บทความ

ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ (หน้า๔)

รูปภาพ
เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาปฏิจจสมุปบาทด้วยสายนิโรธวารแล้ว ก็ทำลายสัสสตทิฏฐิได้ อวิชชาดับ สังขารดับ, สังขารดับ วิญญาณดับ, เป็นลำดับ แล้วสัสสตทิฏฐิก็หายไป สัสสตทิฏฐิเกิดเพราะความหลงผิดว่าเกิดแล้วเป็นเที่ยง เกิดแล้วไม่มีดับอีก เมื่อมีเกิดย่อมมีดับ อย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเราถือว่ามีเกิดขึ้น แต่ไม่ยอมให้ดับ เกิดแล้วเที่ยงไม่ได้ มันขัดกับหลักเหตุผล อันใดเกิด อันนั้นก็ต้องดับ เพราะฉะนั้นถ้าเราถือหลักปฏิจจสมุปบาทในสายนิโรธวารว่า อวิชชาดับ สังขารดับ เพราะฉะนั้นอันนี้มันก็ต้องดับ เมื่อรู้อย่างนี้ สัสสตทิฏฐิก็ดับ อุจเฉททิฏฐิหรือเรียกว่านัตถิกทิฏฐิ เพราะเห็นแต่ข้างดับ ไม่เห็นข้างเกิด สัสสตทิฏฐิเห็นแต่ข้างเกิด ไม่เห็นข้างดับ อุจเฉททิฏฐิเห็นแต่ข้างดับไม่เห็นข้างเกิด เห็นว่าดับหมด เอ ! ร่างกาย ก็ไม่มี ตายแล้วก็ศูนย์ แล้วก็แล้วกันไป แยกย้ายกันไปหมด ไม่เห็นข้างเกิด เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดยสายสมุทัยวารเห็นว่าอวิชชาเกิด สังขารเกิดเป็นลำดับแล้ว ความหลงผิดที่นึกว่าตายแล้วแล้วกัน อันเป็นอุจเฉททิฏฐิกดับหายไป เพราะเหตุนั้นปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทาอีกนัยหนึ่ง มัชฌิมาปฏิปทาโดยประการฉันใ...

ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ(หน้า๓)

รูปภาพ
ถ้าจะเปรียบในหลักปฏิจจสมุปบาทก็คล้ายกับไม้สามขาหย่าง ๓ อันผูกเข้าด้วยกัน แยกอันใดอันหนึ่งออกกตั้งเป็นขาหย่างไม่ได้ ต้องล้ม เพราะฉะนั้นปัจจัยแต่ละอัน ๆ ที่มาผูกด้วยกันแต่ละปัจจัยก็ยังอาศัยปัจจัยเกิดอีกเป็นชั้น ๆ ต่อไป ไม่ใช่ว่าอย่างอวิชชาสังขารตัณหาอุปาทานผูก อวิชชาก็ไม่ต้องเกิดจากปัจจัยชี ! อวิชชาก็เกิดจากปัจจัยเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง แม้ธรรมที่ทำให้เกิดรูปก็ไม่เที่ยง" อย่านึกว่ารูปไม่เที่ยงแล้วธรรมที่จะทำให้เกิดรูปนั้นเที่ยงนะ ถ้าคิดอย่างนั้นเป็นสมบูรณภาพนิยม วิ่งเข้าหาลัทธิสมบูรณภาพนิยม ที่ถือว่าความไม่เที่ยงต้องมีรากฐานบนความเที่ยง ความไม่จริงต้องมีรากฐานบนความจริง ลัทธิคำสอนอย่างนี้เป็นสมบูรณภาพนิยม  พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้ไม่เที่ยง แม้ธรรมที่ให้เกิดรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็ไม่เที่ยงไปด้วย" ไม่ใช่ว่ารูปเวทนาสัญญาสังขารไม่เที่ยงแล้วธรรมที่ทำให้เกิดรูปเวทนาสัญญาสังขารนั้นมันจะเป็นอันติมะ มันจะเที่ยงถ้าอย่างนั้นเป็นสมบูรณภาพนิยม เพราะลัทธิสมบูรณภาพนิยมนั้นจะต้องพยายามคิ...

อ. เสถียร โพธินันทะ #๑

รูปภาพ
อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาคนหนึ่งของไทย ผู้บุกเบิกการศึกษาพระพุทธศาสนามหายาน และอดีตเลขาธิการคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย ๑. ประวัติมนุษยชาติและศาสนา ๒. ศาสนาของชนชาติอริยกะโบราณ ๓. การตั้งถิ่นฐานและศาสนาของชาวอารยัน ๔. เหตุการณ์สมัยพุทธกาล ๕. ปฐมสังคายนา ๖. ทุติยสังคายนา ๗. การรุกรานของพวกกรีกและพระเจ้าอโศก ๘. ความรุ่งเรืองของพุทธศาสนา ๙. การแผ่ขยายของพุทธศาสนา ๑๐. การเสื่อมสลายของพุทธศาสนา ๑๑. พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ๑๒. พทธศาสนาในเอเซียบรูพา ๑ ๑๓. พทธศาสนาในเอเซียบรูพา ๒ ๑๔. พุทธศาสนาในจีน ๑ ๑๕. พุทธศาสนาในจีน ๒ ๑๖. พุทธศาสนาในธิเบต ๑๗. พุทธศาสนาในญี่ปุ่น ๑๘. พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ๑๙. พุทธศาสนาในประเทศไทย ๒๐. สุนทรียภาพในพระพุทธศาสนา ๒๑. พุทธวิธีในการปฏิรูป ๒๒. ประวัติ อ.เสถียร โพธินันทะ ๒๓. ปฏิจจสมุปบาท ๑ ๒๔. ปฏิจจสมุปบาท ๒ ๒๕. ปฏิจจสมุปบาท ๓ ๒๖. ปฏิจจสมุปบาท ๔ ๒๗. คัมภีร์กถาวัตถุ ๑ ๒๘. คัมภีร์กถาวัตถุ ๒ ๒๙. ขันทวาที ๓๐. ปกติวาทีสมวายว...

๑.๘ ธรรมนิยาม

รูปภาพ
ธรรมนิยาม คือ หลักความจริงที่มีอยู่โดยธรรมดาตามที่ดำรงอยู่หรือเป็นไปของมันเอง พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ มันก็มีก็เป็นไปของมันอยู่อย่างนั้นๆ (นิยามแปลว่ากำหนดอันแน่นอน) มี ๒ หมวดสำคัญ คือ ๑. ไตรลักษณ์ ๒. ปฏิจจสมุปบาท ถ้าจะเข้าใจไตรลักษณ์ให้ชัด ต้องลงให้ถึงปฏิจจสมุปบาท เช่น ที่ว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงนั้น มันไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงต้องศึกษาระบบความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลาย  ข้อสังเกตที่สำคัญ (เทียบเคียงกับหลัก อริยสัจ ๔)  เมื่อขันธ์ ๕ เป็นไปตามปฏิจจสมุปบาท โดยมีลักษณะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจึงมีสภาพเป็นที่ตั้ง ที่ก่อตัวของทุกข์ หรือเป็นที่รวมไว้แห่งศักยภาพของการที่จะเป็นทุกข์ (เข้าใจว่าเพ่งที่ทุกข์ทางใจเป็นหลัก) ขันธ์  ๕  อันประกอบพร้อมด้วยความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทานขันธ์  ๕ ) จึงเป็นความหมายของ ทุกขอริยสัจ  ปฏิจจสมุปบาท ถือเป็นความหมายของ สมุทัยอริยสัจ ดังที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทสมุทัยวาร นอกจากธรรมที่เป็นสังขตธรรมหรือสังขาร ก็ยังมีธรรมที่เป็นอสังขตธรรม ซึ่งพ้นเหนือปฏิจจสมุปบาท ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง จึงไม่เป็น อนิจจ...

ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ(หน้า๒)

รูปภาพ
คำว่า "ปัณณธรรม" นี้แหละในสมัยโบราณได้พัฒนาการมานานในรูปของคำว่าปัจจยุคปัณณธรรม คำนี้แหละมาจากในพระสูตรว่าปฏิจจสมุปปัณณธรรม มาถึงยุคพัฒนาทางอภิธรรม ศัพท์นี้ พระอาจารย์ก็ได้เขียนขึ้นว่าเป็นปัจจยุคปัณณธรรม คำที่เกิดจากปัจจัยคำนี้ ด้านในพระสูตรเรียกว่าปัณณธรรม เพราะฉะนั้นในปัฏฐานที่ท่านกล่าวว่าเป็นปัจจยธรรม ๑ ปัจจยะสมุปปัณณธรรม หรือปัจจยุคปัณณธรรม ๑ อันนี้มีแล้วในพระสูตร คือในคำว่าปาณธรรมกับปัณณธรรม ทั้ง ๒ คำนี้แตกต่างกันอย่างไร ?  ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่าอะไรที่เป็นปาณธรรม ธรรมอันอาศัยการเกิด ? ทำไมจึงเป็นธรรมอันอาศัยการเกิด ? เพราะว่าตามพุทธมติ สรรพสิ่งในโลกนี้ที่เป็นไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลยที่จะยืนอยู่ได้โดยเอกเทศ โดยตัวของมันเอง พุทธมติค้านเรื่องสมบูรณภาพนิยมไม่ว่าสมบูรณภาพนิยมนั้นจะปรากฏในรูปของวิญญาณ อันเป็นทิพย์ก็ดี หรือปรากฏในรูปของพระเจ้าอันเป็นทิพยสภาวะ เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ไม่ปรากฏ ก็ดี พระพุทธศาสนาคัดค้านทั้งสิ้น เพราะถือว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนแต่อิงอาศัยกันเกิดทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้โดด ๆ เดี่ยว ๆ โดยไม่ต้องแอบอิงอีกสิ่งหนึ่งสัมพันธ์กัน...

ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ(หน้า๑)

รูปภาพ
ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ  โดย นายเสถียร โพธินันทะ ก่อนที่จะพูดถึงปฏิจจสมุปบาทนี้ ได้โปรดทำความเข้าใจว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายที่สูง และแตกต่างกับหลักปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ ก็ตรงปฏิจจสมุปบาทนี้เอง เพราะว่าในนานาลัทธิของศาสนาพราหมณ์นั้นก็ดี หรือว่าในนานาลัทธิในภาคตะวันตกก็ดี หรือนานาลัทธิในภาคตะวันออกของโลกก็ดี ลัทธิเหล่านั้น ปรัชญาเหล่านั้นล้วนแต่มิได้สอนลักษณะธรรมะแบบปฏิจจสมุปบาทซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนมาทั้งสิ้น คือลัทธิเหล่านั้นอย่างเช่นศาสนาพราหมณ์เป็นต้น ศาสนาพราหมณ์นั้นถ้าเราตัดเรื่องพวกที่เป็นเปลือกออกเสียก็มีหลักปรัชญาที่สูงกว่า เช่น ในศาสนาพราหมณ์เขาก็สูงกว่าเช่นว่าปรัชญาที่เรียกกันว่าทัสสนะ ทัสสนะ ๖ ประการ อันประกอบด้วย วิมังสา เวดานตะ สังขยะ โยคะ ไวเสลีกะ นยายะ ทั้งลัทธิ ๖ ลัทธินี้เรียกว่าทัสสนะ หรือทัศนะ ๖ ประการ แต่ทั้ง ๖ ทัศนะนี้มีหลักใหญ่ใจความอันหนึ่งที่เหมือนกันก็คือสอนหลักสมบูรณภาพนิยม แม้ในปรัชญาทางตะวันตกก็เหมือนกัน เช่นว่า ปรัชญา ของยิวหรือของสปีโนชา พวกนี้ก็สอนหลักลัทธิสมบูรณภาพนิยมอีกเหมือนกัน หนีไม่พันหลักสมบูรณภาพนิยม อะไรที่เรียกว่าสมบูรณภาพนิยม ? ก็...

ปฎิจจสมุปบาท

รูปภาพ
🔅 ปฎิจจสมุปบาท โดย  สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์         หน้า๑ ความหมายของคำว่า "ปฏิจจสมุปบาท"           หน้า๒  กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท ๑๒ หัวข้อ 🔅 ปฎิจจสมุปบาทนานาทัศนะ โดย เสถียร โพธินันทะ           หน้า๑   สมบูรณภาพนิยม           หน้า๒  ปัจจยธรรม ปัจจยะสมุปปัณณธรรม           หน้า๓  ปฎิจจสมุปบัณณะคืออะไร           หน้า๔  มัชฌิมาปฏิปทาคืออะไร           หน้า๕  อวิชชากับภวตัณหา           หน้า๖  เหตุแห่งภพ           หน้า๗  เหตุแห่งภพ (๒)

๑.๖ อนัตตา

รูปภาพ
เมื่อว่าโดยสรุป พระอรรถกถาจารย์ประมวลความหมายของอนัตตาแสดงไว้ ดังนี้ ๑. ไม่เป็นไปในอำนาจ คือ โดยธรรมดาที่เป็นสภาวธรรมซึ่งมีสภาวะตามที่เป็นของมันอย่างนั้นๆ มันจึงไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่ขึ้นต่อผู้ใด ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีตัวตนที่ไหนจะมีอำนาจสั่งบังคับมันได้ ใครจะเรียกร้องหรือปรารถนาให้มันเป็นอย่างใดๆ ไม่ได้ ถ้าเป็นสังขตธรรม มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน จึงมีแต่ว่า ถ้าต้องการจะให้มันเป็นอย่างไร ก็ต้องทำการอันเป็นเหตุปัจจัยที่จะให้มันเป็นไปของมันที่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอสังขตธรรม (นิพพาน) ก็มีอยู่เป็นอยู่ตามสภาวะที่ไม่ขึ้นต่อเหตุปัจจัยอยู่อย่างนั้น ๒. แย้งต่ออัตตาและเป็นสภาพว่าง (แต่ไม่ใช่ความขาดสูญ) คือ โดยสภาวะของมันเองก็ปฏิเสธอัตตาอยู่ในตัว หมายความว่า โดยธรรมดาที่เป็นสภาวะธรรมซึ่งมีภาวะตามที่เป็นของมันอย่างนั้นๆ ถ้ามีอัตตา ก็ย่อมขัดแย้งกัน ทำให้ภาวะของสภาวะธรรมไม่เป็นอยู่เป็นไปตามที่มันเป็นของมันอย่างนั้นๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอัตตา แต่มีลักษณะเป็นสภาพว่าง คือ ว่างจากความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาที่แท้จริง ไม่มีตัวผู้สิงสู่อยู่ครอง ไม่มีตัวผู้สร้างสรรค์บันดาล ไม่มีตัวผู้เสพเสว...

ปล่อยว่าง (อัญญาณุเบกขา)

รูปภาพ
อัญญาณุเบกขา หมายถึง เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยไม่เอาเรื่อง เฉยไม่ได้เรื่อง คนทั่วไปนึกไม่ออกว่า อุเบกขา ดีอย่างไร ต้องมีปัญญาชั้นเลิศจึงจะรู้จักความประเสริฐของอุเบกขา อุเบกขาที่เราเอามาใช้กันในหมู่คนไทยนั้นต้องระวัง ถ้าเฉยเรื่อยเปื่อยทางพระเรียกว่า “เฉยโง่” เป็นอกุศล คำพระว่า “อัญญาณุเบกขา” หมายถึง เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยไม่เอาเรื่อง เฉยไม่ได้เรื่อง แต่เฉยของธรรม คือ เฉยด้วยปัญญา เพราะรู้แล้ว ก็วางตัวพอดี โดยทั่วไป เมื่อมีสถานการณ์ตื่นเต้นเกิดขึ้น จะมีคน ๓ พวก คือ… ๑. คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จึงเฉย ๒. คนที่รู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง อาจจะตื่นเต้นโวยวาย ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น แต่แก้ไขปัญหาไม่ค่อยได้ บางทีตื่นเต้นโวยวายไปยิ่งทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต ๓. คนที่รู้เข้าใจหมด มองเห็นว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร เหตุปัจจัยเป็นอย่างไร มันจะเป็นไปอย่างไร จะแก้ไขที่จุดไหน ถึงจุดไหนจะต้องทำอะไร พวกนี้เฉยเหมือนกัน แต่เฉยพร้อมรอจังหวะ เมื่อถึงจุดนั้น ต้องทำอันนั้น ที่จุดนั้น ต้องทำอันนั้น เขาเฉย แต่พร้อมที่จะทำไปตามลำดับ ให้ถูกจุดถูกที่ พวกนี้แก้ปัญหาได้ ความนิ่งเฉยด้วย”รู้”นี่แหละ เรียกว่า “อุเบกขา” อุเบกขานี้เป็นธร...

๑.๕ ไตรลักษณ์

รูปภาพ
ธรรม(สิ่ง)ทั้งหลายทั้งปวงแยกได้เป็น ๒ อย่าง สังขตธรรม (สังขาร) : ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง, สิ่งทั้งหลายในโลกทั้งรูปธรรมและนามธรรมซึ่งมีความเกิด ดับ ผันแปร (มีลักษณะทั้ง ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อสังขตธรรม (วิสังขาร) : ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง, สภาวะพ้นโลก, ธรรมอันเป็นที่สิ้นเหตุปัจจัย พ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ พ้นจากความไม่เที่ยงและพ้นจากความเป็นทุกข์ แต่ก็เป็นอนัตตา ไร้ตัว มิใช่ตน หมายถึง นิพพาน (มีลักษณะ อนัตตา) ไตรลักษณ์ แสดงลักษณะอาการสามด้านหรือสามอย่างของเรื่องเดียวกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ด้วยเหตุเพราะสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นธรรมชาติ  ซึ่งมีลักษณะความเป็นไป โดยทั่วไปเสมอเหมือนกันตามธรรมดาของมัน ในฐานะที่เป็นของปรุงแต่ง เกิดจากเหตุปัจจัย และขึ้นต่อเหตุปัจจัยทั้งหลายเช่นเดียวกัน กล่าวได้ว่าเป็นสามัญลักษณะของสังขตธรรมนั่นเอง คำอธิบายไตรลักษณ์ตามหลักวิชา สิ่งทั้งหลายทั่วไป มีอยู่เป็นไปในรูปของกระแส ที่ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ อันสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน เกิดดับสืบต่อกันไปอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย องค์ประกอบทุกอย่างไม่คงที่ จึงเป็นสภาวะที่ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เมื่อแต่ละสิ่ง...

๑.๔ สัจจะ ๒ ระดับ

รูปภาพ
ผู้สดับคำสอนในพระพุทธศาสนาบางคน เกิดความสับสน เมื่อได้อ่านได้ฟังข้อความบางอย่าง เช่น บางแห่งว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ควรยินดีในของของตน แต่บางแห่งว่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา ดังนี้เป็นต้น แล้วมองไปว่าคำสอนขัดแย้งกันเอง หรือบางคนเข้าใจแต่ไม่ชัดเจนพอ ทำให้เกิดการปฏิบัติสับสน ในเวลาที่ควรพูดหรือควรปฏิบัติตามความรู้ในชีวิตประจำวัน กลับพูดหรือปฏิบัติด้วยความยึดถือในความรู้ตามสภาวะ คัมภีร์ฝ่ายอภิธรรม หวังจะช่วยป้องกันความสับสนผิดพลาดเช่นนี้ จึงสอนให้รู้จักแยกสัจจะหรือความจริง เป็น ๒ ระดับ กล่าวคือ สมมติสัจจะ (โวหารสัจจะ) : ความจริงโดยสมมติ ไม่ใช่จริงแท้ (สม+มติ) คือ จริงตามมติร่วมกัน โดยสำนวนพูด หมายรู้ร่วมกัน เป็นเครื่องมือสื่อสารพอให้สำเร็จประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น อัตตา คน สัตว์ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น พุทธพจน์ที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน” นั้นเป็นการใช้ภาษาสมมติ ตามสภาวะ ตัวตนนั้นไม่มีจริง มีแต่สภาวะธรรมที่มีจริง (อาจารย์บางท่านกล่าวโดยสำนวนว่า “มีอยู่อย่างเป็นอนัตตา”) ปรมัตถสัจจะ (สภาวะสัจจะ) : ความจริงตามความหมายสูงสุด ตามความหมายแท้ขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะและเท่าที่พอจะ...

๑.๓ อายตนะ ๖

รูปภาพ
อายตนะ ๖ : ช่องทางเสพเสวยโลก อายตนะภายใน ๖ (อินทรีย์) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก ๖ (อารมณ์) คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ธรรมมารมณ์ (สิ่งที่ใจคิด) การเสพเสวยโลกนั้น เราต้องรู้ตามความเป็นจริงคือ สิ่งทั้งหลายในโลกทั้งภายในและภายนอก เป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ การยึดติดทั้งทางชอบและชัง (ชอบใจ ติดใจ / เกลียดชัง หลีกหนี) เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงแล้วก็จะละความยึดติดในสิ่งทั้งปวงได้ เมื่อไม่ยึดติดถือมั่นแล้วก็จะเป็นอิสระ เข้าสู่ภาวะที่อยู่ดีมีสุขทางจิตใจได้โดยสมบูรณ์ นี่คือหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดบางประการ ในเบื้องต้นควรศึกษาหลักวิธีปฏิบัติต่อทุกข์-สุข ดังนี้ (ทำความเข้าใจ อายตนะ เพิ่มเติม ใน 🔎สัพพสังคหะ   หมวดที่ ๓ อายตนะ ๑๒) วิธีปฏิบัติต่อทุกข์-สุข ๔ หลักการเพียรพยายามให้ได้ผลในการละทุกข์ละสุข, การปฏิบัติที่ถูกต้องต่อความทุกข์และความสุข ซึ่งเป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนา ที่แสดงว่า ความเพียรพยายามที่ถูกต้อง จะมีผลจนสามารถเสวยสุขที่ไร้ทุกข์ได้ ๑. ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่มิได้ถูกทุกข์ท่วมทับ ๒. ...