วันจันทร์

ถุลลัจจัย

ถุลลัจจัย

จักพรรณนาในถุลลัจจยาบัติ ข้อหนึ่งภิกษุอย่าพึงสละ ข้อหนึ่งอย่าพึงแจก ครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ถ้าสละ หรือแจกก็เป็นถุลลัจจัยด้วยพุทธบัญญัติห้ามไว้

ถุลลัจจัย ว่าด้วย ครุภัณฑ์ นั้นมี ๕ หมวด ดังนี้
หมวดที่ ๑ (๒ อย่าง)
สวนดอกไม้ลูกไม้ ๑
ที่ดินพื้นสวน ๑

หมวดที่ ๒ (๒ อย่าง)
วิหาร คือ กุฏิตึกเรือนที่อยู่ เป็นต้น ๑
ที่ดินพื้นแห่งวิหาร ๑ 

หมวดที่ ๓ (๔ อย่าง)
เตียง ๑
ตั้ง ๑
ฟูก ๑
หมอน ๑

หมวดที่ ๔ (๙ อย่าง)
หม้อทำด้วยโลหะ ๑
คะนนทำด้วยโลหะ ๑
กระปุกขวดทำด้วยโลหะโตจุของกว่า ๕ ทะนานมคธขึ้นไป ๑
กระถางกระทะทำด้วยโลหะ แม้เล็กจุน้ำได้ซองมือเดียว ๑
โลหะนั้นเป็นชื่อแห่งทองเหลือง ทองขาว ทองแดง ทองสัมฤทธิ์ ของหล่อ แลมีดใหญ่ที่ตัดฟันของใหญ่ พ้นจากตัดไม้สีฟัน แลปอกอ้อยขึ้นไปได้ ๑
ขวานเครื่องผ่าไม้ ๑
พึ่งเครื่องถากไม้ ๑
จอบเสียมเครื่องขุดดิน ๑
เหล็กหมาดบิดหล่า เครื่องเจาะไข ๑

หมวดที่ ๕ (๘ อย่าง)
เถาวัลย์ยาวแต่กิ่งแขนขึ้นไป ๑
ไม้ไผ่ยาว ๘ นิ้วขึ้นไป ๑
หญ้ามุงกระต่าย ๑
หญ้าปล้อง ๑
หญ้าต่าง ๆที่สำหรับมุงบังได้แต่กำมือหนึ่งขึ้นไป ๑
ดินปกติและดินที่สีต่าง ๆ เป็นเครื่องทา ๑
เครื่องใช้ทำด้วยไม้ต่างๆ ยาวแต่ ๙ นิ้วขึ้นไป ๑
เครื่องใช้ทำด้วยดินต่าง ๆ ๑

บรรจบเป็นของ ๒๕ สิ่ง สิ่งเหล่านี้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทายกถวายแก่สงฆ์ก็ดี เกิดในที่สงฆ์ก็ดี ชื่อว่าเป็นของสงฆ์ เป็นครุภัณฑ์ อันสงฆ์และคณะและบุคคลจะพึงสละและแจกไม่ได้ ถึงสละและแจกไป ก็ไม่เป็นอันสละและแจก คงเป็นของ ๆ สงฆ์อยู่อย่างเดิม ภิกษุได้สละหรือแจกของเหล่านี้ ด้วยถือตัวว่าเป็นใหญ่ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าเสียสละหรือแจกด้วยไถยจิต ให้พระวินัยธรพึงปรับอาบัติตามราคาของนั้น ๆ

ครุภัณฑ์เหล่านี้กำหนดเห็นว่าทำอย่างนี้จะเป็นอุปการะแก่สงฆ์ เอาสิ่งที่เป็นของถาวรแลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นของถาวรด้วยกันก็ดี เอาสิ่งนอกนั้นที่เป็นกัปปิยะแม้ที่ราคามากแลกเปลี่ยนของนอกนั้นด้วยกัน ด้วยการแลกเปลี่ยนเป็นกัปปิยะก็ดีก็ควร หรือจะเสียสละครุภัณฑ์เหล่านั้นที่เป็นของเลวแล้ว แลกเปลี่ยนบิณฑบาตเป็นต้นเอามาบริโภค เพื่อจะรักษาเสนาสนะเป็นต้น ที่เป็นของดีในเวลาข้าวแพงเป็นต้นก็ควร ในครุภัณฑ์เหล่านี้ของสิ่งใด สิ่งหนึ่งมีไม้ไผ่เป็นต้น ภิกษุจะถือเอาเพื่อประโยชน์ตนพึงทำผาติกรรมใช้หนี้ตอบแทนให้เสมอกันหรือยิ่งกวาจึงถือเอาก็ควร

หม้อบาตรถ้วยขันทองห้า กาน้ำที่ไม่จุน้ำได้ ๕ ทะนานมคธก็ดี ไม้ด้ามหยอดตา กล้องยานัตถ์ ไม้ไขหู เข็มเย็บผ้า เข็มเย็บใบไม้ มีดพับ เหล็กแหลมเล็ก ๆ กุญแจดาล เป็นต้น เครื่องโลหะก็ดี เครื่องไม้ก็ดีที่ทำค้างอยู่ เหล่านี้ไม่เป็นครุภัณฑ์ เป็นของแจกได้ เถาวัลย์และไม้ เป็นต้น เมื่อทำการสงฆ์และการเจดีย์เสร็จแล้วเหลืออยู่จะน้อมเข้าไปในการบุคคลก็ควร ซึ่งว่ามานี้สังเขป ถ้าประสงค์จะรู้พิสดาร พึงดูในจตุตถสมันตปาสาทิกา เถิด ฯ

ถุลลัจจัย ว่าด้วย สัตถกรรม
ข้อหนึ่ง อย่าให้เขาทำสัตถกรรมในที่แคบ
ข้อหนึ่ง อย่าให้เขาทำสัตถกรรมในโอกาสที่เพียง ๒ นิ้ว แต่ที่ใกล้คือทวารหนัก ถ้าให้เขาทำ ต้องถุลลัจจัย สัตถกรรมนั้น คือตัดหรือผ่าหรือแทงหรือขีด ด้วยศัสตราหรือเข็มหรือหนามหรือกระเทาะศิลาหรือเล็บก็ดี อันใดอันหนึ่ง ในโอกาสที่กำหนดในทวารหนักนั้น อย่างนี้ชื่อว่าทำสัตถกรรมทั้งสิ้น เป็นถุลลัจจัย แล้วบีบหัวใส้ด้วยหนังหรือผ้าอันใดอันหนึ่ง ก็อย่าพึ่งทำด้วยอาการทั้งสิ้นนั้นชื่อว่า วัตถิกรรม ถ้าทำเป็นถุลลัจจัย

ก็แลว่าในโอกาสที่เพียง ๒ นิ้ว แต่ที่ใกล้ที่แคบ คือทวารหนักนั้น ห้ามแต่สัตถกรรมและวัตถิกรรมในที่แคบอย่างเดียว ก็แต่ว่าภิกษุจะหยอดน้ำแสบน้ำด่างในหัวใส้นั้น หรือจะเอาเชือกอันใดอันหนึ่งผูกรัดหัวไส้ ก็ควรอยู่ ถ้าหากว่าหัวไส้นั้นขาดออกมาด้วยน้ำแสบหรือเชือก ชื่อว่าขาดด้วยดี ไม่มีโทษ

จะทำสัตถกรรม ผ่าเจาะในอัณฑะที่บวมนั้นไม่ควรเพราะเหตุนั้นจะทำอัณฑะควักเอาพืชออกเสีย ด้วยคิดจะทำให้หายโรคเช่นนี้ อย่าพึงทำ ก็แต่จะรมจะย่างด้วยเพลิงแลทายาเหล่านี้ ไม่ห้าม ในทวารหนักจะเอากรวยใบไม้ หรือเกลียวชุด หรือกระบอกไม้ไผ่ที่ทายาสวม แล้วเอาน้ำด่างน้ำแสบหยอดลงในกรวย หรือเอาน้ำมันเทลงไปในกระบอกไม้ไผ่นั้น ให้ไหลเข้าไปในทวารหนักดังนี้ควรอยู่

ถุลลัจจัย ว่าด้วย สจิตตกะและอจิตตกะ
๔ สิกขาบทนี้เป็นสจิตตกะ ไม่รู้ ไม่เป็นอาบัติ
ข้อหนึ่งภิกษุอย่าพึ่งฉันเนื้อมนุษย์ ถ้าฉันเป็นถุลลัจจัย ด้วยทรงห้ามไว้ ใช่แต่เนื้ออย่างเดียว แม้กระดูกและเลือด หนังแลขนก็ไม่ควร สิกขาบทนี้เป็นอจิตตกะรู้ไม่รู้ก็เป็นอาบัติ

อนึ่ง ถุลลัจจยาบัติมีมาก ไม่ได้ขึ้นสู่ปาฏิโมกขุเทศว่าโดยอาคัฏฐานที่มามี ๓ สถาน คือ
มาในขันธกะแห่ง ๑ เรียกชื่อว่าขันธกถุลลัจจัย
มาในวินีตวัตถุแห่งปาราชิกแลสังฆาทิเสสแห่ง ๑ เรียกชื่อว่า วินีตวัตถุถุลลัจจัย
มาในวิภังค์แห่งปาราชิกแลสังฆาทิเสสแห่ง ๑ เรียกชื่อว่าวิภังคถุลลัจจัย
เพราะเหตุนั้นบัญญัติแห่งถุลลัจจยาบัติจึงมีมาก ไม่มีกำหนด

ขันธกถุลลัจจัยนั้น ดังนี้
ภิกษุอย่าพึ่งถือ🔎ติตถิยวัตร(๘๔) เปลือยกายไม่นุ่งห่มถ้าภิกษุใดปฏิบัติดังนี้ต้องถุลลัจจัย
ภิกษุอย่าทรงผ้าคากรอง อย่าทรงผ้าที่เขากรองถักด้วยเปลือกไม้ อย่าทรงผ้าที่เขาทำด้วยกระดาน อย่าทรงผ้ากัมพลทำด้วยขนหางสัตว์ อย่าทรงผ้าทำด้วยปีกนกเค้า อย่าทรงหนังเสือ อย่าทรงผ้าทำด้วยปอ ผ้าเหล่านี้เป็นธงแห่งติตถิยะ ภิกษุใดทรงผ้าเหล่านี้ ต้องถุลลัจจัย

ข้อหนึ่งภิกษุอย่าพึ่งต้ององคชาตนิมิตแห่งเดรัจฉานตัวเมีย ด้วยจิตกำหนด ถ้าถูกต้องเป็นถุลลัจจัย
ข้อหนึ่งวันอุโบสถหรือวันปวารณา ภิกษุเจ้าอาวาสตั้งแต่ ๔ หรือ ๕ ขึ้นไป รู้อยู่ว่าภิกษุเจ้าอาวาสด้วยกันหรือภิกษุเป็นอาคันตุกะอื่น อยู่ในสีมาอันเดียวกันมีอยู่แต่ยังไม่มาสู่โรงอุโบสถโรงปวารณา เข้าหัตถบาสแกล้งจะให้เธอเหล่านั้นฉิบหาย หรือด่วนทำอุโบสถหรือปวารณาเสียก่อน ต้องถุลลัจจัย เหล่านี้ก็ดี ถุลลัจจัย ๔ ข้อก่อนก็ดี เป็นขันธกถุลลัจจัย

วินิตวัตถุถุลลัจจัย มีดังนี้
ภิกษุหนึ่งปรารถนาจะให้อสุจิเคลื่อนเดินทางไป อสุจิไม่เคลื่อน ต้องถุลลัจจัย
อนึ่งภิกษุเคล้าคลึงหญิงที่ตายแล้ว ต้องถุลลัจจัย ๆ อย่างนี้ชื่อ วินิตวัตถุถุลลัจจัย

วิภังคถุลลัจจัยนั้นมีหลายอย่าง
คือ เป็นอนุสาวนถุลลัจจัยบ้าง วิมติถุลลัจจัยบ้าง ยถาสัญญาถุลลัจจัยบ้าง ยถาเขตตถุลลัจจัยบ้าง ยถาวัตถุถุลลัจจัยบ้าง ยถาปโยคถุลลัจจัยบ้าง ยถาวัชชถุลลัจจัยบ้าง อนุสาวนถุลลัจจัยนั้น ดังอาบัติถุลลัจจัย เพราะสงฆ์ทำสมนุภาสนกรรม ๔ อย่าง หรือ ๘ อย่าง อันใดอันหนึ่งแก่ภิกษุหรือภิกษุณี เพื่อจะให้ละกรรมนั้น ๆ เสีย แลเธอไม่ละเสียจบอนุสาวนาที่ ๑ ที่ ๒ ลง ต้องถุลลัจจัย ๆ อย่างนี้ชื่อว่า อนุสาวนถุลลัจจัย ๆ นี้ เมื่อจบอนุสาวนาที่ ๓ นี้ ต้องครุกาบัติ แล้วรำงับไปเอง ไม่ต้องแสดง

หญิง...ภิกษุสงสัยอยู่ว่าหญิงหรือมิใช่ แลกำหนัดยินดีถูกต้องกายหญิงนั้นด้วยกายตน ต้องถุลลัจจัย ถุลลัจจัยดังนี้ชื่อว่าวิมติถุลลัจจัย เพราะต้องด้วยความสงสัย
หญิง....ภิกษุสำคัญว่าเป็น 🔎
บัณเฑาะก์(๘๕) กำหนัดยินดีถูกต้องกายหญิงนั้นด้วยกายตน ต้องถุลลัจจัย ถุลลัจจัยดังนี้ชื่อว่า ยถาสัญญาถุลลัจจัย เพราะเป็นอาบัติตามสัญญาความสำคัญ

ภิกษุมีความกำหนัด สรรเสริญหรือติเตียนอวัยวะหญิงเบื้องบนแต่รากขวัญลงไป เบื้องต่ำแต่เข่าขึ้นมา ยกทวารหนักทวารเบาเสีย ต้องถุลลัจจัย ถุลลัจจัยดังนี้ชื่อว่า ยถาเขตตถุลลัจจัย เพราะเป็นอาบัติตามเขต

ภิกษุจับต้องกายบัณเฑาะก์ด้วยกายตน ด้วยความกำหนัด ต้องถุลลัจจัย ถุลลัจจัยดังนี้ชื่อว่า ยถาวัตถุถุลลัจจัย เพราะเป็นอาบัติตามวัตถุ

ภิกษุมีไถยจิตจะพาทาสเขาหนี ชวนก็ดี หรือไม่ก็ดีให้ทาสนั้นยกเท้าที่แรกก้าวไป ต้องถุลลัจจัย ถุลลัจจัย
ข้อนี้ชื่อว่า ยถาปโยคถุลลัจจัย เพราะเป็นอาบัติตามประโยค

ภิกษุเฉพาะตนเอง แลอ้างเอาผู้อื่นเป็นปริยาย อวดอ้างอุตตริมนุสสธรรมว่า ผู้ใดอยู่ในวิหารของท่านผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ ดังนี้เป็นต้น ผู้ฟังรู้ความในขณะนั้น เธอนั้นต้องถุลลัจจัย ถุลลัจจัยดังนี้ชื่อว่า ยถาวัชชถุลลัจจัย เพราะเป็นอาบัติตามโทษ

เพราะอาบัติถุลลัจจัยมีมากต่าง ๆ อย่างนี้ จึงไม่มีกำหนดดังปาราชิกแลสังฆาทิเสสเป็นต้น ฯ


จบถุลลัจจัยแต่เท่านี้

สมณวิสัย

ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ

ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ
ในการที่จะพิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ นี้ ท่านแบ่งออก เป็น ๔ อย่าง เรียกว่า ปัจจเวกขณะ ๔

๑. ธาตุปัจจเวกขณ์ ให้พิจารณาเห็นสักว่าเป็นธาตุ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ให้พิจารณาเมื่อได้รับจตุปัจจัยอัน ใดอันหนึ่ง ได้แก่ “ยถาปจจย์ ฯลฯ สุญโญ” ให้พิจารณา เห็นโดยสักว่าธาตุ อันนี้เรียกว่า ธาตุปัจจเวกขณ์

๒. พิจารณาก่อนแต่กาลบริโภค ให้เห็นว่าเป็นของจึงเกลียดโดย🔎ปฏิกูลกรรมฐาน ได้แก่ “สพุพานิ ปน อิมานิ หรือ สพโพ ปนายํ ฯลฯ ชายนุติ หรือ ชายติ” ดังนี้ เรียกว่า ปฏิกูลปัจจเวกขณ์

๓. ในขณะจะบริโภคให้พิจารณาในส่วน “ตงขณิก ปจจเวกขณ์” ได้แก่ “ปฏิสงฺขา โยนิโส” ทั้ง ๔ บทแล้วแต่ปัจจัยที่บริโภค นี้เรียกว่า ตังขณิกปัจจเวกขณ์

๔. ในส่วนอดีตปัจจเวกขณ์ ได้แก่ “อชุช มยา” ฯลฯ เป็นส่วนที่ทรงอนุญาตให้ไว้ เพื่อความหลงลืมในเวลารับเวลาบริโภค ความว่า เมื่อภิกษุได้รับหรือบริโภคปัจจัยทั้ง ๔ มิได้พิจารณาในธาตุปัจจเวกขณ์ หรือ ปฏิกูลปัจจเวกขณ์ แลตั้งขณิกปัจจเวกขณ์ แล้วภายหลังกำหนดในวันเดียวเท่านั้น อย่าให้ทันอรุณใหม่ขึ้นมาก็ให้ พิจารณาในอดีตปัจจเวกขณ์ต่อไป ถ้าไม่ได้พิจารณาใน อดีตปัจจเวกขณ์ในวันนั้น ชื่อว่าอิณบริโภค คือการ 🔎บริโภคประกอบด้วยหนี้ในวันนั้น เพราะฉะนั้น ภิกษุอย่าพึงประมาทปล่อยสติในการพิจารณานี้เสียเลย รวมเป็นปัจจเวกขณ์ ๔ ประการ

ในปัจจัยสันนิสสตศีลที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ พิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ โดยปัจจุกเวกขณวิธีทั้ง ๔ ประการนี้ เพื่อจะได้ละกิเลสอาสวะเครื่องเศร้าหมองอันกองอยู่ ในสันดานให้ระงับ ห่างไกลจากความกำหนัดยินดีใน วัตถุกามแลกิเลสกามเป็นต้น ให้ภิกษุทำความศึกษาในปัจจเวกขณทั้ง ๔ ในพระบาลีและเนื้อความให้เข้าใจ ชัดเจน อย่าให้เป็นสักแต่ว่าตามบาลี ให้ตั้งใจหยั่งปัญญา ลงพิจารณาให้เห็นโดยจริงด้วย จึงจะเป็นเครื่องชำระ อาสวะเครื่องหมักดองในสันดานได้

จบปัจจเวกขณวิธีเท่านี้

สมณวิสัย

🔅 อินทรียสังวรศีล
🔅 อาชีวปรสุทธิศีล
🔅 ปัจจัยสันนิสสิตศีล
🔅 ปัจจเวกขณวิธี ๔ ประการ
🔅 ถุลลัจจัย
🔅 ทุกกฏ
🔅 ทุพภาสิต
🔅 กาลิกบัพพ์
🔅 พินทุ, อธิษฐาน, วิกัป, ปัจจุทธรณ์
🔅 คำแสดงอาบัติ
🔅ข้อปฎิบัติของภิกษุที่ต้องทำ

ปัจจัยสันนิสสตศีล

ปัจจัยสันนิสสตศีล

บัดนี้จะว่าด้วยปัจจัยสันนิสสตศีล ในปัจจัยสันนิสสตศีลนั้นความว่า ภิกษุพึงพิจารณาปัจจัยทั้ง ๔ คือ

    จีวร เครื่องนุ่งห่ม หรือผ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสมควรแก่ภิกษุจะบริโภคได้เป็นต้น ๑
    บิณฑบาต ของซึ่งเป็นอาหารอันภิกษุพึงจะรับ ฉันได้ในกาล คือเช้าถึงเที่ยง ๑
    เสนาสนะ เครื่องลาดปู มีที่นั่งหรือที่นอนเป็นต้น จะเป็นเสื่อหรือแผ่นผ้าอันใดก็ตาม ๑
    คิลานปัจจัย สิ่งที่สงเคราะห์เข้าในยาสำหรับรักษา โรคไข้เจ็บ จะเป็นยาวชีวิกก็ฉันได้ตราบเท่าสิ้นชีวิตและ ยามกาลิกมีกำหนดฉันได้ชั่วกาลวันหนึ่งตลอดคืนหนึ่ง หรือชั่ว ๗ วันเป็นกำหนดที่เรียกว่า สัตตาหกาลิก ๑

จบปัจจัยสันนิสสิตศีลสังเขปเท่านี้

สมณวิสัย


วันพฤหัสบดี

อาชีวปรสุทธิศีล

อาชีวปาริสุทธิศีล

บัดนี้ จะว่าในอาชีวปาริสุทธิศีลต่อไป อาชีวปาริสุทธิศีลนั้นว่า ให้ภิกษุพึงแสวงหาเลี้ยงชีพโดยโคจรบิณฑบาต หรือรับภัตตาหารที่ทายกนิมนต์ ซึ่งเป็นอติเรกลาภอันเป็นของบริสุทธิ์ ปราศจากมิจฉาชีพ

เลี้ยงชีวิตด้วยอเนสนากรรม คือการแสวงหาไม่ควร คือ
ให้ดอกไม้ ๑
ให้ผลไม้ ๑
ให้จุณเครื่องทา ๑
ให้ไม้สีฟัน ๑
ให้ไม้ไผ่ ๑

แก่ตระกูลผู้มิใช่ญาติและเป็นหมอให้ยารักษาไข้ แลเป็นทูตเดินข่าวสารของคฤหัสถ์ หรือหาเลี้ยงชีพด้วยอุบายต่าง ๆ มีขวนขวายช่วยทำกิจการงานเป็นต้นที่โลกนับว่าเป็นการประจบประแจงเหล่านี้ เป็นอเนสนากรรม เป็นการแสวงหาไม่ควร เพราะฉะนั้นภิกษุพึงละเว้นจากการแสวงหาเลี้ยงชีวิตอันไม่ควรเหล่านี้เสีย จึงชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยอาชีวปาริสุทธิศีลและพึงทำความศึกษาต่อไปให้ได้ความชัดเจนด้วย


จบอาชีวปาริสุทธิศีลสังเขปเท่านี้ 

สมณวิสัย

🔅 อาชีวปรสุทธิศีล

วันพุธ

อินทรียสังวรศีล

อินทรียสังวรศีล เป็นกิจของสมณะต้องประพฤติเสมอ

บัดนี้จะว่าในอินทรียสังวรศีล ความสำรวมระวังรักษาซึ่งอินทรีย์ทั้ง ๖ อันเป็น🔎อายตนะภายใน เมื่อกระทบถูกอายตนะภายนอก อย่าพึ่งทำความยินดีให้เกิดขึ้นด้วยสังกิเลสธรรม อันเป็นเครื่องเศร้าหมองในสันดาน จึงกำหนดให้เห็นลงด้วยปัญญาเป็นไปสักแต่ว่า🔎ธาตุ และยึดถือเอาพระ🔎ไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ โดยความที่ว่าเป็นของไม่เที่ยง แลเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เมื่อทำปัญญาให้เป็นไปโดย🔎ปัจจเวกขณวิธี พิจารณาเห็นลงซึ่งสังขารธรรมให้เป็นไปดังนี้ ก็เป็นเหตุที่จะกำจัดสังกิเลสธรรมเครื่องลามกเศร้าหมองเสียให้ห่างไกลได้ จิตของภิกษุนั้นก็ปราศจากกังวล ตั้งมั่นในการเจริญสมณธรรมเป็นเบื้องหน้า ในอินทรีย์ ๖ นี้ คือ

จักขุนทรีย์
(อินทรีย์ คือ ตา สำหรับดูรูป ๑)
โสตินทรีย์ (อินทรีย์ คือ สำหรับฟังเสียง ๑)
ฆานินทรีย์ (อินทรีย์ คือ จมูก สำหรับดม ๑)
ชิวหินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ลิ้น สำหรับลิ้มรส ๑)
กายินทรีย์ (อินทรีย์ คือ กายสำหรับถูกต้อง โผฏฐพพารมณ์ ๑)
มนินทรีย์ (อินทรีย์ คือ ใจ สำหรับรู้เหตุผล ๑)

รวมเป็น ๖ ประการ ซึ่งให้สำรวมระวังนั้น คือ

๑. ตาได้มองเห็นรูป
ชายหญิง หรือรูปอื่น ๆ ที่ ประณีตหรือเลวทราม ที่หยาบหรือละเอียดในที่ใดที่หนึ่ง ตนจะชอบใจหรือมิชอบใจก็ตาม อย่าพึงทำความรักยินดี และความไม่รักไม่ยินดี ควรระงับความโสมนัสเป็นต้นเสีย หยั่งปัญญาลงสู่พระไตรลักษณ์แต่ส่วนเดียว อันนี้ ชื่อว่าสำรวมดีแล้วในจักษุ (ตา)

๒. หูได้ยินเสียง
บุรุษหรือสตรี และเสียงอื่น ๆ ในที่ใกล้หรือไกลประการใด อย่าพึ่งทำความรักแลยินดี และไม่รักไม่ยินดี ระงับความโสมนัสแลโทมนัสเป็นต้นเสีย หยั่งปัญญาลงสู่พระไตรลักษณ์แต่ฝ่ายเดียว อันนี้ ชื่อว่าสำรวมดีแล้วในโสตะ (หู)

๓. จมูกได้ดมกลิ่น
เหม็นหรือหอม ก็พึงระงับ ความยินดีแลไม่ยินดีไว้ หยั่งปัญญาลงสู่พระไตรลักษณ์แต่ส่วนเดียว อันนี้ชื่อว่าสำรวมดีแล้วในฆานะ (จมูก)

๔. ลิ้นได้ลิ้มรส
หวาน ขม เปรี้ยว เค็ม เป็นต้น ประการใด ๆ ก็ดี จะเป็นที่ชอบใจ หรือมิชอบก็ตาม จึงระงับความยินดีและไม่ยินดีไว้ พิจารณาให้เห็นเป็นส่วนพระไตรลักษณ์อย่างเดียว อันนี้ชื่อว่าสำรวมดีแล้วในชิวหา (ลิ้น)

๕. กายได้สัมผัส
ถูกต้องเครื่องนุ่งห่ม หรืออาสนะ ที่นั่งนอน อ่อนหรือกระด้าง หรือกระทบความร้อนเย็น เป็นต้นประการใด ๆ ก็ดี พึงระงับความยินดีและอดกลั้นความกระสับกระส่ายเสีย ทำสติให้ระลึกอยู่ในพระไตรลักษณ์ อันนี้ชื่อว่าสำรวมดีแล้วในกาย (ตัว)

๖. ใจที่คิดไปในอารมณ์ใด
ที่เป็นส่วนโลกีย์ ประกอบด้วยโสมนัสหรือโทมนัส ก็พึงอดกลั้น อย่าให้ความกำหนัดยินดีอันเป็นส่วนราคะ หรือความทุกข์เป็นเครื่องเศร้าหมองใจบังเกิดขึ้นในจิตสันดานได้ จึงผูกอยู่ในกรรมฐาน คือ🔎อนุสสติ ๑๐ หรือ🔎สติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าสำรวมดีแล้วในใจ (ใจ)


รวมเป็นความสำรวมระวังรักษาในอินทรีย์ทั้ง ๖ อย่างนี้เรียกว่าอินทรียสังวรศีล เป็นของภิกษุจะพึง ประพฤติและปฏิบัติ เป็นเครื่องขัดเกลากิเลสเครื่อง เศร้าหมองในสันดานให้น้อยลงหรือระงับไป จิตของภิกษุนั้นจึงจะบริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนี้ท่านจึงยกอินทรียสังวรศีล เข้าใจจตุปาริสุทธิศีลด้วย

จบอินทรียสังวรศีลสังเขปแต่เพียงเท่านี้

(อธิบายเพิ่มเติม วิสุทธิมรรค 🔎อินทรียสังวรศีล)

สมณวิสัย

🔅 อินทรียสังวรศีล

วันอังคาร

อธิกรณสมถะ ๗

อธิกรณสมถะ ๗ ประการ
คือ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแต่งตั้งบัญญัติไว้ เพื่อจะให้พระสงฆ์ระงับอธิกรณ์ ข้อผิดของภิกษุบริษัทที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ๆ มีอุบายวิธี ๗ ประการ อธิกรณ์ที่พระสงฆ์จะต้องระงับด้วยอธิกรณสมถะ ๗ นั้นมี ๔ คือ
วิวาทาธิกรณ์ ๑
อนุวาทาธิกรณ์ ๑

อาปัตตาธิกรณ์ ๑
กิจจาธิกรณ์ ๑

เป็น ๔ ประการฉะนี้ อันการที่ภิกษุมีความเห็น🔎วิปลาส(๗๓) เกิดความวิวาท กล่าวต่าง ๆ กัน ให้วิปริตผิดเพี้ยนพระธรรมวินัย นี้ชื่อว่า วิวาทาธิกรณ์ การที่ภิกษุติดตาม ว่ากล่าว ทักท้วง ยกโทษกันด้วย🔎ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ อาชีววิบัติ(๗๘-๘๑) แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นี้ชื่อว่า อนุวาทาธิกรณ์ การที่ภิกษุต้องอาบัติทั้ง ๗ กอง คือ ปาราชิก ๑ สังฆาทิเสส ๑ ถุลลัจจัย ๑ ปาจิตตีย์ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๑ ทุกกฏ ๑ ทุพภาสิต ๑ แต่กองใดกองหนึ่ง นี้ชื่อว่า อาปัตตาธิกรณ์ การที่ภิกษุทำกิจที่พระสงฆ์จะพึงกระทำทั้ง ๔ คือ 🔎อปโลกนกรรม(๘๒) ดังอปโลกน์เข้าสงฆ์ ๑ ญัตติกรรมอย่างสวดอุโบสถแลสวดปวารณา ๑ ญัตติทุติยกรรม
อย่างสวดผูกสวดถอนพัทธสีมาแลสวดกฐิน ๑ ญัตติจตุตถกรรม อย่างสวดอุปสมบทและสวดปริวาส มานัต อัพภาน ๑ กรรมทั้ง ๔ นี้กำเริบเพราะไม่เป็นกรรม หรือไม่เป็นวรรค เป็นญัตติวิบัติ เป็นอนุสาวนาวิบัติ แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นี้ชื่อว่า กิจจาธิกรณ์

อธิกรณ์ทั้ง ๔ นี้ พระสงฆ์พึงระงับลงไว้ด้วยอธิกรณสมถะ มีอุบายวิธีเป็น ๗ ประการ คือ
อุบายวิธีที่ ๑.
ให้พระสงฆ์จึงให้🔎สัมมุขาวินัย(๘๓) นำอธิกรณ์เสียเฉพาะหน้าพระสงฆ์ เฉพาะหน้าพระวินัยธร เฉพาะหน้าโจทก์จำเลยยอมรับผิดชอบพร้อมหน้ากัน

อุบายวิธีที่ ๒.
ให้พระสงฆ์พึงให้สติวินัย นำอธิกรณ์เสียด้วย อันสมมติให้เป็นผู้มีสติแท้ ดังสมมติให้แก่พระอรหันตเจ้า

อุบายวิธีที่ ๓.
ให้พระสงฆ์พึงให้อมูฬหวินัยนำอธิกรณ์เสียได้ ให้เป็นแต่เพียงว่าผู้หลงเคลิ้มสติไปเฉพาะเป็นบ้า จะโจทก์นำอธิกรณ์ให้ระงับด้วยก็มิขึ้น ปรับอาบัติก็ไม่ได้

อุบายวิธีที่ ๔.
ให้พระสงฆ์พึงให้ปฏิญญาตกรณะ ปฏิญญาณรับโทษสมคำโจทก์จำเลย

อุบายวิธีที่ ๕.
ให้พระสงฆ์พึงให้เยยยสิกา กิริยาที่ให้อธิกรณ์ระงับด้วยพวกธรรมวาที่ชุกชุมมากว่า สมมติให้สัญญาแก่กันตามสำคัญด้วยฉลาก

อุบายวิธีที่ ๖.
ให้พระสงฆ์พึงให้ตัสสปาปิยสิกา กิริยาที่ให้อธิกรณ์ระงับด้วยสมมติยกโทษแก่ภิกษุมีบาปหนาหนักต้องอาบัติเนือง ๆ กำจัดเสียจากหมู่สงฆ์ ทรมานให้ละพยศลง เห็นว่าเธอนั้นยังจักเยียวยาได้ พึงสวดระงับอธิกรณ์ให้

อุบายวิธีที่ ๗.
ให้พระสงฆ์พึงให้ติณวัตถารกวินัย นำอธิกรณ์ให้สงบลงไว้ ดังลาดหญ้าทับกองคูถไว้ เพราะอธิกรณ์นั้นหยาบช้าเข้มข้นจวนจะถึงสังฆเภท พระวินัยธรตัดสินไม่ตกลง พระสงฆ์จึงพร้อมกันสวดสัญญาให้อธิกรณ์นั้นสาบสูญเสีย

ธรรม ๗ ประการนี้ ชื่อว่า อธิกรณสมถะ เป็นวิธีที่จะระงับข้อผิดกิจพระวินัยบัญญัติของภิกษุบริษัท พระธรรมวินัย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ ได้ยกขึ้นยังพระปาฏิโมกขุเทศ เป็นประเภทสิกขาบทบัญญัติรวมเข้าไว้เป็น ๒๒๗ สิกขาบท สำหรับพระสงฆ์ทำอุโบสถทุกระยะกึ่งเดือน สืบศาสนายุกาลมาถึงกาลปัจจุบันนี้ ขอท่านทั้งหลายแต่บรรดาที่อุปสมบทในพระพุทธศาสนาจงอุตสาหะท่องบ่นพระบาลีปาฏิโมกข์ให้จำขึ้นวาจา ใจ กำหนดความตามข้อพระพุทธบัญญัติที่ได้คัดขึ้นไว้โดยย่อนี้ให้แม่นยำ แล้วพึงศึกษาเล่าเรียนไว้ไถ่ถามหาความพิสดารต่อไป

จบพระปาฏิโมกขสังวรศีล ๒๒๗ สิกขาบท


🔅 ปาราชิก ๔ 
🔅 สังฆาทิเสส ๑๓ 
🔅 อนิยต ๒ 
🔅 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
        (จีวรวรรค ๑๐)
        (โกสิยวรรค ๑๐)
        (ปัตตวรรค ๑๐)
🔅 ปาจิตตีย์ ๙๒
        (มุสาวรรค ๑๐)
        (ภูตคามวรรค ๑๐)
        (ภิกขุโนวาทวรรค ๑๐)
        (โภชนวรรค ๑๐)
        (อเจลกวรรค ๑๐)
        (สุราปานวรรค ๑๐)
        (สัปปาณวรรค ๑๐)
        (สหธัมมิกวรรค ๑๒)
        (ราชวรรค ๑๐)
🔅 ปาฎิเทสนียะ ๔
🔅 เสขิยวัตร ๗๕
        (สารูป ๒๖)
        (โภชนปฎิสังยุตต์ ๓๐)
        (ธัมมเทสนาปฎิสังยุตต์ ๑๖)
        (ปกิณกะ ๓)
🔅 อธิกรณสมถะ ๗

ปกิณกะ ๓

เสขิยวัตร ๗๕

เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท กำหนดนับ ๑๐ สิกขาบทเป็นวรรคหนึ่ง ๆ ได้ ๗ วรรค อีก ๕ สิกขาบทนั้นจัดเป็น ๑ รวมเป็น ๘ วรรค  
    
(สารูป ๒๖) การกระทำให้สมควรแก่สมณะ
(โภชนปฎิสังยุตต์ ๓๐) วิธีที่จะขบฉัน
(ธัมมเทสนาปฎิสังยุตต์ ๑๖) การแสดงธรรม
(ปกิณกะ ๓คือที่เรี่ยรายอยู่นำมายกขึ้นสู่อุเทศ


ปกิณกะมี ๓ สิกขาบท 
ในปกิณกะ ๓ สิกขาบทนี้ ให้ภิกษุพึงทำความศึกษาสำเหนียกหมายไว้ ดังนี้

สิกขาบทที่ ๑.
ว่าเรามิได้เจ็บไข้ จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระปัสสาวะ

สิกขาบทที่ ๒.
ว่าเรามิได้เจ็บไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บ้วนน้ำลาย รดลงในภูตคามอันเขียวสด คือ กอไม้ หย่อมหญ้า เครือลัดดา เสวาลชาติ อันงอกงามบนบกและในน้ำ

สิกขาบทที่ ๓.
ว่าเรามิได้เจ็บไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บ้วนน้ำลาย ลงไปในน้ำที่ควรจะดื่มกินได้

ให้ภิกษุพึงสำเหนียกนึกหมายจำไว้ ในปกิณกะสิกขาบทนี้

จบเสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท เท่านี้

🔅 ปาราชิก ๔ 
🔅 สังฆาทิเสส ๑๓ 
🔅 อนิยต ๒ 
🔅 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
        (จีวรวรรค ๑๐)
        (โกสิยวรรค ๑๐)
        (ปัตตวรรค ๑๐)
🔅 ปาจิตตีย์ ๙๒
        (มุสาวรรค ๑๐)
        (ภูตคามวรรค ๑๐)
        (ภิกขุโนวาทวรรค ๑๐)
        (โภชนวรรค ๑๐)
        (อเจลกวรรค ๑๐)
        (สุราปานวรรค ๑๐)
        (สัปปาณวรรค ๑๐)
        (สหธัมมิกวรรค ๑๒)
        (ราชวรรค ๑๐)
🔅 ปาฎิเทสนียะ ๔
🔅 เสขิยวัตร ๗๕
        (สารูป ๒๖)
        (โภชนปฎิสังยุตต์ ๓๐)
        (ธัมมเทสนาปฎิสังยุตต์ ๑๖)
        (ปกิณกะ ๓)
🔅 อธิกรณสมถะ ๗

© 2008. Template by Dicas Blogger.

TOPO