูปาวจรกุศลกรรม ผู้เจริญรูปาวจรกุศลจนถึงปัญจมฌานแล้ว ปรารถนาจะเจริญฌานให้ยิ่งขึ้นไป ก็ต้องเจริญในอรูปฌานต่อไป ตั้งแต่อากาสานัญจายตนฌาน จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
อรูปาวจรกุศลมี ๔ ระดับ แต่ละระดับ มีองค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขาและ เอกัคคตา เหมือนกันทั้ง ๔ ระดับ ในแต่ละระดับมีอารมณ์ต่างกัน
ฌานที่ ๑ เรียกว่า อากาสานัญจายตนกุศล มี กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติเป็นอารมณ์
ฌานที่ ๒ เรียกว่า วิญญานัญจายตนกุศล มีอากาสานัญจายตนกุศลเป็นอารมณ์
ฌานที่ ๓ เรียกว่า อากิญจัญญายตนกุศล มี นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์
ฌานที่ ๔ เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนกุศล มีอากิญจัญญายตนกุศลเป็นอารมณ์
ผลของอรูปาวจรกุศลกรรม
ผู้ที่เจริญอรูปฌานจนสำเร็จในแต่ละขั้นแล้วถ้าฌานยังไม่เสื่อม เมื่อ ตายจากภพนี้ กำลังแห่งอรูปฌานกุศลนั้นจะส่งผลเป็นวิปากนำเกิดในอรูปพรหม เป็นพรหมที่มีแต่นาม ไม่มีรูป
อากาสานัญจายตนกุศล จะนำเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนภูมิ มีอายุ๒๐,๐๐๐ มหากัปป์
วิญญานัญจายตนกุศล จะนำเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๒ คือ วิญญานัญ จายตนภูมิ มีอายุ ๔๐,๐๐๐ มหากัปป์
อากิญจัญญายตนกุศล จะนำเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๓ คือ อากิญจัญญายตนภูมิ มีอายุ ๖๐,๐๐๐ มหากัปป์
เนวสัญญานาสัญญายตนกุศล จะนำเกิดในอรูปพรหมชั้นที่ ๔ คือ เนว สัญญานาสัญญายตนภูมิ มีอายุ ๘๔,๐๐๐ มหากัปป์
เรื่องกรรมเป็นเรื่องที่แสดงความเป็นจริง เป็นเหตุ เป็นผล โดยนัยแห่ง พระอภิธรรม คือ ชี้ให้เห็นถึงสภาวธรรมแห่งเหตุ และได้แสดงโดยนัยแห่ง พระสูตร คือ ยกตัวอย่างประกอบไว้แล้ว กรรมที่แสดงไว้แล้วทั้งหมดนี้เป็นกรรมชนิดที่ส่งผลนำเกิด คือ เมื่อกรรมสำเร็จแล้วย่อมส่งผลนำวิบากให้เกิดขึ้น เป็นการแสดงความเป็นจริงแห่งวัฏฏะ คือ วงเวียนแห่งชีวิตว่ามีการเกิด มีการดำรงอยู่ และก็มีการตาย แล้วก็มีเกิดใหม่ ดำรงอยู่ใหม่ แล้วก็ตายไป แล้วก็มีการเกิดใหม่ ดำรงอยู่ใหม่ แล้วก็ตายไป เป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด เป็นวัฏฏะทุกข์ คือ ทุกข์เพราะยังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะกรรมที่บุคคลทำไว้แล้วนั้นเป็น กรรมชนิดที่เป็นไปเพื่อวัฏฏะ การจะหลุดพ้นจากวัฏฏะ หรือ วงเวียนแห่งชีวิตนี้ ต้องทำกุศลขั้นวิวัฏฏะ คือ มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะพ้นไปจากวัฏฏะทุกข์นี้
เพราะรู้และเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต แล้วทำกุศลทุกอย่างก็เพื่อ มุ่งให้เป็นปัจจัยให้พ้นไปจากวัฏฏะ เจริญกุศลขั้นปัญญาเพื่อขจัดกิเลสให้เบาบาง เพื่อประหาณกิเลสทั้งหลาย เมื่อกุศลขั้นวิวัฏฏะยังผลให้โลกุตตรกุศลเกิดขึ้นเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะพ้นไปจากวัฏฏะทุกข์เข้าสู่ความเกษมคือพระนิพพานได้
๔.๔ อรูปาวจรกุศลกรรม
๔.๓ รูปาวจรกุศลกรรม
รูปาวจรกุศลกรรม เป็นการเจริญกุศลในขั้นสูง คือ การเจริญฌาน ฌานนั้นให้ความสงบสุขอันเป็นความสุขที่ประณีตกว่ากุศลขั้น ทาน ศีล ฯลฯ ที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้ว รูปาวจรกุศลกรรมเป็นการเจริญสมถกรรมฐาน มีกสิณ ๑๐ เป็นต้น โดยการกำหนดจิตให้แนบแน่นอยู่กับอารมณ์เดียว บุคคลเมื่อกำหนดจิตได้แนบแน่นอยู่กับอารมณ์เดียวได้ ทำให้สมาธิตั้งมั่น กำลังของสมาธิที่ตั้งมั่นและมากขึ้นๆ ตามลำดับ จะทำให้เกิดผลสำเร็จในการเจริญรูปฌาน
ผลสำเร็จของการเจริญรูปฌาน มี ๕ ขั้น คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน และ ปัญจมฌาน ซึ่งแต่ละขั้นจะมีองค์ฌานประกอบดังนี้
ฌานที่ ๑ เรียกว่า ปฐมฌานกุศล มีองค์ฌาน ๕ คือ
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌานที่ ๒ เรียกว่า ทุติยฌานกุศล มีองค์ฌาน ๔ คือ
วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌานที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌานกุศล มีองค์ฌาน ๓ คือ
ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌานที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌานกุศล มีองค์ฌาน ๒ คือ
สุข เอกัคคตา
ฌานที่ ๕ เรียกว่า ปัญจมฌานกุศล มีองค์ฌาน ๒ คือ
อุเบกขา เอกัคคตา
ผลของรูปาวจรกุศลกรรม
ผู้ที่เจริญรูปฌานจนสำเร็จในแต่ละขั้นแล้วถ้าฌานยังไม่เสื่อม เมื่อตาย จากภพนี้ กำลังแห่งฌานกุศลนั้นจะส่งผลเป็นวิปากนำเกิดในรูปพรหม
ฌานที่ ๑ ปฐมฌานกุศล จะนำเกิดในปฐมฌานภูมิ ๓ คือ ปาริสัชชา ปุ โรหิตา มหาพรหมมา ตามกำลังของฌานที่ได้ คือ มีกำลังอ่อน ปานกลาง แก่กล้า พรหมปาริสัชชา มีอายุ ๑/๓ มหากัปป์ พรหมปุโรหิตา อายุ ๑/๒ มหากัปป์ และ มหาพรหมมา มีอายุ ๑ มหากัปป์
ฌานที่ ๒ ทุติยฌานกุศล และ ฌานที่ ๓ รูปาวจรตติยฌานกุศลจิต จะนำเกิดในทุติยฌานภูมิ ๓ คือ ปริตตาภา อัปปมานาภา อาภัสรา ตามกำลังของฌานที่ได้ คือ มีกำลังอ่อน ปานกลาง แก่กล้า เป็นพรหมที่มีอายุยาวนาน ๒ มหากัปป์ ๔ มหากัปป์ และ ๘ มหากัปป์ ตามลำดับ
ฌานที่ ๔ จตุตถฌานกุศล จะนำเกิดในตติยฌานภูมิ ๓ คือ ปริตตสุภา อัปปมานสุภา สุภกิณหา ตามกำลังของฌานที่ได้ คือ มีกำลังอ่อน ปานกลาง แก่กล้า เป็นพรหมที่มีอายุยาวนาน ๑๖ มหากัปป์ ๓๒ มหากัปป์ และ ๖๔ มหากัปป์ ตามลำดับ
ฌานที่ ๕ ปัญจมฌานกุศล จะนำเกิดในจตุตถฌานภูมิ ๗ แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม
กลุ่มที่ ๑ นำเกิดใน เวหัปผลา อสัญญสัตตา เป็นพรหมที่มีอายุ ยาวนาน ๕๐๐ มหากัปป์
กลุ่มที่ ๒ นำเกิดใน สุทธาวาส ๕ คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐา เป็นภูมิสำหรับพระอนาคามีที่ได้ฌานด้วยและมีอินทรีย์อย่างใดอย่างหนึ่งแก่กล้า ด้วยความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ตามลำดับ พระอนาคามีที่แก่กล้าด้วยสัทธินทรีย์ จะเกิดในอวิหาภูมิ มี อายุ ๑ ,๐๐๐ มหากัปป์ พระอนาคามีที่แก่กล้าด้วยวิริยินทรีย์ จะเกิดในอตัปปาภูมิ มี อายุ ๒ ,๐๐๐ มหากัปป์ พระอนาคามีที่แก่กล้าด้วยสตินทรีย์ จะเกิดในสุทัสสาภูมิ มีอายุ ๔ ,๐๐๐ มหากัปป์ พระอนาคามีที่แก่กล้าด้วยสมาธินทรีย์ จะเกิดในสุทัสสีภูมิ มี อายุ ๘ ,๐๐๐ มหากัปป์ พระอนาคามีที่แก่กล้าด้วยปัญญินทรีย์ จะเกิดในอกนิฏฐาภูมิ มีอายุ ๑๖,๐๐๐ มหากัปป์
ทิพยสมบัติของพรหม
ผู้ที่ไปเกิดเป็นรูปพรหมด้วยอำนาจของฌานที่ตนได้ จะเสวยทิพยสมบัติแห่งความเป็นพรหม มีอายุยืนยาวนานเป็นมหากัปป์ มีวิมาน มีสวนดอกไม้ มีสระโบกขรณี และเครื่องทรงอลงกรณ์ต่างๆ สวยสดงดงามประณีต และมีความสวยสดงดงามกว่าทิพยสมบัติของเทวดาทั้งหลาย เมื่อเกิดเป็นพรหมในรูปพรหม ๑๖ ชั้นดังกล่าวแล้ว ก็หาพอใจในฌานหรือในทิพยสมบัติของตนที่มีอยู่ไม่ ต้องการหาความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น โดยการเจริญอรูปาวจรกุศลต่อไปอีก
กายทุจริต ๓
เกณฑ์ตัดสินการฆ่าว่ามีบาปมากหรือน้อย
บาปมาก ๑. ฆ่าสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ที่มีประโยชน์ เช่น วัว ควาย ๒. ฆ่าผู้มีคุณธรรมมาก เช่น พระสงฆ์ บิดามารดา ๓. ใช้ความพยายามในการฆ่ามาก |
บาปน้อย ๑. ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น มด ยุง ริ้น ไร ๒. ฆ่าผู้ไม่มีคุณธรรม เช่น โจร ผู้ร้าย ๓. ใช้ความ พยายามในการฆ่าน้อย |
มีเรื่องเล่าว่า นายพรานคนหนึ่งจับแม่เนื้อและลูกเนื้อได้ มีนักเลงคนหนึ่งถามนายพรานว่า “แม่เนื้อราคาเท่าไร ลูกเนื้อราคาเท่าไร” เขาตอบว่า “ แม่เนื้อราคา ๒ เหรียญ ลูกเนื้อราคา ๑ เหรียญ” เขาก็ให้ไป ๑ เหรียญ แล้วเอาลูกเนื้อมา เขาเดินไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับมาพูดว่า “ นายเอ๋ยฉันไม่ต้องการลูกเนื้อแล้วละ จงให้แม่เนื้อแก่ฉันเถิด” นายพรานจึงบอกว่า “ ถ้าอย่างนั้นจงให้ ๒ เหรียญซิ ” นักเลงจึงกล่าวว่า “ ทีแรกฉันได้ให้ท่านไว้ ๑ เหรียญแล้วมิใช่หรือ” นายพรานก็ยอมรับว่า “ ใช่ ให้ไว้ ๑ เหรียญ แล้ว” นักเลงจึงบอกว่า “ จงรับลูกเนื้อคืนไป ลูกเนื้อตัวนี้ราคา ๑ เหรียญ และเคยให้ไว้แล้ว ๑ เหรียญ รวมกันเข้าก็เป็น ๒ เหรียญ” นายพรานได้ยินก็เข้าใจว่าเขาพูดมีเหตุผล จึงยอมรับเอาลูกเนื้อนั้นมา แล้วให้แม่เนื้อไป เป็นอันว่านักเลงผู้นั้นได้แม่เนื้อไปโดยเสียเงินซื้อเพียง ๑ เหรียญ การยอมรับตกลงด้วยไม่ใช่ เหตุของการป้องกันไม่ให้เป็นอทินนาทาน นายพรานยอมตกลงด้วยเพราะรู้ไม่เท่าทันเจตนาเล่ห์เหลี่ยมของนักเลง
ส่วนการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของหวงแหนโดยไม่มีเจตนาที่จะลักเอามา แต่ถือเอาด้วยวิสาสะ ความคุ้นเคยสนิทสนม คือว่าหยิบฉวยเอาของผู้อื่นไปบริโภคใช้สอย เพราะเห็นว่าผู้นั้นเป็นคนคุ้นเคย เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน อย่างนี้ไม่จัดเป็นอทินนาทาน
วิสาสะ คือ ความคุ้นเคย มี ๕ คือ
๑. เคยเห็นกันมา
๒. เคยคบหากันมา
๓. เคยบอกอนุญาต
๔. ผู้ที่ตนมีวิสาสะด้วยยังมีชีวิตอยู่
๕. ผู้ที่ตนจะมีวิสาสะด้วยยินดียอมรับ
องค์ประกอบของการลักทรัพย์ มี ๕ ประการ คือ
๒. รู้ว่าวัตถุสิ่งของนั้นมีเจ้าของ
๓. มีจิตคิดจะลักทรัพย์
๕. ได้สิ่งของที่พยายามลักนั้นมา
นัยที่๑ เจ้าของทรัพย์ คือ (จากน้อยไปมาก) ๑. ฆราวาส ๒. พระภิกษุ หรือ สามเณร ๑ รูป ๓. พระภิกษุ หรือ สามเณร ๒-๓ รูป ๔. พระภิกษุ หรือ สามเณร ๔ รูปขึ้นไป |
นัยที่ ๒ เจ้าของทรัพย์ คือ (จากน้อยไปมาก) ๑. ปุถุชน ๒. พระโสดาบัน ๓. พระสกทาคามี ๔. พระอนาคามี ๕. พระอรหันต์ |
ความพยายามในการลักทรัพย์ ทำได้ ๖ ประการ คือ
๑. ลักทรัพย์ด้วยตนเอง
๒. ใช้ผู้อื่นลักทรัพย์ด้วยวาจา หรือเขียนเป็นหนังสือ
๓. ทิ้งหรือโยนทรัพย์ออกไปนอกเขตเพื่อให้พวกเดียวกันรับต่อ
๔. สั่งพรรคพวกเมื่อมีโอกาสให้พยายามลักทรัพย์นั้นมา
๕. ใช้เวทย์มนต์คาถาทำให้หลงใหลแล้วลักทรัพย์
๖. ใช้ฤทธิ์ในการลักทรัพย์ ผลของการลักทรัพย์
การส่งผลในปฏิสนธิกาล (ขณะเกิด) การส่งผลในปวัตติกาล (หลังจากเกิดแล้ว)
การทำบาปที่ครบ องค์ประกอบทั้ง ๕ จัดเป็น อกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าอทินนาทานนี้ส่งผล จะนำเกิดในอบายภูมิ เป็นการ ส่งผลในปฏิสนธิกาล(คือ นำไปเกิด) กรรมนี้จะส่งผลได้ในปวัตติกาล ทำให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ที่ไม่ดี ถ้าบาปนี้ไม่ส่งผลนำไปเกิดในอบายภูมิ บุคคลนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมนี้ก็จะตามส่งผลได้ในปวัตติกาล หรือเมื่อบุคคลพ้นโทษจากอบายภูมิแล้ว เศษกรรมยังตามมาส่งผลในปวัตติกาลอีก ทำให้ เป็นคนยากจน ถ้ามีทรัพย์ก็จะพินาศเพราะ โจร น้ำ ไฟ พายุ ถูกทางการริบทรัพย์ ต้องสูญเสียทรัพย์
๑. มีวัตถุที่ไม่ควรเสพ ได้แก่ หญิง ๒๐ จำพวก
๒. มีจิตคิดจะส้องเสพในวัตถุอันไม่ควรนั้น
๓. มีความพยายามในการส้องเสพ
๔. มีการทำมรรคให้จรดถึงกัน มรรคในที่นี้หมายถึงอวัยวะเพศ คือ ทำอวัยวะเพศให้จรดถึงกัน เนื่องจากเป็นการกระทำของคนคู่ จึงแสดงสิ่งที่เป็นวัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้องได้แก่หญิง ๒๐ จำพวก ไว้เป็นลำดับแรก การร่วมประเวณีจะสำเร็จได้ก็เพราะฝ่ายชาย ไม่ใช่ฝ่ายหญิง เพราะเหตุนี้ฝ่ายชายจึงมีโอกาสทำผิดศีลข้อ ๓ นี้ได้ง่าย เพราะฉะนั้นท่านจึงวาง องค์แห่งการวินิจฉัยการกระทำของฝ่ายชายไว้ก่อนว่าวัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง ได้แก่หญิง ๒๐ จำพวก หลังจากนั้นจึงจะวินิจฉัยการกระทำของฝ่ายหญิง ต่อไปได้
หญิงที่ยังไม่มีสามี มี ๑๐ จำพวก คือ
๑. หญิงที่มีมารดารักษา คือมีมารดา ปกครองดูแล
๒. หญิงที่มีบิดารักษา คือมีบิดา ปกครองดูแล
๓. หญิงที่มีทั้งมารดาทั้งบิดารักษา
๔. หญิงที่พี่น้องชายรักษา
๕. หญิงที่พี่น้องหญิงรักษา
๖. หญิงที่ญาติรักษา
๗. หญิงที่โคตรคือวงศ์สกุลรักษา
๘. หญิงที่ธรรมรักษา (หญิงที่บวช ประพฤติธรรม)
๙. หญิงที่รับหมั้นชายแล้ว
๑๐. หญิงที่มีกฎหมายรักษา
หญิงที่มีสามีแล้ว มี ๑๐ จำพวก คือ
๑. หญิงที่เขาใช้ทรัพย์ซื้อมาเพื่อเป็นภรรยา
๒. หญิงที่อยู่เป็นภรรยากับชายที่ตนมีความพอใจ
๓. หญิงที่อยู่กับชายเพราะทรัพย์เป็นเหตุ (เช่น ยอมเป็นภรรยาเพื่อปลดหนี้ เป็นต้น)
๔. หญิงที่อยู่กับชายเพราะผ้าเป็นเหตุ (คือ ยอมเป็นภรรยาเพราะเห็น แก่ผ้า เครื่องประดับ ยานพาหนะ ที่พึง ได้รับ เป็นต้น)
๕. หญิงที่ญาติทั้ง ๒ ฝ่ายกำหนดให้ จุ่มมือลงไปใน ภาชนะใส่น้ำ แล้วสัญญาว่าจะ อยู่ด้วยกัน
๖. หญิงที่ชายปลดปล่อยจากความ เป็นทาสแล้ว แต่งตั้งให้เป็นภรรยา
๗. หญิงที่เป็นทั้งทาสทั้งภรรยา
๘. หญิงที่เป็นทั้งคนรับจ้างทำงานอยู่ในเรือน เป็นทั้งภรรยาด้วย
๙. หญิงเชลย
๑๐. หญิงที่ชายอยู่ร่วมชั่วคราว
การที่ฝ่ายชายจะผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารพิจารณาดังนี้ คือ
ชายไปเกี่ยวข้องล่วงเกินเกี่ยวกับประเวณี กับหญิงทั้ง ๒๐ จำพวกนี้ ชายนั้นได้ชื่อว่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร กล่าวคือในกลุ่มหญิงที่ยังไม่มีสามีลำดับที่ ๑-๘ ถ้าชายไปเกี่ยวข้องด้วยโดยที่ผู้ปกครองของหญิงไม่ยินยอมด้วย กรณีนี้ฝ่ายชายเท่านั้นที่ผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร ฝ่ายหญิงไม่ผิด และสำหรับหญิงที่ยังไม่มีสามีในลำดับที่ ๙ หญิงที่รับหมั้นชายแล้ว ๑๐. หญิงที่มีกฎหมายรักษา ทั้ง ๒ นี้ ถ้าชายอื่นที่ไม่ได้เป็นคู้หมั่น เป็นต้น ล่วงเกินเกี่ยวกับประเวณี กรณีนี้ฝ่ายหญิงพร้อมชายอื่นนั้นก็ผิดศีลข้อ กาเมสุมิจฉาจารด้วยกันทั้งคู่
๑. หญิงที่มีเจ้าของในฐานะผู้ปกครองดูแล
๒. หญิงที่มีเจ้าของในฐานะเจ้าของสัมผัส
สรุปว่า ถ้าชายไปล่วงเกิน ชายนั้นก็ผิดศีลฝ่ายเดียว หญิงจำพวกที่ ๒ มีเจ้าของในฐานะเจ้าของสัมผัส ได้แก่ หญิงที่เป็นภรรยาทั้งหลาย และหญิงที่มีคู่หมั้นด้วย หญิงที่เป็นภรรยาก็มีสามีของตนเป็นเจ้าของสัมผัส ส่วนหญิงที่มีคู่หมั้นแล้วก็เท่ากับยอมรับความจะเป็นภรรยาเขา ถ้าชายอื่นใดละเมิดในหญิงเหล่านี้ ชายนั้นก็ชื่อว่ากระทำกาเมสุมิจฉาจาร ส่วนฝ่ายหญิงถ้ามีความยินยอมพร้อมใจ ก็ชื่อว่าทำกรรมชั่ว ข้อนี้ร่วมกัน เพราะว่ามอบสมบัติคือสัมผัสอันผู้เป็นเจ้าของคือสามีของตน เท่านั้นถือสิทธิอยู่ ให้แก่ชายอื่น สรุปว่า ผิดทั้งคู่
การส่งผลในปฏิสนธิกาล การทำบาปที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๔ จัดเป็น อกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้าการประพฤติผิดในกามเช่น นี้ส่งผลเมื่อสิ้นชีวิตจะ นำไปเกิดในอบายภูมิ
การส่งผลในปวัตติกาล ถ้าบาปนี้ไม่ส่งผลนำไปเกิดในอบายภูมิ บุคคลนั้นได้มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมนี้ก็จะตามส่งผลได้ในปวัตติกาล หรือเมื่อพ้นโทษจากอบายภูมิแล้ว เศษกรรมยังตามมาส่งผลในปวัตติกาลได้อีก กาเมสุมิจฉาจารนี้ เป็นการกระทำของคนขลาด ลักลอบ ทำอย่างปิดบัง หลบๆ ซ่อนๆ นี้เองจึงส่งผลให้เป็นผู้ที่ไม่องอาจผ่าเผย มีจิตใจไม่อาจหาญ และสามารถส่งผลให้เกิดมาเป็นหญิง เป็นกะเทย เป็นคนวิปริตผิดเพศ
อ
อ
อเจลก, อเจละ naked ascetic
อเสขะ adept
อโทสะ, อพยาบาท non-hate; non-hatred
อโมหะ non-delusion
อโลภะ non-greed
อกุศล unprofitable (adj)
อกุศล unskilful (adj)
อกุศล unwholesome (adj)
อกุศลกรรม unskilful action
อกุศลกรรม unwholesome action
อคติ prejudice
อคติ wrong course
องค์ factor
องค์, โวการ constituent
อตตกัลมถานิโยคุ self-mortification; self-torment
อติมานะ arrogance
อทินนาทาน taking what is not given
อทินนาทาน stealing
อทุกขมสุข, อุเบกขา- เวทนา neither-pain-nor-pleasure
อธิโมกข์, อธิมุติ; (วินัย) กรรมวาจา resolution
อธิกรณ์ legal question
อธิจิตต์ higher mentality
อธิจิตต์ higher thought
อธิปไตย predominance
อธิปบาย (นัยประสงค์) purport
อธิปัญญา higher wisdom
อธิวจนะ, อธิพจน์ designation
อธิศีล higher morality
อธิษฐาน, อธิมุติ resolve
อนภิชฌา non-covetousness
อนริยะ, อนารยะ ignoble (adj)
อนลสตา, อุฏฐานะ (ความหมั่นขยัน) industry
อนวัชชกรรม blameless action
อนัตตตา soullessness
อนัตตา not-self (adj)
อนัตตา non-self; non-soul
อนัตตา soulless (adj)
อนันต์ infinite (adj)
อนาคามิผล Non-Returning, fruition of
อนาคามิมรรค Non-Returning, path of
อนาคามี Non-Returner
อนาคาริก homeless one
อนาคาริยะ, ชีวิตอนาคาริก homeless life
อนิจจ์, อนิจจัง transient (adj)
อนิจจตา impermanence
อนิจจตา transience; transiency
อนิจจะ, อนิจจัง impermanent (adj)
อนิยต undetermined offence
อนิสสิต independent (adj)
อนุโมทนา thanking
อนุโยค pursuit
อนุโลม conformity
อนุโลม forward order
อนุโลม forward order
อนุตตระ unsurpassed (adj)
อนุปัสสนา, อนุสติ contemplation
อนุปาทิเสสนิพพาน Nibbàna without any remainder of existence
อนุรักขนา maintaining; maintenance
อนุสติ recollection
อนุสนธิ sequence
อนุสัย latent bias
อนุสัย latent tendency
อนุสัย underlying tendency
อนุสาวนา proclamation
อนุสาสนี, สาสนะ instruction
อปจายนะ, คารวะ reverence
อปายโกศล proficiency in knowing loss
อปายโกศล proficiency as to regress
อพยาบาท non-ill-will
อภิชฌา courteous speech
อภิญญา direct knowledge
อภิญญา psychic power
อภิญญา superknowledge
อภินิเวส insistence
อภิสมัย (การบรรลุ), สมาบัติ attainment
อภิสัมโพธิ, การตรัสรู้ Awakening
อมตะ deathless adj
อมตะ immortal (adj)
อมูฬหวินัย verdict of past insanity
อรติ, อนภิรติ (ความไม่ยินดี, เบื่อ หน่าย) discontent
อรยวินัย (แบบแผนของอารยชน) noble discipline
อรรถ meaning
อรรถกถา commentary
อรหัตต์, อรหัตตผล Arahatship
อรัญวาสี forest-dweller
อริยทรัพย์ noble treasure
อริยทรัพย์ noble wealth
อริยบุคคล noble one
อริยสัจจ์ ๔, จตุราริยสัจจ์ Noble Truths, the Four
อริยสาวก noble disciple
อริยอัฏฐังคิกมัคค์, อารยอัษฎางคิกมรรค Noble Eightfold Path, the
อริยะ ariyan
อริยะ, อารยะ noble (adj)
อรูป formless
อรูป immaterial (adj)
อรูปภพ, อรูปโลก Immaterial Sphere
อลัชชี shameless (adj)
อวตาร (ตามคติพราหมณ์, ฮินดู) reincarnation
อวิโรธนะ non-obstruction
อวิโรธนะ non-opposition
อวิชชา ignorance
อวิหิงสา non-cruelty
อสังขตะ uncompounded; unconditioned (adj)
อสังขาริก uninstigated (adj)
อสังขาริก unprompted (adj)
อสูร, ยักษ์ demon
อหังการ I-making
อหิงสา harmlessness
อหิงสา non-injury
อหิงสา, อวิหิงสา non-violence
อักขระ, พยัญชนะ letter
อัชฌัตติกายตนะ (อายตนะ ภายใน) inner sense-sphere
อัชฌาสัย, อธิมุติ inclination
อัญญา final knowledge
อัญญาณ unknowing
อัฏฐกะ (หมวดแปด) octad
อัตตภาวะ, อัตภาพ individuality
อัตตสัมมาปณิธิ self-direction, right disposition in
อัตตัญุตา self-knowledge
อัตตา, ตน, ตัวตน self
อัตตา, อาตมัน ego
อัตตา, อาตมัน, ชีวะ soul
อัตถจริยา benevolence
อัตถะ กัลยาณะ, บุญ good (n) (adj)
อัตถะ, ปริโยสาน goal
อัตถะ, อรรถ aim
อัตถิสุข (สุขเกิดจากความ มีทรัพย์) ownership, the bliss of
อันตราย, อันตรายิกธรรม stumbling block
อันตราย, อาทีนพ danger
อันตะ (ที่สุด, ความเข้าใจ หรือ ประพฤติเอียงสุด) extreme
อันตะ end
อัปปนาสมาธิ attainment concentration
อัปปมัญญา illimitables
อัปปมาท heedfulness
อัปปมาทะ, อาตาปะ (ความเพียร) earnestness
อัปปมาทะ, อุฏฐานะ (ความหมั่นขยัน) diligence
อัปปิจฉตา, ความมักน้อย simplicity
อัพยากตะ, อัพยากฤต undeclared
อัพยากฤต indeterminate (adj)
อัสสาทะ gratification
อัสสาสะ (การหายใจเข้า) breathing in
อาเนญชา, อเนญชา imperturbability
อาโปธาตุ fluid element
อาโปธาตุ cohesion, the element of
อาโรคยะ, กัลลตา health
อาการ aspect
อาการ mode
อากาส (ช่องว่าง), อวกาศ space
อากาสานัญจายตนะ infinity of space
อากิญจัญญายตนะ Nothingness, Sphere of
อาฆาต malice
อาจาร, จริยา, จรณะ, สมาจาร conduct
อาจารย์ teacher
อาชชวะ honesty
อาชชวะ integrity
อาชีวะ livelihood
อาณา, อิสริยะ authority
อาทีนพ, ภัย peril
อานาปานสติ mindfulness on breathing
อานาปานะ, อัสสาสะ ปัสสาสะ in- and out-breathing
อานิสงส์ blessing
อานิสงส์ advantage
อานิสงส์ privilege
อานิสงส์, อัตถะ, อรรถ benefit
อาบัติ offence
อาบัติถุลลัจจัย grave offence
อาบัติทุพภาสิต wrong speech, offence of
อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ forfeiture, offence of expiation involving
อาบัติปาจิตตีย์ expiation, offence of
อาบัติปาราชิก defeat, offence involving
อาบัติสังฆาทิเสส formal meeting of the Order, offence entailing a
อาปัตติ เทศนา (การแสดงอาบัติ) confession
อามิส carnalities
อามิส material things
อามิสทาน material gifts
อามิสบูชา material worship
อายโกศล proficiency as to progress
อายโกศล proficiency in knowing gain
อายตนะ sense-base
อายตนะ sense-field
อายตนะ sense-sphere
อายตนะ(ภายใน), อินทรีย์ sense-organ
อายตนะ(ภายนอก) sense-object
อายุสังขาร vital formation
อารมณ์ object
อารักขา protection
อารักขา; ชาคริยะ watchfulness
อาวัชชนะ adverting
อาวัตต์, อาวัตตนา, การกลับใจเปลี่ยน ศาสนา conversion
อาสนะ seat
อาสวะ canker
อาสวะ intoxicant, mental
อาสวะ taint
อาสา (ความหวัง, ใฝหา) yearning
อาหาร nutrient; nutriment
อิจฉา (ความอยาก) longings
อิฏฐะ (น่าปรารถนา) agreeable
อิตถีธุตตตา (ความเป็นนักเลงหญิง) debauchery
อิตถีภาวะ, อิตถินทรีย์ femininity
อิทธิ, สัมปัตติ success
อิทธิบาท road to power
อิทธิบาท accomplishment, basis of
อิทธิบาท basis for success
อิทธิปาฏิหาริย์ magical power
อิทธิปาฏิหาริย์ supernormal power
อิทัปปัจจยตา specific conditionality
อินทรีย์ controlling faculty
อินทรีย์ faculty
อินทรียสังวร control of the senses
อินทรียสังวร restraint of the senses
อิริยาบถ deportment
อิริยาบถ posture
อิสสา, ความริษยา jealousy
อิสสา, ความริษยา envy
อิสิ, ฤๅษี seer
อุเบกขา (ตัตรมัชฌัตตตา) equanimity
อุเบกขา onlooking-equanimity onlooking-equanimity
อุเบกขา even-mindedness
อุเบกขาเวทนา, อทุกขมสุข indifferent feeling
อุโบสถ, วัตร, การรักษา (ศีลเป็นต้น) observance
อุกเขปนียกรรม suspension
อุจเฉทวาท, อุจเฉททิฐิ annihilationism
อุชุกตา rectitude
อุชุกตา, อาชชวะ straightness
อุตุ temperature
อุทธัจจกุกกุจจะ anxiety
อุทธัจจกุกกุจจะ flurry and worry
อุทธัจจะ agitation
อุทธัจจะ, วิกเขปะ (ความฟุ้งซ่าน) distraction
อุทธัจจะ, วิชัมภิตา restlessness
อุทาน, วจนะ utterance
อุบาสก อุบาสิกา lay devotee
อุบาสก, พุทธศาสนิกฝ่ายคฤหัสถ์ lay follower
อุบาสก, อุบาสิกา devotee, lay
อุบาสก, คฤหัสถสาวก lay disciple
อุปจยะ growth
อุปจยะ storing up
อุปจารสมาธิ neighbourhood concentration
อุปจารสมาธิ access concentration
อุปธิ essential of existence
อุปธิ substratum of rebirth
อุปนาหะ grudging
อุปนาหะ spite
อุปบัติ reappearance
อุปปาทะ, อุบัติ arising
อุปมา simile
อุปสัมปทา, การอุปสมบท ordination
อุปัชฌาย์ preceptor
อุปัฏฐาก, อุปฐาก attendant
อุปัฏฐาน (การบํารุง, เฝ้า, พยาบาล) attendance
อุปาทาน assuming
อุปาทาน attachment
อุปาทาน clinging
อุปาทาน fixation
อุปาทาน grasping
อุปาทายรูป derivative matter
อุปาทายรูป derived materiality
อุปาทินนะ, กรรมชะ karmically acquired (adj)
อุปาย proficiency as to the means of success
อุปายโกศล proficiency of method
อุปายะ, อุบาย, วิธี, ปโยคะ means
อุปายาส (ความผิดหวัง, ความคับแคนใจ) despair
อุปาหนา sandals
อุพภาร, อุทธาร (การรื้อ, การถอน, การเดาะ) withdrawal
ส-ห
ส
สกทาคามิผล Once-Returning, fruition of
สกทาคามิมรรค Once-Returning, path of
สกทาคามี Once-Returner
สงฆ์, พระสงฆ์, คณะสงฆ์ Sangha,
สติ mindfulness
สติปัฏฐาน fundamentals of mindfulness
สติปัฏฐาน setting-up of mindfulness
สติปัฏฐาน basis of mindfulness
สติวินัย verdict of innocence
สภา, บริษัท (= ปริสา ที่ประชุมหรือ ชุมชน หมู่ชน ไม่ใช่บริษัท ในภาษาไทย) assembly
สมชีวิตา living within one’s means
สมชีวิตา balanced life; balanced livelihood
สมณพราหมณ์ holy men
สมณะ recite recluse
สมถภาวนา Tranquillity Development
สมถะ quiet
สมถะ calm
สมบัติ property
สมมติ (การตกลงรวมกัน, มอบหมาย, แต่งตั้ง) agreement
สมมติสัจจะ conventional truth
สมาทาน undertaking
สมาธิ concentration
สมาธิภาวนา, สมถ- ภาวนา concentration development
สมานัตตตา equality
สมานัตตตา impartiality
สมานัตตตา sociability
สมุคฆาตะ, ปหานะ eradication
สมุฏฐาน origination
สมุทัย origin
สมูหะ, ฆนะ mass
สรณะ refuge
สรณะ, เนตติ guide
สลาก (สําหรับลงคะแนนเสียง) voting-ticket
สสังขาริก instigated (adj)
สสังขาริก prompted (adj)
สหธรรมิก co-religionist
สหรคต, สหคต accompanied by
สหาย companion
สอุปาทิ- เสสนิพพาน Nibbàna with remainder of existence
สักกายทิฏฐิ self-illusion
สักกายทิฏฐิ belief in a soul or self
สักกายทิฏฐิ embodiment view
สักการะ, ปูชา honour
สัคคะ, สวรรค์ heaven
สังเวคะ, ความสังเวช sense of urgency
สังเวคะ, สังเวช urgency, sense of
สังโยชน์, สัญโญชน์ fetter
สังกัปปะ, อธิปปายะ, เจตนา intention
สังกิเลส, อุปกิเลส, อาสวะ corruption
สังขาร formations
สังขาร (ในขันธ์ ๕) mental formations
สังขาร volitional activities
สังขาร, สังขตธรรม compounded things
สังขาร, สังขตธรรม conditioned things
สังคหะ (จัดประเภท) classification
สังคหะ help
สังคายนา, สังคีติ Council
สังคีติ, สังคายนา rehearsal
สังฆเภท schism
สังฆกรรม act, formal
สังฆกรรม formal act
สังฆะ, สงฆ์ community
สังยมะ, สัญญมะ, เวรมณี refraining
สังวร, สังยมะ restraint
สังสาร วัฏฏ์, วัฏฏสงสาร, สงสาร round of rebirth; roundabout of births
สังสารจักร wheel of rebirths
สัจจะ truth
สัจฉิกิริยา, สัจฉิกรณะ verification
สัจฉิกิริยา, สัจฉิกรณะ, อธิคม (การทํา ให้แจ้ง, การบรรลุ) realization
สัญญา ideation
สัญญา perception
สัตตกะ (หมวดเจ็ด) heptad
สัตว์ being
สัตว์ sentient being
สัตว์จตุบท quadruped
สัททะ (เสียง) sound
สัททารมณ์, สัททะ (เสียง) audible object
สัทธรรม true doctrine
สัทธา, ศรัทธา, ปสาทะ confidence
สัทธิวิหาริก หรือ อันเตวาสิก, ศิษย์ pupil
สันโดษ, สันตุฏฐี content; contentment
สันตติ series
สันตติ, สันตานะ continuity
สันตะ (ผู้สงบระงับ) serene (adj)
สันติ, อุปสมะ peace
สันถัต rug
สันทิฏฐิกะ visible for oneself (adj)
สัปบุรุษ, สัตบุรุษ righteous man
สัปบุรุษ, สัตบุรุษ true man
สัปปายะ favourable (adj)
สัปปายะ, กัปปิิยะ, อนุรูป suitable (adj)
สัปปิิ ghee
สัพพัญุตา omniscience
สัพพาภิภู omnipotent (adj)
สัมปโยคะ, เสวนา association
สัมปชัญญะ awareness
สัมปชัญญะ clear comprehension
สัมปชัญญะ self-possession
สัมปชัญญะ, ปริญญา comprehension
สัมปทา achievement
สัมปทา prosperity
สัมปยุต associated with
สัมปัตติ, สมบัติ perfectness
สัมผัปปลาปะ frivolous talk
สัมผัปปลาปะ gossip
สัมผัปปลาปะ frivolous talk
สัมผัปปลาปะ vain talk
สัมมัตตะ rightness
สัมมัปปธาน right endeavour
สัมมัปปธาน right striving
สัมมา right (adj)
สัมมากัมมันตะ Right Action
สัมมาญาณะ Right Knowledge
สัมมาทิฏฐิ Right Understanding
สัมมาวาจา Right Speech
สัมมาวายามะ Right Effort
สัมมาวิมุตติ Right Deliverance
สัมมาสมาธิ Right Concentration
สัมมาสังกัปปะ Right Thought
สัมมาอาชีวะ Right Livelihood
สัมมุขาวินัย verdict in the presence of
สัสสตวาทะ, สัสสตทิฏฐิ eternalism; eternity-view
สาเฐยยะ, สาไถย hypocrisy
สาเฐยยะ, สาไถย fraud
สากัจฉา discussion
สามเณร novice
สามเณร, นวะ novitiate
สามัคคี concord
สามัคคี harmony
สามัคคี, เอกัตตะ, เอกีภาพ unity
สามัญลักษณะ common characteristics
สามิสสุข material happiness
สารัมภะ presumption
สาวก hearer
สาวก disciple
สาวก, ศาสนิก follower
สิกขมานา probationer
สิกขา, ทมะ, ภาวนา training
สิกขาบท rule of training
สิกขาบท training rule
สิกขาบท, (ข้อ) ศีล precept
สีมา boundary
สีลวิบัติ moral failure
สีลสมบัติ, สีลสัมปทา moral achievement
สีลัพพต ปรามาส adherence to habits and practices
สีลัพพตปรามาส misapprehension of virtue and duty
สีลัพพตะ rites and rituals
สีลัพพตะ, ศีลและพรต rules and rituals
สีลัพพตะ, ศีลและพรต virtue and duty
สุข ease
สุข bliss
สุข happiness
สุข pleasure
สุขเวทนา pleasant feeling
สุขุม subtle (adj)
สุคนธ์ fragrant (adj)
สุญญตา emptiness
สุญญตา void; voidness
สุณวาจา, สุณาวาจา, เปสุญวาท tale-bearing
สุตะ, สิกขา learning
สุทธาวาส Pure Abodes
สุรา liquor
สุราธุตตตา (ความเปนนักเลงสุรา) drunkenness
สุสาน cemetery
ห
หทัย heart
หทัยวัตถุ physical basis of mind
หิตสุข weal
หิริ moral shame
หิริ conscience
หิริ sense of shame
หิริ, ลัชชา shame
หีนยาน Lesser Vehicle
ฤ-ล-ว-ศ
ฤ
ฤษี, ดาบส, นักพรต, นักบวช ascetic
ล
ลหุตา lightness
ลหุตา (ความเบา) buoyancy
ลหุตา agility
ลักษณะ characteristic
ลัชชี, มีหิริโอตตัปปะ conscientious (adj)
ลาภ acquisition
ลาภ gain
ว
วจีกรรม verbal action
วจีทุจริต verbal misconduct
วจีสังขาร verbal formation; verbal functions
วจีสุจริต verbal good conduct
วยากรณะ, ไวยากรณ์ (คําร้อยแก้ว) prose; prose-exposition
วรรณะ caste
ววัตถาน definition
วสละ (คนถ่อย, ตํ่าทราม) outcast
วสี mastery
วัฏฏะ round
วัณณะ (คําสรรเสริญ), ปสังสา praise
วัย age
วาโย wind
วาโยธาตุ vibration, the element of
วาจา, วจี, ภาสิต, วจีวิญญัติ speech
วาจาสุภาษิต well-spoken words
วาระ, วรรค section
วิเวก seclusion
วิเวก solitude
วิโมกข์, วิมุตติ liberation
วิโมกข์, วิมุตติ release
วิกขัมภนะ suppression
วิกาล wrong time
วิจักขณา discernment
วิจัย, สันตีรณะ, วิโลกนะ investigation
วิจาร rumination
วิจาร discursive thinking
วิจาร sustained application
วิจิกิจฉา perplexity
วิจิกิจฉา scepticism
วิจิกิจฉา uncertainty
วิจิกิจฉา, กังขา doubt
วิชชา science
วิญญัติ intimation
วิญญาณ consciousness
วิญญาณัญจายตนะ infinity of consciousness
วิตก initial application
วิตก thought-conception
วิธาน, สังวิธาน (การจัดการ) management
วินัย discipline
วินัย guiding out
วินิบาต perdition
วิบัติ failure
วิบาก consequence
วิบาก ripening
วิปฏิสาร, กุกกุจจะ remorse
วิปริณาม alteration
วิปริณาม change
วิปริณาม transformation
วิปัลลาส perversion
วิปัสสนาภาวนา insight development
วิภวตัณหา craving for non-existence
วิภวตัณหา craving for annihilation
วิภังค์ separate treatment
วิภังค์, วินิพโภค analysis
วิภาค specification
วิมังสา, ปริปุจฉา inquiry
วิมุตติ freedom
วิมุตติ salvation
วิมุตติ, วิโมกข์ deliverance
วิรัติ abstinence
วิรัติ; สังวร avoidance
วิราคะ detachment
วิราคะ fading of lust
วิริยะ energy
วิริยะ, วายามะ, ความเพียรพยายาม effort
วิวาท dispute dispute
วิสมโลภ (= อภิชฌา) unrighteous greed
วิสัย objective-field
วิสัย, ภพ domain
วิสาขบูชา (นิยมใช้ในลังกาและอินเดีย = Visàkha Påjà) Vesak
วิสุทธิ purification
วิหาร (ที่อยู่) dwelling
วิหาร (ธรรม) abiding
วัด, วิหาร, อาราม monastery
วิหิงสา cruelty
วีติกกมะ (การละเมิด) transgression
วีมังสนะ test
วุฏฐานะ (การออก) emergence
ศ
ศรัทธา faith
ศาสนธรรม, พระศาสนา dispensation
ศาสนิก adherent
ศีล moral habit
ศีล morality
ศีล, คุณธรรม virtue, virtuous (adj)